ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SFllOS] ALL FOR MINSEOK ft.exo

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] Maybe ? 100% [1/5]

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 57


    Title : [SF] Maybe ? [1/ ?]

    Author : FLOCKYCHOU’DONUT

    Couple : ??  X XIUMIN

    Rate : PG

    Author’s note :  แต่งไปแต่งมามันยาวจนต้องตัดเป็นพาร์ทๆเลยละ ติดตามกันด้วยนะ ภาษาเราอาจจะไม่ค่อยดี ใช้คำซ้ำบ่อยก็ขออภัยด้วย ยังไม่ได้โปรอะไรขนาดแบบแต่งบรรยายดี เอาแบบถูๆไถๆ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ *กราบคนอ่าน

     

     

     

     

    เทศกาลเปิดเทอมกลับมาอีกครั้ง.... ชีวิตปี 1 ในรั้วมหาลัยที่เวียนเข้ามาในชีวิตของ คิม มินซอกอีกครั้ง เทอมสุดท้ายของการเป็นเฟรชชี่ที่เขาว่ากันว่าแสนสนุกสุดวุ่นวาย อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้น่าดีใจเหมือนกันนั้นแหละ ก็ถ้านั่งนับเวลาดูแล้วพอเรียนผ่านไปเพียงแค่เดือนกว่าๆเทศกาลสอบก็จะเวียนมาบรรจบกับชีวิตของเขา... นี่มันกงกรรมกงเกวียนจริงๆนั่นแหละนะ

    “มินซอก กินข้าวมาแล้วหรือยัง”

    น้ำเสียงหวานๆที่เรียกสตินั่นมาจากเพื่อนตัวเล็กที่กำลังก้มหยิบกล่องดินสอออกมาจากกระเป๋าเป้ใบโปรด คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ ใช้ดวงตากลมโตทว่าชั้นเดียวนั้นกวาดสายตามองเพื่อนร่วมเซคชั่นอย่างพิจารณา

    โด คยองซู คือนักศึกษาสุดฮอตของเซคชั่นเขา อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าฮอตเกือบที่สุดของคณะ ถ้าไม่นับ พยอน แบคฮยอน แล้วละก็ ตัวเล็กๆ ร่างขาวๆ และรอยยิ้มที่ดึงดูดนั้นช่างน่าหลงใหลนั้นน่าเข้าหาไม่แพ้แบคฮยอน ถ้าไม่ติดว่าเจ้าตัวไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเสียเท่าไหร่...

    “อืมม.. ชานยอลยังไม่มาเลย งั้นเรียนคาบนี้เสร็จแล้วค่อยไปกินข้าวด้วยกันนะ” พอคิดถึงคนที่คยองซูพูดถึงแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ปาร์ค ชานยอลคือเพื่อนคณะที่เรียนร่วมเซคกับเขาอีกคนนึง เขาทั้งสามคนรหัสลงท้ายติดกันมันจึงรับกับตารางเรียนของปี 1 ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้รหัสใกล้เคียงได้เรียนร่วมกัน แต่สำหรับเซคชั่นของเขามีแค่ 2 คนที่ได้เรียนร่วมกันทุกวิชา  ชานยอลและคยองซู...

    มันไม่ได้เหงาหรือน่าเบื่อเลยซักนิด  มินซอกเห็นว่ามันอบอุ่นเสียด้วยซ้ำ  ทั้งสองคนนั้นการเรียนก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ คล้ายกับว่าจะเก่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ แถมยังแสนใจดี ช่วยตามงาน จดแลคเชอร์ให้อยู่บ่อยครั้งที่ตัวมินซอกโดดเรียน ได้เพื่อนร่วมเซคดีนี่มันมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆนั่นแหละ !

    .

     

    .

     

     

     

    “นี่  มินซอก.... ฝากอันนี้ให้คยองซูหน่อยสิ”

                    มินซอกจำได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือหนุ่มวิศวะดีกรีเดือนเมเจอร์อะไรซักอย่าง แต่จำชื่อไม่ได้หรอกนะ... เพราะมินซอกไม่ได้สนใจอะไรในตัวของคนๆนี้มากเท่าไหร่  ผิวเข้มๆแบบนี้ บอกเลยว่า.. ไม่ใช่สเป็ค !

                    “นายควรจำเอาไปให้เค้าเองนะ”พูดจบก็หยักไหล่เชิงให้คำตอบว่าไม่สามารถให้ความร่วมมือในการส่งของครั้งนี้ได้ ที่ต้องบอกว่าครั้งนี้... เพราะว่าก่อนหน้านี้มีคนฝากเขาแทบจะตลอดทั้งเทอมแรกแล้วละ  มินซอกน่ะ เข้าถึงง่าย ยิ้มง่าย ใครๆก็เข้าหา

                    .....เข้าหา เพราะอยากจะเข้าถึง คยองซู หรอกนะ.....

                    “โถ่ ทำไมละมินซอก... นายก็รู้ว่าเราไม่กล้า”น้ำเสียงออดอ้อนนั่น ฟังดูน่าสงสารก็จริง แต่มันไม่น่าช่วยเลยซักนิด ก็เล่นไม่กล้าแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังละ !

                    “ฉันจะบอกให้นะ ว่ามีหลายคนแล้วที่ทำแบบนาย ฉันก็ไม่เห็นว่าความไม่กล้ามันจะทำให้พวกนายสมหวังเลยซักคน !”พูดจบก็รีบสะพายกระเป๋าของตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะหยิบของเพื่อนสนิทมาพาดบ่าอีกข้าง แล้วก็ตบบ่าคนที่หมายจะจองหัวใจเพื่อนของตนเบาๆ

                    “นายก็พยายามกล้าเร็วๆเข้าละ”.... มินซอกบอกแล้วว่า คยองซูน่ะ ฮอต !

     

                    “อ้าว เอาออกมาให้ด้วยหรอ ขอบคุณนะ”คงเป็นเพราะรำคาญพวกหนุ่มๆที่ต่อแถวจะฝากของมาให้คนตรงหน้านี่ละมั้ง ทำให้ต้องออกจากห้องมาตามอีกคนถึงห้องน้ำขนาดนี้ คยองซูรับกระเป๋าของตัวเองไปและไม่ได้ถามอะไรมากกับการออกมาจากห้องทั้งที่บอกว่าจะรออยู่ในนั้น... ดีแล้วละ เขาเองก็ขี้เกียจหาข้ออ้างเสียด้วยสิ

                    “โทรหาชานยอลแล้วหรอ ?”คยองซูส่ายแทนคำตอบ ก่อนจะล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงและต่อสายเข้าหาเพื่อนตัวสูงที่โดดร่มแต่เช้าในคาบเคมี  คนตัวเล็กคุยโทรศัพท์เพียงครู่ก็วางสายแล้วรายงานกับเขาว่า ชานยอลเพิ่งตื่นและกำลังจะตามมาภายใน 10 นาทีนี้แน่นอน  พอได้ยินแบบนั้นแล้ว ริมฝีปากเล็กๆของมินซอกก็กระตุกยิ้มขึ้น

                    ..... 10 นาทีของคุณชายปาร์คนี่ กรุณาคูณ 6 เข้าไปด้วยเลยดีกว่า .....

                   

                    แล้วมันก็จริงอย่างที่คิดนั่นแหละ กว่าคุณชายชานยอลจะเสด็จก็ประมาณชั่วโมงหลังจากนั้น ชั่วโมงเรียนที่ห่างกันถึงสองชั่วโมงนั่นไม่ได้ดึงดูดให้ใครอยากมาเร็วๆหรอก มินซอกสัมผัสได้ !

                    “โทษที อากาศมันดีน่ะ เลยไม่อยากตื่น”

                    เหตุผลของไอ้โยดาตรงหน้านี่มันน่าเอารอยเท้าไปประทับบนใบหน้าเสียจริง  คยองซูได้แต่หัวเราะแล้วถามอีกคนด้วยความเป็นห่วงว่าทานข้าวมาแล้วหรือยัง ต่างจากตัวเขาเองที่กำลังคิดหาคำมาแดกดันเพื่อนตัวสูงคนนี้

                    “แหมมม.... ถ้าจะโดดตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมขนาดนี้ มึงน่าจะลาออกนะ”พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาละเลียดไอศกรีมที่วางอยู่ตรงหน้าตนอย่างอารมณ์ดี

                    “โอโหว ขอโทษครับคุณคิมครับ... ถ้าคุณเพื่อนบังเกิดเกล้าคิมมีใจคิดถึงผมบ้างในตอนเช้า ก็น่าจะโทรปลุกผมด้วยนะครับ”ว่าจบก็ส่งมือใหญ่ๆนั่นมาขยี้หัวคนที่กำลังกินไอติมแบบสบายอารมณ์อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะต้องกระโดดหนีเมื่ออีกคนยกเท้าหมายจะถีบเข้าที่สะโพกตน

                    “ว๊าก คยองซูช่วยด้วยๆ”เสียงโวยวายขอความช่วยเหลือทุ้มๆนั่น ยิ่งทำให้มินซอกอยากจะถอดรองเท้าแล้วปาใส่ปากให้มันหยุดโวยวายเสียจริง ความคิดอาจจะอยากใช้รองเท้า แต่ความเป็นจริงแล้วก็ได้แต่ชี้หน้าและจ้องตาเขม็งให้อีกฝ่ายเงียบลงเท่านั้นแหละ  แต่มีหรือที่ปาร์คชานยอลจะรู้สึกอะไร... นอกจากทำหน้าตาอูฐแบบสโลวโมวชั่นใส่เขา

                    “กวนตีนละไอ้ปาร์ค”คราวนี้ไม่พูดเปล่า  มือเล็กๆก็รีบถอดรองเท้าของตน เล็งเป้าหมายไปยังหัวของคนตัวสูงที่กำลังหลอกล่อโดยใช้หลังของคยองซูเป็นโล่กำบังตัวเองให้ปลอดภัย

                    “คยองหลบไปเลย หมอบต่ำๆไปเลย”พูดจบ คยองซูก็ทำตามอย่างว่าง่ายและรวดเร็วต่างจากชานยอลที่กำลังยืนตกใจเพราะโล่ของตัวเองหายไป แถมตอนนี้วัตถุที่ลอยอยู่ใกล้จะปะทะใบหน้าก็คือรองเท้าผ้าใบคู่ใจของเพื่อนแก้มป่องอย่างคิมมินซอก แต่ด้วยทักษะที่ว่องไวในการเคลื่อนตัวทำให้รอดจากการปะทะนั่นอย่างหวุดหวิด... ชานยอลก้มหลบลงกับพื้นพอดีกับรองเท้าลอยข้ามหัวของเขาไปจนกระทั่งได้ยินเสียง

                    ปึง !!!

                    ชานยอลรู้ทันทีว่ารองเท้าของมินซอกคงจะไปหยุดอยู่บนโต๊ะด้านหลังของเขา... เพียงแต่ยังไม่ทันได้ลุกมาดูว่าโต๊ะไหน  เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็วๆราวกับวิ่งของใครบางคน พอลืมตาดู...

                    ขาของคิมมินซอก.. ก็หายไปเสียแล้ว ?

     

                    .

     

                    .

     

                    .

     

                    เสียงหอบหายใจถี่ๆราวกลับต้องการปรับการหายใจรับออกซิเจนนั่นแสดงออกถึงความเหนื่อยได้เป็นอย่างดี  แต่มันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยหรอกนะ  สำหรับมินซอกในตอนนี้ มันทั้งเหนื่อย ทั้งอาย ทั้งรู้สึกผิดเต็มไปหมด...

                    ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่กำลังถูกประมวลผลอีกครั้ง... หลังจากที่เล็งเป้าหมายแล้วก็ปามันออกไปนั้น มินซอกมั่นใจแล้วจริงๆว่าไม่มีทางที่ไอ้โยดาตรงหน้ามันจะหลบทัน และก็มั่นใจอีกว่ายังไงรองเท้าของเขาก็ต้องประทับอยู่ไม่บนหน้าก็บนอกมันเป็นอย่างน้อย แต่เปล่าเลย...  ภาพรองเท้าที่ลอยผ่านเป้าหมายไปนั่นทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกใจ ถ้าจัดบรรยากาศให้สโลวโมวชั่นเหมือนเวอร์ชั่นอูฐชานยอลแล้วละก็ รองเท้านั้นต้องทำมุมโปรเจคไทด์พอดิบพอดีถึงไปตกอยู่กลางโต๊ะที่ถัดจากโต๊ะของพวกเขาเสียงดังปึง ก่อนจะได้กระพริบตา

                    มินซอกจำได้ดีว่าบนโต๊ะเจ้าทุกข์นั่นมีคนอยู่สามคนที่กำลังนั่งทานข้าวกันอยู่  และจำได้แม่นอีกว่าทั้งสามคนหันมามองเขาแทบจะทันทีที่รองเท้าเจ้ากรรมมันลอยไปอยู่บนโต๊ะ วินาทีนั่นมินซอกอยากจะร้องไห้และภาวนาให้ตัวเองล่องห่นทั้งที่ความเป็นจริงแล้วกว่าจะรู้ตัวเขาก็วิ่งมาอยู่ตรงนี้ที่ไกลจากโรงอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว

                    “แฮ่ก... แฮ่กก”ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเหมือนต้องการอากาศหายใจเพิ่มขึ้น  ยิ่งคิดใจของเขายิ่งเต้นแรง และยิ่งคิดมากขึ้นไปอีกเมื่อก้มมองเท้าของตนแล้วเห็นว่าตัวเขามีรองเท้าใส่อยู่แค่ข้างเดียวในตอนนี้

                    ฮือออออออออ.... มินซอกอยากจะร้องไห้ให้ตัวเองหายไปในตอนนี้จริงๆ

                    มือเล็กๆควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง หยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมาแล้วกดต่อสายหาเพื่อนสนิทร่วมเซคที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนในที่เกิดเหตุ

                    /มินซอก ! อยู่ไหนเนี้ย !?/

                    น้ำเสียงของคยองซูดูกระวนกระวายเป็นพิเศษ  อันที่จริงแล้วมันไม่ได้ดูเหมือนโมโหอะไรมินซอกหรอกนะ มันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแบบสุด แต่ตอนนี้มินซอกกำลังรู้สึกผิดที่ทิ้งความผิดแล้ววิ่งหนีออกมาแบบนี้ ขอบตาเลยร้อนผ่าวทันทีที่ได้ยินเสียงเพื่อนของตัวเอง

                    “ฮึก... คยองซู”

                    /ร้องไห้ทำไม มินซอก !? นายอยู่ไหนเนี้ย พวกเราเป็นห่วงนายนะ/

                    ยิ่งอีกฝ่ายทำเสียงเหมือนเป็นห่วงมากขนาดไหน  ความรู้สึกทุกอย่างมันก็อัดมารวมกันราวกลับจะแข่งกันทะลักออกมาเป็นน้ำตาเอาเสียให้ได้ คนแก้มป่องส่งเสียงตอบแบบอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์กลับไป

                    “ฮึก...ตอน นี้ ฮึกกก อยู่หลัง โฮฮ.. อาหาร”

                    /รออยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวจะไปหา/

                    “โฮฮ... เดี๋ยว ฮึก ฮืออ....”มินซอกเอ่ยแต่ละคำออกไปอย่างยากเย็น อันที่จริงแล้วตอนนี้สมองเขาไม่ค่อยประมวลผลอะไรมากเท่าไหร่หรอกนะ รู้เพียงอย่างเดียวว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการน่ะ....

                    “ฮึก.... เอารองเท้า ค...คืนให้หน่อย ฮืออออ”

                .

     

     

                    .

     

     

                    .

                   

     

                    “มินซอก !!!”เสียงนั่นเป็นของชานยอล ส่วนสัมผัสเบาๆที่ไหล่นั่นเป็นมือของคยองซูแน่นอน มินซอกจำได้ พอเงยหน้าขึ้นไปสบตาเพื่อนทั้งสองแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็รื้นขึ้นมาอีกรอบ อดไม่ได้ที่จะปล่อยโฮออกมา

                    “ฮือออ... รองเท้า... ฮึกก รองเท้าของเรา ฮึก.. อยู่ไหน ?”ถึงจะรู้ว่าต้องโดนชานยอลเอาไปล้อจนถึงลูกโตก็ตาม แต่ตอนนี้มินซอกขอเถอะนะ ขอรองเท้าตัวเองคืนก่อนจะได้ไหม ! คยองซูทำหน้าเลิ่กลั่กทันทีที่เขาถามถึงรองเท้าของเขา มินซอกสัมผัสได้ ไม่เท่านั้น ชานยอลยังเกาหัวเหมือนพยายามเรียบเรียงคำมาอธิบายอะไรซักอย่างซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวที่เจ้าตัวเคยบอกเขา

                    “คือ....”

                    “ฮึกกก...คือ อะไร ฮึก ฮืออ รองเท้า ฮือออ จะเอา... ฮึก รองเท้า”

                    ชานยอลแทบหลุดขำพรืดออกมา เพราะท่าทางของคิมมินซอกตอนนี้ดูสิ้นฤทธิ์เสียเหลือเกิน ดวงตากลมเรียวนั้นแดงก่ำแถมยังมีน้ำตาเต็มไปหมด  แก้มป่องๆนั่นดูพองขึ้นเนื่องจากริมฝีปากถูกเม้มเพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ สาบานเถอะว่านี่เด็กมหาลัยปีหนึ่ง

                    ถ้าไม่รวมเรื่องการร้องไห้แล้วละก็... ชานยอลทำใจเชื่อมินซอกลงอยู่หรอกนะ !

                    “มินซอกฟังเราก่อนนะ”คยองซูวางมือบนบ่าเพื่อสร้างกำลังใจให้กับเพื่อนของตนก่อนจะหันไปพยักเพยิดให้คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มสร้างความกระจ่างแจ้งในเรื่องรองเท้าที่ไม่ได้เอากลับมาด้วยให้มินซอกเข้าใจ

                    “คืองี้นะมินซอก... โต๊ะที่นายโยนรองเท้าใส่น่ะ”

                    “ฮึกกก ฉันไม่ได้โยนใส่ ฮืออออ ฉันโยนใส่นายย ฮึกกกก... ล หลบทำไมม ฮือออ”อธิบายไม่จบ ตัวต้นเหตุก็เล่นเถียงทั้งเสียงสะอื้นแถมยังชี้หน้าเขาแบบเอาเรื่องอีกนั่นแหละ  ถามมาได้ว่าหลบทำไม ? ใจคอจะให้เขาไปเรียนโดยมีรอยรองเท้าประดับบนร่างกายหรือไงกันเล่า !

                    “เอ่อๆ.. นั่นแหละๆ โต๊ะนั้นน่ะมีคนนั่งอยู่นะ”ชานยอลพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ในขณะที่คยองซูก็ลดตัวนั่งอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้วพยายามลูบไหล่ปลอบโยนด้วยความอบอุ่นของตัวเองเต็มที แต่ตอนนี้มินซอกน่ะ.. อยากได้รองเท้าคืน แถมยังอยากให้ชานยอลแถลงไขข้อสงสัยว่าทำไมไม่เอารองเท้ามาด้วยเร็วๆแล้ว !!!

                    “ฮือออ รู้แล้ว ฮึกกก.. รองเท้าเราอยู่ ฮืออ น ไหน”คราวนี้ชานยอลลดตัวนั่งลงตรงหน้า สบตามินซอกด้วยแววตาจริงจังและมันทำให้ตัวเขารู้สึกเหมือนกลับไปโดนคุณครูสมัยประถมสั่งสอนยังไงยังงั้น

                    “ฉันกับคยองซูจะพานายไปขอโทษ แล้วขอรองเท้าคืนจากพวกเขานะ”

     

    พอชานยอลพูดจบ ดวงตาเรียวก็หันไปมองคยองซูตาแป๋ว ก่อนจะได้รอยยิ้มอบอุ่นจากคยองซูมาเป็นคำตอบราวกับจะสร้างความมั่นใจให้กับเขา

    “ไม่ต้องกลัวนะมินซอก.. นายไม่ได้ตั้งใจ”น้ำเสียงหวานๆนั่นเอ่ยขึ้นเมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมช่วงหนึ่ง

    “ใช่ๆ อย่าไปคิดมากเลยมินซอก หนึ่งในนั้นอยู่ชมรมเดียวกับไอ้จงอินที่ตามจีบคยองซูอยู่  เดี๋ยวคยองซูฝากให้จงอินไปเคลียร์ให้ก็หายๆกันไปแล้ว เนาะๆ คยองซู”ชานยอลเอ่ยพร้อมยักคิ้วให้คยองซู ก่อนอีกฝ่ายจะส่งสายค้อนกลับไปให้ แล้วหันมาปลอบเพื่อนสนิทอีกคนอย่างใจเย็น

    “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก สามคนนั้นเป็นนักเรียกแลกเปลี่ยนอยู่หอเดียวกับเรา เราพอรู้จักอยู่ มินซอกอย่ากังวลไปเลย เท่าที่ดูแล้ว ทั้งสามคนดูเป็นคนใจดีอยู่นะ”

    ได้ยินแบบนั้นแล้วมือเล็กๆก็รีบเช็ดน้ำตาแบบลวกๆ พยักหน้าหงึกหงักเชิงว่าเข้าใจแล้ว ชานยอลยิ้มแล้วลูบหัวเพื่อนตัวแสบเบาๆ ในเวลานี้มินซอกดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังจะไปขอโทษเพื่อนตามคำสั่งของครูยังไงยังงั้น คยองซูลุกขึ้นยื่นมือให้เพื่อนแก้มกลมจับเป็นที่มั่น มินซอกยืนขึ้นเต็มความสูงปัดฝุ่นออกจากกางเกงเล็กน้อย เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้เพื่อนสนิททั้งสองยิ้มอย่างเอ็นดู

    “ทั้งสองคนต้องช่วยฉันด้วยนะ....”

    “ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว มินซอกเพื่อนพวกเรานะ”

                   

    .

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาของวิชาต่อไป มินซอกก้มดูนาฬิการะหว่างกำลังเดินกลับไปยังโรงอาหารพร้อมกับคยองซูและชานยอล  อันที่จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความกลัวกำลังครอบงำทำให้ตัวเขาอยากหาข้ออ้างเรื่องเวลามารบเร้าให้สองคนนั้นรีบไปยังตึกเรียนวิชาต่อไปเสียจริง  แต่ติดที่ว่า.... มินซอกมีรองเท้าข้างเดียว

    จังหวะการสาวเท้าหยุดลงทันทีที่ถึงโรงอาหาร ชานยอลดันไหล่ของเขาเชิงบอกให้เดินต่อไป เพราะว่าถัดจากประตูโรงอาหารเพียงสองสามโต๊ะก็จะถึงโต๊ะที่มินซอกได้ทำวีรกรรมอันใหญ่ยิ่งเอาไว้  คนเจ้าปัญหากลืนน้ำลายเอือกใหญ่เมื่อมองเห็นรองเท้าของตนยังคงวางไว้อยู่ที่เดิม แถมผู้โชคร้ายทั้งสามคนก็ยังนั่งอยู่บนโต๊ะนั้นหัวเราะคิกคักราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก

    .....หวังว่าจะใจดีแบบที่คยองซูบอกไว้นะ ไม่ใช่ว่าเห็นหน้าเขาแล้วแข่งกันวีนละ.....

    ถึงแล้ว... ตอนนี้มินซอกหยุดอยู่ที่โต๊ะที่มีรองเท้าตัวเองเด่นอยู่บนนั้น  ใบหน้าก้มต่ำมองยังเบื้องล่างแทบไม่สนใจคนที่อยู่บนโต๊ะเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะว่าไม่น่าสนใจหรอกนะ แต่ตอนนี้ตัวเขายังไม่พร้อมจะสบตาคนที่ตัวก่อปัญหาใส่ไว้เสียเท่าไหร่หรอก

    “ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจ...”ว่าจบก็โค้งตัวขอโทษทั้งสามคน  คยองซูที่ยืนอยู่ข้างๆแอบเอื้อมมือมาแตะที่หลังของเขาราวกลับจะส่งกำลังใจผ่านฝ่ามืออุ่นนั่น  ดีแล้วละ... ตอนนี้มินซอกต้องการความกล้าที่มากพอจะทำให้สบตาทั้งสามคนด้วยจริงใจ ขอให้คยองซูมอบให้ทีได้ไหมนะ ?

    แต่ตอนนี้มินซอกเข้าใจแล้วละ ว่าตอนนี้ฝ่ามือของคยองซูมันมีแต่กำลังใจไม่ได้มีความกล้าติดมาเลยซักนิด เพราะน้ำตาเจ้ากรรมมันดันไหลออกมาอีกแล้วน่ะสิ

    “ร...เรา ฮึก ขอรองเท้า.. ฮึกก คืน น.. นะ”

    “เหย ร้องไห้ทำไมเล่า ร้องทำไมๆ เอาไปเลยๆ นายหยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้นะ !! เสียงโวยวายสำเนียงแปลกๆดังขึ้นแทบจะทันทีที่พูดจบ มินซอกเงยหน้าขึ้นมาใช้ดวงตาเรียวของตนกวาดมองไปทั้งโต๊ะก็พบว่าสามคนที่เขากลัวนักกลัวหนานั่นกำลังลุกลี้ลุกลนหาสิ่งที่จะมาเช็ดน้ำตาของเขาในตอนนี้

    “ทิชชู่อยู่ไหน ปัดโถ่ เทา เอาทิชชู่มาสิ”คนตัวขาวๆนั่นเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย พิจารณาดูแล้วคนๆนี้ดูขาวกว่าทั้งเขาและคยองซูที่จัดอยู่ในระดับสีผิวกลูต้าอยู่แล้วเสียอีก มือเรียวๆนั่นเอื้อมไปเขย่าร่างสูงๆที่ใต้ตาคล้ำราวกลับไม่ได้นอนมาแรมปีอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “โอยยย ฉันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ !”น้ำเสียงดุๆนั่นทำเอามินซอกสะดุ้งเฮือก พอมองไปที่ต้นเสียงก็เจอสายตาดุๆนั่นกลับมา เท่านั้นแหละ... น้ำตาเจ้ากรรมก็รื้นขึ้นเตรียมจะไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกรอบ

    ฟลุบ !

    คราวนี้กลายเป็นว่ามีเสื้อของใครก็ไม่รู้ลอยมาปะทะใบหน้าของมินซอก อันที่จริงแล้วมันเหมือนกับเอามาคลุมไว้เสียมากกว่า แต่ยังไม่ทันจะได้แปลกใจก็มีเสียงนุ่มๆที่ชวนหลงใหลเอ่ยขึ้นมาขัดเสียก่อน

    “เช็ดน้ำตาซะ แล้วก็เอารองเท้านายคืนไปได้แล้ว”

    กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ชานยอลเอื้อมมือมาดึงเสื้อออกจากหน้าและจัดการเช็ดน้ำตาให้นั่นแหละ คนแก้มกลมกระพริบตาไล่น้ำตาสองสามที แล้วก็กลายเป็นว่าทั้งสามคนนั้นเดินจากไปเสียแล้ว

    “มินซอก ! ได้รองเท้าคืนแล้วนะ”คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมยีหัวคนที่เมื่อกี๊แปลงร่างเป็นเด็กขี้แยเบาๆ คยองซูยิ้มก่อนจะเอ่ยชวนไปเรียนวิชาต่อไป ต่างจากมินซอกที่ยังคงยืนประมวลผลทุกอย่างอยู่อย่างเงียบๆ มือเล็กเอื้อมไปหยิบรองเท้าผ้าใบอีกข้างของตนมาใส่อย่างงงๆ ทั้งที่มืออีกข้างยังกำเสื้อที่เช็ดน้ำเมื่อครู่ไว้เสียแน่น ใช่แล้ว ! เสื้อนี่มันของใครกันนะ มินซอกไม่ได้สังเกตใบหน้าของอีกคนที่อยู่บนโต๊ะนั่นเสียด้วยซ้ำ

    คิดได้ก็รีบคลี่เสื้อที่เปื้อนรอยน้ำตาของตนเองออก ใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มน้อยๆเมื่อพบว่ามันเป็นชุดทีมฟุตบอลของมหาวิยาลัยที่ด้านหลังของเสื้อมีลายสกรีนอยู่ว่า

    ‘Kris 00’

     




     

    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×