คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF] Maybe ? 100% [2/5]
Title : [SF] Maybe ?[2/ ?]
Author :FLOCKYCHOU’DONUT
Couple : ?? X XIUMIN
Rate : PG
Author’s note : มาต่อละ คือก่ะขอให้ได้คอมเม้นซัก 5 แล้วต่อ... คือคอมเม้นมันช่วยได้เยอะนะคะ ทั้งบอกขอปรับปรุงไรเงี้ย เป็นกำลังใจที่ดีด้วย *พูดแล้วน้ำตาไหล *กราบคนอ่าน
อากาศยามเย็นวันนี้เย็นกว่าที่คิดว่า... สายลมอ่อนๆที่หอบเอาความหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจมานั้นทำให้มินซอกต้องเปลี่ยนเส้นทางจากการไปสนามฟุตบอลมายังหอพักตัวเองเพื่อสวมใส่เสื้อกันหนาว อันที่จริงแล้วสนามฟุตบอลที่อยู่บริเวณหน้ามหาลัยนั้นมันใกล้กว่าการกลับหอก็จริง แต่ชานยอลบอกว่ากว่าจะมีการซ้อมของชมรมบอลนั้นก็ราวหกโมงเย็น ซึ่งระยะเวลาห่างจากที่เขาเรียนเสร็จพอสมควร มินซอกเลยตัดสินใจกลับหอ...
บวกลบเวลาเดินกลับหอเดินไปหน้ามหาลัยแล้ว เขาคิดว่ามันคงจะพอดีที่ชมรมฟุตบอลจะมาซ้อมกันแน่ๆ
.....มินซอกน่ะ ไม่มีทั้งมอเตอร์ไซด์ หรือจักรยานเป็นพาหนะช่วยเบาแรงหรอกนะ.....
ถึงหอพักในกำกับของมหาลัยแห่งนี้จะมีจักรยานให้ยืมก็จริง แต่ขั้นตอนแต่ละอย่างช่างยุ่งยากลำบากราวกับว่ากลัวเจ้าเศษเหล็กที่เอามาประกอบกันนี้จะหายไป คิดแล้วมันน่าโมโหเสียจริง
RrrrRrrrRrrr
โทรศัพท์เครื่องเล็กที่วางไว้บนโต๊ะกำลังสั่น ร่างเล็กๆสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจ และยิ่งแปลกใจเมื่อสายเรียกเขานั่นเป็นของเมทร่วมห้องคนนึงของตัวเอง
‘จุนมยอน’
“ว่า ?”กรอกเสียงแบบห้วนๆไปแบบก่อกวนคนในสายเหมือนดังทุกครั้ง แต่คราวนี้จุนมยอนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ล้อเลียนปนน้อยใจจนมินซอกใจแป๋ว
/ว่าอะไรละ ? เมื่อเช้าก็ไม่ปลุก กลับหอก่อนก็ยังไม่บอก/
“ขอโทษน้าจุนมยอนอา~ ทำไงได้ละ ก็กูตื่นสายนี่คร้าบ~”น้ำเสียงออดอ้อนของมินซอกถูกนำมาใช้โน้มนาวใจให้อีกฝ่ายยกโทษให้ ถึงแม้ถ้อยคำที่เอื้อยเอ่ยออกไปมันจะไม่เข้ากับน้ำเสียงเสียเท่าไหร่ก็ตาม
/เออๆ กูรู้แล้ว กูจะบอก วันนี้ไม่ต้องรอไปกินข้าวด้วยกันนะ/
คิ้วเรียวถูกเลิกขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่งเสียงจิ๊ปากอย่างรำคาญกับสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องพักบอก ถึงปากจะพร่ำบอกหลังจากนั้นว่าไม่เป็นไร แต่จุนมยอนเองก็เอาแต่ขอโทษขอโพยจนถึงขั้นรับปากว่าจะซื้อขนมมาฝาก มินซอกเลยยอมตกลงทั้งๆที่รู้ว่าการกินข้าวคนเดียวมันเปลี่ยวขนาดไหนก็ตาม...
.
.
.
เสียงเพียงคลออยู่ในหูเบาๆ บรรยากาศดีๆยามพระอาทิตย์กำลังตก สายลมเย็นๆที่พัดผ่านกายนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินในมหาลัยเสียจริง อาจเป็นเพราะอยู่นอกเมืองหลวงและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยังอุดมสมบูรณ์ทำให้มีแต่คนแย่งกันเข้าศึกษาในที่แห่งนี้ มินซอกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น.... แต่โชคดีกว่าหลายๆคนตรงที่ตัวเขาเองได้ศึกษาในคณะและสาขาที่อยากศึกษาอยู่แล้ว
มินซอกชอบปลูกต้นไม้ ชอบศึกษาพืชพรรณและตามคุณพ่อของตัวเองเข้าป่ามาตั้งแต่เยาว์วัยเพราะท่านเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้... ทำให้ตัวเขาเองคลุกคลีกับต้นไม้มากมายตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกที่จะชอบและทำให้เขาเลือกเข้ามาศึกษาในคณะเกษตรของสถาบันแห่งนี้ การทำลายอะไรที่เป็นสีเขียวแม้แต่เดินเหยียบหญ้าสักครั้ง คิมมินซอกคนนี้ยังคิดแล้วคิดอีกอยู่เลย ! เดินมาเรื่อยๆก็มาถึงหน้ามหาลัยแล้ว มองๆดูอีกเพียงสองสามร้อยเมตรก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
‘สนามฟุตบอล’
คนตัวเล็กกวาดสายตามองไปรอบสนาม ตอนนี้มีเพียงชมรมฟุตบอลของทางมหาวิทยาลัยที่ใช้สนามอยู่ นักกีฬาทั้งตัวจริงและตัวสำรองกำลังซักซ้อมกันอย่างเอาจริงเอาจัง ดูรวมๆแล้วมีราว 20 กว่าคน มินซอกแอบลอบถอนหายใจเบาๆเพราะตัวเขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของเสื้อจริงๆคือคนไหนกันแน่
“นายมันคนขี้แยเมื่อเช้านี่ !”
เสียงนี่ตัวมินซอกเองจำได้ว่าเคยได้ยินมันมาก่อน... ตอนที่โวยวายขอกระดาษทิชชู่ให้เขา
“อ...อืม เราเองแหละ”เสียงของคนตรงหน้าดูสั่นๆ อี้ชิงเลยหลุดรอยยิ้มอบอุ่นให้ราวกับต้องการสร้างความเป็นกันเองให้อีกคน พอเห็นดังนั้นคนแก้มกลมจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะส่งรอยยิ้มที่ตนคิดว่าสดใสที่สุดกลับไป แล้วก็ต้องก้มหน้างุดๆแทบจะทันทีเมื่อคนผิวขาวเอ่ยชมเขา
“ยิ้มแบบนี้ดูน่ารักมากเลยนะ น่ารักกว่าตอนร้องไห้เยอะเลย !”
ไม่ทันจะได้เขินกับคำชมไปมากกว่านั้น อี้ชิงก็เล่นเดินมาโอบไหล่เขาแถมยังจะพาเดินเข้าไปในสนาม และนั่นก็ทำให้มินซอกร้องโวยวายแทบไม่ทัน
“ว๊ากก หญ้าๆ !!”หนุ่มชาวจีนสะดุ้งปล่อยมือออกจากไหล่คนตัวเล็กกว่าแทบจะทันที แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่ตกใจเมื่อครู่นั่นกำลังก้มมองดูหญ้าในสนามแล้วเอ่ยเสียงเบาๆกับเขา
“ไม่เข้าไปได้ไหม... เราสงสารหญ้า”
..........หญ้านี่มันอาจจะน่าสงสาร แต่คนตรงหน้านี่ ‘น่าเอ็นดู’ เสียจริงเลย.........
จบด้วยการที่อี้ชิงต้องมานั่งข้างสนามโดยที่เท้าไม่แตะแม้แต่ปลายหญ้ากับคิมมินซอก ทั้งคู่นั่งอยู่บนฟุตบาทข้างสนาม หลังจากได้ทำความรู้จักแล้ว เขาไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมมินซอกนั่นถึงไม่กล้าเข้าไปเหยียบหญ้า เพราะจากที่แนะนำตัวเองมานั่นอีกฝ่ายเล่นอยู่ทั้งคณะเกษตร ชมรมโกกรีนของสโมสรกลาง แถมยังเป็นรองหัวหน้าค่ายอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมชื่อดังของมหาวิทยาลัยทั้งๆที่อยู่เพียงปีหนึ่งอีกต่างหาก
“อี้ชิงไม่ไปเล่นฟุตบอลหรอ ?”คำถามนั่นทำให้คนตัวขาวหลุดหัวเราะอีกครั้ง อดคิดไม่ได้เลยว่ามินซอกนี่ดูซื่อๆ แต่เหมือนมีมุขตลกแฝงไว้มากมายเสียจริง... แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะนะ
“เราอยู่ชมรมดนตรีน่ะ แต่พอดีว่ามารอใครบางคน”
พูดจบมินซอกก็ตาโตขึ้นเหมือนเด็กน้อยเห็นของเล่นใหม่ แล้วก็เริ่มหรี่ลงราวกับล้อเลียนเขาอยู่ หนุ่มชาวจีนเลยยิ่งเอ็นดูกับคนตัวเล็กนิสัยเด็กๆนี่เข้าไปอีก มินซอกน่ารักน่าชังจนอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนมีน้องชายมานั่งข้างๆเสียจริง
“ใครหรออี้ชิง แฟนอี้ชิงหรอ ?”
พอเห็นเพื่อนใหม่พยักหน้าแทนคำตอบ แก้มกลมๆนั่นก็ตอบลงเพราะหลุดคำว่า ‘อู้ว’ ออกมา ก่อนจะเริ่มชี้มือชี้ไม้ไปยังกลางสนามเหมือนเด็กกำลังชี้ตัวการ์ตูนที่ตนชื่นชอบ
“คนนั้นหรอ หรือคนนู้นนอืมมม.... แต่เราว่าต้องคนนั้นแน่เลย !”พอหันไปตามแล้ว อี้ชิงก็ต้องตกใจกับเซ้นท์ที่แสนจะดีมากของคนเจ้าน้ำตาคนนี้ ปลายนิ้วไปชี้อยู่ที่ ร่างสูงที่สูงที่สุดในสนามในชุดฟุตบอลที่ดูพอดีตัวจนแทบจะฟิต ใบหน้าคมคายราวกับถูกสร้างสรรค์มาอย่างดี ไม่ว่าจะทั้งจมูกที่โด่งสวยได้รูป ดวงตาคมมีเสน่ห์ ถ้าไม่รวมเงิงสะบัดช่อที่ตอนนี้ออกมาเชยชมโลกเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการเล่นฟุตบอลละก็นะ...
“เงียบแบบนี้นี่ ใช่สินะ เราเก่งไหมละ ?”
พูดจบก็ยิ้มแบบภาคภูมิใจ จนเขาเองก็อดหัวเราะให้กับท่าทีเด็กๆแบบนี้ของมินซอกไม่ได้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แทบลืมจุดประสงค์ที่เดินเข้ามาหาคนตัวเล็กคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
จุดประสงค์ที่ว่า.... คือมีคนให้มาถามว่า ‘มาที่นี่ทำไม’
“อี้ชิง ว่างไหม ? เราอยากจะขอโทษเรื่องเมื่อเช้าน่ะ วันนี้ไปกินข้าวกับเรานะ เราเลี้ยงเอง”น้ำเสียงที่ดูออดอ้อนนั่นทำให้ไม่กล้าปฏิเสธ แถมยังต้องตบปากรับคำเสียง่ายๆอีกต่างหาก พอได้คำตอบที่เป็นที่พอใจแล้วรอยยิ้มของมินซอกก็ถูกวาดไว้บนใบหน้าอีกครั้ง จนเขาอดคิดไม่ได้เลยว่า
‘พอถึงคราวจะยิ้ม คนตรงหน้านี่ก็ช่างใช้มันฟุ่มเฟือยเสียจริง’
ตอนนี้บรรยากาศถูกความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มินซอกดูชมรมฟุตบอลซ้อมกันอย่างเงียบๆไม่ได้กล่าวอะไร ในขณะที่อี้ชิงเองก็ลืมจุดประสงค์ของตัวเองไปเสียสนิท จนกระทั่งมีบุคคลใหม่เดินเข้ามาทั้งสองคนถึงรู้สึกตัวนั้นแหละ
“อี้ชิง นายทิ้งฉันนอนอยู่คนเดียวแบบนั้นได้ยังไง”
เสียงแบบนี้ มินซอกเองก็จำได้เช่นกัน.... มิหนำซ้ำยังจำสายตาคมๆที่เมื่อตอนเช้าใช้จิกเขาคู่นั้นได้ดีเสียด้วย รอยคล้ำใต้ตานั่นยิ่งทำให้มั่นใจเป็นพิเศษเลยว่า ‘คนนี้แหละที่เป็นต้นเหตุแห่งน้ำตาที่โต๊ะนั่นของมินซอก’
“ก็เห็นนายหลับอยู่ ถ้าปลุกนายก็โวยวายฉันน่ะสิ จื่อเทา”
“ก็แล้วทำไมไม่ปลุกเล่า เรียกฉันมานอนตรงนี้ด้วยก็ได้ อยู่คนเดียวแบบนั้นผีจะกลัวฉันนะรู้ไหม !!”
“นายหมายความว่า นายกลัวผีหรือเปล่า ?”
คราวนี้ละคนที่ไม่ได้อยู่ในการสนทนาหลุดหัวเราะออกมา ก็ทั้งสำเนียงและการใช้ภาษาของคนที่เขาว่าน่ากลัวนั่นมันแสนจะใช้ไม่ได้มากกว่าภาษาอังกฤษของมินซอกคนนี้เสียอีก และอีกอย่างก็คือเขาไม่คิดว่าคนตาดุตรงหน้าจะมุ้งมิ้งขนาดไม่กล้านอนคนเดียวในสถานที่ที่คนเยอะขนาดนี้เพียงเพราะกลัว... ผี ?
“เออนั้นแหละ นายก็รู้ว่าฉันกลัวผี”
จื่อเทาไม่ได้สนใจเพื่อนตัวเล็กข้างๆอี้ชิงซักเท่าไหร่ ตอนนี้สำหรับเขาแล้วต้องโฟกัสให้อี้ชิงรู้เสียก่อนว่าเขาน่ะ โมโหขนาดไหนที่ถูกทิ้งให้นอนคนเดียวอยู่ข้างสนามอีกฝั่งแบบนั้น
“โอเค ฉันยอมแล้ว ขอโทษละกัน.... จื่อเทา นี่ มินซอกนะ”คนใจเย็นกว่าตัดบทสนทนาให้จบลง แล้วจึงแนะนำคนข้างๆตนที่ตอนนี้มัวแต่หัวเราะกับภาพลักษณ์ที่คิดไม่ถึงของคนที่คิดว่าน่ากลัว
.......เขาไม่ได้น่ากลัวเลยแบบที่คยองซูบอกจริงๆนั่นแหละ มินซอกน่ะคิดไปเองแท้ๆ......
“เรามินซอกนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะจื่อเทา ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าด้วยจริงๆ”
คนตัวสูงพยักหน้าเบาๆก่อนจะลดตัวลงนั่งให้อยู่ในระดับที่เท่ากันกับทั้งสองคน จื่อเทาขยี้ผมเพื่อจัดให้เป็นทรงก่อนที่จะบังเอิญสบสายตากลมแป๋วของเพื่อนใหม่อย่างไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่นัก
......พอเจอสายตา และหน้าตาแบบนี้ ไม่มีใครจะโกรธคนตรงหน้านี่ลง ต่อให้มันโดนหัวก็เถอะนะ.....
“ไม่เป็นไร วันหลังก็ระวังเวลา เล่น เพื่อน ด้วยนะ”
จื่อเทาออกจะมั่นใจกับการพูดของตัวเองซะขนาดนี้ แต่อีกคนทำหน้าเลิกลั่กสักครู่นึงก็จะหันไปถามอี้ชิง จากนั้นคนถูกถามก็หัวเราะพร้อมสั่งให้เขาพูดซ้ำประโยคเดิมอีกรอบ
“จื่อเทาเขาหมายความว่า ให้นายระวังเวลาเล่นกับเพื่อนด้วยนะ”หนุ่มจีนที่คล่องภาษามากกว่าเอ่ยทวนให้เขาอีกครั้ง คราวนี้มินซอกพยักหน้ารัวๆแล้วรับปากว่าจะระมัดระวังมากขึ้น ผู้เตือนเลยได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่าดีแล้ว
“จริงสิ.. จื่อเทาเองก็อยู่ในเหตุการณ์นี่ เราจะเลี้ยงข้าวขอโทษน่ะ ไปด้วยกันนะ”
มินซอกในโหมดออดอ้อนถูกนำมาใช้อีกครั้ง อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เหมือนการบังคับอะไรหนุ่มแพนด้านักหรอกนะ แต่สายตาและคำพูดมันไม่น่าปฏิเสธเท่านั้นเองแหละ เลยทำให้หัวมันเผลอกดลงไปแบบไม่ได้ตั้งใจ... จื่อเทาพูดเลย
“จะว่าไปแล้ว เราเอาเสื้อมาคืนให้อีกคนบนโต๊ะน่ะ”
กว่าจะนึกจุดประสงค์ออกอีกทีก็เมื่อวนกลับมาคุยเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้าและเห็นหน้าจื่อเทานี่แหละ เพื่อนต่างชาติทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนที่อี้ชิงจะเป็นคนรับเสื้อมาจากมือของคนตัวเล็ก มินซอกยิ้มร่าก่อนจะถามต่อว่าเจ้าของเสื้อคนนี้เป็นใครกันหรอ
อี้ชิงรับมาไว้อย่างสนใจ ใช้มือเรียวคลี่เสื้อออกมาก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วส่งเสื้อนี่ให้กับจื่อเทาแล้วจากนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะราวกับเสื้อนี่มีแก๊สหัวเราะผสมอยู่ที่เส้นใยผ้ายังไงยังงั้น
“ตอบมาก่อนสิ... อี้ชิงอา~ จื่อเทาอา~ มีอะไรน่าตลกหรอ ?”ถึงจะออดอ้อนมากแค่ไหน ทั้งสองคนก็ยังไม่ตอบ แถมยังหัวเราะไม่หยุด จนมินซอกมุ่ยหน้าลงอย่างน้อยใจ
......ตลกอะไรกันนักกันหนานะ ไม่บอกแบบนี้เขาจะหัวเราะด้วยได้ยังไง !......
“ถึงว่าสิว่าทำไมวันนี้เสื้อของอี้ฟานมันคับแปลกๆ”
“นี่ฝีมือไอ้คุณกวางอรุณเบิกฟ้านกกาโบยบินสินะ ?”ว่าแล้วทั้งสองคนก็ทั้งหัวเราะทั้งตีเข่า จากนั้นจื่อเทาก็ชี้ไปที่แฟนของอี้ชิงที่ใส่ชุดฟุตบอลที่ดูเล็กกว่าตัวเองนั้นอยู่ มินซอกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็มีความรู้ใหม่ว่าแฟนของอี้ชิงน่ะ ชื่ออี้ฟาน... มีความรู้ใหม่เท่านี้จริงๆ
“อืม... เราจะเอาไปคืนให้นะ มินซอก ขอบคุณนะที่ทำให้แฟนเราไม่ต้องใส่เสื้อคับๆอีกต่อไป”อี้ชิงกล่าวขอบคุณทันทีเมื่อหยุดหัวเราะแล้ว แต่จื่อเทายังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหัวเราะเอาง่ายๆ จนเขาอดกลัวไม่ได้เลยว่ากลัวว่าจื่อเทาจะสำลักการหัวเราะตายเสียก่อนจะเรียนจบ
“แล้วนี่ไอ้กวางมันไปไหนละ ?”เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มที่หายไปคนตัวขาวอุทานออกมาด้วยความตกใจทันทีที่นึกถึงผู้ที่ถูกเอ่ยถึงได้
......ตายละ ลืมไปเลยว่าไอ้คนที่ให้มาถามมินซอกว่ามาทำอะไรที่นี่......
ไอ้ลู่หานนี่เอง !
.
.
.
“มินซอก นี่ลู่หานนะ ลู่หาน นี่มินซอกนะ”
อี้ชิงกลับมาหลังจากหายไปและปล่อยให้มินซอกคุยกับจื่อเทาที่ชวนพูดเรื่องนู่นนี่นั้นซักพัก คราวนี้คนตัวขาวกลับมาพร้อมเพื่อนอีกคนที่เขาลงความเห็นได้คำเดียวว่า ‘สวย’
ร่างนั้นสูงพอๆกับเขา ถึงจะดูสูงกว่าแต่ก็ไม่มากกว่าเท่าไหร่ ใบหน้าเรียวเล็กกับดวงตาที่สดใสเหมือนลูกกวางนั่นช่างมีเสน่ห์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไหนจะดวงหน้าที่หวานนั่นอีก มินซอกอดคิดไม่ได้เสียเลยว่า ทางมหาวิทยาลัยนี่คัดหน้าตาของนักเรียนแลกเปลี่ยนมาเสียทุกคนหรือเปล่า ถึงได้มีทั้งคนหน้าตาราวเทพบุตรอย่างอู๋ฟาน คนที่ยิ้มทีแล้วเหมือนนางฟ้าอย่างอี้ชิง เท่แบบแบดบอยอย่างหาตัวจับยากเช่นจื่อเทา และน่ารักเหมือนลูกกวางดังฉายาที่ทั้งสองคนพูดให้ฟังเมื่อครู่อย่างลู่หาน
“มองฉันแบบนั้น นี่ชอบฉันหรือไง ?” ลู่หานเอ่ยขึ้น หลังจากที่โดนดวงตาแป๋วๆคู่นั้นมองจนแทบจะทะลุอยู่แล้ว คนโดนว่าสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาคนที่ถามนั้นใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยและแทบจะหลบสายตาซ่อนความหวั่นไหวไม่ทัน
“อื้อ... ก็สวยขนาดนี้ ใครเห็นก็ต้องชอบแหละ”
สวย ?
สวย... ?
สวยเนี้ยนะ.... ?
“ฉันไม่ใช่ตุ๊ดนะเว้ย ! ใครมันชมผู้ชายว่าสวยกันเล่า !!!!”
แปะ แปะ...
นั้นไม่ใช่เสียงฝน ทว่าเป็นเสียงน้ำตาของคิมมินซอก ที่หยดลงพื้น ก่อนเจ้าตัวจะรีบเช็ดๆมันออกจากดวงตาอย่างลวกๆ จากนั้นมือเล็กๆนั้นก็กลายเป็นกระตุกแขนเสื้อของจื่อเทาที่กำลังอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ริมฝีปากเล็กๆนั้นสั่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆแต่ก็ให้ลู่หานใจหายวูบ
“ทำไมลู่หานน่ากลัวจัง จื่อเทา...”
“เอ่อ....”คนถูกถามหันไปหาอี้ชิงเหมือนต้องการความช่วยเหลือ สายตาของจื่อเทาราวกับส่งซิกให้อี้ชิงรีบแทรกความจริงให้คนตัวเล็กเข้าใจ
“คือลู่หานเป็นผู้ชายไงมินซอก ผู้ชายไม่อยากได้คำว่าสวยหรอกจริงไหม ต้องหล่อสิ หล่อไง”ว่าแล้วก็ใช้เสื้อตัวเดิมของแฟนหนุ่มที่เพิ่งได้คืนมาซับน้ำตาของคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง.... สงสัยจะได้ใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าแทนชุดกีฬาแล้วละ
“อือ...ฮึก ร เราขอโทษนะ ลู่หาน... ลู่หานหล่อที่สุดเลย”
........ทำไม คิมมินซอก ถึงเหมือนเด็กน้อยในคราบหนุ่มเฟรชชี่ปี 1 ขนาดนี้นะ ..... ?
คนโดนชมไม่ได้ดีใจมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับกันที่ว่าคำว่าน่ากลัวนั่นแหละ ยังก้องอยู่ในหัวราวกับเอคโค่สะท้อนไปมา เจ้าของฉายากวางส่ายหน้าเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
น่ากลัว ? ใจของคนที่น่ากลัวจะอ่อนยวบตั้งแต่เห็นอีกคนสติหลุดอยู่โต๊ะข้างๆ.... แบบเขาไหมนะ ?
คนที่เขาน่ากลัว จะใจแกว่งตอนเห็นคนตรงหน้านี่ร้องไห้เมื่อตอนอยู่โรงอาหารไหมนะ ?
คนที่ว่าน่ากลัวนี่จะตกใจจนหยิบเสื้อเพื่อนสลับกับเสื้อของตัวเองให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาไหมนะ ?
แล้วคนที่ว่าน่ากลัวนี่... ต้องทนใส่เสื้อกล้ามซ้อมบอลหน้าหนาวเพราะเสื้อเพื่อนกลายเป็นผ้าเช็ดหน้าของใครบางคนแถวนี้แบบเขาไหมนะ ?
ความคิดเห็น