ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bleach] For you forever - Ichiruki

    ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 11 : Past Time III - Our Fear

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 58


    CHAPTER 11

    Past Time III – The Fear

     

     






     

     

     

     

              กริ๊งงงงง~~

     

     

              สัญญาณโทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เวลากลางดึกอย่างนี้คงไม่มีใครตื่นขึ้นมารับสาย ยกเว้นคนที่นอนไม่หลับอย่างลูเคีย

     

     

              ร่างเล็กสวมชุดนอนเสื้อเชิ้ตเข้ากับกางเกงขายาวสีเหลืองอ่อนลายสก็อต ลูเคียนอนไม่หลับเพราะยังรู้สึกไม่สบายใจจึงออกมาเดินเล่นคนเดียว เธอได้แต่ภาวนาให้คืนนี้เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

     

     

              เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอจึงรีบเดินเข้าไปยังส่วนกลางของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พลางนึกแปลกใจว่าใครกันถึงโทรมาดึกขนาดนี้ แต่เธอเองก็ไม่อยากให้มันส่งเสียงรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะโซเดะโนะ ชิรายูกิ ผู้เป็นแม่บุญธรรมของตน มือบางยกโทรศัพท์นั้นขึ้นทาบกับหูของตัวเอง

     

     

              "สวัสดีค่ะ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชิรายูกิค่ะ..."

     

              เสียงใสของลูเคียพูดขึ้นหลังจากรับโทรศัพท์ แต่กลับมีเพียงความเงียบจากปลายสายตอบรับกลับมา ลูเคียขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ และสงสัย

     

     

              "นั่นใครน่ะ?"

     

              ลูเคียพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กระแทกเสียงลงไปมากขึ้น เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเธอไม่ได้สนุกที่ต้องมาเล่นอะไรแบบนี้

     

     

              เด็กสาวถอนหายใจอีกครั้งอย่างไม่ชอบใจ ก่อนตัดสินใจวางหู เพราะคิดว่าคงจะเป็นพวกที่โทรผิด หรือไม่ก็พวกที่ชอบโทรมาป่วนคนอื่นเล่นๆตอนกลางดึก

     

     

              แต่ยังไม่ทันที่ลูเคียจะได้วางหู เธอก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย จนทำให้เธอต้องยกโทรศัพท์นั่นขึ้นแนบทับกับใบหูอีกครั้ง

     

              \"พ...พี่ลูเคีย นั่นพี่ใช่มั้ย..."\

     

     

              น้ำเสียงคุ้นเคยของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ลูเคียรู้จักดี ถ้าเธอจำไม่ผิด เสียงนั้นคือเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งถูกรับไปเลี้ยงโดยชายที่ชื่อไอเซ็นเมื่อไม่นานมานี้

     

     

              "ใช่ ฉันเอง... นั่นเธอเหรอ ฮานะจัง"

     

              ลูเคียเรียกชื่อของเด็กผู้หญิงที่กำลังพูดกับเธอผ่านโทรศัพท์ พลางกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆอย่างรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เพราะน้ำเสียงเธอได้ยินนั้นดูอ่อนแรงเหมือนคนกำลังจะขาดใจ

     

              \"พ...พี่ลูเคีย ช...ช่วยฉันด้วยนะ"\

     

     

              “ช่วย? ช่วยอะไร ฮานะ!! ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน บอกพี่มาซิ” ลูเคียพูดขึ้นอย่างร้อนรน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กๆที่ถูกรับไปเลี้ยงควรจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างสุขสุขสบายสิ แต่ทำไม... ทำไมน้ำเสียงของฮานะถึงเป็นแบบนั้น เสียงที่สั่น และแหบพร่าราวกับคนไม่สบาย นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกใจเสียไม่น้อย

     

     

     

     

     

              \"ช...ช่วยฉันด้วยลูเคีย..."\

     

              \"ฉัน ม...ไม่ไหวแล้ว ลูเคีย ช...ช่วยฉันที"\

      

              \"ลูเคีย..."\

     

     

              คราวนี้เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ลูเคียแทบคลั่ง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นเริ่มชื้นเหงื่อ และสั่นเบาๆ เสียงนั้น...เสียงของเพื่อนเธอ ทั้งเด็กผู้หญิง ทั้งเด็กผู้ชาย เธอจดจำน้ำเสียงของเพื่อนเธอได้ดี ทุกคนกำลังขอความช่วยเหลือ เกิดอะไรขึ้นกับเพือนของเธองั้นเหรอ...

     

     

              "พวกเธออยู่ที่ไหน!? ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้เลย"

     

              ลูเคียตะคอกใส่ปลายสายอย่างเหลืออด ลางสังหรณ์แปลกๆพุ่งเข้ามาภายในจิตใจไม่หยุด อีกทั้งมันยังทำให้เธอแทบจะควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่

     

     

     

     

     

              \"ชู่ว...อย่าส่งเสียงดังไปสิ ลูเคียจัง"\

     

              น้ำเสียงเย็นติดเล่นของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับมาอีกครั้ง มันไม่ใช่เสียงของเพื่อนเธอ เสียงที่เธอไม่เคยได้ยินและไม่รู้จัก ลูเคียจึงตั้งสติ และตั้งใจฟังอีกครั้งอย่างใจจดใจจ่อ พลางนึกในใจว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี

     

     

              "นายเป็นใคร รู้จักฉันได้ยังไง"

     

     

              \"อืมมม อยากรู้จริงๆเหรอ"\

     

     

              "ตอบฉันมา!!!" ลูเคียตะคอกเสียงดัง เมื่อน้ำเสียงที่ฟังดูนิ่งเรียบของขายคนนี้กลับกวนประสาทคนฟังอย่างเธอได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

     

     

              \"อา...อย่าดุสิลูเคียจัง ฉันจะบอกให้ก็ได้น้า"\

     

              \"ฉัน...อิจิมารุ งิน"\

     

     

              ลูเคียนิ่งคิดเมื่อได้ยินชื่อแปลกๆของชายคนนั้น เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

     

     

              \"เอ๋...ทำไมเงียบไปล่ะลูเคียจัง"\

     

     

              "นายต้องการอะไร!?"

     

     

              \"เข้าประเด็นเลยงั้นเหรอ ก็ได้...งั้นฉันจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ"\

     

              จู่ๆน้ำเสียงขี้เล่นกวนประสาทของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นจริงจังในที่สุด ลูเคียไม่ได้ตกใจอะไร เพราะเวลานี้จิตใจของเธอจดจ่ออยู่กับเสียงอื่นๆ เสียงของเพื่อนเธอที่กำลังร้องโอดครวญเจ็บปวดอย่างทรมาน

     

     

              \"มาที่ภูเขาxxxสิ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของเธอตาย..."\

     

              ลูเคียได้ยินชื่อภูเขานั้นก็ใจสั่นอย่างหวาดกลัว เพราะภูเขานี้เป็นภูเขาที่พี่ไคเอ็นไปจัดการเรื่องของไอเซ็นน่ะสิ ลูเคียเริ่มปะติปะต่อเรื่องราว เสียงของเพื่อนเธอเป็นเสียงของเด็กที่ไอเซ็นรับไปเลี้ยงทั้งหมด บวกกับสถานที่ที่ชายคนนี้บอกเธอ เธอจึงคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับไอเซ็นอย่างแน่นอน

     

     

              \"อย่าช้าล่ะลูเคียจัง ไม่แน่นะ เธออาจจะไม่ได้เจอกับผู้ชายที่ชื่อไคเอ็นไปตลอดชีวิตเลยก็ได้..."\

     

     

              ตืด ตืด ตืด ตืด ตืด

     

     

              เมื่ออีกฝ่ายตัดสายไป หัวใจของลูเคียหล่นวูบ มือที่ชื้นเหงื่อเพราะกำโทรศัพท์แน่น ปล่อยให้โทรศัพท์นั้นร่วงลงกับพื้นอย่างไม่ใส่ใจ มือบางสั่นเทาด้วยไม่มีแรงจะจับอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

     

     

              ‘พี่ไคเอ็น ยิ่งได้ยินชื่อนี้พร้อมทั้งคำพูดแบบนั้นจากชายที่ชื่ออิจิมารุ ใจที่เป็นห่วงอยู่แล้ว กลับยิ่งรู้สึกเป็นห่วงและกังวลมากขึ้นทวีคูณ

     

     

              ไม่มีเวลาแล้ว... ลูเคียรีบวิ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันทีที่คิดได้ ถึงแม้จะอันตราย แต่

     

              ...พี่ไคเอ็น อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะ ขอร้องล่ะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              ณ คฤหาสน์คุโรซากิ

     

     

     

              "กลับมาแล้วววว..."

     

              อิจิโกะที่เพิ่งกลับมาจากบ้านของตระกูลชิบะ ตะโกนเสียงดังเพื่อให้พ่อ และน้องสาวของเขารับรู้ว่าเขามาถึงแล้ว พลางตั้งท่าเตรียมหลบบาทาที่ถูกประทานให้จากพ่อของเขาแทบทุกวัน

     

     

              แต่วันนี้แปลกที่พ่อของเขากลับไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย และออกมาต้อนรับด้วยการใช้กำลังเช่นเคย

     

     

              อิจิโกะเดินลึกเข้าไปในตัวคฤหาสน์เรื่อยๆ แต่ก็ไร้วี่แววของครอบครัวตัวเอง ทำไมไม่มีใครมาต้อนรับเขาซักคน ชักหงุดหงิดแล้วนะ

     

     

              "พี่อิจิ"

     

              "พี่คะ"

     

              เสียงใสติดห้าว และเสียงที่ฟังดูอ่อนนุ่มของเด็กผู้หญิงวัยประมาณสิบกว่าขวบ 2 คน ดังขึ้นประสานเสียงพร้อมกันจากด้านหลังของเด็กหนุ่มผมส้ม เพื่อเอ่ยทักผู้เป็นพี่ชาย

     

     

              "คาริน ยูสึ"

     

              เสียงนั้นทำให้อิจิโกะต้องเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปมอง เขาพบน้องสาวฝาแฝดทั้งสองคนกำลังยืนอยู่โดยใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้ว

     

     

              "ทำไมวันนี้กลับช้าจังคะพี่"

     

              เด็กสาวเรือนผมสีส้มอ่อนๆเอ่ยขึ้นถามผู้เป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะโกรธนิดๆแต่ยังเจือปนไปด้วยความเป็นห่วง

     

     

              "จะอะไรซะอีกล่ะยูสึ พี่อิจิเค้าก็คงไปหาพี่ไคเอ็นเหมือนเดิมนั่นแหละ"

     

              คราวนี้เด็กสาวผมสั้นสีดำเข้มเป็นผู้ให้คำตอบกับฝาแฝดของตนแทนผู้เป็นพี่ชายที่ยืนทำหน้างงๆอยู่อย่างนั้น ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่ความจริงเธอก็เป็นห่วงพี่ชายคนนี้ไม่น้อย

     

     

              "นั่นสินะ คารินจัง"

     

              เด็กสาวผมสีส้มอ่อนนามยูสึเอ่ยขึ้นกับผู้เป็นฝาแฝดของเธอ ก่อนหันหน้าไปจ้องอิจิโกะอย่างเอาเรื่อง

     

     

              "ไหนพี่บอกว่าจะกลับมาให้ทันข้าวเย็นไงคะ"

     

     

              "เอ่อ...ยูสึ พี่ขอโทษจริงๆนะ คือว่ามันเพลินไปหน่อยน่ะ"

     

              อิจิโกะยิ้มเจื่อนๆให้กับเด็กสาวทั้งสองคน ถ้าบอกความจริงว่าเขาไปรอไคเอ็นตั้งแต่บ่าย แล้วกลับมาซะมืดแบบนี้ มีหวังต้องโดนทั้งพ่อทั้งน้องเทศนาจนหูชาอย่างแน่นอน

     

     

              คารินกับยูสึมองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆกันอย่างปลงใจ

     

     

              "ว่าแต่... ป๋าล่ะ" 

     

              อิจิโกะพยายามเปลี่ยนเรื่องถามหาพ่อของตน พลางสอดส่องมองไปรอบๆเพื่อหาร่างพ่อเขา

     

     

              "อ๋อ วันนี้ป๋ามีประชุมกับพวกผู้นำตระกูลที่ห้องประชุมน่ะพี่อิจิ" คารินตอบ

     

     

              "ใช่ค่ะ ประชุมตั้งแต่เย็นแล้วยังไม่ออกมากันเลย" ยูสึช่วยพูดเสริมให้เล็กน้อย

     

     

              "งั้นเหรอ"

     

              แววตาอิจิโกะแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำว่าผู้นำตระกูล แสดงว่าตระกูลคุจิกิก็ต้องมาด้วย แต่น้ำเสียงที่เขาใช้ตอบเด็กสาวทั้งคู่ก็ยังดูปกติ

     

     

              "อื้ม พี่อิชิดะก็มาที่นี่ด้วย แต่กลับไปแล้วล่ะ" 

     

              คารินบอกกับอิจิโกะอีกครั้ง เพราะเห็นว่าอิชิดะและอิจิโกะเป็นเพื่อนสนิทกัน

     

     

              "เจ้าอิชิดะน่ะนะ มาทำอะไร"

     

              อิจิโกะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ และสงสัยว่าอิชิดะมาทำไม ถึงแม้ว่าเขาจะสนิทกัน แต่เจ้านั่นก็เป็นคนหยิ่งๆ โดยปกติแล้วจะไม่มาหาเขาก่อน ถ้าไม่นัดล่วงหน้าก่อนซักสามวัน ก็จะไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ

     

     

              "พี่อิชิดะเค้ามากับผู้ชายตัวใหญ่ๆ แถมมีหนวดเฟิ้มเลย ท่าทางดูน่ากลัวมากเลยล่ะค่ะ"

     

              ยูสึอธิบาย พร้อมกับทำสีหน้าหวั่นวิตกและหวาดกลัวเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้น

     

     

              อิจิโกะจินตนาการภาพตามว่าผู้ชายคนที่อิชิดะมาด้วยเป็นใคร แต่ก็นึกไม่ออก ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ เพื่อไม่ให้มันรกสมองของเขา เพราะแค่มีคนจากตระกูลคุจิกิก้าวเข้ามาเหยียบในคฤหาสน์แห่งนี้ เขาก็ไม่ชอบใจพออยู่แล้ว

     

     

              "อืม... ขอบใจมากนะยูสึ คาริน ไปนอนเถอะ มันดึกแล้ว"

     

     

              "งั้นราตรีสวัสดิ์นะคะพี่" 

     

              ยูสึบอกเพลียๆ พลางป้องปากหาว แล้วออกแรงดึงข้อมือคารินให้ตามเธอขึ้นบันได

     

     

              "ราตรีสวัสดิ์นะพี่อิจิ"

     

              คารินบอกก่อนที่จะโดนยูสึลากขึ้นห้องนอนไป

     

     

              "ราตรีสวัสดิ์"

     

              อิจิโกะบอก พลางมองตามน้องสาวทั้งสองของเขาเดินขึ้นบันไดไปจนลับสายตา ก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องประชุม

     

     

              ตอนนี้เขายังนอนไม่ได้ ถ้าเขายังไม่รู้ว่าคนพวกนี้ประชุมเรื่องอะไร ตระกูลคุจิกิจะมาที่นี่เพื่ออะไร ทำไมต้องมาประชุมที่นี่ แล้วทำไมผู้นำตระกูลชิบะอย่างไคเอ็นถึงไม่ได้เข้าประชุม แถมไคเอ็นยังต้องไปจัดการภารกิจของหน่วยพิทักษ์อีก ถ้าเขาไม่รู้เหตุผลทั้งหมดที่ว่า คืนนี้เขาก็ไม่มีทางหลับลงเด็ดขาด!

     

     

     

     

     

              อิจิโกะเดินมาหยุดหน้าประตูห้องประชุม ก่อนยืนนิ่งอยู่สักพักอย่างชั่งใจว่าจะเปิดเข้าไปดี หรือว่าจะรอ แต่ด้วยความอยากรู้ของอิจิโกะมีมากกว่า เขาจึงตัดสินใจยื่นมือไปจับลูกบิดอย่างเชื่องช้า ด้วยกลัวว่าหากรีบพรวดพราดเข้าไป มีหวังคงจะโดนเอ็ดแน่ แต่ก็ช้าไป

     

     

     

     

     

              กริก...

     

     

              เสียงเปิดประตูจากข้างในห้องประชุมดังขึ้นในวินาทีต่อมา จนอิจิโกะแทบจะชักมือกลับมาไม่ทัน ก่อนจะก้าวเท้าออกห่างจากประตูเล็กน้อย เขารีบยืนนิ่งหันหน้าหนีไปทางอื่นทำไม่รู้ไม่ชี้

     

     

              ใบหน้าของผู้ที่ก้าวออกมาคนแรก ชวนให้อิจิโกะหน้าตึงอย่างไม่สบอารมณ์ทันใด ทำไมน่ะเหรอ ก็คนๆนั้นคือ คุจิกิ เบียคุยะ

     

     

              ร่างของเบียคุยะเปิดประตูนั่นออกมา แล้วเอียงตัวหลีกทางให้กับชายชราผู้เป็นปู่ของเขาเดินออกมาก่อนตามมารยาท

     

     

              "จัดการเรื่องนั้นด้วยล่ะ เบียคุยะ มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้พลาดเด็ดขาด"

     

              เสียงแหบพร่าทรงอำนาจและน่าเกรงขามของ คุจิกิ งินเรย์ ดังขึ้นสั่งชายหนุ่มผมดำประบ่าผู้เป็นหลานชาย

     

     

              "ครับ" 

     

              เบียคุยะรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ก่อนสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมส้มที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาปรายตามองอิจิโกะเล็กน้อยอย่างไม่แสดงความรู้สึกอะไร ซึ่งกิริยาท่าทางแบบนี้ยิ่งทำให้อิจิโกะรู้สึกโมโหมากขึ้นเท่าตัว

     

     

              "ไปได้แล้วเบียคุยะ เดี๋ยวจะสาย"

     

              คุจิกิ งินเรย์พูดขัดขึ้น แล้วเดินนำเบียคุยะออกไป เบียคุยะเห็นดังนั้นจึงละความสนใจจากอิจิโกะ และก้าวเท้าเดินตามผู้เป็นปู่ห่างๆ

     

     

              อิจิโกะขมวดคิ้ว พลางกำมือแน่น ด้วยความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังที่ปะทุขึ้นมาในใจ แค่ได้ยินคำว่า'คุจิกิ' เขาก็แทบจะบ้าตายอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นหน้าก็ยิ่งเกลียด

     

     

              เด็กหนุ่มสาวเท้าเดินตามเบียคุยะไปอย่างตั้งท่าจะหาเรื่องด้วยอารมณ์ร้อนที่ควบคุมตัวเองแทบจะไม่อยู่ แต่กลับถูกมือของใครบางคนรั้งไหล่ของเขาเอาไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองทันที

     

     

              "อย่าใจร้อนไป เจ้าหนู... ยังไม่ถึงเวลาหรอกน่า ยังเหลือเวลาให้แก้แค้นอีกเยอะ"

     

              หญิงสาวผิวสีแทน เจ้าของผมสีม่วง ดวงตาอันทรงเสน่ห์ และรอยยิ้มขี้เล่นที่เป็นเอกลักษณ์ ชิโฮอิน โยรุอิจิ ผู้นำตระกูลชิโฮอิน เธอคือผู้รั้งไหล่ของเขาเอาไว้

     

     

              อิจิโกะมองมือของหญิงสาวที่เขาเคารพเหมือนพี่สาว ถึงแม้อายุจะห่างกันมากก็ตาม โยรุอิจิปล่อยมือจากไหล่ของอิจิโกะ ก่อนจะหันไปพูดกับชายหนุ่มร่างสูง ผมสีทอง ผู้ติดตามที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทของเธอเสียมากกว่า

     

     

              "เนอะ คิสึเกะ"

     

     

              "ใช่แล้วคร้าบ คุณโยรุอิจิ"

     

              ‘อุราฮาร่า คิสึเกะ ตอบด้วยรอยยิ้ม และสายตาเจ้าเล่ห์ที่มองไปยังอิจิโกะ

     

     

              "คุณโยรุอิจิ คุณอุราฮาร่า" อิจิโกะเรียกชื่อของคนทั้งสองอยางตกใจ

     

     

              "อย่างที่ฉันบอก นายยังแก้แค้นตอนนี้ไม่ได้ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา"

     

              โยรุอิจิบอกกับอิจิโกะอีกครั้งโดยเปลี่ยนน้ำเสียงให้ดูจริงจังยิ่งขึ้นเพื่อให้อิจิโกะเชื่อฟัง แล้วยกมือขึ้นโบกไปมาแทนคำบอกลา และเดินออกไปทันที โดยมีอุราฮาร่าเดินตามหลังไปติดๆ

     

     

              แต่ช่วงขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มกวนบาทาอย่างอุราฮาร่าเดินผ่านอิจิโกะ เขาโน้มหน้าลงไปข้างหูของอิจิโกะแล้วกระซิบบางอย่าง ก่อนเดินจากไปอีกคน

     

              "เชื่อคุณโยรุอิจิเถอะครับ คุณคุโรซากิ"

     

     

              อิจิโกะรู้สึกหัวเสีย จะให้เขารอไปอีกนานแค่ไหนกัน ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เขาไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง ทั้งๆที่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของคนใน 5 ตระกูลใหญ่ และตอนนี้เขาก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เขาพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่ทำไม... ทำไมถึงไม่มีใครบอกอะไรกับเขาเลยสักคน น่าหงุดหงิดชะมัด

     

     

     

     

     

         ปึก!

     

     

              ก่อนที่อิจิโกะจะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น ก็มีบาทาลอยมาแต่ไกลสัมผัสเข้าที่ใบหน้าของอิจิโกะอย่างจัง ในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว

     

     

              "ป๋า! ทำบ้าอะไรน่ะห้ะ มันเจ็บนะเฟ้ย"

     

              อิจิโกะลุกพรวด ถลึงตาใส่ผู้เป็นพ่อของเขาอย่างเอาเรื่อง

     

     

              "ลงโทษเด็กบ้าอย่างแกไง บังอาจกลับบ้านดึก ยูสึกับคารินรอแกกินข้าวตั้งแต่เย็น"

     

     

              "เอาน่าป๋า ยูสึกับคารินไปนอนกันแล้วล่ะ ว่าแต่ป๋าเหอะประชุมอะไรนักหนา เล่นเอาซะดึก แล้ว...ประชุมเรื่องอะไรกันเหรอ"

     

              อิจิโกะถามด้วยน้ำเสียงเล่นๆที่ดูเหมือนไม่ต้องการคำตอบเพื่อไม่ให้พ่อเขาสงสัย แต่ความจริงแล้วเขาต้องการคำตอบนั้นมากๆ

     

     

              เมื่ออิชชินได้ยินคำถามของอิจิโกะ ใบหน้าขี้เล่นก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทันใด

     

              "อย่ารู้เลยน่ะ เรื่องของผู้ใหญ่ ดึกแล้ว แกควรจะไปนอนได้แล้วนะ ฉันไปล่ะ"

     

              อิชชินพูดตัดบท และพยายามไม่สบตากับอิจิโกะ แล้วเดินจากไปทันทีที่พูดจบ ทิ้งให้อิจิโกะยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก

     

     

              สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง อิจิโกะพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วข่มใจเตรียมเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อหาอะไรทำแก้เครียด เพราะถึงถูกไล่ให้ไปนอน เขาก็นอนไม่หลับอยู่ดี

     

     

     

              "อิจิโกะ"

     

              น้ำเสียงเย็นคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังขึ้นเรียกอิจิโกะจากทางด้านหลัง ทำให้อิจิโกะรู้สึกเหนื่อยแกมรำคาญ เพราะคนที่เพิ่งออกมาจากห้องประชุมแต่ล่ะคนนั้นต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นสายตา คำพูด หรือแม้แต่การกระทำ

     

              ...คราวนี้ใครอีกล่ะเนี่ย...

     

              อิจิโกะคิดก่อนหันหลังมองตามเสียงเรียก ก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงสวมสูทสีขาวดูภูมิฐาน ผมสีน้ำตาลหยักศกอันเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้แว่นกรอบเหลี่ยมสีเขียวเข้ม ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นคนเรียบร้อย รักสงบ และอบอุ่น เขาเป็นคนเก่งมากๆ และเป็นคนที่อิจิโกะเองก็อดชื่นชมในความสามารถการบริหารธุรกิจของเขาไม่ได้ ไอเซ็น โซสึเกะ พ่อบุญธรรมของอาชิโดะเพื่อนของเขา

     

     

              "สวัสดีครับ คุณไอเซ็น"

     

              อิจิโกะให้ความเคารพกับชายคนนี้เป็นพิเศษมากกว่าผู้นำตระกูลคนอื่นๆ เพราะคุโรซากิและไอเซ็นทำธุรกิจร่วมกันอยู่ ทำให้ทั้งสองตระกูลไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนพ่อเขากำชับให้เขาอ้อนน้อมถ่อมตนกับชายคนนี้มากขึ้นสักนิด ซึ่งเขาก็ยอมทำตามอย่างไม่ขัดข้อง

     

     

              "ไม่ต้องมากพิธีหรอกอิจิโกะ ทำหน้าเครียดอย่างนั้น มีเรื่องไม่สบายใจอยู่ล่ะสิ"

     

              ไอเซ็นว่าพลางสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มไปด้วย

     

     

              "เอ่อ... ครับ"

     

              อิจิโกะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ใช่ว่าเขาอยากเครียดซะเมื่อไหร่ล่ะ

     

              "ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย คุณไอเซ็น"

     

              ไอเซ็นนิ่งไปสักพัก ก่อนพยักหน้ารับแทนคำตอบ

     

              "อาชิโดะ...รู้เรื่องการประชุมครั้งนี้รึเปล่าครับ"

     

     

              "รู้สิ ฉันมีเรื่องอะไรฉันก็บอกอาชิโดะทุกอย่างนั่นแหละ เขาเป็นลูกชายฉันนี่ ฉันก็เลยคิดว่าไม่ควรจะมีเรื่องอะไรปิดบังกับเขา"

     

     

              ไอเซ็นตอบเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากแต่พอฟังดูดีๆอีกครั้ง น้ำเสียงนี้เจือปนไปด้วยความเสแสร้งและการข่ม ซึ่งอิจิโกะก็สัมผัสได้เล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก

     

     

              ...ให้ตายสิ ขนาดอาชิโดะไม่ใช่ลูกแท้ๆของไอเซ็น เขายังรู้เลย แล้วฉันล่ะ?...

     

              อิจิโกะสบถในใจอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็คอยปลอบใจตัวเองเบาๆ ที่พ่อเขาไม่ยอมบอกอะไรแก่เขา อาจเพราะเป็นห่วงก็ได้ แต่คิดอีกแง่หนึ่ง เขาก็รู้สึกน้อยใจที่ว่าตัวเองไม่สำคัญพอ ถึงแม้ที่ผ่านมาถ้ามีการประชุมแบบนี้เขาก็แทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ แต่ครั่งนี้มันน่าสงสัยจนเขาอดจะอยากรู้ไม่ได้จริงๆ แต่ช่างมันเถอะ ค่อยไปถามอาชิโดะเอาก็ได้

     

     

              "เธออยากรู้รึเปล่าล่ะ ฉันจะเล่าให้เธอฟังก็ได้นะ"

     

              เสียงของไอเซ็นดังขึ้นขัดความคิด และความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาในสมองอิจิโกะ จนเขาหูผึ่งและหันไปจ้องชายคนนั้นอีกครั้ง 

     

     

              ไอเซ็นเพียงแต่มอง เขาไม่รอให้อิจิโกะตอบ เขาก็รู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าอยากรู้มากแค่ไหน เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยที่มุมปาก ก่อนหันหลังเดินออกไปทางสวนของตระกูลคุโรซากิ

     

     

              "ตามฉันมาสิ คุยตรงนี้คงไม่สะดวก"

     

              อิจิโกะได้ยินดังนั้น จึงเดินตามหลังไอเซ็นไปเงียบๆ

     

     

     

     

     

     

              ท่ามกลางสวนกว้างขวางอันเขียวขจีที่ปกคลุมไปด้วยผืนหญ้านุ่ม ต้นไม้นานาชนิดเรียงรายเต็มไปหมดอย่างเป็นระเบียบ มีน้ำพุที่สวยงามตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางสวน และโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งเล่น ตอนนี้ทุกคนในคฤหาสน์คงจะหลับกันหมดแล้ว มีเพียงแสงจากโคมไฟนีออนอัตโนมัติที่ให้แสงสว่างยามที่ดวงจันทร์ถูกก้อนเมฆครึ้มบดบัง

     

     

              ซึ่งเวลานี้อิจิโกะกำลังนั่งอยู่ตรงข้างกับไอเซ็น พลางจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าสงสัยและอยากรู้เต็มทน

     

     

              "ฉันจะค่อยๆเล่าทีล่ะเรื่องนะ แต่เธอแน่ใจเหรอว่า..."

     

     

              "แน่ใจสิครับ เล่ามาเถอะ"

     

     

              เมื่อไอเซ็นได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากเด็กหนุ่มผมส้ม เขาก็ยกยิ้มอยู่ในใจอย่างสนุก อะไรจะติดกับง่ายขนาดนั้น

     

     

              ไอเซ็นค่อยๆเล่าเรื่องทุกอย่างให้อิจิโกะฟัง ซึ่งแต่ล่ะคำที่ไอเซ็นพูดออกมานั้นมันทำให้อิจิโกะตกใจไม่น้อย

     

     

              การประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีที่ไคเอ็นและหน่วยพิทักษ์แห่งเซเรเทย์กำลังสืบอยู่ ซึ่งมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้ริเริ่มคิดค้นเกี่ยวกับตัวยาตัวตัวหนึ่งขึ้นมา ยานี้เป็นยาที่มีฤทธิ์กล่อมประสาท และแน่นอนว่ามันผิดกฏหมายที่เซเรเทย์ตั้งขึ้น

     

     

              แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะกลุ่มคนที่ว่านี้ทำกันเป็นองค์กรขนาดใหญ่และหาตัวจับได้ยากมาก สิ่งที่องค์กรนี้ทำคือการดัดแปลงตัวยาทำให้เป็นยาที่สามารถควบคุมมนุษย์ให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ทุกอย่าง! คล้ายกับการสะกดจิต

     

     

              และเพราะเหตุนี้จึงต้องมีการทดลอง ในเมื่อยานี้ต้องใช้ควบคุมคน ก็ต้องทดลองกับคนจริงๆ! ทำให้มีเหยื่อมากมายที่ตกเป็นหนูทดลองให้กับคนเลวๆที่ไม่คิดถึงชีวิตคนแบบนี้ 

     

     

              หน่วยพิทักษ์พยายามหาทางจับกุมองค์กรนี้ แต่ก็พลาดทุกครั้งไป จึงได้ขอความร่วมมือจาก 5 ตระกูลใหญ่ ไคเอ็นเลยรับหน้าที่นี้ไป เพราะเขาเป็นคนของหน่วยพิทักษ์อยู่แล้ว ทำให้มีการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้น และไม่ได้เชิญผู้นำตระกูลชิบะเข้าร่วมประชุม ถึงแม้ไคเอ็นจะเป็นคนที่รู้เรื่องมากที่สุด แต่เขาก็ปิดเป็นความลับ และไม่ยอมบอกใครว่าคดีที่สืบนั้นได้เรื่องอย่างไรบ้าง

     

     

              นับวันยิ่งมีแต่การสูญเสีย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เคราะห์ร้ายเป็นเด็ก!

     

     

              "เธอรู้ใช่มั้ยว่าเรื่องแบบนี้มันร้ายแรงมากมีโทษถึงกับประหารชีวิต"

     

     

              อิจิโกะพยักหน้ารับอย่างรู้ดี เขานั่งฟังไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายร้อนรนใจ และสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้ เด็กๆเหล่านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ

     

     

              "ในเมื่อมันทดลองกับเด็กไปแล้ว เธอคิดว่าต่อไปพวกมันจะทดลองกับใครล่ะ?"

     

     

              อิจิโกะเลิกคิ้วขึ้น เมื่อไอเซ็นตั้งคำถาม เขาคิดตามสักพัก ก่อนตอบอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงสั่น

     

     

              "ทดลอง...กับผู้ใหญ่"

     

     

              "ใช่แล้ว กับผู้ใหญ่ และคนๆนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน"

     

     

              อิจิโกะคิดตามจนทัน... 'ไคเอ็น' เขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงลูกพี่ลูกน้องของตนขึ้นมาทันที และเริ่มนั่งไม่ติดอีกต่อไป ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆล่ะก็ ไคเอ็นก็กำลังตกอยู่ในอันตรายojtlb

     

     

              "เธอคงรู้ใช่มั้ยว่าฉันหมายถึงใคร"

     

              ไอเซ็นสังเกตท่าทางของอิจิโกะพักหนึ่ง พลางยิ้มบาง แต่เด็กหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็น

     

     

              "แล้วฉันยังสืบรู้มาด้วยว่า 1 ใน 5 ตระกูลใหญ่เป็นคนขององค์กรนั้น แต่ฉันยังไม่ได้พูดในที่ประชุมเพราะกลัวว่ามันจะรู้ตัว"

     

     

              "ใคร!?"

     

              อิจิโกะจ้องหน้าไอเซ็นอย่างคาดคั้นคำตอบและถามขึ้นอย่างรีบร้อน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                 "ตระกูลคุจิกิ..."

     

     

              "..."

     

              ได้ยินดังนั้น อิจิโกะก็เงียบ เขานั่งนิ่ง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังและหวาดกลัว เขากลัวว่าคนที่เขารักและเคารพอย่างไคเอ็นจะจากเขาไปอีกครั้งเหมือนกับแม่ของเขา เพราะตระกูลคุจิกิ!

     

     

              ตอนที่อิจิโกะอายุ 7 ขวบ เป็นช่วงชีวิตที่เขามีความสุขมากที่สุด เขามีแม่ที่เป็นที่พึ่งพิงให้กับเขาได้เสมอ แต่แล้ว โลกทั้งใบของเขาก็พังทลายลง และเปลี่ยนไปนับแต่วันนั้น...

     

     

     

     

     

                 บนถนนสายหนึ่ง ที่ข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย วันนั้นแม่ของอิจิโกะไปรับอิจิโกะกลับมาจากโรงเรียน เขาเดินกลับบ้านกับแม่ของเขา ครั้งสุดท้ายที่แม่จับมือของเขาเอาไว้แน่น ครั้งสุดท้ายที่ได้สัมผัสความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ เขาจำวันนั้นได้ดี วันที่เขาไม่เคยลืม

     

     

                 แม่ของเขาถูกรถชน โดยคนขับที่ชื่อ 'คุจิกิ โซจุน' มันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ๆ อิจิโกะรู้ดี เพราะตอนนั้นไฟจราจรยังเป็นสีแดง ไม่มีทางที่รถจะถูกขับพุ่งออกมาได้ ถ้าหากไม่ใช่การจงใจ 

     

     

                 แต่อิจิโกะก็โกรธตัวเองเช่นกัน เพราะความจริงแล้วคนที่ควรจะไปนอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนมันควรจะเป็นเขา แม่ของเขาผลักเขาออกในขณะที่รถคันนั้นกำลังจะวิ่งชนเขาเพียงเสี้ยววินาที

     

     

                 วินาทีนั้นอิจิโกะนิ่งอึ้งไปทันใด ร่างทั้งร่างสั่นเทา รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่เขารักที่สุด เขาทำได้เพียงแค่ร้องห่มร้องไห้ท่ามกลางสายฝนที่เพิ่งโปรยปรายลงมา

     

     

                 และยิ่งกว่านั้น คุจิกิ โซจุนยังไม่ถูกจับ แต่กลับลอยนวล ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งยังมางานศพของมาซาคิพร้อมกับเบียคุยะเพื่อแสดงความเสียใจราวกับว่าตัวเองไม่ใช่คนผิด ในเวลานั้นตระกูลคุโรซากิยังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะกำลังอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ต่อมาคุจิกิ โซจุนก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุบางอย่าง และตระกูลคุโรซากิก็เริ่มตีตัวออกห่างจากคุจิกิจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า

     

     

                 ถึงแม้หลายคนอาจจะให้อภัยคนแบบนั้นได้ แต่ไม่ใช่สำหรับอิจิโกะ เขาไม่เคยลืมหรอกว่าการสูญเสียคนที่รักมากที่สุดไปมันเจ็บปวดใจมากแค่ไหน ให้ตายเขาก็ไม่มีวันลืมเด็ดขาด

     

     

     

     

     

     

              "เธออาจจะไม่เชื่อที่ฉันพูดก็ได้นะ แต่เธอได้ยินคนของตระกูลคุจิกิพูดอะไรบ้างรึเปล่า"

     

              เสียงของไอเซ็นทำให้อิจิโกะตื่นจากภวังค์ เขาเริ่มคิดตามอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงๆหนึ่งดังเข้าสู่โสตประสาทของเขาอย่างชัดเจน

     

              //"จัดการเรื่องนั้นด้วยล่ะ เบียคุยะ มีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้พลาดเด็ดขาด"//

     

              เสียงของคุจิกิ งินเรย์!

     

     

              "คุณไอเซ็นรู้รึเปล่าว่าไคเอ็นไปจับคนพวกนั้นที่ไหน"

     

              อิจิโกะถามขึ้นอย่างรีบร้อน เพราะต้องการได้คำตอบอย่างเร็วที่สุด ไอเซ็นจึงตอบไปอย่างใจเย็น เขาแค่ต้องการให้เรื่องทุกอย่างมันสนุกขึ้นก็เท่านั้น

     

     

              อิจิโกะรีบลุกพรวดจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว จนเก้าอี้เกือบล้ม เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซด์ตัวเก่ง ก่อนขึ้นขี่ สวมหมวกกันน็อค แล้วขับออกไปทันที

     

              ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะไคเอ็น นายห้ามตายเด็ดขาด!...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×