คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่5 สู่งานเลี้ยง [2]
บทที่5 สู่งานเลี้ยง [2]
คำประกาศอย่างมั่นใจของอีกคนทำเอาอาเรนเซียถึงกับก้าวผิดจังหวะจนตัวเซ
‘เจ้ายัง [เก็บได้]
ไม่พออีกรึ...’
ว่าพลางเหลือบมองไปทางองครักษ์ทั้งหกคน
สองคนในนี้เป็นคนของลักซ์ ซึ่งต่างก็ถูกเก็บมาทั้งสิ้น
คนหนึ่งได้จากตอนไปทลายกองโจรทะเลทราย
อีกคนเป็นมือสังหารที่บุกมาจะสังหารพวกเธอ...
ก็ไม่ทราบว่าไปทำการตกลงกันอีท่าไหน
สุดท้ายสองคนนั้นก็ภักดีกับลักซ์จนเรียกได้ว่าถูกล้างสมองไปเป็นที่เรียบร้อย
‘โควตาฉันยังเหลืออีกหลายที่ ทำไมจะเก็บเพิ่มไม่ได้ล่ะ?’
‘...ก็ถูกของเจ้า’
โดยตามปกติแล้วพวกลูกขุนนางจะได้รับข้ารับใช้ที่ภักดีกับตัวเองชุดหนึ่งตามยศขุนนางของบิดามารดา
อาจจะไม่ได้มีกฎหมายตายตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่คนทั้งหลายปฎิบัติกัน และหากใครที่มีผู้ติดตามมากเกินฐานะ
ก็จะกลายเป็นที่ดูถูกดูแคลนได้
บิดาของพวกเธอเป็นขุนนางขั้นเจ็ด
มีฐานะเป็นรองเพียงเชื้อพระวงศ์และขุนนางขั้นแปด
ส่วนมารดานั้นเป็นรองแม่ทัพประจำเมืองหลวง ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดเช่นเดียวกับบิดา จำนวนข้ารับใช้ที่อาเรนเซียจะต้องมีจึงมากถึง 19
คน เป็นองครักษ์ 10 คน สาวใช้ 8 คน และพ่อบ้านอีก 1 คน
หลังจากทำการตกลงกันอยู่นาน
ก็สรุปว่าลักซ์จะได้องครักษ์แปดคน พ่อบ้านหนึ่งคน สาวใช้หนึ่งคน ในขณะที่อาเรนเซียจะมีสาวใช้มากถึงเจ็ดคน องครักษ์สองคน และพ่อบ้านคนเดียวกัน นั่นคือแลนช์
ข้อสรุปของจอมมารน้อยจากการแบ่งสันปันส่วนครั้งนี้คือ
เจ้าตัวเหมาะกับองครักษ์เยอะ ๆ เนื่องจากจะได้เอาไป9[9uกับคนอื่นสะดวก(?) ส่วนอาเรนเซียนั้นมีสาวใช้เยอะ ๆ
จะได้เป็นคุณหนูผ้าขาวต่อไป(?)
เอิ่ม
ก็พูดอะไรไร้สาระได้สมกับเป็นลักซ์ดีนั่นแหละนะ
ทางด้านอาเรนเซียนั้นทุกตำแหน่งถูกจับจองจนเต็มแล้ว
แต่ลักซ์กับยังเหลือที่ว่างขององครักษ์อีกสี่ที่ด้วยกัน
...แล้วดูเหมือนว่ากำลังจะมีที่หนึ่งถูกเติมเต็ม
‘กวางน้อย ทำทานหน่อยสิ’
เสียงที่ดังขึ้นดึงเด็กหญิงให้ตื่นจากภวังค์
เธอเลิกคิ้วสูงอย่างตามคำพูดนั้นไม่ทันนัก
คนเช่นลักซ์กำลังบอกให้เธอไปสร้างความดี?
วันนี้ฝนต้องตกแน่
ๆ
‘ทำทานอะไรเหรอ?’
‘ก็ซื้อของไปฝากหมอนั่นไง โชว์ความเป็นคนใจบุญหน่อย’
‘...เจ้าพูดเหมือนข้าเป็นคนต้องการตัวเขาเองอย่างนั้นแหละ’
ดรุณีน้อยภายในร่างหัวเราะ
เอ่ยปากเร่ง
‘เถอะน่ากวางน้อย ช่วยกันทำมาหากินหน่อย’
เบิร์นมองพี่สาวที่หมุนตัวกลับอย่างกะทันหันด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่?”
อาเรนเซียเอ่ยพร้อมกับยิ้ม
“กะว่าจะไปซื้ออาหารไปให้ชายคนนั้นสักหน่อยน่ะ”
ทุกคนต่างมองตามมือของคุณหนูอาเรนเซียไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
ชายในชุดคลุมเก่ามอซอราวกับขอทานนั่งเอนหลังพิงกำแพงด้วยสีหน้าเย็นชา ดูเหมือนว่าจะไม่สบอารมณ์นักที่ถูกคนเมาเหยียบเอาเมื่อสักครู่นี้
ในอ้อมแขนข้างหนึ่งประคองดาบเอาไว้อย่างหวงแหนอยู่บ้าง
ดวงตาสีฟ้าอ่อนมองไปข้างหน้าดูนิ่งงัน
ทำเอาผู้คนไม่มีใครกล้าเฉียดกายเข้าไปใกล้เขาสักคน
“โอ้...”
แลนช์และบรรดาองครักษ์ต่างพากันอุทานออกมา
ดวงตาทอประกาย เริ่มหันไปพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ต่างพากันตื่นเต้นไม่ต่างกับลักซ์
พวกเขาทั้งหกคนแน่นอนว่าเป็นเหล่าคนที่ฝึกร่างกายจนแข็งแกร่ง นับว่าเป็นสายกายภาพโดยแท้
ส่วนแลนช์นั้นก็ยังนับว่าเป็นสายกายภาพอยู่กึ่งหนึ่ง พวกเขาจึงมองออกอย่างรวดเร็วว่าชายที่ราวกับขอทานคนนั้นมีร่างกายที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีเพียงใด
พวกเขาทิ้งให้จอมเวทสองคนยืนมองตาปริบ
ๆ ทุกคำที่พวกนั้นกล่าวชมชายผู้นั้น
ทั้งคู่ฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่ครึ่งคำ
อาเรนเซียเดินไปซื้ออาหารและน้ำกลับมาถุงใหญ่
หลังจากลังเลอยู่แวบหนึ่งก็ตัดสินใจเดินตรงๆผทางชายผู้นั้น
ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะชะงักแล้วหันกลับมาจ้องเธอเขม็ง
ทำเอาเด็กหญิงจำต้องหยุดฝีเท้าด้วยความตกใจ ทั้ง ๆ
ที่ทั้งคู่นั้นยืนอยู่หลายกันกว่าห้าเมตร
เมื่อหายตกใจ ดรุณีน้อยก็ยกยิ้มบางเบาแม้ว่าจะจับเค้าความหนักอึ้งบางอย่างได้แล้วก็ตามที
กระนั้นก็ยังฝืนเดินไปวางถุงอาหารนั้นลงข้าง
ๆ ชายหนุ่ม แล้วเดินกลับไปหากลุ่มคนของตัวเองรวดเร็วราวกับมีสิ่งใดไล่กวดมาทางด้านหลัง
ทิ้งให้ชายจรจรจัดผู้นั้นจ้องมองถุงอันบรรจุเต็มไปด้วยอาหารแห้ง
น้ำและของพร้อมทานนานาชนิดด้วยสายตาเรียบเฉย
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
ทว่าเด็กหญิงคนนั้นพร้อมด้วยคนของเธอก็ได้เดินหายไปเสียแล้ว
สองร่างซึ่งยังไม่ล่วงเข้าวัยหนุ่มสาวเดินกันลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์
ท่านพ่อท่านแม่ที่ยืนรออยู่ก่อนมองบุตรทั้งสองคนที่กำลังก้าวลงบันไดมาอย่างช้า
ๆ อดจะอุทานพร้อมเอ่ยปากชมเสียมิได้
“ว้าว! พวกลูกดูดีมากเลยจ้ะ”
ท่านแม่เอ่ยชมแล้วตรงเข้าไปกอดบุตรทั้งสองด้วยความรักใคร่
อาเรนเซียและเบิร์นจึงพากันแย้มยิ้ม
“ท่านพ่อท่านแม่เองก็สง่างามยิ่งค่ะ”
อาเรนเซียเอ่ยกลับด้วยใบหน้าเจือยิ้มหวาน
ทั้งสี่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็ต่างเดินไปขึ้นรถม้า
ออกเดินทางไปยังคฤหาสน์ที่ส่งบัตรเชิญมาให้เมื่อไม่นานมานี้
เด็กหญิงลูบกระโปรงสีเขียวอ่อนสลับเข้มของตัวเองอย่างเหม่อลอย
ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงคนที่พบเมื่อตอนเช้าไม่หาย
‘เขาไม่มีพลังเวทแท้ ๆ แต่ยามที่จ้องมองมา ข้ากลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน นั่นเป็นเพราะอะไรเหรอลักซ์?’
เมื่อไม่สามารถหาคำตอบเองได้
ในที่สุดเด็กหญิงก็ตัดสินใจถามอีกคนในร่าง
ทางนั้นครางอืมด้วยเสียงเหมือนคนเพิ่งตื่น
...ก็เพิ่งตื่นจริง
ๆ นั่นแหละ
‘นั่นเรียกว่าจิตสังหาร พวกคนที่เคยผ่านการต่อสู้จริง ๆ มาก่อนมักมีมัน พวกมันไม่ใช่พลังวิเศษอะไร แต่เป็นเหมือน...อืม? จะว่ายังไงล่ะ เหมือนเป็นอารมณ์ที่แผ่ออกมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะสังหาร
อะไรประมาณนั้น’
อาเรนเซียทบทวน
จะว่าเข้าใจก็เหมือนไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
‘เจ้าก็มีมันใช่มั้ย? เหมือนเคยได้ยินองครักษ์พูดชมเจ้าว่าจิตสังหารของเจ้าแรงมาก’
‘ใช้คำว่าแรงเลยเหรอ? ฉันนึกว่าพูดถึงเจ้าที่’ ลักซ์หัวเราะเสียงดัง ‘ก็อาจจะใช่ แต่จิตสังหารของฉันมันเกิดขึ้นจากภาพความทรงจำที่เป็นผู้ถูกกระทำแล้วมีความต้องการที่จะเอาคืน
อารมณ์มันต่างจากพวกที่เคยผ่านการต่อสู้มานิดหน่อยตรงที่ของฉันมันจะไปทางจิตอาฆาตพยาบาทเล็กน้อย’
‘...ขอโทษนะ ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดสักนิด’
‘ฮ่า ๆ ฉันก็ไม่คิดว่าจะเธอจะเข้าใจอยู่แล้ว!’
ไม่นานนัก
รถม้าของตระกูลเวลด้าก็จอดสนิทอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังงามอันเต็มไปด้วยผู้คนในชุดหรูหรากับเครื่องประดับแพรวพราว
เสียงดนตรีที่ดังอยู่ทั่วทำให้บรรยากาศดูสมกับเป็นงานรื่นเริง
‘โอ้ ดูสิกวางน้อย หนอนมีหลายสีมาก!’
อาเรนเซียรับฟังถ้อยคำประชดแดกดันนั้นพลางยิ้มแหย
การมาถึงของคนตระกูลเวลด้านำมาซึ่งเสียงเซ็งแซ่อย่างตื่นเต้นประหลาดใจ ด้วยไม่คาดว่าขุนนางขั้นเจ็ดกับรองแม่ทัพคนสำคัญจะมาตามคำเชื้อเชิญของขุนนางเล็ก
ๆ ที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากมายเช่นนี้
ท่านพ่อท่านแม่แยกตัวออกไปคุยกับพวกผู้ใหญ่ ในขณะที่อาเรนเซียกับเบิร์นก็กำลังถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเด็ก
ๆ มากหน้าหลายตา
เบิร์นมีท่าทีค่อนข้างอึดอัดกับการต้องมาอยู่ท่ามกลางคนมาก
ๆ กับเสียงดังสนั่นจนแสดงผ่านออกมาทางสีหน้าที่ทั้งหงุดหงิดและไม่สบายใจ
...ทว่าอนิจจา จะไปมีใครทุกข์ทรมานปานผีเข้าวัดได้เท่าจอมมารน้อยกันเล่า
‘เบื่อออ เบื่อโว๊ยยย!’
ความคิดเห็น