ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ - ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ นิยาย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ : Dek-D.com - Writer

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้

    เวลาไม่คิดย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงเรื่องราว การตัดสินใจโทษตัวเองทำให้เกิดการสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า คนรัก ไป

    ผู้เข้าชมรวม

    2,892

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    2.89K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ก.พ. 47 / 19:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      .
                     “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากเปลี่ยนอะไรไหม”


                     ขณะที่ฉันกำลังพูดคุยกับเพื่อนสนิทอยู่เพลินๆนั้น คำถามจากเพื่อนสาวก็ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนสีหน้าลงไปกะทันหัน ความคิดที่คิดจะลืมมันให้สิ้นก็ผุดขึ้นในสมองอีกครั้ง คำถามนี้เคยเป็นคำถามจากคนที่ฉันเคยรัก และฉันก็ผลักไสเค้าไป

                     “อยากสิ ฉันอยากเปลี่ยนชีวิตของฉันให้ดีขึ้น ฉันอยากมีอะไรๆเหมือนกับคนอื่นเค้า อยากมีรถขับ อยากมีมือถือใช้ อยากแต่งตัวสวยๆ มีเสื้อผ้าดีๆ แต่ก็นั่นล่ะ คนอย่างฉันมันจะมีอย่างงั้นได้ไงล่ะเนอะ คนอย่างฉันมันจนนี่นา”

                     “ไม่หรอก อย่าโทษตัวเองอย่างงั้นสิ คนเราถ้ามีความพยายามสักวันก็คงจะไปถึงฝันได้เองแหละ ฉันเชื่อว่าฝนทำได้” เค้าพูดพลางจับมือฉันบีบเพื่อเพิ่มความมั่นใจที่ฉันมีเหลืออยู่น้อยให้เพิ่มขึ้นด้วยความอบอุ่นของกระแสเลือดที่สูบฉีดไหลไปทั่วกาย

          
                     “ฝน ว่าไงตอบเราได้หรือยัง อยากเปลี่ยนอะไร เรานะอยากเปลี่ยนเกรดเทอมที่แล้วจัง ถ้าเปลี่ยนได้ก็ดีสิ เราคงไม่ต้องมาลงซ้ำใหม่อีกรอบหรอก” เสียงของเพื่อนทำให้ฉันตื่นจากพวังค์เมื่อสักครู่

                     “อ๋อ มีสิ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงเปลี่ยนได้มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วล่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียบแหบต่ำเหมือนสะกดกลั้นความรู้สึกไว้

                     “ขอโทษ คำถามฉันคงจะไปสะกิดเธอเข้าล่ะสิ” เพื่อนฉันเอ่ยขอโทษพร้อมทั้งยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ฉันเหมือนจะรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปน้ำตาของฉันจะต้องหยดลงมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันถูกกระทบอะไรง่ายๆก็พาลจะน้ำตารินอย่างงี้

                     “ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากพูด อยากเปลี่ยน อยากให้ตั้ว ไม่ไหวสะท้านกับคำพูดที่ฉันพูดไป” ฉันพูดพร้อมกับก้มหน้าและเงยหน้าขึ้นมาด้วยตาที่แดงก่ำ แต่พยายามไม่ให้น้ำตาไหลและพูดให้เสียงปกติที่สุด


                     “วันนี้เราจะไปส่งฝนกลับบ้านนะ แล้วเดี๋ยวแวะไปหาอะไรกินแถวสยามก่อนนะ”

                     “ได้ แล้วอย่ามาเลทนะ  ไม่แน่ว่าวันนี้อาจารย์อาจจะปล่อยเร็วนะ”

                     “ได้ ถ้ามาช้าก็รอเราหน่อยนะ จารย์เราอาจจะปล่อยช้ากว่าฝนก็ได้” ตั้วพูดพร้อมทั้งโบกมือแล้วก็เดินไป

                     “นี่ฝน เดี๋ยวนี้ร่ำรวยใหญ่แล้วนะ มีเสี่ยมารับไปกินข้าวด้วยเหรอ” ฝ้ายเพื่อนที่คอยกระแนะกระแหน เข้ามาพูดแล้วก็เดินจากไปเข้าห้องเรียน ฉันรีบเดินตามแล้วเข้าไปนั่งข้างๆทันที

                     “นี่ฝ้าย ตั้วเค้าไม่ได้มาเลี้ยงฉันนะ”

                     “ก็เห็นๆอยู่นี่นา แหมคิดจะมีแฟนรวยๆ ไม่ดูตัวเองก่อนเลยนะ” ฝ้ายพูดแดกดันฉันจนฉันเริ่มมีน้ำโห

                     “นี่ฝนไม่ต้องไปสนใจยายฝ้ายหรอก เราอยู่ข้างเธอ” นกเพื่อนที่สนิทกับฉันที่สุดเข้ามานั่งใกล้ๆ แล้วอาจารย์ก็เข้ามาในห้อง

          
                     “รอนานไหมฝน นี่เราเอาซีดีเพลงมาฝากด้วย เราเห็นเมื่อวานคิดว่าฝนต้องชอบ เห็นฝนบอกว่าอยากฟังไม่ใช่เหรอ นี่เราซื้อมาให้” ตั้วพูดพร้อมทั้งหยิบถุงซีดีออกมา

                     “ลองเปิดฟังเลยไหม เดี๋ยวเข้าไปฟังในรถตั้ว”

                     “ก็ดีเหมือนกัน จะได้ฟังดูว่าเพราะทั้งอัลบั้มไหม”


                     วันนั้นเป็นวันที่เรามีความสุขมาก โดยไม่คิดอะไรเรากับตั้วก็มาเป็นแฟนกัน เราติดกันอย่างกับเป็นปาท่องโก๋ มีตั้วที่ไหนก็มีฝนที่นั่น


                     “วันนี้ไปบ้านตั้วนะ” อยู่ๆวันหนึ่งตั้วก็เอ่ยออกมา อย่างฉันไม่ทันได้ตั้งตัวทันขณะนั่งไปในรถด้วยกัน

                     “จะดีเหรอ พ่อกับแม่ตั้วอยู่ด้วยหรือเปล่า”

                     “อยู่สิ แหมเราไม่พาฝนเข้าไปเวลาพ่อกับแม่ไม่อยู่หรอก เราให้เกียรติฝนพอน่า” ฉันยิ้มกับคำพูดของตั้วที่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างเต็มเปี่ยม


                     “สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้พ่อกับแม่ของตั้วเมื่อตั้วแนะนำให้รู้จักท่าน

                     “นี่เหรอ หนูฝนที่ตั้วเล่าให้ฟังบ่อยๆ วันนี้นั่งกินข้าวด้วยกันก่อนนะ แต่ตั้วน่าจะบอกพ่อก่อนนะจะได้สั่งให้แม่ครัวทำอาหารแบบพิเศษให้หนูฝนเค้า ไม่รู้เค้าจะกินแบบเราได้ไหม”

                     “ได้สิครับพ่อฝนเค้าไม่เรื่องมากหรอกครับ”

                     แล้วเวลาอาหารก็มาถึง อาหารแต่ละชนิดเป็นแบบที่ฉันเห็นในเมนูตามภัตตาคารใหญ่ๆสีสันน่าทานทั้งนั้น

                     “กินได้ไหมหนู” พ่อของตั้วหันมาถามฉัน

                     “ได้ค่ะ หนูไม่ค่อยได้กินอาหารแบบนี้เท่าไหร่ค่ะ”

                     “ดีแล้วล่ะ ก็กังวลอยู่เหมือนกัน แม่ครัวที่นี่ทำน้ำพริกกันไม่ค่อยเป็น” พ่อของตั้วพูดอย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกของฉันเริ่มมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

                     “ว่างๆมาหาพ่ออีกนะหนูฝน คราวหลังจะมาก็ให้ตั้วบอกไว้ก่อนล่ะ”

                     “ค่ะ” ฉันตอบพร้อมทั้งสวัสดี แล้วพ่อก็เรียกตั้วไปคุยด้วยสักพัก แล้วตั้วก็ออกมา

          
                     “ฝน เดี๋ยวเราไปส่งที่ป้ายรถเมล์นะวันนี้ขอโทษด้วย พ่อเรามีธุระด่วนให้เราต้องรีบทำให้น่ะ ขอโทษทีนะ คราวหน้าขอแก้ตัว”

                     “ไม่เป็นไรหรอก ตั้วไปทำงานของพ่อเถอะเดี๋ยวส่งฝนตรงนี้เลยก็ได้”

                     “ไม่เป็นไร เดี๋ยวตั้วไปส่งฝนที่ป้ายรถเมล์ล่ะ”


                     หลังจากวันนั้น ตั้วเริ่มมีงานค่อนข้างมากทำให้ห่างเหินฉันไปบ้างแต่ก็ยังไม่ขาด และบางครั้งฉันก็ถูกเชิญไปบ้านตั้วอยู่บ่อยๆ และแต่ละครั้งจะมีน้ำพริกด้วยทุกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันกระดากเวลานั่งกินข้าวด้วยทุกครั้งคือจะไม่มีใครตักน้ำพริกกินเลยเหมือน ตั้งใจจะทำไว้ให้ฉันเพียงคนเดียว


                     “นี่ใกล้ได้เป็นสะใภ้บ้านเจริญวงศ์หรือยังล่ะ “ ฝ้ายพูดกระแซะ แล้วหันมาจับไหล่ฉัน

                     “ว๊าว เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านดีนี่นะ เค้าซื้อให้เหรอ”

                     “เปล่านะ เสื้อผ้าของฉัน ฉันก็ใส่มาตั้งเทอมแล้วนะ”

                     “อ๋อ ใส่ให้สะอาดเวลาไปบ้านพ่อผัว จะได้ดูดีใช่ไหมล่ะ” เมื่อได้ยินคำนี้ฉันเริ่มความอดทน พลันมือเล็กๆของฉันก็อยู่เหนือความควบคุม สัมผัสลงไปบนแก้มของฝ้ายแต่ก็เพียงเฉียดๆ

                     “โอ๊ย นี่เธอทำอะไรน่ะฝน มันเจ็บนะ” แล้วฝ่ามือของฝ้ายก็ผายมายังหน้าฉันเหมือนปฏิกริยาสวนกลับอย่างรวดเร็วด้วยความรุนแรงยิ่งกว่า

                     “อืมหายกัน” แล้วฝ้ายก็หันหลังกลับ ทิ้งให้ฉันเอามือกุมหน้าด้วยฝ่ามือของฝ้ายแทบจะทำให้ฉันล้มตามแรงฝ่ามือไป ด้วยน้ำหนักที่ต่างกันมาก

                     “ฝน เป็นไงมั่ง” นกรีบกราดเข้ามาเมื่อเห็นเหตุการณ์แต่เข้ามาห้ามไว้ไม่ทัน

                     “ไม่เป็นไรหรอก แค่แก้มแดงๆนิดหน่อยน่ะ ปล่อยหมามันไปก่อนแล้วกัน” ฉันพูดพร้อมทั้งน้ำตาที่หยดลงมาอาบแก้มให้รู้สึกแสบๆเนื่องจากโดนตบอย่างแรง


                     หลังจากนั้นฉันพยายามที่จะหลบหน้าตั้ว จนตั้วซึ่งเคยห่างเหินเริ่มรู้สึกได้ และมาดักเจอฉันที่หน้าคณะขณะที่ฉันกำลังเดินคุยมากับเพื่อน ตั้วเข้ามาหาแล้วดึงข้อมือฉัน

                     “ขอโทษทีนะนก เราขอคุยกับฝนแป๊บนึง”

                     “คุยตรงนี้ก็ได้นี่ตั้ว” ฉันพูดพร้อมมองหน้าตั้ว

                     “ก็ได้ ฝนหลบหน้าตั้วทำไม”

                     “ก็แล้วตั้วล่ะหลบหน้าฝนก่อนทำไมล่ะ” ฉันถามตอบกลับไป

                     “ตั้วไม่ได้หลบฝน ตั้วมีงานต้องทำเยอะ ทั้งงานที่จารย์ให้แล้วก็ยังของพ่ออีก”

                     “แล้วทำไมตั้วไม่โทรหาฝนบ้างล่ะ” ฉันพยายามที่จะหาคำตอบจากสายตาและคำพูดของตั้ว

                     “ตั้วไม่มีเวลาโทรเลยพักนี้ กว่างานจะเลิกก็ดึกแล้วบ่อยๆ แต่ตั้วก็โทรไปแล้วนะ ที่บ้านบอกว่าฝนหลับไปแล้วตลอด” ตั้วพยายามที่จะพูดในเหตุผลของเค้าให้ฉันเข้าใจ แต่บางครั้งฉันก็นึกที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ ฉันเป็นคนบอกพ่อเองว่าหากตั้วโทรมาให้บอกว่าฉันหลับแล้ว

                     “แล้วทำไมไม่พยายามโทรมาล่ะ ฉันไม่ได้หลับเร็วทุกวันหรอกนะ” ฉันพยายามหาข้อแก้ต่างให้กับตัวเอง ทั้งๆที่คนผิดคือฉัน

                     “โธ่ฝน อย่าเป็นอย่างงี้สิ เข้าใจตั้วหน่อยสิ” ตั้วพูดพร้อมทั้งเอามือทั้งสองข้างมาจับฉันแต่ฉันก็พยายามที่จะสะบัดออก

                     “เข้าใจสิ เข้าใจว่าตั้วไม่มีเวลาให้ฝนเลย ตั้วมีภาระหน้าที่ ไหนจะต้องมาใส่ใจให้คนว่างๆ อย่างฝนด้วยล่ะ ฝนมันก็ตัวคนเดียวแบบนี้ล่ะ” ฉันพูดด้วยเสียงอันดังเหมือนโกรธมากๆ

                     “ฝน พอเถอะ จะทะเลาะกันทำไม พูดกันดีๆสิ” นกพูดเพื่อพยายามสงบศึกที่อยู่ท่ามกลางเธอ

                     “ไม่ละนก วันนี้ขอคุยกับตั้วให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า ตั้วเป็นอันว่าต่อไปนี้เราไม่ต้องมาเจอกันทุกวันแล้วกัน เธอก็อยู่ของเธอ เราก็อยู่ของเรา ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้วนะ เจอกันก็ทักกันบ้างแล้วกัน ไปนกเราไปกันต่อเถอะ” หลังจากพูดจบฉันก็จับมือนกแล้วเดินหันหลังกลับเข้าคณะไปปล่อยให้ตั้วยืนอยู่อย่างงงๆอยู่ตรงนั้น


                     เมื่ออยู่กันสองคน ฉันก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ

                     “นี่ฝนเธอเป็นอะไรของเธอ ตั้วเข้าไปทำไรให้เธอขนาดนั้น”

                     “เปล่าหรอก ตั้วเค้าไม่ได้ทำอะไรฉันทั้งนั้นล่ะ ฉันผิดเองที่ไม่มองดูตัวเอง”

                     “นี่มันอะไรกัน เธอไปฟังคำยายฝ้ายมันทำไม”

                     “เปล่าหรอก ฉันไม่ได้ฟังคำฝ้ายเข้า แต่ฉันเจอเข้าเองฉันเข้าใจ พ่อของตั้วเค้าไม่ชอบฉันเลย เค้าพยายามที่จะกันฉันให้ห่างจากตั้ว เธอไม่เห็นเหรอว่าพ่อเค้าให้งานตั้วเค้าขนาดไหน”

                     “เธอคิดมากไปหรือเปล่า” นกพยายามพูดปลอบ

                     “ไม่หรอก ฉันไม่คิดมากไปแน่นอนถ้าเธอเป็นฉันเธอก็คงรู้สึกได้เช่นกัน เค้าคงไม่อยากจะกินข้าวร่วมโต๊ะกับฉันหรอก”

                     “เอาล่ะเช็ดน้ำตาได้แล้วล่ะฝน เธอทำให้มันจบลงแล้วล่ะ”


                     หลังจากนั้นฉันก็แทบจะไม่ได้เจอหน้าตั้วอีกเลย ตั้วไม่มาหาฉันที่คณะ ไม่มีแม้แต่เงา บางครั้งฉันรู้สึกว่าเค้าพยายามจะหลบหน้าฉันไปจริงๆ เมื่อไม่มีตั้วชีวิตฉันก็ว้าเหว่เหงาเอามากๆ มีเพียงนกเพียงคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเวลาฉันเหงาขึ้นมาทุกครั้ง


                     “ถ้าหากฉันเปลี่ยนได้ ฉันจะไม่หลบหน้าเค้า จะรับโทรศัพท์ของเค้า จะมองโลกในแง่ดีกว่านี้ จะไม่ดูถูกตัวเอง และพยายามเข้าใจง่ายๆ ในความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ไม่แน่นะ พ่อเค้าอาจจะหวังดีกับฉันจริงๆก็ได้ น้ำพริกถ้วยนั้น เค้าคงจะตั้งใจทำให้ฉัน และไม่คิดจะแย่งกินก็ได้”

                     “ดีแล้วล่ะ  ถึงจะเปลี่ยนให้ตั้วเค้ากลับมาไม่ได้ แต่เธอก็เปลี่ยนตัวเองเปลี่ยนความคิดได้นะ ฉันคิดว่าตั้วเค้าคงดีใจ ที่ฝนเข้าใจและพยายามเพื่อตัวเอง”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×