คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : How can I ? รักได้ไง...นายคนนี้! บทที่ 7 แนะนำ..เพื่อน ?
How can I ? รักได้ไง...นายคนนี้ !
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ”
“ไม่เป็นไรเว้ย สบายมาก”
ดูเหมือนเป็นกิจวัติไปแล้วสำหรับสองประโยคนี้ตั้งแต่วันที่โจเอ่ยอาสารับส่งวี ดูเหมือนเขาจะเต็มใจที่จะทำซะด้วย โจยิ้มเล็กน้อยให้กับวีที่กำลังจะหันหลังเข้าบ้านไป คืนวันศุกร์แบบนี้อีกสองวันแหนะถึงจะได้เจอกันอีก
“อ้าว คุณหนูวีถึงบ้านแล้วหรอคะ” น้าพิกุลแม่บ้านของตระกูลซ่งออกมาทักทาย
“วันนี้น้าทำกับข้าวไว้เยอะแยะเลย คุณหนูชวนเพื่อนให้มากินด้วยกันสิ” น้าพิกุลยิ้มอย่างใจดี ส่วนคนที่ถูกชวนน่ะหรอ ตอนนี้ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว
“ได้หรอครับ เย็นนี้ไอโจสบายแล้ว”
“คุณโจครับ! ผมยังไม่ได้ชวนเลย”
“แล้วได้ปะล่ะ” โจหันมาถาม
“คร้าบๆ ไม่มีปัญหาครับ”
พอได้ยินคำอนุมัติเด็กหนุ่มรีบลงจากจักรยานแล้วจูงตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านโดนมีน้าพิกุลปิดประตูรั้วตามหลัง
เมื่อเข้าไปภายในบ้านโจได้แต่กวาดสายตาสำรวจไปรอบๆอย่างตื่นตา บ้านหลังใหญ่ตกแต่งตามฮวงจุ้ยและข้าวของราคาแพง รูปเขียนหมึกจีนแปะอยู่ที่ฝาผนังบ้าน
โต๊ะที่นั่งจากไม้สัก รูปปั้นสัตว์มงคลต่างๆ ก่อนที่จะหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงใครบางคน
“อ้าวตี๋ มาถึงไวนะวันนี้”ชายหนุ่มดูท่าจะโตกว่าเขาประมาณนึงเข้ามากอดคอทักทายคุณหนูของบ้าน “ถึงไวที่ไหนกันครับเฮีย ถ้าไม่โดนลงโทษก็คงถึงไวกว่านี้”
คุณวีเงยหน้าตอบคนที่สูงกว่า ใช่ว่าโจจะถูกเมินเขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาใครบางคนมากกว่า
“นี่เพื่อนตี๋หรอ ?” คนถามมองตาขวาง ตอนนี้โจแทบอยากจะเท้าสะเอวแล้วพูดว่าโอ้ยย ไม่ให้เป็นเพื่อนแล้วจะให้เป็นอะร๊ายย แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้เพื่ออาหารเย็นที่รอคอย นายนี่น่าจะเป็นพี่ชายแว่น สำรวมไว้ก่อนดีกว่า
“ใช่ครับ คุณโจที่โดนลงโทษกับผมไง...เดี๋ยวผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ” วีเขยิบตัวออกจากวงแขนคนเป็นพี่แล้วเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
ทิ้งให้สองหนุ่มยืนประจันหน้ากันอยู่ จนแล้วมีคนประกาศศึก
“นายนี่เองที่ทำให้ตี๋โดนลงโทษไปด้วย”
“อ้าวว ก็ผิดกันทั้งคู่นั้นแหละ ไม่เกี่ยวกับผมคนเดียวซักหน่อย”
“หึ เพื่อนตี๋แต่ละคนไม่ใช่แบบนี้ อย่าให้ฉันรู้นะว่านายคิดจะทำอะไร”
โจได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายทำตาปริบๆ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร ในหัวตอนนี้มีแต่รอกินข้าวฟรีก็เท่านั้น
โจกำลังมองหาหนทางพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ โชคดีที่น้าพิกุลเข้ามาช่วยเขาไว้
“ภูผา! ทำอะไรอยู่ เข้ามาช่วยแม่จัดโต๊ะกับข้าวเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แม่บ้านประจำตระกูลเดินตรงเข้ามาดึงหูลูกชาย
ภูผาร้องโหวกเหวก “แม่! เบาๆ! ปุ้มเจ็บ!”
พิกุลไม่สนใจ หญิงวัยกลางคนลากแขนลูกชายไปทางห้องครัว และหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษขอโพยให้โจ
“ถ้าลูกชายดิชั้นพูดจาอะไรไม่ดีไปก็อย่าถือสาเลยนะคะ ลูกคนนี้มันบ้าๆบอๆ”
โจผงกหัวรับ และเมื่อพิกุลหันไปทางอื่นก็ยักคิ้วอย่างกวนโมโหให้ภูผา
อีกฝ่ายได้แต่มองโจเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็จำใจต้องตามคนเป็นแม่เข้าไปในห้องครัว
โจส่ายหัวขำๆ อะไรของหมอนั่นก็ไม่รู้
พอดีกับที่วีเดินลงบันไดมา
หนุ่มแว่นเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านเรียบร้อย เป็นภาพที่แปลกตาดีเหมือนกัน
โจอมยิ้มเมื่อมองเห็นว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อยืดลายอุลตร้าแมนสีสด
“ยิ้มอะไรครับ” วีเดินเข้ามาใกล้
“เปล๊า” โจพูดเสียงสูง มือหนาขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
วีผลักอกโจเบาๆ ร่างบางหัวเราะสดใส
“อาวี! ไอ้เฮ่งเจียนี้ไคกัง?” เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้น
ทั้งสองหนุ่มหันขวับไปพร้อมกัน คุณนายใหญ่ของตระกูลซ่งในชุดจีนสีแดงเข้มยืนกอดอกจ้องพวกเขาเขม็ง
“หม่าม๊า นี่คุณโจที่ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ” วีแนะนำ
โจยกมือขึ้นไว้โดยอัตโนมัติ “สวัสดีครับ ผมโจเพื่อนวีครับ”
“อ๋อ หมอนี่เองเหรอ” คุณนายใหญ่หรี่ตา
โจเหงื่อตก ชักสงสัยเสียแล้วว่าไอ้เรื่องที่เล่าน่ะ มันเป็นเรื่องแบบไหน
“ยังไงก็ขอบใจนะที่มาส่งลูกอั๋วทุกวัง ถึงลื้อจะเป็นต้นเหงให้อาวีอีต้องถูกลงโทกตั้งแต่แรกก็เถอะ”
ทำไมทุกคนโทษกูหมดเลยวะ โจทำปากขมุบขมิบใส่วี
วียิ้มแห้งๆ
“แต่ไหนๆอาพิกุลก็ชวนลื้อมาแล้ว งั้นก็ตามมา” คุณนายใหญ่สะบัดหน้าแล้วเดินกรีดกรายเข้าไปในห้องอาหาร
วีดึงแขนโจที่ยืนทำหน้าเซ็งอยู่ตามหลังไป
โจต้องตาโตอีกครั้งเมื่อเห็นห้องอาหาร ก็ห้องนั้นน่ะมันใหญ่กว่าห้องรับแขกกับห้องครัวบ้านเขารวมกันเสียอีก โคมไฟระย้าส่องแสงระยิบระยับห้อยลงมาจากเพดาน โต๊ะไม้สลักเสลาอย่างสวยงามกลางห้องก็กว้างพอที่จะจุคนได้เป็นสิบคน
ภายในห้องมีคนอยู่คนเดียวเท่านั้น ชายวัยกลางคนใส่แว่นกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีนอย่างสบายอารมณ์ เท้าทั้งสองข้างวางพาดไว้บนโต๊ะ
วีกระแอมในลำคอ “ป่าป๊า ผมกลับมาแล้วครับ”
ป่าป๊าหรือพ่อของวีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ ก่อนจะสะดุงโหยงเมื่อเห็นว่านอกจากลูกชายแล้ว ภรรยาที่รักกำลังยืนเท้าสะเอวมองตาเขียว
“แฮ่ะๆ ลื้อกลับเร็วนะวันนี้” พยายามหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับค่อยๆเอาขาทั้งสองขาลงจากโต๊ะ
คุณนายใหญ่ดึงหนังสือพิมพ์ออกมาจากมือสามี ม้วนเป็นแท่งแล้วฟาดหัวอีกฝ่าย
“นี่แน่ะ! อั๋วบอกลื้อกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาขาขึ้นมาวางบนโต๊ะ มันไม่สุภาพ!”
ป่าป๊าของคุณวีร้องโอดครวญน่าสงสาร “ก็-ก็อั๋วเผลอไปนี่นา แล้วก็ไม่มีใครอยู่ในห้องด้วย”
โจมองหน้าวีเป็นเชิงว่า นี่จะไม่ช่วยพ่อแกหน่อยเหรอ
แต่วีทำหน้าสะพรึง ยกนิ้วชี้ขึ้นปาดคอเป็นทำนองว่า ขืนช่วยก็ซวยไปด้วยสิครับ
แต่แล้วเสียงแหบห้าวของใครบางคนก็เข้ามาหยุดทุกอย่างลง
“พวกลื้อเอะอะโวยวายอะไลกัง? เงียบๆหน่อยได้มั้ย!?”
ผู้พูดคือชายชราผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ แต่ท่าทางยังกระฉับกระเฉง
“เตี่ย!” ป่าป๊าของวีอุทานอย่างดีใจ มีคนมาช่วยแล้วตู
คุณนายใหญ่ทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ยอมรามือ
อากงกับคุณนายใหญ่ยืนจ้องหน้ากันแบบไม่มีใครยอมใคร
วีแอบทำหน้าเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มพูดขึ้นเสียงดัง
“อากงครับ นี่เพื่อนผม คุณโจครับ!”
ได้ผล อากงหันหน้ามามองหลานชาย ชายชราเลิกคิ้ว
“อ่าว ไม่ใช่ไอ้แว่นหนาแบบคราวที่แล้วนี่” อากงพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีแล้ว มีเพื่อนแบบอื่นซะบ้าง หมอนี่ท่าทางหน่วยก้านใช้ได้นี่ ไม่เลวๆ”
โจยิ้มแป้น แต่คุณนายใหญ่ทำเสียง เฮ้อะ ในลำคอแบบกะให้ได้ยินกันทั่วห้อง
อากงและทุกคนทำหูทวนลม
คุณนายใหญ่เดินลงส้นออกไปยังห้องครัว พร้อมกับตะโกนเรียกให้พิกุลเอาอาหารมาตั้งได้แล้ว
“อาม่าไปไหนล่ะครับ” วีถามเมื่อมารดาของตนลับหลังไป
อากงเบ้ปาก “อีไปเล่นไพ่ที่บ้านคุณนายศรี บอกว่าไม่ต้องรอกินข้าว อีอาจจะกลับมาวันพรุ่งนี้”
โจก้มหน้าหัวเราะ อากงเบนสายตามาที่เด็กหนุ่ม
“ลื้อไม่เหมือนเพื่อนอาวีคงอื่นๆ” ชายชราพูดอย่างครุ่นคิด
วีพูดแทรกขึ้นทันที “ไม่เหมือนตรงไหนครับอากง ก-ก็เพื่อนผมเหมือนกันหมด!”
“อะไรของลื้อเนี่ยฮ้ะ โวยวายอะไร”
โจยิ้มกริ่ม “อากงหมายความว่าผมดูดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆของแว่นใช่มั้ยครับ”
“เออ ลื้อท่าทางดีนะ ดูเป็นนักสู้ เป็นลูกผู้ชายจะมาเยาะแหยะได้ยังไงกัน ลื้อว่ามั้ย”
โจพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเต็มที่ วีกลอกตาด้วยความหมั่นไส้
“เนี่ย” อากงพูดหันมาพูดกับหลานชาย “อั๋วบอกตลอดแหละว่าหม่าม๊าของลื้อน่ะโอ๋ลื้อเกินไป”
“อะไร วันๆก็ให้แต่ไปโรงเรียนแล้วกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็ให้แต่อ่านหนังสือ ไปบ้านเพื่อนก็ไปอ่านหนังสือ”
“เกิดเป็นลูกผู้ชายมันต้องได้เห็นโลกกว้าง มันต้องใช้ชีวิต! มันต้องออกไปสู้! ไปเตะ! ไปต่อย! ไปอัดให้เรียบ! ไปฆ่ามัน!” อากงเริ่มพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆอย่างฮึกเหิม พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นอย่างสะใจ
โจสบตากับวี
“อากงผมเคยเป็นอั้งยี่มาก่อนครับ” วีกระซิบ
โจทำหน้าเหวอ คนบ้านนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“เตี่ย ใจเย็นหน่อย เพื่อนอาวีอีตกใจหมดแล้ว” ป่าป๊าคุณวีพูดเสียงอ่อย
อากงหันขวับไปทางลูกชาย พลางยกมือชี้หน้า “ลื้อไม่ต้องพูด! ลื้อก็เหมือนกัน! ยอมเมียไปหมดทุกอย่าง!”
ป่าป๊าได้แต่ยิ้มแหยๆ
วีดึงแขนอากงเบาๆ “ไปนั่งโต๊ะเถอะครับ ได้เวลากินข้าวแล้ว วันนี้น้าพิกุลบอกว่าจะทำผัดเปรี้ยวหวานที่อากงชอบด้วยนะครับ”
“งั้นเรอะ ดีๆ อาพิกุลนี่รู้ใจอั๋วจริงๆเลย”
อากงนั่งลงที่หัวโต๊ะ โดยมีป่าป๊าตามไปนั่งข้างๆทางขวามือ วีดึงมือให้โจนั่งลงบนเก้าอี้ตัวติดกัน
เป็นเวลาเดียวกับที่คุณนายใหญ่เดินนำหน้าพิกุลกับสาวใช้อีกสองคนที่ช่วยกันถือสำรับกับข้าวเข้ามา
คุณนายใหญ่ทรุดตัวลงนั่งหน้าเชิด
ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างที่อาหารถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะ
“ขอบคุณมากนะครับน้าพิกุล” วีพูดเบาๆกับพิกุลที่กำลังตักข้าวให้ทุกคน
แม่บ้านยิ้มบางๆแทนคำตอบ
“เออ แล้วนี่เฮียผาไม่มากินข้าวด้วยกันเหรอครับ” วีถามต่อ
“จะดีเหรอค่ะ” พิกุลพูดอย่างลังเล
หนุ่มแว่นขมวดคิ้ว “ทำไมละครับ ปกติก็กินด้วยกัน”
“แต่วันนี้คุณหนูมีแขก” พิกุลเหลือบมองไปทางโจที่ตอนนี้กำลังนั่งน้ำลายหกจ้องมองกับข้าวหลากหลายตรงหน้า
คุณนายใหญ่ที่กำลังแย่งกันคีบผัดเปรี้ยวหวานกับอากงพูดขึ้นทันที “ไม่เป็นไรหรอกอาพิกุล ภูผาอีก็กินข้าวกับเราทุกวัน อั๋วไม่ถือ”
พิกุลยิ้มออกมาได้ ภูผาที่เหมือนรอให้คนเรียกอยู่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดของคุณนายใหญ่ก็เดินยิ้มแป้นออกมาทันที
คุณนายใหญ่พยักเพยิดให้ภูผานั่งลง พอดีเสียเหลือเกินที่ที่นั่งของอีกฝ่ายอยู่ตรงกันข้ามกับโจพอดี
ภูผามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างโจ่งแจ้ง
โจกินข้าวไม่อร่อยขึ้นมาทันทีทันใด
ไม่รอช้า ภูผาเปิดฉากโจมตีโจทันที “ได้ข่าวว่านายอยู่ห้องทับห้าไม่ใช่เหรอ มีแต่พวกเกเรๆไม่ใช่รึไง”
โจเริ่มเดือด แต่ก็ยังทำหน้านิ่ง “ถ้าไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องก่อน ก็ไม่ทำหรอก”
คุณนายใหญ่ทำหน้าไม่ไว้ใจ ขณะที่อากงพงกหัวอย่างชื่นชม
“เป็นพวกเรียนอ่อนด้วยไม่ใช่รึไง ห้องนายน่ะ” ภูผายังพูดต่อไป
วีขยับตัวอย่างอึดอัด “เฮียครับ!”
โจชักอยากเข้าไปกระทืบคนตรงหน้าขึ้นมาตงิดๆ แต่อดใจไว้เพราะเพิ่งกินเข้าไปได้แค่สองจาน ยังไม่อิ่มเลย
“เกรดไม่ใช่ทุกอย่าง” ตอบสั้นๆ แต่จริงๆคือคิดอะไรไม่ออก
คุณนายใหญ่ยิ่งมีสีหน้าไม่ไว้ใจโจขึ้นไปอีก
ภูผาเริ่มได้ใจ “นี่ทั้งเรียนห่วยแล้วยังมีเรื่องไปทั่วแบบนี้นี่ เพื่อนห้องอื่นเค้ายังคบพวกนายด้วยเหรอ” พูดพลางเหลือบมองไปทางวี
โจทิ้งช้อนลงกับจาน ตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่วีขัดขึ้นมาก่อน
“คบสิครับ!” วีพูดหนักแน่น “ผมกับคุณโจก็เป็นเพื่อนกันนี่ไงครับเฮีย”
โจมองแววตาจริงใจของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกว่า ไอ้ความโกรธที่เมื่อกี้กำลังจะระเบิดออกมามันหายไปหมด
เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ “ก็อย่างที่แว่นพูด” โจตอบสั้นๆ
ภูผาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ป่าป๊าที่นั่งเงียบมาตลอดก็รีบชวนทุกคนคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเล่นไพ่ของอาม่าที่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน
อาหารมื้อนั้นจึงผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แม้ว่าหม่าม๊าจะนั่งเงียบผิดปกติและหันไปกระซิบกระซาบกับภูผาหลายครั้ง
///////////////////////////////
“หม่าม๊ากับไอ้เฮียผาของแกนี่ดูท่าทางคงไม่ค่อยชอบหน้าชั้นว่ะ” โจตั้งข้อสังเกตขณะที่ตัวเองกำลังจูงจักรยานออกมาหน้าบ้าน
วีส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกครับ เค้าก็แค่เป็นห่วงผมน่ะ”
“ชอบคิดว่าผมเป็นเด็กที่คิดอะไรเองไม่ได้อยู่เรื่อยเลย” ร่างเล็กทำหน้ามุ่ย
“แต่แกก็เด็กไม่ใช่รึไง” โจพูดยิ้มๆ
“แต่ผมก็ตัดสินใจอะไรเองได้แล้วนะครับ” วีบ่น “ทำไมชอบคิดแทนผมจังเลยก็ไม่รู้”
“มันน่าอึดอัดใช่มั้ย” โจชักเห็นใจ
“บางที มันก็อึดอัดนะครับ” คนตัวเล็กยอมรับ
ก่อนจะส่ายหัวแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “แต่ผมชินแล้วล่ะครับ ยังไงๆก็ขอโทษด้วยนะครับที่เฮียผาอาจจะทำให้คุณโจไม่สบายใจ”
“โอ้ย ชั้นไม่คิดอะไรหรอกน่า”
“งั้นก็ กลับบ้านดีๆนะครับคุณโจ”
โจพยักหน้า รู้ดีว่าถึงเวลาต้องกลับแล้ว แต่ทำไมสองขามันกลับไม่อยากไปเลยจริงๆ
วีเอียงคอมองโจที่ยืนคร่อมจักรยานนิ่ง “มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ม-ไม่มีอะไร”
โจหันหลังแล้วปั่นจักรยานคู่ใจออกไปอย่างรวดเร็ว
:) Shalunla
ความคิดเห็น