Touhou Fanfic "double action เมื่อเธอกับฉันรวมเป็นหนึ่ง" - Touhou Fanfic "double action เมื่อเธอกับฉันรวมเป็นหนึ่ง" นิยาย Touhou Fanfic "double action เมื่อเธอกับฉันรวมเป็นหนึ่ง" : Dek-D.com - Writer

    Touhou Fanfic "double action เมื่อเธอกับฉันรวมเป็นหนึ่ง"

    เมื่อวิญญาณมาริสะอยู่ในร่างเรย์มุ การต่อสู้ร่วมกันของสองพลังที่รวมเป็นหนึ่งจึงเกิดขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    304

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    304

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    7
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ต.ค. 53 / 00:42 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       


            วันนี้เกนโซเคียวก็ยังสงบสุขเหมือนดั่งเช่นทุกวัน 
            ใช่แล้ว เรย์มุคิดแบบนั้น มันควรจะเป็นแบบนั้นสิถึงจะดีที่สุด 
            แต่น่าเศร้าที่เรื่องวุ่นวายมักเกิดขึ้นเสมอ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถึงแม้คราวนี้ดูท่าจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาชวนปวดหัวเข้ามาอีกแล้ว 
             “แล้วไง ? ตกลงว่ายัยบ้านี่ไปทำอะไรมาอีกล่ะ ?” 
            มิโกะขาวแดงแห่งฮาคุเรย์ถามไปยังเจ้าของร้านโควรินโด รินโนสุเกะที่นั่งเฝ้าร่างไร้สติของมาริสะด้วยใบหน้าเซ็งไม่แพ้กัน 
            มาริสะนอนหลับด้วยใบหน้านิ่งสงบอยู่บนเตียง สงบนิ่งเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงนิทราในนิทาน ในมือถือยังเสปลการ์ดที่ไม่คุ้นตาใบหนึ่งอยู่ด้วย 
             “เมื่อเช้ามาริสะแย่งการ์ดของฉันไป ดูเหมือนว่ายัยนั่นจะเข้าใจว่าเป็นสินค้าไหม่ในร้านน่ะนะ ชั้นยังไม่ทันได้เตือนก็เผ่นหนีไปซะแล้ว แล้วพอตามไปก็เจอมาริสะนอนนิ่งอยู่ในสภาพนี้เนี่ยแหละ” 
             “เพราะการ์ดนี่น่ะรึ ? แล้วมันเป็นการ์ดอะไรกันล่ะ ?” 
            รินโนสุเกะขยับแว่นให้เข้าที่ ทำหน้าเซ็งๆแล้วตอบว่า 
             “การ์ดกักวิญญาณ เป็นการ์ดที่สามารถขังวิญญาณหรือสลับสับเปลี่ยนวิญญาณของคนได้น่ะสิ” 
             “สรุปว่ามาริสะโดนกักไว้ในการ์ดนี่สินะ ?” 
             “ดูท่าจะเป็นงั้นแหละ” 
             “แล้ววิธีเอาวิญญาณกลับล่ะ ?” 
            รินโนสุเกะส่ายหน้าตอบสั้นๆว่า “ไม่รู้” 
             “หา ? ไม่รู้ ?” 
             “ก็ใช่น่ะสิ ด้วยความสามารถของฉันก็รู้แค่ความสามารถของมันนี่แหละ ไม่รู้วิธีใช้หรอก ถึงจะรู้แล้วข้อนึงว่าคนที่ใช้จะโดนมันกักวิญญาณไว้ก็เถอะ” 
            มิโกะสาวเกาหัวแกรกๆ พลางบ่นพึมพัม 
             “แล้วจะทำไงดีล่ะเนี่ย ? ปล่อยเอาไว้ดีมะ ? เอาไว้ซักวันรู้วิธีค่อยเอาวิญญาณกลับ แถมดูท่าแบบนี้ก็สงบสุขดีด้วย ” 
             “เฮ้ๆ อย่าพูดเล่นสิ ขืนปล่อยไว้นานๆมาริสะก็ได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอกันพอดี ร่างที่ไม่มีวิญญาณจะพลังงานตกลงได้ง่ายกว่าปกติเธอก็รู้ไม่ใช่รึไง” 
             “ช่วยไม่ได้นี่ ก็มันทำอะไรไม่ได้นี่นา ทั้งชั้นทั้งนายก็ไม่รู้วีใช้มันซะด้วย หรือนายจะลองเป็นเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงนิทราดูล่ะ แบบนั้นอาจจะเวิร์คก็ได้นะ” 
             “ขอผ่านล่ะ ชั้นยังไม่อยากโดนยัยนี่ฆ่าเอาทีหลัง เราลองไปถามคนอื่นที่น่าจะรู้เรื่องการ์ดนี่น่าจะดีกว่ามั้ง” 
             “ใครล่ะ ?” 
             “ก็โยวไคที่ชอบหมกตัวในห้องสมุดบ้านมารแดงไง ได้ยินว่าเธอคนนั้นมีความรู้ของหนังสือนับหมื่นเล่มอยู่ในหัวเชียวนะ อาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้” 
             “ก็ดีนี่ งั้นนายไปก็แล้วกัน ชั้นจะได้กลับบ้านไปนอนต่อ” 
             “…ถ้าทำงั้นได้ก็ไม่ต้องลำบากหรอก ไอ้ชั้นมันก็ไม่ค่อยจะรู้จักกับคนที่นั่นซะด้วย แล้วก็ดูท่าว่ามาริสะจะชอบไปก่อเรื่องที่นั่นอยู่เรื่อยซะด้วย ขืนไปบอกว่าขอให้มาช่วยมาริสะหน่อย ดีไม่ดีจะโดนพวกนั้นรุมยำมาริสะม่องไปซะก่อนน่ะสิ” 
             “เพราะงั้นก็เลยจะให้ชั้นเป็นคนไปหายัยนั่นสินะ ?” 
             “ก็แบบนั้นแหละ ส่วนชั้นจะเฝ้ามาริสะอยู่ที่นี่ ยังไงป่านี่มันก็มีโยวไคกินคนอยู่ จะปล่อยมาริสะไว้คนเดียวก็อดเป็นห่วงไม่ได้” 
            เรย์มุเกาหัวแกรกๆ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง 
             “อะไรๆก็มาลงที่ชั้นคนเดียวเลยน้อ ก็ได้ๆ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเกิดต้องตีกันตอนนี้ชั้นมีหวังไปไม่กลับแน่ๆล่ะ เพราะช่วงนี้มันเป็นช่วงหนึ่งของปีที่พลังวิญญาณชั้นจะตกลงมากซะด้วย” 
             “หา ? แล้วที่ว่าตกลงเนี่ย มันตกลงซักขนาดไหนกันล่ะ ?” 
             “ก็ประมาณว่าถูกลดขั้นจากแม่ทัพมาเป็นทหารแก่ล่ะมั้ง ถ้าเป็นตอนนี้จะสู้ยามเฝ้าประตูได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย” 
             “แบบนั้นก็อันตรายสุดๆเลยน่ะสิ” 
             “เอาเถอะ ยังไงก็คงไม่ต้องมีเรื่องกันหรอกมั้ง มองในแง่ดีไว้ก่อน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยเผ่นก็ได้” 
            เธอพูดพลางเดินไปหยิบการ์ดกักวิญญาณมาจากมือมาริสะ แล้วโบกมือเป็นเชิงร่ำลา 
             “เดี๋ยวก่อนเรย์มุ” 
            รินโนสุเกะรั้งมิโกะสาวไว้พร้อมกับหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามอบให้กับเธอ มันคือเตาแปดเหลี่ยมอาวุธคู่ใจของมาริสะนั่นเอง 
             “ยังไงก็พกไอ้นี่ไปด้วยแล้วกัน เผื่อคับขันอาจจะพอเอามาใช้ประโยชน์ได้มั่ง” 
            มิโกะขาวแดงรับเตาแปดเหลี่ยมมาเก็บไว้ ถึงแม้เธอจะไม่คิดว่าของแบบนี้จะมีประโยชน์อะไรกับคนที่ไม่ใช่จอมเวทย์อย่างเธอ แต่ก็เอาเถอะรับไว้คงไม่เสียหลาย อย่างน้อยถ้าช่วยมาริสะได้แล้วค่อยเอามาไถเงินเป็นค่าช่วยทีหลังก็ยังดี 
             “เอาเถอะ ยังไงก็ฝากยัยนั่นด้วยแล้วกัน ชั้นไปล่ะ” 
            เธอกล่าวพลางก็ปิดประตูเดินออกไป 

      --------------------------------------------------------------------



            ตอนที่เรย์มุมาถึงคฤหาสถ์มารแดง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เรมิเรียกำลังนั่งจิบชายามเย็น แต่จริงๆแล้วปกติไม่ว่าเธอมาตอนไหนก็เป็นเวลาจิบชาของแวมไพร์โลลิคนนี้ทุกครั้ง จนคล้ายกับว่าเวลาในหนึ่งวันของเธอคนนี้หมดไปกับการนอนหลับและจิบชาเพียงแค่สองอย่างก็ไม่รู้ 
            ซึ่งถ้ามันมีแค่นี้จริงๆ มิโกะสาวคงจะยินดีมากเลยทีเดียว 
            เรมิเรียวางถ้วยชาลงช้าๆ แล้วหันมาหาทักทายกับเธอ 
             “น่าแปลกจริงนะ ที่มีแขกมาเยือนในเวลาแบบนี้” 
             “ความจริงก็ไม่ค่อยอยากมาหรอก แต่พอดีมีธระกับพาชูวลี่นิดหน่อยน่ะ” 
            เรมิเรียมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย เพราะเธอจำได้ว่าปกติแล้วไม่เคยเห็นมิโกะสาวจะไปสนทนาะทีกับพาเช่เพื่อนของเธอซักเท่าไหร่ 
             “ถ้าพาเช่ล่ะก็ ตอนนี้อยู่ในห้องสมุดแน่ะ ว่าแต่อุตส่าห์มาแล้วจะไม่มานั่งจิบชาเป็นเพื่อนกันซักหน่อยหรือ ?” 
             “โทษทีนะ แต่เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน” 
            มิโกะสาวกล่าวตัดบทพลางเดินเข้าไปในคฤหาสถ์ แต่เธอก็พบว่าเรมิเรียกลับมายืนขวางหน้าเธออยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 
             “จะรีบร้อนไปไหนกันล่ะเรย์มุ เจ้าบ้านอุตส่าห์มีน้ำใจชวนจิบชาแต่แขกเมินกันแบบนี้มันเสียมารยาทนา” 
            มิโกะสาวแม้มีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม แต่ความจริงแล้วเธอกำลังพยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่ วันนี้เธอจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทุกชนิด เพราะถึงแม้เรมิเรียจะไม่ใช่พวกชอบอาละวาด แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่ทำอะไรประหลาดๆขึ้นมาตอนนี้ 
             “น่าแปลกจังนะ ทั้งที่เธอมาคนเดียวแท้ๆ แต่ทำไมชั้นถึงรู้สึกถึงพลังวิญญาณสองดวงได้กันน้อ คงไม่ใช่ว่าเธอแอบผนึกวิญญาณของใครบางคนแล้วพกมาด้วยหรอกนะ” 
            มิโกะสาวไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่เธอรู้สึกได้ว่าตอนนี้ที่มือมีเหงื่อไหลออกมาจนเปียกชุ่ม 
             “แหม ไอ้ชั้นเองมันก็คนอยากรู้อยากเห็นซะด้วย บอกหน่อยได้มั้ยล่ะว่าเป็นวิญญาณของใคร ? แล้วดูท่าที่จะมาหาพาเช่ก็คงเป็นเรื่องนี้ด้วยสิ ?” 
            มิโกะสาวแอบสบถในใจ วันนี้เธอรู้สึกยังกับว่าแวมไพร์ข้างหน้านี้เป็นฮิกกี้โลกไต้ดินที่อ่านใจคนได้ยังไงยังงั้น 
             “เอาไงดีล่ะ ถ้าเธอไม่บอกชั้นก็คงให้ผ่านไปไม่ได้หรอกนา” 
            เรย์มุพบว่าตอนนี้เธอเจอทางตันซะแล้ว เธอถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย 
             “ก็ได้ๆ ให้ตายสิ วันนี้นี้มันช่างวุ่นวายจริงๆ แต่ถ้าบอกแล้วต้องให้ชั้นผ่านไปหาพาชูวลี่นะ” 
             “แน่นอนสิ คนอย่างชั้นไม่ผิดสัญญาหรอก” 
            มิโกะสาวหยิบการ์ดที่มีวิญญาณของมาริสะออกมาแล้วบอกว่า 
             “ก็อย่างที่เธอเดานั่นล่ะ มาริสะถูกกักวิญญาณไว้ในการ์ดนี่ ที่ชั้นมาหาพาชูวลี่ก็เพื่อที่จะหาวิธีเอาวิญญาณยัยนี่กลับร่างนี่แหละ” 
             “เห ยัยหัวขโมยนั่นก็มีวันโดนจับแบบนี้ด้วยแฮะ” 
            แวมไพร์สาวกล่าวพลางมองดูการ์ดในมือเรย์มุไม่วางตา 
             “ประมาณนั้นแหละ งั้นชั้นไปล่ะ” 
            เรื่องมันควรจะจบที่ตรงนี้ แต่เรย์มุพอจะเดินผ่านเรมิเรียไป ก็กลับถูกดึงแขนเอาไว้อีก 
             “อะไรของเธออีกล่ะ ไหนว่าบอกแล้วจะยอมให้ผ่านไปไง” 
            แวมไพร์สาวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น กล่าวช้าๆ 
             “เรย์มุ… ชั้นให้เธอไปก็จริง แต่ยังไม่ได้พูดซักคำเลยนะว่าจะให้มาริสะไปด้วยน่ะ” 
            แวมไพร์สาวกล่าวต่อว่า 
             “สำหรับชั้นแล้วมาริสะเป็นตัวกวนใจที่ชอบมาขโมยของแถมทำข้าวของที่นี่พังบ่อยๆ ถ้าเป็นเธอก็คงจะรู้นะว่าชั้นรำคาญขนาดไหน” 
             “ก็พอจะเข้าใจล่ะนะ ยัยนั่นก็ชอบหาเรื่องปวดหัวาให้ชั้นบ่อยๆเหมือนกัน แต่ยังไงยัยนั่นก็เป็นเพื่อนของชั้น เพราะงั้นมนก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ” 
             “อืมม์ นั่นก็ใช่อยู่ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนของชั้นซะด้วยสิ” 
             “แล้วเธอจะเอายังไง ?” 
             “จะช่วยส่งที่ผนึกวิญญาณมาริสะมาให้หน่อยได้มั้ยล่ะ ?” 
            มิโกะสาวไม่พูดอะไร เรมิเรียก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งคู่เพียงแต่จ้องหน้ากันเงียบๆเท่านั้น 
            ผ่านไปครู่หนึ่ง มิโกะสาวจึงค่อยเอ่ยขึ้นก่อน 
             “ถึงชั้นจะขอร้องยังไง ก็คงจะไม่ยอมให้ผ่านไปแน่ๆใช่ไหม ?” 
            เรมิเรียไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยิ้มเป็นเชิงไม่ปฎิเสธ 
            เรย์มุเข้าใจแล้ว เธอพบว่ายังไงวันนี้ก็คงไม่มีทางเลี่ยงการต่อสู้ได้แน่ๆ 
            ถ้าหากจะช่วยมาริสะ ก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้น 
            เรมิเรียแสยะยิ้มอย่างหี้ยมเกรียม อันที่จริงเธอก็รู้แต่แรกแล้วว่าวันนี้พลังจิตของมิโกะสาอ่อนลงไปมาก ไม่งั้นก็คงไม่เสียเวลาคุยอยู่ตั้งนานสองนานหรอก แต่ยังไงเธอก็อยากรู้อยู่ดีว่ามิโกะสาวจะยอมต่อสู้โดยไร้หนทางชนะเพื่อเพื่อนจอมหาเรื่องรึเปล่า และเรย์มุก็ไม่ได้ทำให้เธอผิดหวังเลย 
             “ให้ตายสิ มนุษย์นี่มันน่าสนุกจริงๆ” 
            แวมไพร์สาวแอบหัวเราะอยู่ในใจ 


      --------------------------------------------------------------------



            แผ่นยันต์จำนวนมากไหม้อยู่กับพื้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเรมิเรียได้แม้แต่น้อย การต่อสู้ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เธอจึงทำได้แค่หลบหลีกและป้องกันเพื่อหาจังหวะเพียงอย่างเดียว น่าเสียดายที่เรมิเรียเองก็รู้เหมือนกันว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงไม่ผลีผลามเข้ามาแต่คอยสาดกระสุนเวทย์ใส่จากระยะไกลอย่างรอบคอบเท่านั้น 
            กระสุนเวทย์ถูกบีบลงให้แคบลงเรื่อยๆ เรย์มุเองก็เริ่มจะหลบไม่พ้นแล้ว เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานตัวเองจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่ถึงอย่างนั้นในประกายตาของเธอก็ยังฉายแววมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ 
            เพราะถ้าเธอแพ้ มาริสะก็ตาย 
            แต่ในช่วงเวลาที่แสนคับขันนี้ จะมีวิธีไหนเอาชนะได้กัน ? 
            เรย์มุไม่มีเวลาอีกแล้ว หากเป็นแบบนี้อีกไม่เกินสามนาทีคงจะจนมุมแน่ แต่ในตอนนั้นเอง ก็พลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น 
            "ให้ฉันออกไปแทนเถอะเรย์มุ !" 
            เรย์มุตกใจจนต้องอุทานออกมา 
             “มาริสะ ?” 
             “ตอนนี้เธอไม่ไหวหรอก ให้ชั้นออกไปสู้แทนสิ ถ้าเป็นชั้นล่ะก็เอาชนะได้แน่ !” 
            เสียงของมาริสะยังดังขึ้นมาอีก 
            เรย์มุตกใจมาก เพราะเสียงนั่นออกมาจากการ์ดมาริสะ แต่เสียงนั่นกลับมีแต่เรย์มุคนเดียวที่ได้ยิน 
            "แล้วจะออกมาสู้แทนได้ยังไง ตอนนี้เธอไม่มีร่างนะ" 
            "ใช้การ์ดของชั้นสิ ถ้าใช้มันแล้วชั้นก็จะออกไปสู้แทนเธอได้" 
            ในช่วงเวลาคับขัน มิโกะสาวไม่มีเวลาคิดมาก จึงรีบใช้การ์ดของมาริสะตามที่บอก 
            พริบตานั้นก็พลันเกิดแสงประหลาดพุ่งออกมจากการ์ด เงาจางๆของมาริสะพุ่งออกมาจากการ์ดเข้าสู่ร่างเรย์มุ พร้อมกับทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง 
            ชุดมิโกะของเรย์มุเปลี่ยนจากแดงขาวเป็นดำขาว ริบบิ้นที่หัวก็เปลี่ยนเป็นหมวกแหลมแบบจอมเวท พร้อมทั้งแววตากับสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป 
            มีพลังประหลาดแผ่ออกมาจากร่างเรย์มุอย่างรุนแรง ทำให้กระสุนพลังของเรมี่ที่ล้อมเรย์มุเอาไว้ถูกทำลายจนหมด 
            เรย์มุแสยะยิ้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แววตาก็คมกริบเป็นคนละคน ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่ใบหน้าของเรย์มุ 
            นั่นคือใบหน้าของมาริสะ ! 
            "ชั้นมาแล้วเฟ้ย !!" 
            เสียงของมาริสะดังออกมาจากปากเรย์มุ ทำให้เรมี่ต้องผงะจนอุทานออกมา 
            "มาริสะ ?" 
            มาริสะในร่างของเรย์มุหยิบการ์ดใบเดิมออกมา เธอใช้การ์ดนั่นอีกครั้งก็มีไม้กวาดคู่ใจพุ่งทะลวงหน้าต่างบ้านมารแดงเข้ามาสู่มือ 
            "บอกไว้ก่อนนะเรมิเรีย ว่าชั้นคนนี้ไม่ชอบทำอะไรจุกจิกหยุมหยิมแบบเรย์มุหรอก ถ้าลองชั้นได้ลุยแล้วล่ะก็ รับรองว่ามันจะเป็นไคลแมกซ์ตั้งแต่ต้นจนจบเลย !" 
            เธอกระโดดขึ้นไปขี่ไม่กวาดคู่ใจ แล้วพุ่งทะยานเข้าหาคุณหนูแวมไพร์ราวกับพายุ 
            "ไปล่ะ ไปล่ะ ไปล่ะเฟ้ย !!" 
            การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างรุนแรง พลังของมาริสะกับเรย์มุรวมกันเป็นหนึ่งทำให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติซะอีก เพียงไม่นานเท้าของมาริสะก็ถีบเข้าที่ท้องของเรมิเรียจนเธอต้องกระเด็นไป 
            "อย่าทำเป็นได้ใจเกินไปนักนะมาริสะ !! อย่าลืมนะว่าชั้นยังมีสิ่งนี้อยู่" 
            เธอเรียกหอกกุงนีล์ออกมากระชับมั่น หอกนี้มีพลังทำลายสูงยิ่งกว่าอาวุธไหนๆ และในระยะประชิดแม้ว่ามาริสะจะใช้มาสเตอร์สปาร์คก็ไม่มีทางสู้ได้แน่นอน 
            แต่มาริสะก็ไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวซักเท่าไหร่ ยังคงแสยะยิ้มอย่างเริงร่าเหมือนเดิม 
            "เฮ้ย เฮ้ย… อย่าคิดว่ามีแต่ตัวเองที่มีของแรงสิฟะ" 
            มาริสะหยิบเตาแปดเหลี่ยมคู่ใจออกมาแล้วเสียบด้ามไม้กวาดเข้าไปในเตา พลังงานจากเตาไหลจึงไหลออกมารวมกันที่ด้ามไม้กวาดเหมือนกับคมดาบ 
            "ไปล่ะนะ เรย์มุ" 
            เรมิเรียพุ่งเข้ามาพร้อมกับกุงนีล์ ในช่วงเวลาพริบตานั้น มาริสะก็ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดฟาดด้ามไม้กวาดที่เป็นเหมือนดาบออกไป 
            "รับไปซะ ท่าไม้ตายของชั้น !!" 
            พลังทำลายที่เคยกระจัดกระจายของไฟนอลสปาร์คเมื่อมารวมกันอยู่เป็นจุดเดียวย่อมรุนแรงขึ้นหลายเท่า แน่นอนว่าแม้แต่หอกของเรมิเรียก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ด้วยพลังที่รุนแรงนั้นทำให้กุลนีล์สลายไปในพริบตา ส่วนเรมิเรียก็โดนคลื่นพลังซัดจนกระเด็นทะลุกำแพงคฤหาสหายไปในทันที 
            "หึ มันต้องแบบนี้สิถึงจะเจ๋ง !" 
            "นี่เหรอ.. พลังของพวกเราที่รวมกันเป็นหนึ่ง" 
            เสียงเรย์มุพึมพัมขึ้นจากในการ์ด 
            "ได้อาละวาดเต็มที่แบบนี้สะใจเป็นบ้า ไอ้คนอย่างชั้นมันก็ต้องเล่นแบบนี้ล่ะนะถึงจะเหมาะ" 
            มาริสะบิดขี้เกียจไปมาด้วยใบหน้าแสนระรื่น 
            "เฮ้ๆ ถ้าลุยเสร็จแล้วก็เปลี่ยนตัวกลับซะสิ นั่นมันร่างชั้นนา" 
            "อย่าพูดงั้นซี่เรย์มุ นานๆจะมีของสนุกแบบนี้มาให้เล่นที เราไปไล่เตะพวกโยวไคเล่นกันก่อนดีกว่าน่า" 
            "ยัยบ้า เอาร่างชั้นไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้เรอะ ยังไงชั้นก็มีอิมเมจของมิโกะแห่งฮาคุเรย์ค้ำคออยู่นะ เดี๋ยวยัยป้าร่มก็โผล่มากินหัวเอาหรอก" 
            "จะกลัวอะไรเล่า ยังไงเรารวมกันก็ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ตอนนี้ชั้นฟิตบั๋งสุดๆเลยนะเฟ้ย จะหน้าไหนๆก็มาเหอะ แม่จะไล่ฟาดกระบาลให้กระเจิงเลย" 
            "เฮ้ยๆ อย่ามาทำเป็นเล่นน่า ตอนนี้ถ้าไม่รีบเอาร่างชั้นคืนมาล่ะก็มีหวังเธอได้ร้องไห้ทีหลังแน่ๆนา จะเอางั้นจริงเร้อ" 
            "หมายความว่าไง ?" 
            "หึ ก็ตอนนี้คิดว่าใครกันล่ะที่คอยเฝ้าร่างเธอที่เป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่น่ะ" 
            "หา ?" 
            "หน้าตาตอนนอนของเธอเองก็บ้องแบ๊วไม่ใช่เล่นเหมือนกันนี่นะ เจ้าหมอนั่นเองมันก็เป็นหนุ่มโสดซะด้วย..."
            "ยะ.. อย่ามาพูดบ้าๆนะเฟ้ย ! ลองเจ้าบ้านั่นทำอะไรร่างชั้นสิ รับรองว่าศพไม่สวยแน่ !" 
            "ใครมันจะไปรู้ล่ะ แต่ถ้าตอนนี้ไม่รีบหาวิธีคืนร่างล่ะก็จะเป็นไงก็ไม่รู้นะ" 
            "หนอย... งั้นชั้นจะบินกลับไปซัดเจ้านั่นให้เดี้ยงเดี๋ยวนี้แหละ !" 
            "ใครจะยอมให้ไปเล่า ! เอาร่างชั้นคืนมาเดี๋ยวนี้นะ !" 
            พอทะเลาะกันมาถึงตรงนี้อยู่ๆมาริสะก็รู้สึกว่าร่างกายขยับไม่ได้ดังใจ กรเคลื่อนไหวก็เริ่มติดขัด เหมือนกับว่าเรย์มุกำลังพยายามชิงร่างของตัวคืน 
            "เรย์มุ... นี่เธอ..." 
            "อย่าลืมสิว่าชั้นเป็นมิโกะที่มีพลังของคนทรงมาแต่โบราณ เมื่อร่างชั้นเหมาะจะเป็นร่างทรง ก็ย่อมมีพลังต่อต้านเวลาถูกสิงร่างด้วยเหมือนกัน !" 
            "ฮึ่ม... ใครมันจะไปยอมแพ้ง่ายๆฟะ !" 
            ทั้งที่พูดแบบนั้นแต่มือของเธอก็กลับไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียแล้ว ในตอนนี้ดูเหมือนเรย์มุจะเป็นฝ่ายชนะ จิตวิญญาณของเธอจึงค่อยๆบังคับร่างให้หยิบเสปลการ์ดกักวิญญาณออกมาช้าๆ 
            "เอาคืนมาได้แล้วมาริสะ !" 
            พอพูดจบแสงแวบหนึ่งก็พุ่งออกจากร่างเรย์มุกลับสู่การ์ด ส่วนชุดของเรย์มก็กลับเป็นแบบเดิมเรย์มุพึมพัมขึ้น 
            "ให้ตายสิยัยนี่ เป็นตัวปัญหาตั้งแต่ต้นยันจบเลยนะ" 

            "ดูท่าจะได้ของเล่นที่น่าสนุกมานะเรย์มุ" 
            เรย์มุหันหน้าไปตามเสียง ก็พบว่าพาชูวลี่มาอยู่ข้างหน้านี่แล้ว โยวไคหนอนหนังสือผู้รอบรู้มองดูรูที่กำแพงพลางบ่นพึมพำ 
            "ไม่ไหวๆ เล่นซะเอิกเกริกจนนอนไม่หลับเลย พักนี้ชั้นยิ่งไม่ได้นอนอยู่ด้วย" 
            "อา โทษทีก็แล้วกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ ดูท่ายัยนั่นก็พยายามจะให้ความเสียหายน้อยที่สุดแล้วนะเลยใช้วิธีนี้" 
            "ก็คงใช่แหละ ด้วยพลังของพวกเธอที่รวมกัน ถ้าเล่นยิงมาสเตอร์สปาคเต็มแรงมามีหวังคฤหาสได้โดนถล่มราบไปแล้วแน่ๆ แต่ถึงยังงั้นมันก็ไม่เกี่ยวกับชั้นอยู่ดีแหละ" 
            "ยังทำตัวเฉื่อยชาเหมือนเดิมนะ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็คงรู้เหตุผลที่เรามากันแล้วสินะ" 
            "อา เห็นเธอเล่นละครโวยวายอยู่คนเดียวเมื่อกี๊ก็พอจะเข้าใจได้แล้วล่ะ" 
            "แล้วไง แล้วชั้นต้องทำยังไงมั่ง ?" 
            สาวน้อยผู้เฉื่อยชาปรายตามองเรย์มุ ก่อนจะหันหลังเดินกลับ 
            "ชั้นก็คิดเหมือนเรมี่นั่นแหละ แล้วถ้ามาริสะหายไป หนังสือที่ยัยนั่นขโมยไปก็จะได้กลับมาซักที ที่นี่เองก็น่าจะสงบสุขขึ้นเยอะด้วย" 
            มิโกะสาวเกาหัวแกร่กๆ ยิ้มเจื่อนๆพลางบ่น 
            "ยัยมาริสะเอ๊ย... ดูท่าเธอจะมีคนรักเยอะแยะเหลือเกินนะ แล้วแบบนี้จะเอาไงดีเนี่ย ?" 
            พาชูวลี่ยังคงไม่หันกลับมา แต่พูดเบาๆว่า 
            "ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่เอาการ์ดกลับไปวางไว้ที่หน้าอกมาริสะแล้วดึงพลังของการ์ดออกมาใช้ก็พอ เดี๋ยววิญญาณมันก็กลับของมันไปเองนั่นแหละ" 
            เธอโบกมือเป็นเชิงไล่แขกแล้วกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า 
            "ยังไงซะ ถ้ายัยนั่นยังอยู่ทางนี้ก็มีคงเรื่องวุ่นวายให้หายเบื่อได้มั่งล่ะนะ" 

      --------------------------------------------------------------------


            เรื่องราวหลังจากนี้ ก็ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น 
            วิญญาณมาริสะกลับคืนร่าง ส่วนโควรินที่คอยเฝ้ามาริสะด้วยความเป็นห่วงก็โดนมาริสะเอาไม้กวาดกระหน่ำฟาดจนต้องไปหยอดน้ำข้าวต้มโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นก็จะเป็นมาริสะเองนั่นแหละที่คอยไปดูแลเยี่ยมไข้โควรินที่ร้านอยู่ทุกวี่ทุกวัน แถมดูท่าทางมีความสุขยังไงก็ไม่รู้ด้วยสิ 
            เรมิเรียกลับบ้านมาตอนกลางดึกด้วยสภาพสะบักสะบอม แต่ก็ยังแสยะยิ้มด้วยความพอใจที่ได้พบคู่มือที่แข็งแกร่ง ดูท่าเธอจะอยู่มานานจนเบื่อเต็มทีแล้วล่ะมั้ง บางทีการมีมาริสะอยู่ก็คงแก้เบื่อให้เธอได้ไม่น้อยเลย ตอนที่พาชูวลี่มาดื่มชากับเธอจนเช้าตรู่จึงได้ยินคุณหนูแวมไพร์กล่าวในทำนอง "มนุษย์นี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ" ไม่หยุดปาก 
            เรย์มุที่ปิดคดีไปได้อีกหนึ่งเรื่องก็กลับศาลเช้าไปนั่งจิบชาตามปกติ ในวันนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวันที่แสนสงบสุข 
            เป็นความสงบสุขที่แสนจะคุ้นเคย จนกระทั่งได้ยินเสียงโวยวายของเพื่อนรักจอมอาละวาดวิ่งหน้าตื่นพลางร้องโวยวายอะไรมาหานั่นแหละ 
            มิโกะสาวยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะวางถ้วยชาลงช้าๆ เพื่อเงี่ยหูฟังว่าเกิดคดีประหลาดอะไรขึ้นอีก 
            ใช่แล้ว วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ไม่ได้ต่างจากวันวาน เป็นแต่ละวันที่สงบสุขบ้าง วุ่นวายบ้างตามประสาเกนโซเคียวที่มีผู้อยู่อาศัยมากหน้าหลายตา 
            "ไปกันเถอะมาริสะ" 
            "โอ้ ! ลุยกันเลยเรย์มุ !" 
            นี่แหละคือชีวิตแต่ละวันที่แสนจะปกติธรรมดาของมิโกะขาวแดง ผู้รักษาสมดุลและความสงบสุขของเกนโซเคียวมาแต่โบราณ… 

      ---------------------------------- จบ ----------------------------------

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×