ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #6 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ ขุนนางมาครูซ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 874
      1
      18 มิ.ย. 50

    5

    ขุนนางมาครูซ

              

     
    กองทหารจากไปทันทีที่ฟ้าสาง บาซันยังขี่ม้าไม่เป็น จึงโดยสารไปกับเกวียนสัมภาระ

                ชายหนุ่มหลายคนลอบมองเด็กสาวด้วยสายตาไม่เป็นมิตร หลังจากบาซันไปแล้วก็ไม่มีผู้ชายคนไหนในหมู่บ้านผ่านการทดสอบ ทั้งๆ ที่เด็กสาวมีฝีมือเป็นที่ประจักษ์แจ้ง ชาวบ้านก็ยังอดพูดไม่ได้ว่าอัศวินหนุ่มผมสีเปลือกไม้มีรสนิยมชอบเด็กสาวบ้านป่า

                ชายหนุ่มได้ยินเต็มสองหู แต่ก็ไม่อยากถือสาหาความ ไปถึงครูเซนเมื่อไหร่คำครหาจะยิ่งรุนแรงกว่านี้

    ดวงตาสีมรกตเหลือบมองสาวน้อยที่กำลังหิ้วของมาร่วมกองก็อดถอนหายใจไม่ได้

    หน้าตาแบบนี้...ก็สมควรหรอกที่คนอื่นจะคิดมาก

    แต่ไม่น่าเชื่อว่าหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย จะมีเด็กสาวที่แปลกประหลาดซ่อนตัวอยู่ เขารับรู้ได้ว่านางมีจิตใจที่บริสุทธิ์มาก ใสสะอาดไร้ตะกอนราวกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่วิหารหลวงครูเซน

    บริสุทธิ์เกินไป...บริสุทธิ์เสียจนเหล่าสัตว์น้ำไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ตักไปรดพืชผักก็ไม่เจริญงอกงาม

    เขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่นิยม แต่ก็ประมาทไม่ได้ ที่ศาสนจักรมีพวกแปลกๆ เยอะ คงต้องเอาไปฝากฝังกับอเล็กซิส ถ้าคนคนนั้นถูกใจ บาซันคงจะมีอนาคตสดใสทีเดียว

    หัวหน้าหมู่บ้านมายืนดักรอเขาตรงทางออก ชายชรายืนลูบหนวดแข็งของตนด้วยอาการไม่ทุกข์ร้อน

    "ข้าได้แจ้งข่าวให้คนคนนั้นทราบแล้ว เขาจะไม่เอาเงินคืนจากพวกเจ้า" โยชัวร์เอ่ยโดยไม่ลงจากหลังม้า

    อูลก้มศีรษะให้บุรุษผู้สูงศักดิ์ ก่อนเอ่ยตอบ

    "ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านนัดแนะกันมาก่อน ต้องขออภัยที่ทำให้ขุ่นเคือง"

    "ข้าไม่ได้นัดแนะกับเขา ผู้นำสารของข้าได้รับคำตอบว่า ตระกูลมาครูซเตรียมจะส่งเด็กคนนี้ให้ศาสนจักรอยู่แล้ว ไปกับข้าเสียเลยก็สะดวกดี" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะขยับรอยยิ้มเหยียด "แต่ก็ว่าเขาไม่ได้หรอก ข้าเป็นเพียงมนุษย์ แต่เขาเป็นเทพนี่"

    "เพียงผู้สืบเชื้อสายเท่านั้นท่าน"

    "ก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังไงก็เป็นพวกอภิสิทธิ์ชน องค์ชายอเล็กซิสเองยังต้องเกรงใจ"

    ชายชราขยับยิ้มไม่ตอบคำ เขาเหลือบสายตาไปยังเด็กสาวที่นั่งห้อยเท้าอยู่ท้ายเกวียน มีหญิงชรามาร้องไห้ลูบหลังลูบไหล่ แล้วโค้งให้อัศวินหนุ่มอีกครั้ง

    "ถึงนางจะเป็นตัวโชคร้าย แต่ข้าก็ขอให้ท่านโชคดี"


    พวกเขาใช้เวลาสามวันในการลงมาถึงเชิงเขา เมื่อหันหลังกลับไปมอง ภูเขาทั้งลูกก็เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองปนแดงไปหมดแล้ว

    ภาพเบื้องหน้าคือตึกรามบ้านช่องสลับกับไร่นา ที่ค่อยๆ หนาแน่นขึ้นทุกย่างก้าว ถนนดินค่อยๆ กว้างขึ้นจนกลายเป็นถนนที่ปูด้วยแผ่นหิน กระท่อมของชาวบ้านที่ตั้งอยู่ห่างๆ กันแปรเปลี่ยนเป็นเมือง

    บาซันมองภาพที่เห็นด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวได้เห็นคนจำนวนมากขนาดนี้ แต่หล่อนก็มิได้มีท่าทางแปลกใจ

    เมื่อรถม้าแล่นพ้นเนินสุดท้ายของหุบเขาหมอก ปราสาทสีขาวก็ปรากฏขึ้นลิบๆ ทางทิศตะวันตก ถนนหลานสายทอดยาวสู่ปราสาทแห่งนั้น บ้านเรือนสีสันสดใสตั้งเรียงรายราวกับของเล่น

    "เคยลงมาจากภูเขาไหม" โยชัวร์ขยับม้ามาขนาบข้าง หัวหน้าหน่วยอัศวินศักดิ์สิทธิ์อยากเอาใจลูกน้องสาวคนแรกและคนเดียวเสียหน่อย

    เด็กสาวส่ายศีรษะ

    "แถวนี้เป็นที่ดินในปกครองของขุนนางตระกูลมาครูซ ครอบคลุมอาณาเขตตั้งแต่ทิศตะวันออกของครูเซนไปจนถึงตีนเขาของหุบเขาหมอก เจ้ามองไปทางนั้นสิ"

    บนเนินเขาทางทิศที่ชายหนุ่มชี้มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่ รั้วที่ล้อมอยู่กินอาณาเขตลึกเข้าไปในภูเขา จึงมองไม่เห็นว่ามันสิ้นสุดลงที่ใด

    "นั่นแหละ คฤหาสน์ตระกูลมาครูซ อยากไปเยี่ยมคนที่ซื้อเจ้าไหม"

    บาซันมองคฤหาสน์หลังนั้นอยู่เพียงครู่เดียว ก็หันกลับมามองชายหนุ่ม ดวงตาสีมรกตเป็นประกายด้วยความพอใจ

    "ไม่อยากเจอก็ดี เย็นนี้เราจะแวะพักที่ค่ายนอกเมืองก่อน ค่อยเข้าเมืองวันพรุ่งนี้"

    เสียงแตรยาวดังสนั่นจากทางด้านหลัง ขบวนทหารชุดสุดท้ายจากหุบเขาหมอกจำนวนกว่าหกสิบนายจึงรีบหลบเข้าข้างทาง แต่ก็เหมือนไม่ทันใจคนบีบแตร เสียงกรีดร้องแหลมจึงกระหน่ำซ้ำๆ จนแสบแก้วหู

    โยชัวร์ขบกรามจนเป็นสันนูน เขาเร่งม้าไปหน้าขบวนเพื่อสั่งให้ลูกน้องเคลื่อนที่เข้าด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ

    บาซันหันหลังกลับไปมอง รถม้าสีขาวแกะสลักลายทองหรูหราเทียมด้วยม้าสีดำสนิทสองตัว กำลังแล่นตามมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะแซงไปโดยไม่ชะลอ ดินแห้งๆ ถูกฝีเกือกม้าและล้อรถตะกุยขึ้นมาจนเป็นฝุ่นคลุ้ง

    สารถีผู้ขับรถคันนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราแบบคนภูเขาระดับหัวหน้าหมู่บ้าน เขาสะบัดแส้โดยแรงอยู่ตลอดเวลา สายลมพัดผ้าม่านข้างรถปลิวสะบัด ทำให้พอมองเห็นคนที่โดยสารอยู่ภายในเล็กน้อย

    บาซันมองเรื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ คนในรถคันนั้นก็มองออกมาเช่นกัน เด็กสาวเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อรู้ตัวว่าดวงตาคู่หนึ่งสบประสานกับนัยน์ตาเธอเข้าอย่างจัง

    ใคร...

    ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องจนหมดระยะที่มองเห็นกันได้ เด็กสาวรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นอย่างประหลาด

    หัวหน้าของเธอขยับม้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปื้อนฝุ่นดินแดงมอมแมม หัวคิ้วย่นลึกแสดงความไม่สบอารมณ์ชัด

    "ดูตรานั่นไว้ ตราสุนัขป่าที่มีดวงตาสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลมาครูซ นอกจากตราสุนัขป่าตาสีม่วงขององค์ชายอเล็กซิสแล้ว ก็มีแต่พวกเขาที่เราต้องหลีกทางให้"

    บาซันพยักหน้ารับรู้ ชายหนุ่มจึงอธิบายต่อ

    "มีชื่อตระกูลมาครูซอยู่ในพระคัมภีร์ พวกเขาจึงเชื่อว่าตนเป็นเชื้อสายของครูซ พวกประชาชนก็เชื่อด้วย บางแห่งก็เคารพบูชาพวกเขาเหมือนเคารพครูซทีเดียว"

    เด็กสาวมองตามรถม้าคันนั้น มันโผล่พ้นเนินข้างหน้าขึ้นมา สารถียังคงเร่งม้าให้ห้อตะบึงไปยังทิศทางเดียวกับปราสาทสีขาว

    "จะสืบเชื้อสายครูซหรืออะไรก็แล้วแต่ พวกนั้นก็เป็นแค่มนุษย์ มนุษย์ที่ร่ำรวยและโง่เขลา หยิ่งทระนงสุรุ่ยสุร่ายใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ แต่ศาสนจักรก็จำต้องยอมให้พวกเขาเป็นหนึ่งในสภาแห่งครูเซน"

    ดวงตาสีมรกตฉายแววรังเกียจเดียดฉันอย่างไม่ปิดบัง แต่เมื่อเขาหันมามองหน้าเด็กสาว ประกายแห่งความเกลียดชังก็หายไป กลายเป็นความขบขัน

    "เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นหญิงแก่พูดมาก ปากร้าย ขี้นินทาในฐานะผู้ที่ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่าง ข้าควรจะสำรวมมากกว่านี้" ชายหนุ่มนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ย "แต่ข้าอายุแค่ยี่สิบห้า อาจจะยังไม่แก่ขนาดจะเป็นแบบอย่างให้ใครได้..."

    เงียบกันไปครู่หนึ่ง เขาหันมามองหน้าเธออีกครั้ง แล้วก็ตะโกนขึ้นมา

    "ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง ข้าเพิ่งยี่สิบห้าจริงๆ นะ แค่เข้าป่านานไปหน่อยเท่านั้นเอง พอกลับไปเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ประจำวิหารหลวงครูเซนก็กลับมาหล่อเหลาเหมือนเดิมเองล่ะน่า"

    ชายหนุ่มโวยวายไปก็ลูบใบหน้าของตัวเองไป สัมผัสสากระคายทำให้เขารู้ตัวว่าหนวดเคราคงเฟิ้มเต็มคางทีเดียว

    ไม่ได้ส่องกระจกมานานพอดู กลับไปต้องจัดการเสียหน่อยแล้ว...ไม่สิ คืนนี้เลยดีกว่า

    เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาลอบมองหัวหน้าของตนพูดกับว่าที่ทหารใหม่แล้วก็อมยิ้ม

    เด็กคนนั้นนิ่งอย่างกับตุ๊กตา...

    ท่านโยชัวร์จะรู้ตัวไหมว่าเหมือนบ้าไปคนเดียวไม่มีผิด


    เสียงแตรแหลมแสบแก้วหูดังยาวนาน จนกระทั่งบานประตูใหญ่ของปราสาทสีขาวเปิดออก

    รถม้าสีขาวคลุกฝุ่นมอมแมมแล่นช้าๆ ผ่านสวนกว้างใหญ่ที่ตกแต่งเป็นลวดลายอย่างประณีตบรรจง รถคันนั้นเลี้ยวออกจากถนนใหญ่ที่มุ่งไปยังปราสาท เข้าสู่ถนนเส้นรองที่ทอดไปสู่วิหารหลวง

    ครูเซนเป็นศาสนจักร มหาวิหารแห่งนี้จึงยิ่งใหญ่ตระการตายิ่งกว่าปราสาท ตัวอาคารสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหลัง อารามสำหรับประกอบพิธีจุคนได้กว่าพันคน ล้อมรอบด้วยระเบียงโค้งที่ทอดไปสู่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังเป็นที่พักสำหรับนักบวชชายและหญิง มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเหมือนเมืองขนาดย่อมๆ

    "ไร้ประโยชน์"

    ชายหนุ่มผู้ที่กำลังลงจากรถม้าเอ่ยเบาๆ กับตนเอง เสื้อคลุมของเขาเป็นสีแดงสด ตัดกับขนสัตว์สีขาวสะอาดที่คลุมทับไว้อีกชั้น บนร่างเขามีอัญมณีประดับแพรวพราวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

    บุรุษในชุดสีขาวยาวกรอมเท้าคนหนึ่งเชื้อเชิญเขาเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินตามชายคนนั้นไปสู่ห้องโถงใหญ่ที่เป็นห้องพิธีกรรม

    ห้องนี้เยือกเย็นและเงียบสงัด เพดานสูงถูกเจาะเป็นช่องแสง ประดับด้วยกระจกสีเป็นทางยาว ทำให้แสงที่ลอดผ่านเข้ามาเลื่อมพรายมลังเมลืองราวกับสวรรค์ได้ปรากฏอยู่บนศีรษะ ทางเดินกลางห้องปูลาดด้วยพรมสีเขียวอมเทาทอดไปสู่สระน้ำใหญ่หน้ารูปสลักมหาเทพ...ครูซ

    ชายหนุ่มเหยียดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินไปหาบุรุษหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดสีขาวยาวกรอมเท้าที่ปักลวดลายด้วยไหมเงินและทองละเอียดยิบ เส้นผมสีเงินตรงทอดยาวราวน้ำตก ผิวของเขาขาวจัดราวสตรีเพศ ดวงตาสีดอกไวโอเลตใสกระจ่างดั่งท้องฟ้า ชายคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางนักบวชชรานับสิบ เมื่อเขาเดินไปยืนตรงหน้า บุรุษผู้นั้นก็ขยับยิ้ม

    "ไม่ได้เจอกันนานนะ เอย์ระ มาครูซ"

    ดวงตาสีเขียวอ่อนทอดมองผู้เป็นฝ่ายทักทายก่อน แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ

    "ยินดีที่ได้พบท่าน องค์ชายอเล็กซิส"

    ชายหนุ่มเดินไปชมวิวริมสระ รูปสลักสีขาวตั้งตระหง่านอยู่กลางสระน้ำ มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ อย่างปรานี ทำให้เขาอดยิ้มล้อเลียนไม่ได้

    "ปีนี้มาทันงานฉลองเทศกาลใบไม้แดง ไม่ติดธุระหรือ"

    แม้จะแดกดัน แต่น้ำเสียงทุ้มก็ยังนุ่มนวลตามแบบฉบับผู้ที่ได้รับการอบรมมาแต่เล็กแต่น้อย ดวงตาสีม่วงยังคงมองไปทางเดิม มิได้กลอกตามการเคลื่อนไหวของคู่สนทนา เอย์ระนึกอยากจะหาอะไรขว้างศีรษะรูปสลักหินกลางน้ำนั่น แต่ก็สู้อดทนไว้

    "งานฉลองที่ฤดูกาลหมุนเวียนไปด้วยความเมตตาจากครูซ...ไร้สาระ"

    คำกล่าวของชายหนุ่มทำให้เหล่านักบวชชรามีสีหน้าแตกต่างกัน บ้างหวาดกลัว บ้างโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคำพูดออกมา ทุกคนนิ่งเงียบ จนกระทั่งประมุขแห่งศาสนจักรเอ่ยปาก

    "ดูเหมือนขุนนางมาครูซรุ่นที่สิบเจ็ดจะไม่ค่อยสนใจบรรพบุรุษของตัวเองเลยนะ"

    "บรรพบุรุษ?" เอย์ระหัวเราะเสียงใสราวกับขบขันเสียเต็มประดา ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง "ข้ามาที่นี่เพื่อมารอดูหน้าอัศวินคนใหม่ของท่าน เรื่องเทศกาลใบไม้แดงเป็นผลพลอยได้"

    "อัศวินคนใหม่?"

    คิ้วสีเงินเลิกขึ้นเล็กน้อย คนผมสีทองจึงขยายความ

    "ที่จริงหล่อนควรจะเป็นคนของตระกูลข้า แต่สุนัขของท่านก็ชิงคาบไปเสียก่อน"

    แม้จะกังขากับคำว่า 'หล่อน' แต่เรื่องฝีปากนั้นยอมไม่ได้มากกว่า

    "สุนัขของข้ามีแต่เจ้าเรวี่ มันคาบใครไม่ได้หรอก" คนตาสีม่วงยังคงไม่คลายยิ้ม ขณะเอ่ยถึงสุนัขโพเมอเรเนียนสีน้ำตาลขนฟูของตน แต่คนตาสีเขียวก็ไม่ยอมเปลี่ยนประเด็นไปด้วย

    "ข้าก็ถือซะว่าทำทาน ยังไงตระกูลมาครูซก็ไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจท่านอยู่แล้ว แต่ก็เอาเถอะ..." ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในเสือคลุมสีแดงของตน แล้วหยิบกล่องไม้ลงลายทองละเอียดยิบมาวางลงบนตักขององค์ชาย "ของฝากจากอากะพี่ชายข้า พวกของโปรดท่านนั่นแหละ"

    "ฝากขอบคุณท่านอากะด้วย" มือขาวลูบคลำกล่องไม้บนตักไปมา ก่อนจะส่งให้นักบวชคนอื่นรับไป

    "ได้ตามนั้น...องค์ชาย"

    เอย์ระรับคำ เขายักคิ้วให้รูปสลักครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทำความเคารพ

    ดวงตาของกลุ่มนักบวชจับจ้องแผ่นหลังผึ่งผายที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างไม่เป็นมิตร

    "สามหาวเสียจริง ฝ่าบาทจะปล่อยเข้าไว้แบบนี้หรือขอรับ"

    "เขาก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรนี่" องค์ชายอเล็กซิสตอบ "เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข้าจะอยู่หรือตาย"

    "เขาไม่เคารพยำเกรงท่านเลยฝ่าบาท"

    "เขาก็อุตส่าห์มาทักทายข้าก่อนจะเข้าวัง อย่างน้อยก็ถือว่าทักทายเจ้าของบ้านก่อนเข้าบ้าน"

    "เขาจงใจมาล่วงเกินฝ่าบาทมากกว่า คนคนนี้แม้แต่ความนับถือในครูซก็ไม่มีด้วยซ้ำ"

    ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ นักบวชข้างกายรีบยื่นมือให้เกาะ ประคองให้เขาหันหน้าไปยังรูปสลักหิน

    "ครูซจะคุ้มครองผู้ที่ศรัทธา ครูซจะลงโทษผู้ที่ลบหลู่ดูหมิ่น เมล็ดพันธุ์ที่แห้งเสียย่อมไม่สามารถเจริญงอกงาม เมล็ดที่แห้งเสียเพียงเมล็ดเดียวก็ไม่อาจทำให้ไร่นารกร้าง"

    เหล่านักบวชคุกเข่าลงกับพื้น แล้วประสานมือเอ่ยบทสวดพร้อมกัน

    ดวงตาสีไวโอเลตจับจ้องอยู่กับความเวิ้งว้าง คำพูดที่แสดงถึงความคลางแคลงและเกลียดชังหาได้ทำให้เขาหวั่นไหวไม่ แต่ที่นึกสงสัยก็คือคำพูดเป็นนัยๆ ของบุรุษผู้จากไป

    อัศวินคนใหม่ เกี่ยวพันอย่างไรกับตระกูลมาครูซ...


    "ท่านโยชัวร์ขอรับ องค์ชายรับสั่งให้เข้าเฝ้า"

    ชายหนุ่มบนหลังม้าเลิกคิ้วนิดๆ นี่เท้าเขายังไม่ทันแตะพื้นเลย องค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็ส่งคนมาตามแล้ว

                เมื่อแรกเขาคิดจะพาบาซันไปฝากฝังกับครูทหารเป็นพิเศษเสียก่อน แต่แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ คงไม่นานเท่าไหร่...มั้ง

                "องค์ชายรับสั่งให้ท่านพาอัศวินคนใหม่ไปเฝ้าด้วยขอรับ"

                "อัศวินคนใหม่?"

    อัศวินหนุ่มกลอกตาขึ้นฟ้า นี่เขาเพิ่งออกจากป่า ระหว่างนี้คงไม่มีการแต่งตั้งอัศวินใหม่ อัศวินที่ได้รับการแต่งตั้งคนล่าสุดก็เมื่อสามเดือนที่แล้ว...อืม

    เขาหันกลับไปทางทิศที่เป็นที่ตั้งของกรมทหาร...อเล็กซิสคงไม่ได้หมายถึงเด็กคนนั้นหรอกมั้ง บาซันยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินเสียหน่อย จะว่าไป เป็นทหารก็ยังไม่ใช่เลย

    โยชัวร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งผู้ติดตาม

    "ไปตามเอเธเนียลมาพบข้าที่วิหารหลวง"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×