คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Ep.16 - Seraph
UNagain.16 – Seraph
“เอื๊อก..!”
เมืองในนรกเนี่ยนะ?...ดูไม่น่าไว้ใจเลยแฮะ
แม้เขาจะคิดอย่างนั้น ทว่าสภาพการณ์กลับไม่เอื้ออำนวย หากไม่อยากอดตายหรือถูก <อสุรกาย> ฆ่าระหว่างทาง
เมืองตรงหน้าก็นับว่าเหมาะแก่การปักหลักมากที่สุด
กระนั้นเรื่องที่ว่าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยก็อาจเป็นจริงได้เช่นกัน
ตอนที่ตัดสินโทษ,จากคำพูดของ <หญิงสาวบนบัลลังก์> จึงทำให้เกลคาดเดาได้ว่าในนรกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ขุมเดียว
บางทีเมืองตรงหน้าอาจเป็นนรกอีกขุมหนึ่ง
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึก————ทางเลือกของเขามีแต่ต้องเผชิญเท่านั้นหากให้ย้อนกลับไปอะไรๆก็คงไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นมาแน่
เกลหลับตาลงทำใจชื้น,แล้วจึงก้าวออกไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
พอเดินเข้ามาถึงระยะ 50 เมตร
เกลจึงมองเห็นทางเข้าประตูเมืองปรากฏชายฉกรรจ์สองคนยืนเฝ้าไว้อยู่————สังเกตได้จากดาบในมือของทั้งคู่
จึงคาดว่าพวกเขาคงเป็นยามหรืออะไรทำนองนั้น
ที่สำคัญคือพวกนั้นไม่มีปลอกคอและถือดาบแบบเดียวกับ <อาคม> ของเอแคร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เกลถึงกับเลิกคิ้วคาดว่ากลุ่มคนตรงหน้าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเอแคร์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
จะเดินเข้าไปคุยดื้อๆเลยดีไหมนะ?
แม้เขาจะลังเล
ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเลี่ยงได้ เกลจำใจเดินเข้าไปใกล้
กระทั่งพวกมันสังเกตเห็นจึงตะโกนว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น! หากเข้ามามากกว่านี้เราจะไม่ปราณี..!” ว่าอย่างนั้นจนเกลขมวดคิ้วแน่นพลางตอบกลับ
“ทำไม? ชั้นเข้าเมืองไม่ได้รึไง..?”
“....”
เงียบงั้นเหรอ? เกลขบคิด,หากเป็นเช่นนี้ต่อให้เขาพยายามโน้มน้าวเพียงใด
อีกฝ่ายก็คงจะยืนกรานเช่นเดิมแน่ กระนั้นจะให้ฝ่าเข้าเมืองไปมันก็ใช่เรื่อง
พวกมันซึ่งอาวุธครบมือแถมกำลังคนมากกว่า
การที่เกลคิดจะแตกหักก็คงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด————ดังนั้นเขาจึงลองเสี่ยงพูดออกไป
“พวกนายรู้จักเอแคร์ไหม? เธอเป็นคนแนะนำให้ชั้นมาที่เมืองนี้เอง”
ว่าอย่างนั้น,แล้วทั้งคู่จึงเลิกคิ้วเผยแววตระหนก
อย่างที่คิด,ดูเหมือนเอแคร์จะมีความเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้
ความจริงแค่ดูจากดาบ <อาคม> ซึ่งเป็นบทเดียวกันก็น่าจะชี้ชัดอยู่แล้วด้วยซ้ำ แล้วหนึ่งในนั้นจึงว่า
“ถ้างั้นนายก็ปลด <อาคม> ออกซะ,วางอาวุธไว้กับพื้นด้วย!”
เมื่อไม่มีทางเลือก,เกลจึงทำตามอย่างว่าง่าย
ถอดดาบและมีดลงกับพื้น ส่วนหอกเพราะไม่รู้วิธีทำให้มันหายไปนอกจากเขาจะสลบ
ดังนั้นเกลจึงวางมันลงข้างๆดาบและมีดด้วยเช่นกัน
อีกฝ่ายแม้แคลงใจทว่าพวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม
ขณะเดียวกันหนึ่งในนั้นจึงเข้ายึดอาวุธบนพื้นส่วนอีกคนก็นำกุญแจมือออกจากกระเป๋ากางเกง “ยื่นมือมา”
มันว่า,ซึ่งเกลก็ตระหนักว่าหากไม่ทำตามเรื่องราวคงได้ยุ่งยากขึ้นแน่
แกร๊ก!
เสียงลงล็อกกุญแจมือดังลอดผ่านชั้นไก
แม้จะงุนงงว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงมีของอย่างกุญแจมือได้
ทว่าโดยรวมตั้งแต่บ้านพักของเอแคร์,เสื้อผ้า,เมือง
หรือ <อาคม> แล้วหากมีกุญแจมือเพิ่มมาด้วย
เขาก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
และก็ดูเหมือน【นารากะ•พาราห์】จะร้อนเกินกว่าที่พวกเขาจะจับต้องได้ สุดท้ายหนึ่งในนั้นจึงหันมาว่า “เฮ้ย! ปลด <อาคม> ของนายได้แล้ว” เกลที่ไม่รู้วิธี <ปลด> ดังกล่าวจึงเอียงคอเอ่ย “ชั้นไม่รู้วิธีปลดน่ะ”
อีกฝ่ายเผยแววเซ็งระอา จากนั้นจึงตอบ “ตอนร่าย <มุทรา> นายทำยังไง?”
มุทราคือการจีบนิ้วเชิงสัญลักษณ์,จะว่าเคราะห์ดีที่เขาจบคณะสังคมศาสตร์หรือเปล่านะ? จึงทำให้เกลเข้าใจความหมายของ <มุทรา> ที่อีกฝ่ายกล่าว ชายหนุ่มครุ่นคิด,เท่าที่เขาจำได้
ก่อนใช้ <อาคม> ตอนร่ายบทเขาจำเป็นต้องจีบนิ้วอย่างที่ทางนั้นว่าจริง
เกลทำมือตั้งนิ้วชี้กับก้อยขึ้นเป็นเมทัลร็อคโดยที่นิ้วอื่นพับเก็บไว้
“ท่า <ขจัดมาร> สินะ? ถ้างั้นนายลองพับนิ้วชี้กับก้อยลงแล้วตั้งนิ้วที่พับอยู่ขึ้นแทนสิ
จากนั้นก็พูดว่า ‘จงหายไป’ แล้วตามด้วยชื่อของ <อาคม> ”
เกลผงกศีรษะแล้วทำตามคำของชายตรงหน้า
นิ้วมือจากท่าเมทัลร็อคจึงแปรเปลี่ยนเป็นชี้กลาง,นาง และโป้งขึ้นราวกับรูปปืน จากนั้นจึงเปล่งเสียงว่า “จงหายไป【นารากะ•พาราห์】”
วูบ!
ทันใดนั้นตัวหอกจึงลุกไหม้ด้วยผืนเพลิง
ก่อนจะแตกโพลงออกเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า————ทั้งสองพยักหน้าพึงพอใจแล้วจึงนำตัวเกลเข้าประตูเมืองแต่โดยดี
ในสภาพที่เหมือนกับนักโทษนี้ ชายหนุ่มได้แต่เหม่อมองไปรอบข้างเท่านั้น
ทางเข้าประตูเมืองนั้นเป็นซุ้มอิฐซึ่งมีรั้วเหล็กกั้นเอาไว้ พอมาถึง,พวกเขาทั้งสองก็ส่งตัวเกลให้กับยามอีกคนหนึ่ง
พวกเขาแจงรายละเอียดให้เล็กน้อยก่อนยื่นอาวุธของเกลให้
แล้วจึงกลับไปยืนประจำตำแหน่งตามเดิม
หลังจากพลัดตัวผู้คุมแล้ว,เกลจึงถาม “ไม่ทราบว่าพวกเราจะไปไหนกันเรอะครับ?”
เพราะชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นรุ่นลุงอายุมากกว่าเขาร่วม
15-16 ปีได้ เกลจึงเลือกที่จะเอ่ยคำสุภาพออกไป,อีกฝ่ายเหลือบมองแล้วตอบกลับ “ไปหาท่านผู้นำ”
“ท่านผู้นำ?”
“พอไปถึงเดี๋ยวแกก็รู้เอง”
ว่าจบ,ทั้งสองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
นอกจากลุงแกจะสั่งให้เกลเดินหน้าหลังหรือซ้ายขวาเพื่อบอกทิศทางเพียงเท่านั้น
ซึ่งหลังจากลอดผ่านประตูรั้วมาได้ เกลก็ถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“น–นี่มัน..?”
ตรงหน้าเกลคือเมืองอันแสนสงบ
มันดูร่มรื่นราวกับเป็นหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง รอบข้างเต็มไปด้วยอาคารเรือนสมัยใหม่และเก่าปนเปกันส่วนใจกลางเมืองก็ปรากฏบ่อน้ำพุดูสวยงามอลังตา
รวมถึงข้างทางก็มีเด็กเล็กวิ่งซนไปทั่วรอบผืนหญ้าและดอกไม้อย่างสนุกสนาน
ทางฝั่งม้านั่งก็มีหญิงวัยกลางคนนั่งจิบกาแฟพลางอ่านหนังสืออะไรซักอย่างควบคู่ไปด้วย————ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนกำลังใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติสุข
“..อะไรวะเนี่ย?” เขาพึมพำเล็กน้อย
ขณะเดียวกันพอเกลย่างเท้าเข้าในเมือง,ชายหนุ่มก็พลันกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง
มีหลายคนหันมามองด้วยความสนใจเพียงครู่
และมีบ้างบางคนซึ่งจับตาดูเกลทุกฝีเท้าที่ย่างก้าวออกไป ขณะที่ลุงยามกำลังไล่หลังให้เกลเดินไปข้างหน้า
ตอนนั้นตรงหน้าเขาจึงปรากฏชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางไว้,ชายชราว่า
“คุณเจ้าหน้าที่,ผมขอคุยกับเขาหน่อยจะได้ไหม?” ซึ่งลุงยามก็ผงกศีรษะรับ
ส่งให้ชายแก่หันมาจ้องหน้าเกลแล้วเอ่ยถาม “ผอมโซถึงกระดูก
ดูท่าเธอคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วสินะ?”
คำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ ขณะที่เกลจะเอ่ยกลับไป————ชายชราก็ยื่นกล่องแซนด์วิชในมือให้ “รับไว้สิ,ถึงจะเป็นของถูกๆแต่ก็คงทำให้เธออิ่มท้องได้”
“...”
เกลกระพริบตาปริบๆ
ให้ฟรีงั้นเหรอ..?
ระหว่างที่คิดอย่างนั้น————ลุงยามจึงสมทบว่า “คนเขาอุตส่าห์ให้แกก็รับไว้สิ” จึงทำให้เกลเกิดอาการลังเลก่อนจะยื่นมือไปรับ
“ขอบคุณครับ...แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณตา”
“ฮะ..ฮะ..ไม่เป็นไร,ของแค่นี้เดี๋ยวตาซื้อใหม่เอาก็ได้”
เขาว่าอย่างนั้น,ก่อนจะขอตัวลาโดยทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะอันแผ่วเบา
เกลได้แต่มองไล่หลังสลับกับแซนด์วิชในมืออย่างอื้ออึง ลุงยามจี้หลังแล้วว่า “เอ้า! จะยืนอีกนานไหม? รีบเดินไปได้แล้ว”
“...ผมเดินไปกินไปได้ไหม?”
“นั่นมันสิทธิของแก”
ลุงยามว่า,ส่งผลให้เกลฉีกยิ้มขึ้น
หยิบแซนด์วิชชิ้นหนึ่งเข้าปากพลางเดินต่อไปเบื้องหน้าไม่พูดไม่จาอะไร
...บางทีในนรกก็อาจจะยังมีคนดีๆหลงเหลืออยู่————
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น,พร้อมกับผุดยิ้มขึ้นในใจ
۞۞۞
ความคิดเห็น