คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : นางอัปสรอุรวศี : สาวงามระกำรัก
นางอัปสรอุรวศี :
สาวงามระกำรัก
หลายครั้งผมก็เห็นหนุ่มๆ สาวๆ วัยโสด บ่นๆ อยู่เหมือนกัน
ว่าทำไมตัวเองหน้าตาก็ดีทำไมหาแฟนไม่ได้ หรือมีปัญหากับความรัก
กับคนรักทั้งที่หน้าตาไม่ได้แย่อะไร
ความจริงแล้วก็ไม่ใช่แค่มนุษย์ยุคนี้หรอกครับ ที่มีปัญหากับเรื่องพวกนี้
เหล่าเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลายก็มีเรื่องราววุ่นๆ
กับความรักอันชวนปวดเศียรเวียนเกล้าไม่แพ้กันสักเท่าไร ว่าแล้วก็ขอเล่าสู่กันฟังสักเรื่องเสียหน่อย
ในตอนที่แล้วก็ได้เกริ่นถึงเรื่องราวของนางอัปสรนาม ”อุรวศี”
หรือแปลตรงๆ ว่าผู้ควบคุม(สิ่งที่อยู่ใน)อก (ก็คือหัวใจนั่นแหละ) ซึ่งมีความรักกับกษัตริย์มนุษย์ที่มีเชื้อสายของเทพ
ซึ่งในตอนนี้ก็จะขอเล่าเรื่องราวของเธอนี่แหละ
ก่อนอื่นเลยต้องเล่าย้อนไปยังที่มาของกำเนิดเหล่าอัปสรส่วนใหญ่เสียก่อน
ตามคติที่ปรากฏในมหากาพย์แห่งแดนภารตะนั้น นางอัปสรหลายล้านนางถือกำเนิดขึ้นจากการกวนเกษียรสมุทรเช่นเดียวกับพระจันทร์และพระนางลักษมี
จึงเป็นที่มาของชื่อเผ่าพันธุ์อัปสร อันเกิดจากการผสม “อปฺ” ที่แปลว่าน้ำ
(ซึ่งอาจแผลงให้คุ้นตาว่า อาโป) และ “สร” อันแปลว่าการการแล่นไปหรือจะแปลว่าเสียงก็ได้
เหล่าอัปสรทั้งหมดที่กำเนิดมาเป็นเพศหญิงด้วยกันทั้งสิ้น
และแต่ละนางก็มีหน้าตาสะสวย มีความสามารถด้านดนตรีและศิลปะทั้งหลาย ทว่าเนื่องจากจำนวนมากจนเหมือนจะเป็นของแมสโปรดัคชั่น
(mass production คือของที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก)
ต่างจากพระนางลักษมีที่ผุดขึ้นมาเพียงหนึ่งเดียว หรืออาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเหล่าเทวดาและอสูรที่ช่วยกันกวนเกษียรสมุทรอาจจะยังยุ่งๆ
จนไม่มีเวลาเลือกนางใดไปเป็นพิเศษ
พวกนางส่วนมากจึงกลายเป็นสมบัติสาธารณะไปโดยปริยาย เป็นเหตุแห่งชื่อ “สุรางคนา” คือหญิงงามสวรรค์ (คล้ายๆ กะหญิงงามเมืองนั่นแหละ)
บางตำนานอาจบอกว่าเหล่าอัปสรเป็นสิ่งที่พระพรหมสร้างมา
ไม่ได้เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร หรือบางทีอาจบอกว่าเกิดจากพระกัศยป พ่อทุกสถาบันเจ้าเก่า
หรืออาจจะอธิบายว่าเกิดมาแบบโอปปาติกะเพื่อรับใช้ผู้อุบัติเป็นเทวดา ซึ่งในจุดนี้คงต้องพิจารณากันต่อไปว่าอะไรน่าจะจริงที่สุด
หรืออาจจะจริงทั้งหมดก็ได้
มีบางคติ เช่นในตำราหริวังศะ ได้แบ่งนางอัปสรออกเป็นสองประเภทคือไทวิกะอัปสร
คืออัปสรที่อาศัยบนสวรรค์ เป็นบริวารรับใช้เทวดาระดับสูง กับเลากิกา
คือนางอัปสรที่อาศัยบนพื้นโลก จุดนี้คาดว่าน่าจะเป็นเหมือนพวกนางไม้หรือภูตที่ดูมีความสวยความน่ารักและเชี่ยวชาญศิลปะ
ซึ่งทำหน้าที่รับใช้เหล่าภุมมเทวดาหรือพระภูมิเจ้าที่ รุกขเทวดา และปัพพตเทวดาหรือเทวดารักษาภูเขา
ว่ากันว่าอัปสรส่วนมากมักมีความใคร่ในกามสูง
จึงทำให้ได้ชื่อเผ่าพันธุ์อีกชื่อว่า “สุมทาตมชา” คือผู้มัวเมา และเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเสน่ห์รุนแรงจนขนาดคัมภีร์อาถรรพเวทที่พราหมณ์ศึกษา
ยังต้องมีมนตราที่เอาไว้ป้องกันไม่ให้หลงเสน่ห์ของนางโดยเฉพาะเลยทีเดียว
ด้วยความเสน่ห์แรงนี้เอง
ทำให้นางอัปสรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายตบะของฤๅษีเป็นประจำ
ดังที่ปรากฏทั้งในบันทึกของศาสนาพุทธและตำนานของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู
และหนึ่งในการทำลายตบะสำคัญนี่แหละ ที่กลายเป็นกำเนิดของนางอัปสรอุรวศี
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีฤๅษีสองพี่น้องซึ่งเชื่อว่าเป็นอวตารของพระวิษณุ ชื่อฤๅษีนาระและฤๅษีนารายณ์
ออกฝึกฝนบำเพ็ญตบะเพื่อบำเพ็ญสมาธิชั้นสูง พระอินทร์รู้สึกกังวลในพลังงานมหาศาลของฤๅษีผู้มีกายเนื้อเป็นมนุษย์
จึงจัดนางอัปสรที่งดงามชั้นแนวหน้าของสรวงสวรรค์ทั้งสาม คือรัมภา ติโลตมา และนางเมนกา
ตามด้วยอัปสรบริวารอีกหนึ่งหมื่นหกพันนาง พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากพระกามเทพและพระนางรตี
ให้ไปร่ายรำแสดงดนตรียั่วยวนด้วยสเต็ปอันดีที่สุดที่มี หวังจะให้ฤๅษีหลงใหลในบรรดาสาวงามจนละทิ้งสมาธิที่ตัวเองกำลังบำเพ็ญให้ได้
ทว่าการระบำของอัปสรทั้งหลายไม่อาจทำให้ฤๅษีนารายณ์หวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย เล่นเอากามเทพงงไปพอสมควร ก่อนที่ฤๅษีนารายณ์จะอธิบายไปทำนองว่า เพราะการเริงระบำของเหล่าอัปสรนั้นยังเป็นการแสดงออกเพื่อสนองกิเลสที่เลี้ยงอัตตา (ความเป็นตัวตน) เต็มไปด้วยความทะนงและภาคภูมิใจในความงดงามอันประกอบไปด้วยเสน่ห์นานาประการของตนพวกนางยังไม่เข้าใจความสุขอันเกิดจากฌาน ที่สูงยิ่งกว่ากามคุณ ก้าวผ่านความสุขในจุดที่พวกนางรู้จักมาหมดแล้ว
ว่าแล้วคงกลัวพวกนางไม่เห็นภาพ ฤๅษีนารายณ์เลยบอกว่าจะสร้างอะไรที่มันเจ๋งกว่าพวกนางจากอำนาจฌานในระดับที่พวกนางพอจะเข้าใจให้ดู
จากนั้นก็เอามือตบต้นขาตัวเอง แล้วก็บันดาลเป็นนางอัปสรนาม “อุรวศี” ที่มีความงดงามเสียยิ่งกว่านางรัมภา
นางติโลตมา และนางเมนกา จนสาวงามสวรรค์ชั้นแนวหน้าอย่างพวกนางยังต้องตะลึง จากนั้นก็สร้างนางบริวารให้อุรวศีอีกนับร้อยให้พระกามเทพและเหล่านางฟ้าได้เห็น
เมื่อทั้งหมดเห็นดังนั้น จึงขอขมาแก่ฤๅษีนารายณ์
ฤๅษีก็บอกให้กลับไปบอกพระอินทร์ว่าอย่าระแวงพวกตนไปเลย
ตนจะยกนางอุรวศีและบริวารให้เป็นเครื่องเจริญไมตรี ให้พวกนางรัมภาพานางกลับไปดูแลให้เหมือนน้องสาว
แต่นางอัปสรหนึ่งหมื่นหกพันตกหลุมรักฤๅษีนารายณ์เข้าให้แล้ว
เลยไม่อยากจะกลับสวรรค์ ฤๅษีนารายณ์เลยบอกว่าชาตินี้ตัวเองตั้งใจบำเพ็ญฌาน
แต่อนาคตชาติตัวเองจะเกิดเป็นพระกฤษณะ ถึงเวลานั้นพวกนางจะได้เป็นเมียของเขาแน่ๆ
พวกนางก็เลยพานางอุรวศีกลับไปอยู่ในสังกัดพระอินทร์
นั่นเป็นกำเนิดของนางอัปสรนามอุรวศี นางเอกประจำตอนนี้
แต่เรื่องราวของอุรวศีเพิ่งเริ่มต้น เรื่องราวที่กลายเป็นตำนานคลาสสิกของนางจริงๆ
มันมาจากเมื่อนางไปอยู่บนสรวงสวรรค์ เรื่องเล่านี้บันทึกไว้นิดหน่อยในฤคเวท
และถูกเล่าขยายโดยกาลิทาส ในวรรณกรรมคลาสสิกเรื่องวิกรโมรวศียะ
และบางครั้งยังมีการเล่าในสำนวนนิทานพื้นบ้านอื่นๆ อยู่บ้าง
เรื่องมีอยู่ว่านางอัปสรอุรวศีน้องใหม่ไฟแรงสังกัดค่ายเพลงของพระอินทร์
เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ พระอินทร์โปรดปรานนางมาก ชนิดที่ต้องให้นางไปแสดงระบำรำฟ้อนให้ดูวันละสามเวลา
จนกระทั่งวันหนึ่งที่น่าจะเป็นวันหยุดไม่ก็เวลาพักเบรกของนางอุรวศี
นางได้พาเพื่อนอัปสรชื่อจิตรเลขาลงไปรีแล็กซ์บนโลกมนุษย์
แล้วก็เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวาย
เมื่อความงามของนางและเพื่อนบังเอิญไปต้องตาต้องใจพญารากษส ซึ่งตามธรรมเนียมของรากษสนั้น
เมื่อพอใจหรือตกหลุมรักใครก็จะแย่งชิงเอาด้วยกำลัง
พญารากษสจึงฉุดนางทั้งสองไปหวังจะทำภรรยา
ก่อนจะเล่าต้อขอย้อนกลับไปยังตอนที่พระพุธบุตรพระจันทร์กับนางดารา ได้เสียกับสาวข้ามเพศอย่างนางอิลา
ได้มีลูกชื่อ “ปุรูรวัส” ซึ่งเป็นกษัตริย์ต้นวงศ์จันทร์วงศ์ วงศ์พี่น้องกับสุริยวงศ์
ที่บอกเป็นวงศ์พี่น้อง
เนื่องจากบางตำนานเล่าว่านางอิลาในร่างเจ้าชายนั้นเป็นหลานชายของพระสุริยะ
และมีบุตรในฐานะผู้ชายคือ “อิกษวากุ” บรรพบุรุษสายตรงของพระราม
ซึ่งจะนับศักดิ์จริงๆ ก็คือพี่น้องกับปุรูรวัสนั่นแหละ
ปุรูรวัสเป็นกษัตริย์ผู้มีสายเลือดเทพ
มีรูปร่างหล่อเหลาและฝีมือการรบเก่งกล้า
ขนาดพระอินทร์ยังเคยเชิญไปปราบอสูรและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
ด้วยธรรมเนียมกษัตริย์นักรบ ก็มักจะล่าสัตว์ซ้อมฝีมือธนูเป็นงานอดิเรก
และกรรมก็นำพาให้พญารากษสลักเอาสองอัปสรผ่านมาพอดี โดยที่นางอัปสรทั้งคู่ก็กรีดร้องขอความช่วยเหลือ
พระเอกของตอนนี้เลยเข้าไปจัดการเจ้ารากษสจนตาย ช่วยสาวน้อยทั้งสองนางออกมาได้
แต่ไม่ทันที่ใครจะทำอะไรต่อ เวลาพักของนางอุรวศีก็จบลง นางต้องกลับไปซ้อมคิวละครต่อบนสวรรค์ จึงพาเพื่อนเทเลพอร์ตกลับสวรรค์ไปโดยไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ ปล่อยปุรูรวัสงงอยู่ตรงนั้น แต่ถึงอย่างไรบุตรแห่งพระพุธก็รักนางอัปสรเข้าให้เสียแล้ว
อุรวศีซ้อมบทละครต่อ ในบทของพระนางลักษมีเลือกคู่หลังจากผุดจากเกษียรสมุทร ทว่าแทนที่จะเอ่ยถึงพระนาม “ปุรุโษตมะ”
ของพระวิษณุ ความเหม่อเพราะตกหลุมรักของเธอทำให้เอ่ยนามของปุรูรวัสแทน จนพระภรตมุนีสาปให้ลงมาใช้ชีวิตบนโลก
บางตำนานกล่าวว่านางถูกพระมิตราทิตย์
หลังจากที่จะต้องไปให้บริการแก่พระมิตราทิตย์ แต่พระวรุณมาพบนางและต้องการให้นางบำเรอกามตน
แต่นางปฏิเสธเพราะพระมิตราทิตย์เรียกก่อน พระวรุณจึงขอลูบไล้นางและสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
ถึงแบบนั้นก็ทำให้นางไปพบพระมิตราทิตย์ช้า จึงถูกลงโทษให้ลงไปอยู่บนโลกชั่วขณะหนึ่ง
จนได้พบกับปุรูรวัส แต่เรื่องไหนจริงก็คงต้องไปพิจารณากันเอง
เมื่อมาอยู่บนโลก อุรวศีได้ปรากฏกายต่อหน้าปุรูรวัสที่กำลังเฝ้าฝันถึง
เขากำลังพร่ำเพ้ออยากได้นางเป็นชายา ซึ่งนางก็ตกลงยินยอมพร้อมใจเพราะรักเหมือนกัน
แต่ขอข้อแม้อยู่สามประการ ถ้าผิดจากนี้จะไปทันที ซึ่งบางแห่งบอกว่าได้แก่
“ห้ามขัดใจ” “ห้ามให้เห็นตอนแก้ผ้า” “เสพเมถุนกันวันละสามครั้ง” แต่บางแห่งว่า “ให้มีแกะอยู่ใกล้เตียงนอน”
“ขอเนยใสกินสามมื้อต่อวัน” “ห้ามให้เห็นตอนแก้ผ้า”
ไม่ว่าจะขออะไร ปุรูรวัสก็ตกลงแต่โดยดี
ทั้งคู่จึงมีวันชื่นคืนสุขด้วยกันตลอด จนกระทั่งมีคนธรรพ์อิจฉาความรักทั้งคู่
จึงขโมยแกะแสนรักของอุรวศีและปุรูรวัสไปตอนที่เขาดับไฟอยู่ในห้องมืดและโจ๊ะพรึมๆ
กับนาง พระราชาจึงรีบลุกพรวดออกจากห้องทั้งที่ยังไม่ใส่เสื้อผ้าเพื่อไปตามแกะคืน
จังหวะนั้นเองคนธรรพ์ก็บันดาลให้เกิดแสงอย่างฟ้าแลบขึ้นมา
อุรวศีได้เห็นปุรูรวัสในร่างเปลือย จึงจากเขาไปในทันที
ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมแค่เห็นร่างเปลือยถึงกับต้องหนีไปเสียอย่างนั้น
แต่ผมเดาเล่นๆ ว่าในมโนภาพของอุรวศี
อาจจะกำลังจินตนาการรูปร่างของคนที่เสพเมถุนด้วยว่ามีอะไรอย่างเทวดาที่นางเคยผ่านมา
พอมาเห็นร่างมนุษย์เปลือยซึ่งแตกต่างจากความคาดหวังอาจจะหมดอารมณ์ไปแล้วก็ได้กระมัง...
แต่เหตุผลจริงๆ คงมีแต่อุรวศีที่รู้นั่นแหละ ผมก็ไม่ได้รู้จักเจ๊แกเป็นการส่วนตัวด้วยสิ
ฮา
ปุรูรวัสพอเมียหายก็เสียใจมาก ออกตามล่าหาเมียจนกระทั่งไปเจอเมียในสระน้ำที่พวกอัปสรมาเล่นน้ำในป่าหิมพานต์
อุรวศีแปลงร่างเป็นนกเป็ดน้ำหลบ แต่ปุรูวัสก็ยังคงตามต๊อ จนกระทั่งอุรวศีใจอ่อน
ยอมพบกันปีละครั้ง และแน่นอนว่าพบกันทีก็โจ๊ะพรึมๆ กันทุกครั้งจนผ่านไปหกปี
มีลูกด้วยกันหกคน นางอุรวศีอาจจะรู้สึกเหนื่อยๆ กับการลงมาโลกมนุษย์
หรืออาจจะเห็นว่าปุรูรวัสเองก็คงสังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา
เลยแนะนำให้ปุรูรวัสไปหาพวกคนธรรพ์ เพื่อทำพิธีกรรมให้เขาตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปอุบัติใหม่เป็นคนธรรพ์
เพื่อจะได้ครองรักกันไปนานๆ ซึ่งปุรูรวัสก็ทำสำเร็จซะด้วย
แต่บางตำนานเลาต่างออกไปหน่อย
ราวกับเป็นเกมจีบสาวที่มีตอนจบให้เลือกหลายแบบ บางที่ก็บอกว่าพอตามพบ
อุรวศีก็ไม่ได้ใจอ่อนกลับไปพบอีก แต่นำลูกชายมาให้เลี้ยงต่างหน้า บางฉบับบอกว่าไม่มีเงื่อนไขสามข้อ
แต่อุรวศีถูกคำสาปให้ลงมาโลกจนกว่าจะมีลูกและสามีเห็นหน้าลูก
จึงจะพ้นคำสาปกลับมาบนสวรรค์ ซึ่งนางเองก็อยากอยู่กับสามีในฐานะราชินีของเมืองมนุษย์
ไม่อยากกลับสวรรค์ไปเป็นนางบำเรอเทวดาองค์ไหนก็ได้ที่เรียก พอมีลูกคนแรกคือ
“อายุส” ก็ไม่ยอมบอกสามี ใช้เวทมนตร์บังตาพ่อลูกไว้ไม่ให้เห็นกัน
จนกระทั่งวันหนึ่งครอบครัวนี้ไปเที่ยวป่าหิมพานต์ด้วยกัน แล้วปุรูรวัสดันไปพบกับนางวิทยาธรรูปร่างหน้าตาดี
เลยเผลอมองนานไปหน่อย อุรวศีเลยหึงวิ่งหนีสามี แต่ดันทะเล่อทะล่าไปนิด ไปเข้าเขตห้ามเข้าของพระกรรติเกยะ
เลยถูกคำสาปให้กลายเป็นเถาวัลย์ไป
ปุรูรวัสจึงต้องไปหาทางแก้คำสาปด้วยการเอาลูกแก้ววิเศษมีอำนาจล้างอาถรรพ์คำสาป
แต่โชคร้ายเจอเหยี่ยวโฉบลูกแก้วไปก่อน และพ่อหนุ่มอายุสก็เป็นผู้สังหารเหยี่ยวเอาลูกแก้ววิเศษกลับมา
นั่นจึงทำให้สองพ่อลูกที่โดนซ่อนไม่ให้พบกันด้วยอำนาจอุรวศีต้องพบกันเป็นครั้งแรก อุรวศีเลยต้องพ้นคำสาป
ล่องลอยกลับสู่สรวงสวรรค์ จากลูกผัวไป
โชคดีหน่อยที่ฉบับนี้พระอินทร์เห็นใจ เลยอนุญาตให้กลับลงไปบนโลกและอยู่กินกับคนรักจนปุรูรวัสหมดอายุขัย
แล้วจึงกลับไปสู่สรวงสวรรค์ดังเดิม
แต่เรื่องของอุรวศียังไม่จบ
เธอยังมีบทบาทต่อเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายชั่วอายุคน ตอนนั้นลูกหลานของเธอนาม
“อรชุน” บุตรแห่งพระอินทร์ ได้ขึ้นไปฝึกวิชาบนสวรรค์
และเป็นที่ต้องตาต้องใจของนางอุรวศีมาก อาจเพราะมีบางอย่างคล้ายปุรูรวัสหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
นางจึงพยายามยั่วยวนเขา แต่เขาไม่สนใจใยดี แถมยังเรียกนาง “คุณย่าทวด” (ก็แหงสิ
เป็นบรรพบุรุษเขานี่หว่า) พอนางอกหักดังเป๊าะก็เลยโมโห
สาปว่าถ้าไม่สนใจนางก็ขอให้จงกลายเป็นตุ๊ดไปซะ!
อรชุนโดนสาปแบบนั้นก็ตกใจ ไปหาพระอินทร์ พระอินทร์จึงลดหย่อนคำสาปให้
จากตลอดชีวิตเหลือเพียงหนึ่งปี
ซึ่งตอนนั้นอรชุนก็มีสัญญาว่าหลังจากนั้นต้องปลอมตัวไม่ให้ใครจำได้หนึ่งปีพอดี
ก็เรียกว่าเป็นคำสาปที่พอเป็นประโยชน์อยู่บ้างแหละ
จากที่เล่ามาเสียยาว
ก็จะพบว่าชีวิตรักของนางอัปสรอุรวศีก็ไม่ได้ราบรื่นนัก ถึงแม้นางจะเป็นอัปสรที่สวยที่สุดบนสรวงสวรรค์
แต่ชีวิตรักนางนี่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย ตอนอยู่บนสวรรค์ก็เป็นนางบำเรอให้คนนั้นทีคนนี้ที
พอรักกับปุรูรวัสก็มีมือที่สามมากลั่นแกล้ง พอปิ๊งอรชุนก็อกหักอีก
ความรักของมนุษย์ก็เช่นกันครับ แค่หน้าตาสวยหล่อ รูปร่างดี
ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ความรักสมหวังได้
ต้องประกอบไปด้วยอะไรอีกมากที่จะทำให้ชีวิตรักสมบูรณ์
ซึ่งก็หวังว่าแฟนนานุแฟนทุกท่านจะค้นพบมันกันแล้วนะครับ
ว่าสิ่งที่จะทำให้ความรักของตัวเองสมบูรณ์คืออะไร
แต่ถ้าใครยังไม่พบก็หวังว่าคงพบในเร็ววัน
ไว้พบกันใหม่ตอนหน้าครับ
ความคิดเห็น