[SONG/AU.FIC REBORN] SPEAK NOW [D18] - [SONG/AU.FIC REBORN] SPEAK NOW [D18] นิยาย [SONG/AU.FIC REBORN] SPEAK NOW [D18] : Dek-D.com - Writer

    [SONG/AU.FIC REBORN] SPEAK NOW [D18]

    ชีวิตของ ดีโน่ คาบัคโรเน่ มักมีตัวเลือกชวนปวดหัวอยู่เสมอ !?

    ผู้เข้าชมรวม

    2,180

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    2.18K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    40
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ม.ค. 60 / 19:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น







     
    ✄THE ORA



     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      TITLE : [SONG/AU.FIC REBORN] SPEAK NOW [D18]

      PAIR : DINO CAVALLONE X HIBARI KYOYA [D18]

      RATE : PG

      AUTHOR : ZZGAFIWZZ

      NOTE : เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่ “14/10/2014” ซึ่งก็คือวัน “DHDAY”* ค่ะทุกคน เดี๋ยวรายละเอียดเกี่ยวกับวันจะแจ้งไว้ด้านล่างหลังฟิคจบ =w= เพราะฉะนั้นไรท์ฯเลยอยากทำการเทรนฉลองด้วยฟิคสั้นพร้อมเพลงถวายให้แด่ความรักระหว่างครู-ศิษย์นี้ [?] อัญเชิญญญเสพพพพพ !! -.,-)> [ป.ล.ระวังความมุ้งมิ้งและความหวานเอาไว้ด้วย #เตรียมไบกอนด้วยนะค่ะทุกคน !!]

       

                      แซ่ด แซ่ด..

       

                      ผู้คนมากมายที่หลงไหลกันมาที่โบสถ์ใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งอันเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวคริสต์ศาสนาทั้งหลายไม่ว่าจะนิกายใด แต่.. การหลั่งไหลของผู้คนในการมาโบสถ์ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมาทำพิธีกรรมทางศาสนาที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันอาทิตย์เฉกเช่น วันสะบาโต*

       

                      แต่เพราะนี่คือ “งานแต่ง” ตั้งหาก..

       

                      เหล่าแขกผู้ที่ถูกเชื้อเชิญมางานแต่งใหญ่ของทายาทผู้ปกครองเมืองแห่งนี้กับหญิงสาวผู้มาจากดินแดนอาทิตย์อุทัยจากทวีปอันห่างไกล

                      บรรยากาศในงานนั้นช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความปลื้มปิติที่สุดท้ายทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลใหญ่ผู้ปกครองเมืองนี้ก็จะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที และยิ่งนี่เป็นการแต่งงานระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ต่างแดน ยิ่งทำให้ชาวเมืองนี้มีความยินดีอย่างมาก เพื่อที่จะได้มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้ง 2 ประเทศด้วยเช่นกัน

                     

                      ทุกคนดูจะยินดีปรีดาไปกับงานแต่งที่จะทำให้อะไรหลายๆอย่างมันจะดีขึ้น

       

                  แต่..ได้ถาม

       

                      ทายาทหนุ่มคนนั้นรึยัง ?

       

                      ภายในห้องเล็กที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้เป็นห้องแต่งตัวของเจ้าบ่าว ปรากฎเจ้าของร่างสูงนั่งหน้าเศร้าแต่ไม่เล่าความเท็จอยู่หน้ากระจกเงาที่สะท้อนใบหน้าไม่รับแขกของเขาให้ตนเองได้มองแล้วถอนหายใจออกมา

                      แม้เขาจะอยู่ในชุดทักซิโด้สั่งตัดเย็บอย่างดีเพื่องานแต่งครั้งนี้ และการตักเตรียมสำหรับตัวเขานั้นมันเรียบร้อยพร้อมขึ้นพิธีเพียงอย่างเดียว นั้นไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้เลย เพราะหญิงสาวที่เขากำลังจะแต่งงานด้วย

       

                      เขาไม่ได้รักหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว..

       

                      และไม่เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้รัก เขาทั้งไม่อยากใช้ชีวิต ไม่อยากมีอนาคต ไม่อยากอะไรทั้งนั้นกับหญิงสาวคนนี้เลย แต่มันเหมือนผูกมัดตัวเขามา “ตั้งแต่เด็ก” ว่าเขาต้องแต่งงานกับหล่อนเพียงเพราะความสัมพันธ์อันดีงามไม่ว่าจะทางธุรกิจก็ดี ทางครอบครัวก็ดี .. และเพราะมันถูกกำหนดขึ้นจากคำขาดของคนในครอบครัวของเขาทั้ง 2 ที่ถืออภิสิทธิ์จองตัวพวกเขาให้เป็น “คู่หมั้นหมาย” กันมาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ จนตอนนี้พวกเขาเติบโตขึ้น ใกล้เคียงวัยผู้ใหญ่เต็มขั้น และถือเป็นฤกษ์ดีให้การจัดงานแต่งครั้งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น

       

                      นี่มันบ้าชัดๆเลย ! มันยิ่งกว่าละครหลังข่าวซะอีกนะ !

       

                      มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากยอมรับมันตั้งแต่ได้รู้ว่าตัวเองต้องแต่งงานกับใครไม่รู้ ที่ไม่รู้จักไม่พอ ดันไม่ได้รักไม่ได้คบหาดูใจกันมาด้วยอีก มันแย่..แย่ซะจนอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ แต่เหมือนทุกอย่างมันถูกผูกมัดด้วยหน้าที่อันใหญ่หลวงของเขาที่ต้องแบกรับมันมาตั้งแต่เด็กด้วยเช่นกัน

       

                      แกร๊ก.. แอ๊ด..         

       

                      “บอส แต่งตัวเสร็จรึยังครับ ?”ชายหนุ่มสูงวัยในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาหา “บอสของเขา” ผู้เป็นเจ้าบ่าวของงานนี่เพื่อดูความเรียบร้อยเนื่องด้วยพิธีที่ใกล้เริ่ม เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงถึงอะไรบางอย่างจึงได้เดินเข้ามา วางมือลงบนบ่าของ บอสหนุ่มผู้กำลังหมดสิ้นหนทางจะกระดิกตัวในพิธีที่ดี แต่เลวร้ายที่สุดในชีวิตสำหรับเขา

       

                      “คิดซะว่ามันเป็น หน้าที่ ก็แล้วกันครับ บอส..”

       

                      “ฉันก็คิดอยู่นี่ไง.. เฮ่อ”เขาถอนหายใจออกมาไม่รู้จะนับเป็นรอบที่ 100 ได้รึยังของวันนี้ ตั้งแต่ตื่นเริ่มวันมา เขายังไม่หยุดถอนหายใจได้เลยสักที นั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาแย่มากแค่ไหนกับการที่ต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่ได้รัก และถึงแม้ลูกน้องผู้เป็นมือขวาที่มีอายุมากโขกว่าเขา จะให้กำลังใจมาตลอดเพียงใด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้นอยู่ดี

       

                      ทำไมชีวิตของเขาต้องมาพบมาเจอมาแบกรับแต่อะไรก็ไม่รู้ที่ถาโถม เข้ามาใส่ด้วยนะ..

       

      ก็ได้แต่นึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเองที่คนอื่นเขาพากันอิจฉา แต่รู้มั้ยว่าเขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง

       

                      จากเด็กผู้ชายน่ารักตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นอย่างมีความสุขตามประสาเด็กกับคุณแม่ในทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสัน ใช้ชีวิตแสนสบายที่มีทุกอย่างดีพร้อมทั้งฐานะและความเป็นอยู่ จนกระทั่งวันที่แม่ของเขาเสียลง..

       

                      ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

       

                      ความเลวร้ายเริ่มคืบคลานเข้าหาเขามากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องขององค์กรมืดมนหลังการทำงานที่ดูใสสะอาดของพ่อเขาที่จริงมีความแปดเปื้อนมากมายเกินนับได้ซ่อนอยู่ และเมื่อเขาอายุได้ 12 ปี

       

                      ตำแหน่ง บอสคนใหม่ ได้ถูกหยิบยื่นให้เขาแทนที่คุณพ่อที่เสียไปทันที..

       

                      ทายาทคนเดียวของ บอสคาบัคโรเน่รุ่นที่ 9

       

                      “ดีโน่ คาบัคโรเน่”

       

                      บอสคาบัคโรเน่รุ่นที่ 10 ...

       

                      รวมไปถึง การแต่งงานครั้งนี้ ด้วยก็เช่นกัน เขาเพิ่งค้นพบว่าเขาต้องแต่งงานกับหญิงสาวที่เขาไม่รู้จักคนนี้เมื่อ ปีที่แล้ว และไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ เนื่องจากญาติผู้ใหญ่รวมไปถึงหญิงสาวคนนี้ได้ตักเตรียมทุกอย่างมาเพียบพร้อมรอเพียง งานแต่งที่ต้องจัดขึ้น อย่างเดียวเท่านั้น

       

                      ทุกอย่างมัน มัดมือชก ไปหมด.. มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับมันเท่านั้น

       

                      เพียงเพราะมันคือ โชคชะตา อย่างงั้นเหรอ ?

                     

                      “โธ่เว้ย ! ฉันกำลังจะบ้าแล้วนะ โรมาริโอ้

       

                      “ใจเย็นน่า บอส”ชายหนุ่มสูงวัยอันมีศักดิ์เป็นผู้ดูแลคนสนิทของ คาบัคโรเน่รุ่นที่ 10 ได้แต่ตบบ่า บอสหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาฟุบหน้าอยู่กับแขนตัวเองด้วยสภาพที่หมดอาลัยตายอยาก จนกระทั่งเขาเหลือบไปพบกับสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เขานึกอะไรออกเกี่ยวกับมัน

       

      “อ๋อ.. จริงสิ มีคนฝากมาให้แหนะ”โรมาริโอ้ หยิบยื่นการ์ดลายซากุระให้กับบอสของเขาที่ขยับตัวลุกขึ้นมารับการ์ดไปอย่างงุนงงถึงที่มาไปของมัน ก่อนจะเปิดการ์ดนั้นออกมาแล้วพบกับข้อความหนึ่ง

       

      Non dire sì, scappare ora

      Ci vediamo quando sei fuori

      Della chiesa dalla porta sul retro

       

      Dino

       

      นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่อ่านข้อความเหล่านี้จบ ข้อความเหล่านี้สื่อความของมันโดยรวมคือ การล่มงานแต่งนี้นั้นเอง แต่ก่อนที่เขาจะได้เงยหน้าขึ้นจากการ์ดนี้เพื่อถามถึงที่มาที่ไปของมันว่าใครเป็นคนส่งให้เขา

      โรมาริโอ้ก็ไม่อยู่ตรงนี้ซะแล้ว..

       

      เขานึกสงสัยกับการ์ดลายซากุระนี่มาก ถึงแม้ว่ามันจะพอบ่งบอกอะไรให้เขารู้ได้ว่ามันมีแนวโน้มว่าจะส่งมาจากคนฝั่งเอเชียที่มากับหญิงสาวคนนั้นก็เป็นได้ เพราะ ซากุระ ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่สื่อได้ถึง “คนญี่ปุ่น”

      แต่มันใครล่ะนั้นก็อีกเรื่อง ? มีคนจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมากลับหญิงสาวคนนั้นเมื่อปีที่แล้วและอยู่อาศัยร่วมชายคาเดียวกันในคฤหาสน์ของเขาจนวันเวลาล่วงเลยครบ 1 ปีกว่า ไม่ว่าจะคนใช้ส่วนตัวของเธอ ผู้ดูแล และ..

       

      เคียวยะ..

       

      “..............”

       

      จะเป็นไปได้มั้ยหากการ์ดที่เขากำลังถือมันอยู่นี่ ส่งมาจากเขาคนนั้น

       

      เด็กผู้ชายผมสีดำขลับที่มีดวงตาคมกริบและแววตาที่นิ่งเฉยให้กับทุกสรรพสิ่งที่มันน่าเบื่อสำหรับเขา เด็กหนุ่มผู้รักในการต่อสู้มากกว่าสิ่งอื่นใด ญาติห่างไกลของหญิงสาวคนนั้นที่ถูกส่งตัวมาพร้อมกับเธอเมื่อปีที่แล้ว

       

      หรืออีกนัยหนึ่งคือ..

       

      “คนที่เขารัก”

       

      .

       

      .

       

      .

       

      1 ปีที่แล้ว

       

      มือหนาขยับรัวแป้นพิมพ์ใส่ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณสำหรับนโยบายล่าสุดที่เขากำลังจะวางมาตรการให้กับเมืองนี้ นัยน์ตาสีคาเนเลี่ยนลอดผ่านเลนส์แว่น ขยับกวาดสายตาไปพร้อมกับตัวอักษรที่วิ่งขึ้นมาตามที่เขากดเพื่อเช็คข้อมูลว่ามันถูกต้องตามที่เขาต้องการหรือไม่

      หลังจากที่เพ่งและพิมพ์ข้อมูลจนเสร็จก็ไม่รอช้าที่จะหยิบเอกสารที่ถูกวางเอาไว้ข้างโน๊ตบุ๊คขึ้นมาดู ถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปว่ามีอะไรเหลืออีกบ้างที่เขาต้องสะส่างให้เสร็จภายในวันนี้ ก่อนจะวางมันลงแล้วเอนตัวเข้ากับเก้าอี้หนังตัวใหญ่ บิดตัวไล่ความเมื่อยล้าออกไปจนหมดสิ้น มือหนาขยับยกขึ้นบีบคลึงที่หลังคอของตนเอง

       

      งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย

       

      อ่า ก็ดีแล้วล่ะนะ..

       

      จะได้ พั-

       

      “บอสครับ !!!

       

      กร๊อบ !

       

      “โอ๊ย !!”เสียงร้องลั่นของบอสหนุ่มที่ดังขึ้นแข่งกับเสียงของกระดูกที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจนทำให้คอเขาหันอยู่ในทิศทางที่ผิดเพี้ยนเพราะความตกใจที่มีให้กับลูกน้องของเขาที่จู่ๆก็โผล่พรวดเข้ามาในเวลาที่ไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

       

      “บอส !! เป็นอะไรรึเปล่าครับ !!

       

      “ไม่เป็นไร..”

       

      “แน่ใจนะครับ !!

       

      “อื้ม มีอะไรก็.. รีบพูดมาเถอะ”ดีโน่จับคอที่เคล็ดตึงของตัวเองให้หันกลับในรูปแบบเดิมจนสำเร็จ [?] แล้วรอฟังรายงานจากลูกน้องของเขาที่ยังนิ่งอึ้งกับสภาพเขาเมื่อก่อนหน้านั้นอยู่

       

      “มีแขกมาครับ บอส..”

       

      “หืม ? ใครน่ะ ? วันนี้ถ้าจำไม่ผิด ฉันไม่มีนัดกับใครนี่”

       

      “ครับ บอสไม่มีนัดแล้วก็จริง แต่แขกของเราคนนี้..”

       

      “เขามาจาก ญี่ปุ่น ครับ”

       

      “ห๊า ? ญี่ปุ่นเนี่ยนะ ??!

       

      “ใช่ครับ บอส มากันหลายคนมากเลยนะครับ ! แล้วก็สาดภาษาญี่ปุ่นใส่พวกผมใหญ่เลย ! T_T

       

      “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”เมื่อเห็นท่าทางไม่สู้ดีของลูกน้องตัวเองดีโน่เริ่มหวั่นใจแล้วว่า แขกที่มาเยือนเขาครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ร่างสูงดันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังแล้วเดินตรงไปที่ประตูหมายจะเปิดมันออก แต่มันกลับถูกเปิดออกด้วยใครอีกคนจากอีกฝั่งของประตู แล้ว !

       

      CIAO ! TESORO !!หญิงสาวคนหนึ่งในสำเนียงประหลาดแต่ฟังได้ศัพท์ว่าภาษาบ้านเขาอย่างแน่นอนพุ่งกระโจนเข้ากอดเขาอย่างแนบแน่นราวกับเป็นคนรู้จักกัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลื่อนมือขึ้นจับเอาตัวหญิงสาวคนนี้ออกจากตนเอง หญิงสาวคนนั้นมองเขาด้วยสายตาวิ้งวับราวกับจะเจอของที่ถูกใจที่สุดในชีวิตก็เป็นได้

       

      “ขอโทษนะ คุณเป็นใครน่ะ ?”นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสพูด ภาษาญี่ปุ่น หลังจากที่เขาเอาแต่ร่ำเรียนมันมาจนพูดออกเขียนได้เป็นอย่างดี

       

      “เอ๋ ! คุณไม่รู้จักฉันเหรอ !? เป็นไปได้ไง ? ฉัน คู่หมั้น นายนะ”

       

      “........... คู่หมั้น !?”ดีโน่ถึงกับหน้าเหวอทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของสาวแปลกหน้าชาวญี่ปุ่นที่จู่ๆมาบอกกับเขาว่าเธอเป็น คู่หมั้น แถมยังมีการติติงถึงการไม่รู้จักเธออีกตั้งหาก

       

      นี่มัน.. เรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ย !

       

      และหญิงสาวก็ถูกดึงร่างออกห่างจากเขาทันที่โดยหญิงสาวอีกคนที่ดูมีอายุมากกว่า ก่อนจะโค้งให้แสดงถึงความเสียใจต่อการกระทำของเธอ

       

      “ต้องขอโทษแทนคุณหนูด้วยนะค่ะ ที่กระทำการแบบนั้นไป”

       

      “อืม ไม่เป็นไรหรอก แต่นี่ ช่วยอธิบายเรื่องทั้งเขาพูดว่าเป็น คู่หมั้น กับ ฉัน ที สรุปมันเป็นเรื่องจริงหรือล้อเล่นกันแน่ ?

       

      “เป็นไปได้ไงที่คุณไม่รู้เรื่องนี้ ? แย่จริง เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณกัน ?”และนี่ก็เป็นครั้งที่สองกับการถูกติติงเรื่องความไม่รู้ของเขา

       

      ฉันผิดสินะ............ ? =_=

       

      .

       

      หลังจากนั้นเขาได้ทำการพูดคุยกับแขกที่มาทั้ง 2 คนว่า เรื่องราวการหมั้นหมายระหว่างเขากับเธอเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีที่มาที่ไปยังไง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้รับรู้ถึงความจริงอันโหดร้ายอีกครั้งสำหรับเขา

       

      “ว่าพ่อของเขาได้ทำสัญญา หมั้นหมาย ไว้กับเพื่อนรักต่างดินแดนตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก”

       

      และทางบ้านของหญิงสาวได้เห็นว่าอายุอานามเป็นอันสมควรแก่การแต่งงานแล้ว จึงได้ให้เธอมาอยู่ร่วมกับเขาดูความเป็นไปและหาฤกษ์แต่งงานที่ดีเอาไว้ให้เสียก่อน

       

      ผู้ชายที่ชื่อ ดีโน่ คาบัคโรเน่ ในช่วงชีวิตนี้ยังจะมีอะไรที่รอเซอร์ไพส์อยู่อีกมั้ยครับ ?

       

      กรุณาถาโถมเข้ามาที่เดียวซะเดี๋ยวนี้เลยนะ !!!

       

      เมื่อพูดคุยกันเสร็จสรรพรับรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อย เขาก็ได้แต่จำนนกับความจริงอันแสนโหดร้าย เรียกลูกน้องให้จัดเตรียมห้องให้แขกผู้มาเยือนเหล่านี้ได้พักพิงอาศัยอยู่ชายคาเดียวกันในคฤหาสน์คาบัคโรเน่หลังนี้

       

      เพราะมันทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจาก จำยอม ให้กับ โชคชะตา ของเขาอีกครั้ง

       

      .

       

      ภายในทุ่งดอกไม้หลากหลายชนิดพันธุ์ที่หลังคฤหาสน์ใหญ่ ขายาวของร่างสูงเดินไปตามเส้นทางที่ถูกเคลียร์เอาไว้เพื่อเป็นทางเดินไปสู่สถานที่บางแห่ง

      สถานที่เดียวที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาในทุกวันนี้ได้

      ดีโน่ หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแท่นหินที่ถูกสลักข้อความและอักษรบางอย่างลงไป ก่อนจะวางดอกไม้ลงที่หน้าแท่นหินทั้ง 2 นั้น

      ใช่แล้ว..

       

      นี่คือ หลุมฝังศพของพ่อและแม่ ของเขานั้นเอง

       

      เขายืนนิ่งเงียบมองแท่นหินตรงหน้าที่สลักชื่อของผู้เป็นพ่อและแม่ของเขาเอาไว้ทั้งสองสลับไปมา ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วผ่อนมันออกมาด้วยความหนักอึ้งในจิตใจที่มี

       

      “แม่ครับ..”

       

      ผมกำลังจะแต่งงาน..

       

      “กับ ใครก็ไม่รู้.. ที่พ่อเลือกไว้ให้ผม”ร่างสูงคลียิ้มออกมา

       

      “เธอเป็นคนญี่ปุ่นครับ น่ารักและดูดีในแบบของเธอ แต่แย่หน่อย..”

       

      “ผมไม่รู้จักเธอ แต่เธอ กำลังเป็นคนที่ผมต้องแต่งงานด้วย เพราะเธอคนนั้นดันเป็น คู่หมั้น ของผม”เขาหุบยิ้มลงแล้วแลสายตามองไปที่แท่นหินที่สลักชื่อของพ่อเขาเอาไว้

       

      “ผมไม่โกรธพ่อนะ.. แต่ทำไมพ่อไม่คิดถึงผมบ้างล่ะครับ ? ทำแบบนี้มันแย่มากซะยิ่งกว่าให้ผมเป็น บอสมาเฟีย อีกนะ รู้มั้ย ?”มือหนาของเขาเลื่อนขึ้นมากุมขมับเอาไว้ด้วยความเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เขาต้องเจอมากมาย สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงเป็นแค่ วัยรุ่น อายุ 22 ปีเท่านั้น ผู้คนที่วัยเดียวกันกับเขา ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแบบคนธรรมดาทั่วไป สามารถเลือกเส้นทางชีวิตและอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไร ในช่วงอายุนี้เพิ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนอันสำคัญเท่านั้น

      แต่ ทำไมชีวิตของเขามันเหมือนกับมีอะไรกำหนดเส้นทางเอาไว้ให้อยู่แล้ว เพียงแค่เลือกเดินไปเพียงอย่างเดียว ไม่เคยมีอิสระมากพอในการเลือกกำหนดในสิ่งที่ใช่ และสิ่งที่ต้องการ

       

      ขนาด “คู่ชีวิต” เขาก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกเลยงั้นเหรอ ?

       

      ถึงภายในใจจะนึกน้อยใจพ่อของตัวเองมากเพียงใด แต่เขาก็เข้าใจอยู่เสมอว่า สิ่งที่พ่อหยิบยื่นให้มันมีแต่สิ่งที่ดีและเพียบพร้อมพอที่จะให้แก่ลูกชายคนเดียวคนนี้ที่เขามี

       

      แต่มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ..

       

      “นี่”

       

      “...?!”เสียงเรียกที่ทำเอาร่างสูงสลัดความคิดทุกสิ่งอย่างออกไปจากหัวซะเดี๋ยวนั้น แล้วหันไปมองต้นเสียงนั่นทันที นัยน์ตาสีคาเนเลี่ยนของเขาสบกับนัยน์ตาสีนิลของร่างเล็กตรงหน้า เด็กผู้ชายผมสีดำสนิท และรูปหน้าที่บ่งบอกเป็นอย่างดีว่านี่คือ คนเอเชีย ถ้าให้เขาเดานี่คงเป็นหนึ่งในผู้ที่มาด้วยกับหญิงสาวคนนั้นแล้วเขายังไม่ได้เจอสินะ

       

      “คุณคือ คู่หมั้นอะไรนั้นของ ผู้หญิง คนนั้นใช่มั้ย ?

       

      สุดท้ายแล้วคนที่มากับ เธอคนนี้ ก็คงมีเพียงเรื่องนี้ที่ติดค้างอยู่ในใจอย่างเดียวสินะ..

       

      “อื้ม.. คงงั้น”ดีโน่ระบายยิ้มให้เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ยกหยิบท่อนเหล็กบางอย่างขึ้นมาให้ประจักษ์แก่สายตาของอีกคน ร่างสูงรับรู้ได้เลยว่านั่นเป็น อาวุธ อย่างแน่นอน ในจังหวะที่ไม่ทันจะปริปากพูดถึง อาวุธ นั้นเขาก็ถูกเด็กชายคนนั้นพูดตัดหน้าทันที

       

      “มาสู้กันหน่อยสิ ? ได้ข่าวมาว่า คุณเก่ง ใช่มั้ย ?

       

      เสร็จสิ้นคำเชิญชวนให้ปะมือเขาก็ตอบตกลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร ถึงแม้ว่าเขากับเด็กคนนี้จะไม่รู้จักกัน แต่ถ้าให้สู้กันไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะการต่อสู้มีเพียงเรื่องเดียวที่ให้คิดเท่านั้น

       

      ถ้าไม่ชนะก็แพ้..

       

      เสียงฟาดฟันของแส้และทอนฟาสีเงินดังระงัมไปด้วยบริเวณนั้น โรมาริโอ้ที่เดินมาสำรวจที่หลังคฤหาสน์ได้หยุดลงมองไปที่การต่อสู้ของผู้เป็นบอส เขาสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างระหว่างการต่อสู้นั้น และนั่นทำให้ชายสูงอายุคลียิ้มออกมาอย่างสบายใจ

       

      .

       

      การต่อสู้ยังคงดำเนินมาอย่างเนินนานไม่มีทีท่าว่าจะจบเลยสักที ร่างกายของทั้ง 2 คนเต็มไปด้วยคราบคาวเลือดและรอยแผลช้ำแดงไปทั่วจากแรงปะทะของกันและกัน ยิ่งนานร่างกายก็ยิ่งอ่อนล้าลงตามสภาพ ทั้งคู่หอบหนักเพื่อคลายความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งความเร็วในการปะทะ และไม่นานนักพวกเขาก็พุ่งกระโจนเข้าโจมตีกันอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ว่าความเมื่อยล้าทางกายและความเหน็ดเหนื่อยจะเพิ่มมากขึ้นขนาดไหนแต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่อยากหยุดมือไปจากกัน สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันในตอนนี้นั่นก็คือ

       

      รอยยิ้ม

       

      ความสุขที่ก่อตัวขึ้นในที่ว่างของจิตใจเหมือนดั่งความปรารถนาที่สมดังหวัง เด็กหนุ่มคงมีความสุขที่ได้ปะมือกับคู่ต่อสู้ที่ในตอนแรกเหมือนจะอ่อนแอไร้ซึ่งพลังแต่ตอนนี้กับทำให้ไม่ผิดหวังอย่างที่ต้องการ ความกระหายในการต่อสู้ของเขามันยิ่งพุ่งสูงขึ้นทุกครั้งที่ได้ฟาดฟันใส่ร่างสูงที่มีพร้อมด้วยเทคนิคและการหลบหลีกหลายชั้นเชิง

       

                      ในจังหวะสุดท้ายที่ร่างเล็กพุ่งตัวเข้าหาหมายจะปิดฉากการต่อสู้ให้จบลงด้วยพละกำลังสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือแต่ก็พลาดให้กับแส้ที่ตวัดควงมัดจับข้อมือของเขาเอาไว้แน่นจนถูกกระชากเข้าหาอีกคน และจบลงด้วยลูกถีบที่อัดเข้าไปเต็มช่องท้องเล็ก รุนแรงจนเด็กชายกระเด็นไปหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่

       

                      “อึ่ก..!”ความจุกเสียดเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้แม้แต่จะพยุงตัวขึ้นยังไม่ไหว ถึงเรี่ยวแรงกายจะหมดไป แต่แรงใจไม่เคยหมด เด็กหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ซ้ำร้ายที่ร่างกายไม่เป็นอย่างใจเขาอีกต่อไป

       

                      “นายแพ้ฉันแล้วล่ะ การต่อสู้ครั้งนี้ฉันเป็นฝ่ายชนะ”ดีโน่คลียิ้มออกมอง ก่อนเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วแน่นมองอีกคนไม่วางตาด้วยความไม่สบอารมณ์แต่สุดท้ายก็ยอมยิ้มออกมา เพราะยอมรับว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันสนุกสนานมากขนาดไหน

       

                      “สู้กับผมครั้งหน้า คุณไม่ได้มีเวลาหายใจแน่”

       

                      “ครับๆ แค่นี้ก็จะหายใจไม่ทันอยู่แล้ว ..”ดีโน่เดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มแล้วเริ่มเก็บแส้เอาไว้ดังเดิม พลางมองไปที่ร่างกายของอีกคนที่เต็มด้วยรอยซ้ำแดงที่มากมายกว่าต้นเอง และแผลที่เป็นรอยขีดข่วนจนเสื้อผ้าเละเทะกันไปหมดทั้งคู่

       

                      เด็กนี่ฝีมือไม่ธรรมดาเลยแฮะ น่ากลัว เป็นบ้าเลย..

       

                      “นี่ นายชื่ออะไรน่ะ ?”เมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเขากับเด็กคนนั้นเริ่มถูกกลบด้วยความเงียบ เขาจึงคิดออกถึงประเด็นเรื่องชื่อที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้จักกันขึ้น

       

                      “ก่อนจะถามชื่อใคร คุณควรจะบอกชื่อตัวเองมาก่อนสิ”เด็กหนุ่มหันมองหน้าอีกคนด้วยแววตาราบเรียบเชิงติติง

       

                      “เอ่อ.. งั้นเหรอ ; ฉันชื่อ ดีโน่ ..ดีโน่ คาบัคโรเน่ เป็นบอสรุ่นที่ 10 ของที่นี่น่ะ”

       

                      “หืม ..มิน่าล่ะ คุณถึงได้เก่ง”

       

                      “ก็ไม่เก่งขนาดนั้นหรอก ฮ่ะๆ”

       

                      “ใช่ ก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยตั้งหาก -   -“

       

                      “อ้าว =_= ……..”เหมือนกับโดนลูบหลังแล้วตบหัวจนหน้าทิ่มดิน [?] ไม่น่าไปหวังอะไรกับเด็กคนนี้เรื่องคำพูดคำจาเลยจริงๆนะ ..

       

                      “ฮิบาริ เคียวยะ”

       

                      “เอ๋ ?

       

                      “นั้นคือ ชื่อของผม”เด็กหนุ่มหันมองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองเขาอยู่พอดิบพอดี และนั้น.. เป็นช่วงเวลาแรกที่ดีโน่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ครั้งแรกที่รู้สึกได้ถึง

       

                      เสียงหัวใจที่ดังระงัมของตัวเองเป็นครั้งแรก

       

      .

       

      มันเป็นดั่ง รักแรกพบ สำหรับเขารึเปล่านั้น มันยังไม่สามารถอธิบายออกมาได้

      ช่วงเวลาสั้นๆเพียง 1 ปีกว่าที่เขาได้อยู่ร่วมคาชายเดียวกันกับ หญิงสาว ผู้เป็นคู่หมั้นของเขา และ เด็กหนุ่มที่เขาตกหลุมรักทันทีที่พบกัน

      วันเวลาที่ยิ่งล่วงเลยผ่านไปนั้นมันทำให้เขาแน่ใจเลยว่า เขาไม่สามารถรักหญิงสาวคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ใช้ชีวิตร่วมกันขนาดไหน ถึงเธอจะน่ารัก น่าเอ็นดู เหมือนกับผู้หญิงที่อบอุ่นคนหนึ่งมากเพียงใด ดีโน่ก็ไม่เคยแม้แต่ชอบและอยากผูกสัมพันธ์กับเธอเลย

      แต่..

      กับ เคียวยะ คงไม่ใช่..

      ในทุกๆวันเขากับ เคียวยะ ฝึกซ้อมและต่อสู้ร่วมกันอย่างไม่ผ่อนผัน ความสนิทสนมเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้ง 2 ที่ถึงมันไม่ได้แสดงออกจากพวกเขามาก แต่เหมือนกับมันอยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจของคนทั้งคู่

      ยามที่เขาไปอยู่กับ เคียวยะ เขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน

      ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งพูดคุยได้มากแค่ไหนยิ่งรู้สึก

      ว่าเขา รัก..

      รักเคียวยะ

       

      .

       

      แต่ก็ไม่เคยได้พูดออกไป

       

      มันคงเป็นเรื่องที่แม้แต่ พระเจ้า คงยอมรับได้ยาก เพราะความรักที่เกิดขึ้นระหว่าง ผู้ชาย 2 คน ที่ไม่ใช่ความรักที่มาจาก มิตรภาพ และ ครอบครัว แต่เป็นความรักที่มาจากหัวใจ ความรักระหว่าง 2 คน ที่อยากอยู่เคียงข้างกัน รักในแบบที่ไม่ว่าใครก็มาทดแทนที่กันไม่ได้

      แต่ พระเจ้า ..ก็สอนให้พวกเรา

      “เชื่อใน ความรัก นั่นอยู่เสมอ”

      “และควรซื่อสัตย์กับ ความรัก นั่นให้มากที่สุด”

       

      .

       

      .

       

      “บอสครับ ได้เวลาแล้วนะ”เสียงเรียกของโรมาริโอ้ทำให้เรื่องราวในอดีตถูกกระชากออกไปจากความคิดของเขา ดีโน่ก้มมองลงที่การ์ดลายซากุระที่เขียนข้อความนั้นเอาไว้

      ล่มงานแต่งด้วยตัวเอง..

      แต่ผู้คนในงานนี้จะคิดยังไง ?

      รวมถึง ผู้หญิง คนนั้นด้วย..

      ถ้าต้อง เสี่ยง ล่มงานใหญ่ขนาดนี้..

      ฉันจะทำได้จริงๆน่ะเหรอ ??

      “บอสครับ เป็นอะไรรึเปล่า ?”ดีโน่เงยหน้ามองตอบชายสูงวัยแล้วส่ายหน้าให้พลางดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาออกไปจากห้องเล็กนั้น ร่างสูงเดินไปตามเส้นทางที่จะนำไปสู่ห้องโถงหลักที่ใช้ทำพิธีการสำคัญ นัยน์ตาของเหลือบไปเห็นผู้คนที่เริ่มหลั่งไหลกันเข้ามานั่งภายในโบสถ์จนครบที่

      คนเยอะมาก..

      มีทั้งคนในเมือง แขกที่ถูกเชิญมา ร่วมไปถึง แขกของฝ่ายหญิงที่บินมาจากญี่ปุ่น

      จะให้ฉันล่มงานแต่งนี่จริงๆเหรอ.........

                  ถ้าทำไปอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันทีหลังบ้างเล่า..

                 

                     

      I am not the kind of girl

      Who should be rudely barging in

      On a white veil occasion

      But you are not the kind of boy

      Who should be marrying the wrong girl

      ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น

      แบบที่จะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา

      ในงานแต่งงาน

      แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้ชายแบบที่

      จะมาแต่งงานกับผู้หญิงผิดคนแบบนี้

                     

                      ทันทีที่ดีโน่ก้าวขาเข้ามาในห้องโถง สายตาของทุกคนในโบสถ์นี้ถูกจับจ้องไปที่เขาผู้เป็นเจ้าบ่าวของงานแต่เพียงผู้เดียว นั้นยิ่งทำให้เขาลำบากใจกับแผนการที่เขากำลังลังเลว่าจะทำดีหรือไม่อยู่ในหัวมากขึ้น เพราะจำนวนคนที่อยู่ภายในโบสถ์นี้.. ไม่ใช่น้อยๆเลย เขาเดินตรงไปยืนที่แท่นพิธี พร้อมทั้งลูกน้องคนสนิททั้ง 3 คนในชุดสูทสีดำ

                      พิธีการในโบสถ์เริ่มขึ้นทันที พิธีกรในงานแต่งกล่าวเชื้อเชิญบาทหลวงจน ท่านออกมาพร้อมที่แท่นพิธี จากนั้นไม่นานขบวนเจ้าสาว

                      ก็ได้เคลื่อนตัวเข้ามา...

                      อึก..

                      ดีโน่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความคับขืนฝืนใจ พิธีสำคัญในการกล่าวคำมั่นสัญญาระหว่างกันเริ่มเข้าใกล้เขาขึ้นทุกที

       

                      I sneak in and see your friends

      And her snotty little family

      All dressed in pastel

      And she is yelling at a bridesmaid

      Somewhere back inside a room

      Wearing a gown shaped like a pastry

      ฉันแอบย่องไปซุ่มดูเพื่อนของเธอ

      และครอบครัวอันแสนหยาบคายของเธอ

      ทุกๆคนแต่งตัวในชุดสีขาว

      และเธอก็ตะโกนด่าเพื่อนเจ้าสาว

      ในห้องนั้น

      เธอสวมชุดที่ทำเหมือนขนมอบเลย

       

                      หญิงสาวในชุดแต่งงานสีขาวอันบริสุทธิ์ควงแขนมากับพ่อของเธอที่ยิ้มจนแก้มปริ พวกเขาช่างดูมีความสุขแตกต่างกับร่างสูงที่ยืนเหงื่อตกและยังคงคิดถึงการล่มงานแต่งยักษ์ใหญ่ที่ถ้ามันพังลง ความเชื่อมั่นของคนทั้งงานที่เป็นทั้งญาติสนิทมิตรสหาย ชาวเมือง ของเขาจะลดหวบลงอย่างทันที

                     

                      จะเอายังไงดี.. ล่ม หรือ อยู่.........

       

                      This is surely not what you thought it would be

      I lose myself in a daydream where I stand and say

      นี่คงไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดเอาไว้

      ฉันฝันกลางวันไป และฉันก็พูดว่า

       

                      “ใครเป็นผู้มอบเจ้าสาว ซาโอริ ให้กับเจ้าบ่าว ดีโน่ ในวันนี้”สิ้นเสียงของบาทหลวงที่ดังก้อง พ่อของหญิงสาวได้พูดถึงตอบ

                      “ข้าพเจ้านาย ชินทาโร่ บิดาของ ซาโอริ เป็นผู้มอบ”มือของผู้เป็นพ่อของหญิงสาวยื่นไปจับประสานกับดีโน่ ซึ่งร่างสูงก็ได้แต่ยิ้มรับกลับไป “ฝากดูแลลูกสาวของฉันด้วยนะ”

       

                      .

       

                      เป็นคำพูดที่ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย........................

       

                      Don't say yes, run away now

      I'll meet you when you're out

      Of the church at the back door

      อย่าพูดว่า "ใช่ครับ" เลยนะ วิ่งหนีไปเถอะ

      ฉันจะรอพบกับเธอตอนเธอหนีออกมาแล้ว

      ที่ประตูหลังของโบสถ์นี้

       

      “ซาโอริ กับ ดีโน่ ท่านทั้งสองมาที่นี่โดยไม่ถูกบังคับ แต่มาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริง เพื่อเข้าพิธีสมรส ใช่หรือไม่ ?

       

      ตอบว่า ไม่ ได้มั้ยครับ คุณพ่อ....

       

      “ค่ะ !”หญิงสาวตอบทันทีแต่ดีโน่ยังคงดูชะล้าใจ หญิงสาวมองสบตากับร่างสูงแล้วกระพริบตาปริบๆใส่ [?] ก่อนจะขยับปากพูดแบบไม่ออกเสียงว่า ดีโน่ค่ะ พูดสิ

       

      “ครับ”เขาตอบไปด้วยท่าทีที่หนักใจอย่างเห็นได้ชัด โรมาริโอ้มองบอสของเขาอย่าไม่วางตา สถานการณ์เหล่านี้เริ่มทำให้แขกที่มาในงาน เริ่มเอะใจถึงท่าที่แปลกประหลาดของเจ้าบ่าวอย่างเขาขึ้น

       

      Don't wait or say a single vow

      You need to hear me out

      And they said "speak now"

      อย่ารอหรืออย่าแม้แต่จะพูดคำสาบาญใดๆ

      เธอต้องฟังฉันให้ดีนะ

      และพวกเขาก็พูดว่า "พูดเลยๆๆ"

       

      “ท่านทั้งสอง มีเจตจำนง ที่จะสมรสกัน ขอให้ท่านจับมือขวาของกันและกัน และแสดงความสมัครใจ ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า และพระศาสนจักรของพระองค์”บาทหลวงยังคงร่ายทำพิธีการไปด้วยความราบรื่น แต่หารู้มั้ยว่าเจ้าบ่าวกำลังจะสติแตก .. แต่ก็ยังคงทำตามพิธีการต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะยังคงมีห้วงความคิดที่ตีกันไปมาจนแทบบ้าให้ได้ซะตรงนั้นก็ตาม

      ซาโอริ จับมือขวาของ ดีโน่ เอาไว้ หญิงสาวผู้มีความปรารถนาจะแต่งงานนี่มันช่างแลดูมุ่งมั่นในการทำพิธีกรรม..

      แต่..

      ช่วยสนใจ เจ้าบ่าว นิดนึงเถอะ..

       

      “ข้าพเจ้า ซาโอริ ขอรับคุณ ดีโน่ เป็นสามี และขอสัญญาว่าจะซื่อสัตยต่อคุณในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

       

      โอ้ พระเจ้า.. หล่อนชิงกล่าวคำสาบานก่อนหน้าผมไปแล้ว.....!!?

       

      สิ้นเสียงใสของหญิงสาวผู้มีนามว่า ซาโอริ ได้กล่าวคำสาบาต่อหน้าบาทหลวงและแขกทั้งหลายให้ได้ประจักษ์ จนถึงคราวที่ชายหนุ่ม ผู้เป็นทายาทของตระกูลใหญ่ของเมืองนี้เป็นคนกล่าวบ้าง

      สายตานับไม่ถ้วนจดจ้องมาที่เขาจนทำให้ ดีโน่ รู้สึกได้ถึงความกดดันคูณล้าน .. จะบอกว่าการแต่งงานเพื่อหน้าที่แต่การกล่าวคำสาบานแบบนี้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยากรักและดูแลผู้หญิงคนนี้จริงๆ พระเจ้าจะให้อภัยแก่ความไม่ซื่อสัตย์ของเขามั้ย ? และการจะล่มงานแต่งลงไป มันจะเป็นผลดีกับเขารึเปล่า

       

      “ดีโน่ ท่านจะกล่าวคำสาบาน หรือ จะเงียบต่อไปแบบนี้ ?”บาทหลวงพูดทักท้วงใส่ร่างสูงที่ยังคงเงียบ และผู้คนในงานเริ่มสงสัยความเป็นไปของงานแต่งนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เขากำลังจะทำให้งานแต่งล่มอยู่ใช่มั้ย ? แต่อีกนัยเขาก็ไม่ได้ต้องการล่มมัน ความคิดของเขาตอนนี้ไม่สามารถตีความอะไรได้อีก เขาสับสนไปหมด..

       

      “พูดเลยสิ ดีโน่”

       

      “มัวเขินอะไรอีกเล่า คุณเจ้าบ่าว !

       

      “พูดเลย พูดเลย !!”เสียงเชียร์ของคนทั้งโบสถ์พูด เพราะคิดว่าเจ้าบ่าวของงานคงแค่กำลังประหม่าอย่างสุดขีด แต่ที่ไหนได้มันไม่ใช่เลยตั้งหาก

       

      ทำไมถึงไม่มีทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาเลย !’

       

      I hear the preacher say

      "Speak now or forever hold your peace"

      There's the silence, there's my last chance

      I stand up with shaking hands

      All eyes on me

      ฉันได้ยินบาทหลวงคนนั้นพูดว่า

      "จะพูดเลย หรือเงียบอย่างนี้ตลอดไป?"

      มันกลายเป็นความเงียบงัน นี่แหละ โอกาสสุดท้ายของฉันแล้ว

      ฉันยืนขึ้นมา แล้วโบกมือให้เขา

      ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉัน

       

      พรึ่บ !

       

      ทุกเสียงเชียร์เงียบลงทันทีและจับจ้องไปที่บุคคลที่ยืนขึ้นในระหว่างพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นตาเดียว

      ดีโน่หันไปมองตามเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นจากกลางห้องโถงใหญ่ นั่นเป็นเสียงเดียวที่ทำให้เบิกตากว้างมองไปที่จุดๆนั้นเพียงจุดเดียว นัยน์ตาสีคาเนเลี่ยนของเขาจดจ้องอยู่ที่ เด็กชายคนนั้น เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น ..

       

      เด็กหนุ่มคนเดียวที่ยืนขึ้นระหว่างพิธีกล่าวคำสาบาน...

       

                      เคียวยะ.. !’

       

      Horrified looks from everyone in the room

      But I'm only looking at you.

      สายตาอันน่ากลัวจากทุกๆคนในห้อง

      แต่ฉันมองแค่เธอคนเดียว

       

      ร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่ยืนมองชายหนุ่มผมสีทองสว่างที่ยืนจับมือคู่กันกับหญิงสาวที่เขาก็รู้ดีว่าหมอนั้นไม่ได้รักเธอ.. และบางทีการที่เขาส่งการ์ดนั้นไปให้ อาจจะกำลังให้หมอนั้นฟุ้งซ่านอยู่ระหว่างการดำเนินงานแต่งต่อไป หรือ ล่มมันทิ้งโดยไม่แยแส

       

      ซึ่งคนอย่าง ดีโน่ คาบัคโรเน่ ผู้ใจดี ห่วงใยคนอื่นคนนี้ ทำไม่ได้ อย่างแน่นอน

       

      “คุณมันก็แค่สัตว์กินพืชจริงๆสินะ ม้าพยศดีโน่” ฮิบาริลุกเดินออกไปจากโบสถ์ทันทีโดยไม่สนใจเสียงฮึมฮัมของแขกที่มีต่อเขา หญิงสาวมองเด็กหนุ่มด้วยความตกใจก่อนจะจับมือของร่างสูงเอาไว้แน่น

       

      คุณมันก็แค่สัตว์กินพืช..

       

      สัตว์กินพืช..

       

      สัตว์กินพืช

       

      I am not the kind of girl

      Who should be rudely barging in

      On a white veil occasion

      But you are not the kind of boy

      Who should be marrying the wrong girl!

      ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น

      แบบที่ควรจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา

      ในงานแต่งงาน

      แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้ชายแบบที่

      จะมาแต่งงานกับผู้หญิงผิดคนแบบนี้

       

      “ซาโอริ ขอโทษนะ แต่ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้จริงๆ” ดีโน่ตัดสินใจจับมือของหญิงสาวออกทันทีหลังพูดจบ แล้ววิ่งลงจากแท่นพิธีตรงไปที่ประตูทางออกของโบสถ์

       

                      So don't say yes, run away now

      I'll meet you when you're out

      Of the church at the back door

      อย่าพูดว่า "ใช่ครับ" เลยนะ วิ่งหนีไปเถอะ

      ฉันจะรอพบกับเธอตอนเธอหนีออกมาแล้ว

      ที่ประตูหลังของโบสถ์นี้

       

      Don't wait or say a single vow

      You need to hear me out

      And they said "speak now"

      อย่ารอหรืออย่าแม้แต่จะพูดคำสาบาญใดๆ

      เธอต้องฟังฉันให้ดีนะ

      และพวกเขาก็พูดว่า "พูดเลยๆๆ"

       

      ร่างสูงที่วิ่งหอบออกมานอกโบสถ์สายตาของเขาเหลือบไปพบกับ รถสีแดงแสบที่เป็นรถคู่ใจของเขา เฟอร์รารี่ 458 อิตาเลีย ที่มีร่างเล็กในชุดสูทสีดำควงกุญแจมันเล่นอยู่อย่างสบายอารมณ์ จนเขารับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองอยู่ จึงได้มองตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

       

      สุดท้ายแล้ว..ผู้ชายที่ชื่อ ดีโน่ คาบัคโรเน่ ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง..

       

      “รอนานแล้วนะ ไปจากที่นี่สักทีเถอะ ผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”ไม่มีคำพูดไหนที่ทำให้เขายิ้มและหัวเราะไปพร้อมกันทั้งทียังเหนื่อยอยู่ได้มากขนาดนี้

       

      “ฮ่ะๆ ...ฮ่า.. ให้ตายสิ นายนี่มันเบื่อง่ายจริงๆนะ เคียวยะ”ดีโน่เดินเข้าไปหาเจ้าของดวงตาสีนิลสวยที่มองเขาไม่วางตา ก่อนจะโยนกุญแจรถให้

       

      “ดีโน่ !!! ดีโน่ค่ะ !!!”เสียงหวีดร้องของเจ้าสาวที่กำลังหอบชุดแต่งงานของตัวเองวิ่งตามเขามา และนั้นทำให้ดีโน่ลืมนึกไปว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาพูดคุยเล่นแล้ว

       

      มันต้องหนีแล้วตั้งหาก

       

      ร่างสูงรีบกดรีโมตให้ประตูปลดล็อคและเคียวยะของเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเช่นกันที่เข้ามาในรถซะก่อนที่เขาจะออกปากสั่ง ดีโน่สตาร์ทเฟอร์รารี่คู่ใจของเขาและเร่งเครื่องเพื่อวอร์มให้มันพร้อมกับการซิ่งครั้งนี้

       

      มีเคียวยะนั่งอยู่ด้วย รับรองได้เลยว่านักแข่งรถยังอาย....

       

      เอี๊ยดดดด !! บรืนนน !!

       

      “ดีโน่ค่าาาาาาาา !!!!!!!!!!!!!!”เสียงกรีดร้องของหญิงสาวในชุดสีขาวฟูฟ่องดังกังวานแข่งกับเสียงเครื่องยนต์วีแปดของเฟอร์รารี่ที่ขับออกไปแล้ว หยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มดวงหน้าสดสวยของเธอ

       

      หญิงสาวทรุดตัวลงและได้แต่มองข้างหลังของรถสีแดงที่ขับไกลออกไป..

       

      ผู้คนที่ร่วมอยู่ในงานต่างออกมาออกันที่หน้าโบสถ์มองการจากไปของ เจ้าบ่าว ด้วยความงุนงง พร้อมกับ

       

      เจ้าสาวคนสวยที่ถูกทิ้งกลางงานแต่ง

       

      And you say

      Let's run away now

      I'll meet you when I'm out of my tux at the back door

      และเธอก็บอกว่า

      "เราวิ่งหนีกันเถอะ

      เดี๋ยวเราเจอกันตอนที่ผมถอดทักซิโด้ออกไปแล้วที่ประตูหลังโบสถ์นะ"

       

      Baby, I didn't say my vows

      So glad you were around when they said

      Speak Now

      "ที่รัก ผมไม่ได้พูดคำสาบาญไป

      ดีใจจังเลยที่คุณอยู่ตรงนี้ ตอนที่พวกเขาบอกว่า

      พูดเลยๆๆๆ"

       

      .

       

      .

       

      บรืน..

       

      เฟอร์รารี่คันสวยแล่นมาจอดลงที่เนินเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ดีโน่เปิดประตูออกมาพร้อมด้วยเด็กหนุ่มที่เขาหลบหนีมาด้วยกัน ระหว่างทางก่อนจะมาถึงที่นี่พวกเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยนอกจากซิ่งหนีกันมาอย่างเดียว [?] และร่างสูงก็ยังคงอยู่ในชุดทักซิโด้ดังเดิม ไม่ได้มีเวลาแม้แต่จะถอดมันเลยสักนิด

       

      “คุณควรถอดมันได้แล้ว”

       

      “อื้ม.. นั้นสินะ”ดีโน่ค่อยๆปลดชุดของเขาออกจนเหลือเพียงแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงเท่านั้น ร่างเล็กที่มองตามก็ถอดเสื้อสูทของต้นเองออกด้วยเช่นกันแล้วพวกเขาก็วางพวกมันลงที่กระโปรงหน้ารถเฟอร์รารี่

       

                      และแล้ว..

       

                      ความเงียบก็เข้าปกคลุมพวกเขาอีกครั้ง

       

                  ทั้งคู่นั่งลงที่กำแพงอิฐต่ำ มันถูกก่อเอาไว้เป็นระนาบกั้นไม่ให้ใครตกเขาไปเท่านั้น จากตรงนี้ของเนินเขา พวกเขาสามารถเห็นเมืองนี้ทั้งเมืองได้จากมุมมองตรงที่พวกเขากำลังนั่งอยู่

       

                      “ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีสถานที่แบบนี้ด้วย”

       

                      และนี่ก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เวลาพวกเขาเงียบ เคียวยะ จะเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมาก่อนทุกที

       

                      อ่า.. รู้สึกว่าตัวเองนี่มัน ห่วย ชะมัด...

       

                  “งั้นเหรอ.. ที่นี่น่ะเป็นทางเดินที่เงียบสงบที่สุดในคาบัคโรเน่แล้วน่ะนะ หลายครั้งแล้วที่ฉันกะจะชวนนายมา แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที”ร่างสูงขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้กับอีกคนมากขึ้น ฮิบาริชายตามองการกระทำของอีกฝ่ายแล้วถือจังหวะพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

       

                      “ม้าพยศ ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นคุณก็ไม่ได้รักเธอตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงยอมเข้าพิธีด้วย ?

       

                      “เอ๋..”

       

                      “ถึงผมจะเข้าใจคุณในเรื่องหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ในทางกลับกันผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างคาดหวังคำตอบที่จะได้รับ ดีโน่ชำเลืองมองอีกฝ่ายสักพักก่อนหันกลับมาถอนหายใจเบาๆ

       

                      “เอาตามตรงแล้วฉันสับสนมาตลอดก่อนจะมาถึงวันนี้อีกนะ เคียวยะ”

       

                      “ทุกอย่างที่ฉันทำลงไปล้วนอยู่ในสายตาของคนอื่น ทุกคนต่างคาดหวังในตัวฉันมากมาย ไม่ว่าฉันจะเลือกทางไหน มันก็ยากทั้งนั้นสำหรับฉัน”

       

                      “และงานแต่งในครั้งนี้จริงๆแล้วมันก็มีผลในเชิงธุระกิจของที่นี่เป็นอย่างมาก และการแต่งงานไม่ได้ให้ประโยชน์เพียงแค่นั้น”

       

                      พลั่ก !

       

                      “โอ๊ย !!”ทอนฟาสีเงินกระแทกเข้าไปที่ข้างแก้มของอีกคนจนขึ้นรอยช้ำได้โดยง่ายเพราะแรงฟาดครั้งเดียวของร่างเล็กในครั้งนี้มันรุนแรงมากตามอารมณ์ของเขา

       

                      “งี่เง่า”ใบหน้าของฮิบาริเริ่มแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาอย่างเด่นชัด คิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่น นั้นมันชัดเจนซะยิ่งกว่าอะไร จนทำให้ร่างสูงงุงงงกับคำพูดของตัวเองที่พูดออกไปว่ามีอะไรผิดเพี้ยนทำให้เด็กคนนี้ไม่พอใจ

       

                      !?

       

                      “การที่คุณทุ่มเททุกอย่างให้กับคนพวกนั้นที่คาดหวังในตัวคุณได้มันก็ดีอยู่ แต่ทำไมคุณถึงได้หลับหูหลับตามองเห็นแต่พวกเขาอย่างเดียว ..

       

                      “เคียวยะ..”

       

                      “ตัวเองน่ะ เคยมองเห็นบ้างมั้ย ม้าโง่”

       

                      “..............”ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของ บอสผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้ ใช่.. มันทำให้เขาจุกจนไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาแย้งกลับได้เลย

       

                      ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำอะไรมากมายให้กับ พรรคพวก พันธมิตร ชาวเมือง มิตรสหายต่างดินแดน ด้วยความเป็นคนใจกว้างและยอมช่วยเหลือทุกปัญหา ในหัวมีเพียงสิ่งเดียวที่เขายึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอดคือ

                      ปกป้องทุกคน

                      เขาทั้งรักและอยากจะทำให้ทุกคนมีความสุข ถึงแม้ว่าต้องยอมเสี่ยงด้วยชีวิตของตัวเอง เพื่อรักษาคนพวกนั้นเอาไว้เขาก็ยอมให้ได้ และเพราะแบบนั้นจึงทำให้เขาได้รับ รอยสักม้าพยศ ที่อยู่คู่กับผู้เป็นบอสทุกคนของคาบัคโรเน่ทุกรุ่นทุกสมัย ความเป็นผู้นำเหนือผู้ใดและจิตใจอันแน่วแน่คือสิ่งสำคัญของคนเป็นบอสทุกคน

       

                      แน่นอน..

       

                  เขาในตอนนี้มีพลังมากพอเพื่อปกป้องทุกคนที่เขารักและห่วงใย

       

                  แต่ทำไม.. เขาถึงไม่ใช้มัน

       

                  เพื่อดูแลตัวเองบ้าง

       

                      “สนใจแต่คนอื่นไม่เคยสนใจตัวเองบ้าง จะคิดจะทำอะไรเพื่อตัวเองก็ทำไม่ได้สักอย่าง เอาแต่คนอื่นเป็นที่ตั้ง คุณคิดว่าคนพวกนั้นจะสามารถให้สิ่งที่ถูกและควรทั้งหมดกับคุณได้รึไง”

       

                      “แต่ทางเลือกที่ฉันมีมันไม่มีทางเลือกที่ดีที่สุดเลยนี่ !

       

                      “ก็สร้างมันขึ้นมาสิ..”

       

                      “........”

       

                      “ถ้ามันไม่มีก็ สร้างมันขึ้นมาสิ ทางที่เป็นตัวของนายเองน่ะ”มือบางของร่างเล็กเลื่อนขึ้นไปลูบที่ใบหน้าของดีโน่อย่างแผ่วเบา เขารู้สึกได้กับความอบอุ่นบางอย่างที่มาจากมือนี่ เขาคิดมาโดยตลอดว่าคนที่เข้าใจตัวเขามากที่สุดมีเพียงแค่ตัวเอง แต่ตอนนี้มันไม่อีกต่อไปแล้ว

       

                      “ทุกคนมีอิสระในการเลือก ไม่ว่าจะนายหรือจะใครๆก็มีทั้งนั้น”

       

                      “เรื่องบางเรื่องก็ควรจะนึกถึงตัวเองให้มากที่สุดซะบ้างนะ ม้าพยศ”มือเล็กยังคงเลื่อนลูบใบหน้าเนียนของดีโน่ แววตาที่ดูไร้อารมณ์ตลอดเวลาของอีกฝ่าย ทำไมตอนนี้เขากับมองเห็นความห่วงใยที่แสดงออกมา

       

                     

                      คนที่รู้และเข้าใจเขามากที่สุดในตอนนี้คือ เคียวยะ..

       

                      ดีโน่ขยับมือเลื่อนขึ้นไปประกบมือลงที่มือเล็กของอีกฝ่าย ฮิบาริหยุด มองการกระทำของอีกคนด้วยท่าทีนิ่งเฉย ทั้งสองจ้องมองกันอย่างเนินนาน ใครจะรู้บ้างว่าเพียงเพราะความใกล้ชิดสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างให้ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาทั้ง 2 คน

       

                      เขามั่นใจแล้ว.. มั่นใจมากพอที่จะบอกว่า เด็กคนนี้คือ คนที่เขารัก

       

                      และ

       

                      มีสิ่งที่เขาสามารถเลือกมันให้กับตัวเขาเองได้แล้ว..

       

                      มือหนากอบกุมมือของฮิบาริมาจูบเบาๆที่หลังมือ ร่างเล็กได้แต่ยืนมองนิ่งกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำ และไม่คิดแม้แต่จะปฏิเสธสัมผัสประหลาดที่ถึงแม้เขาทั้งคู่จะเป็นผู้ชายก็ตาม

                     

                      เพราะฮิบาริเองรู้อยู่แก่ใจ..

                     

                      ว่าเขาก็รักผู้ชายคนนี้..

       

                      “เคียวยะ ฉั-“ไม่ทันที่จะพูดจนจบก็ถูกเรียวนิ้วของคนตรงหน้าประกบติดให้เงียบไว้ ดีโน่นึกแปลกใจกับการกระทำของร่างเล็กแต่ไม่นานนัก นัยน์ตาสีคาเนเลี่ยนของเขาต้องเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง

       

                      !!?

       

                      ริมฝีปากของเขาถูกฮิบาริประกบเข้าหา สองมือเล็กเลื่อนขึ้นประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ ดวงตาที่หลับพริ้มและสัมผัสจากริมฝีปากเรียวเล็กที่ขยับบดเบียดให้ นั่นเป็นดั่งคำประกาศิตที่หวานหอมจนแทบจะละลาย มือหนาของเขาเลื่อนไปโอบเอวบางให้อยู่ในการครอบครอง นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาหลับลงรับสัมผัสจากริมฝีปากที่เชื่อมถึงกัน

                     

                      ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตยต่อคุณในยามสุขและยามทุกข์

       

                      “อื้ม..”จูบยังคงติดตรึงอยู่ที่คนทั้งสองอย่างเนินนาน จนกระทั่งมือบางของอีกฝ่ายเลื่อนดันไหล่อีกคนออกเพื่อท้วงให้รู้ว่าเขาไม่สามารถประกบริมฝีปากเอาไว้แบบนี้ได้แล้ว ร่างสูงจึงค่อยๆผละออกให้ แล้วมองหน้าอีกฝ่าย

                      “ขอโทษนะ เคียวยะ.. ; เป็นอะไรรึเปล่า”

       

                      “คุณจะไม่ให้ผมหายใจบ้างเลยรึไง..”ฮิบาริมองค้อนใส่อีกคนที่มองสักพักก่อนหลุดยิ้มขำออกมา

       

                      “ทีนายสู้กับฉันนายยังเคยบอกว่าจะไม่ให้ฉันหายใจเลยนะ เคียวยะ”

       

                      “.......ผมไม่ตลกกับคุณนะ”ทอนฟาสีเงินวาววับถูกขยับขึ้นมาอีกครั้งความอารมณ์แปรปรวนอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย

       

                      “อ่า ! ฉันขอโทษนะ ขอโทษ ~”ดีโน่รวบร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้แน่น ฮิบาริมองร่างสูงที่มีทีท่าขี้เล่นเหมือนกับเด็กแบบนั้นเลยปล่อยให้เจ้าตัวทำตามแต่ใจต้องการ

       

                      เพราะมันดีแล้วที่เขากลับมาเป็น ม้าพยศคนเดิม

       

                      “นี่ เคียวยะ”ร่างสูงที่โอบกอดตัวอีกฝ่ายเอาไว้ก้มลงมองอีกคนที่เอนพิงตัวเขาแล้วนิ่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้ เลยเป็นฝ่ายจุดประเด็นคลายความเงียบขึ้นมาบ้าง

       

                      “มีอะไร ?

       

                      “เมื่อกี้.. จูบแรกของนายรึเปล่าน่ะ”

       

                      “..........”

       

                      “..........”

       

                      “คุณจะอยากรู้ไปทำไม”

       

                      “ก็.. เห็นนายหายใจไม่ทันเลย ถามดู”ฮิบาริเงยหน้ามองม้าตัวใหญ่ที่ส่งสายตาปิ๊งๆให้เขาเหมือนกับรอคอยคำตอบที่จะหลุดออกมาจากปาก [?] แต่สุดท้ายเขาคำตอบที่เขาให้ไปนั่นคือ

       

                      พลั่ก !!

       

                      “อุ่ก !

       

                      ทอนฟาที่กระทุ้งตรงเข้าไปท้องของเขานั้นเอง...

       

                      ร่างสูงยังคงนั่งขดตัวจุกอยู่ตรงที่เก่า ในขณที่อีกฝ่ายลุกขึ้นเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วมองไปที่วิวเมืองใหญ่แห่งนี้

       

                      อยู่ที่นี่มานานมากเกินไปแล้ว ..

       

                      ได้เวลาที่เขาต้องกลับ

                     

                      แต่.. เวลานี้คงยังไม่เหมาะที่จะบอกให้ม้าพยศรู้..

       

                      !?

       

                      ไม่ทันตั้งตัวเขาก็ถูกร่างสูงกอดเอาไว้อีกครั้ง คราวนี้อีกคนถึงกับวางหน้าซุกลงที่ไหล่ นัยน์ตาสีนิลชำเลืองมองแล้วยกมือลูบเรือนผมสีทองที่เขาอยากสัมผัสมันมานานแสนนานนั้น

       

                      “นายไม่โกรธฉันใช่มั้ย เคียวยะ ถ้าฉันจะขอกอดนายเอาไว้แบบนี้สักพัก”

       

                      “ผมจะต้องโกรธอะไรคุณงั้นเหรอ ? ม้าพยศ”

       

                      “ให้ตายสิ ..น่ารักไปแล้วนะ”

       

                      “หึ..”

       

                      ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

       

                      “เคียวยะ ~

       

                      “อะไรอีกล่ะ”

       

                      “แต่งงานกับฉันนะ..”

       

                      “.............”

       

                      “นะ ~

       

                      พลั่ก !!

       

                      “โอ๊ย !

       

                      จะแต่งงานกับผมมันไม่ง่ายหรอกนะ ม้าพยศดีโน่”

       

                      “เห ! แล้วต้องทำยังไงล่ะ”

       

                      “ไม่บอกหรอก” (ยิ้ม)

       

                      “......”

       

                      “อีก 10 ปีค่อยมาว่ากันอีกทีดีกว่านะ ม้า..โง่”

       

                      “ห๊า !!!

       

                      FIN / TO BE CONTINUE [?!]

       

       

      สวัสดีค่า !! รีดเดอร์ทุกท่าน !! โฮรกกกกกก ไรท์ฯจะสิ้นชีพแล้วค่ะทุกคน TwT/ หมดเรี่ยวหมดแรงไปกับการปั่นฟิค 23 หน้าเวิร์ดภายใน 1 วัน โฮรกกกกก เพราะอยากให้มันทันเทรนวันที่ 14/10 ทุกคนคงสงสัยมาตั้งแต่ NOTE ต้นเรื่องแล้วใช่มั้ยค่ะว่ามันคือวันอะไร ! ค่ะ วันที่ 14 เดือน ตุลาคม คือวัน DHDAY ค่ะ !! ไรท์ฯสังเกตมานานแล้วตั้งแต่ที่มีแฟนอาร์ตเทรนวันนี้ เลยจับประเด็นและตีความจากรูปแฟนอาร์ตหลายๆรูปได้วว่า วันนี้เป็นวันที่ ดีโน่และเคียวยะ เจอกันครั้งแรกค่ะทุกคน ! -.,-)> จากการสันนิฐานของไรท์ฯแล้วคิดว่าน่าจะเอามาจาก วันที่ “รีบอร์นตอนที่ 36 ที่ญี่ปุ่นออก” ซึ่งเป็นตอนที่ ดีโน่กับเคียวยะ เจอกันครั้งแรก อรั้ยย๊ะ ! อะไรมันจะขนาดนั้น ยังไงก็สุดท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมากแล้วค่ะ นอกซะจาก ขอบคุณที่อ่านกันมาจนจบถึงตรงนี้ แล้วสำหรับใครที่มีปัญหาคาใจอย่างเช่นว่า ทำไมไรท์ดูทำให้มันเหมือนค้างๆงี้ล่ะค่ะ หึหึหึ.. ขอโทษนะค่ะ ทุกคน ไรท์จงใจค่ะ ตอนแรกที่ทำพล็อตฟิคนี้เพราะได้มาจากเพลงของเจ๊เทย์ที่ชื่อตามเรื่องเลยค่ะ SPEAK NOW แต่ว่า พอได้เริ่มแต่งมาเรื่อยๆ เริ่มเห็นช่องโหว่ของพล็อตตัวเองเต็มไปหมด นั้นคือ “มันสามารถต่อยอดเป็นฟิคยาวได้เรื่องหนึ่งเลยค่ะ” โดยเฉพาะ ชั่วเวลา 1 ปีกว่าที่ ดีโน่กับเคียวยะคุงอยู่ด้วยกันในชายคาคฤหาสน์เดียว -.,-)> โฮรกกกกส์ เดี๋ยวยังไงจะทำโพลให้ให้จิ้มนะค่ะ สุดท้ายก็ขอบคุณที่อุตส่าห์มาอ่านกัน TwT ขอพูดตรงนี้เลยค่ะว่า ไรท์เป็นคนที่ขี้เกียจเป็นสันดานมาก [?] ยากที่จะปั่นฟิคขนาดมหึมานี่จบภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ ขอให้ทุกคนปรบมือและคอมเม้นต์เป็น กลจ. (กำลังใจ) ให้กันด้วยนะค่า !! ฮริ้ววววววววว DH BANZAI !!! -.,-)>

       

      #ปล.หากมีคำผิดตรงไหนแจ้งให้ไรท์ไว้ด้วยนะค่ะ ไรท์รีบมากเลยค่ะ บ่องตง 55555555555555555555555555555555

      #ปล.อีกที ไรท์เพิ่งแต่งฟิคนี้เมื่อวานค่ะ........ [และเสร็จสิ้นภารกิจด้วย 24 หน้าเวิร์ด[?]]

      #ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันจนจบนะค่า !!! XD

      ขอความกรุณาร่วมโหวตให้ไรท์ฯหน่อยนะค่ะ * v */

      โพล154801

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×