เชน หนูน้อยหมวกแมว - เชน หนูน้อยหมวกแมว นิยาย เชน หนูน้อยหมวกแมว : Dek-D.com - Writer

    เชน หนูน้อยหมวกแมว

    การผจญภัยของหนูน้อยหมวกแมว เมื่อคุณป้าสั่งให้เธอเดินทางไกลเพื่อถ่ายวีดีโอไปส่งรายการทีวี แต่เรื่องมันดันไม่เป็นไปตามสคริปนี่สิ จากการผจญภัยแบบหลอกๆก็ดันกลายเป็นของจริงไปซะแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    380

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    380

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ส.ค. 52 / 02:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                 "ช่วงพิเศษ 'เรื่องมันส์ๆจากทางบ้าน' วันนี้เป็นวีดีโอจากทางบ้านค่ะ  เรามาดูด้วยกันเลยดีกว่านะคะท่านผู้ชม"
                ภาพในทีวีจอแบนขนาดสี่สิบนิ้วตัดจากพิธีกรสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม  เปลี่ยนไปเป็นภาพของหนูน้อยตัวจิ๋วกำลังเต้นไปเต้นมาในท่ากังฟูของบรู๊ซ ลี
                ที่หน้าทีวี  ยุภากับนิรันดร์  สองศรีพี่น้องหน้าใสวัยขึ้นคานกำลังจ้องดูหน้าจอรายการสำหรับแม่บ้านอย่างสบายอารมณ์  บนโต๊ะข้างโซฟายังเต็มไปด้วยขนมหลอกเด็กกองใหญ่  ดูทีวีไปกินขนมไป  แลดูช่างลุโขสโมสรจะหาใดปาน
                รายการยอดฮิต "ด้วงน้อยโชว์" เป็นรายการสำหรับเด็กและแม่บ้าน  ซึ่งมักจะนำเอาเด็กๆมาเต้นโชว์  หรือแสดงความสามารถต่างๆให้ดู  และท้ายรายการก็จะปิดท้ายด้วยภาพหรือวีดีโอที่แฟนๆทางบ้านส่งเข้ามา  ดังเช่นรายการทั่วๆไปที่หาดูได้ในช่วงเวลากลางวัน  ช่วงเวลาที่ซาลารี่แมน  พนักงานกินเงินเดือนหมดสิทธิ์ดู  มีแต่แม่บ้านว่างงานหรือเด็กน้อยที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเท่านั้นที่จะได้ชม
                "นี่...  รัน"
                "คะ ?"
                "รายการนี่สนุกดีนะ"
                "นั่นสินะคะ"
                "โดยเฉพาะช่วงท้ายรายการ  เรื่องมันส์ๆจากทางบ้านนี่ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่"
                "นั่นสิคะ  เด็กๆนี่ทำอะไรก็น่ารักไปหมด  ถึงจะเทียบกับเชนของเราไม่ได้ก็เถอะ"
                เชนที่ว่าก็คือลูกของเธอ  เป็นเด็กถูกทิ้งที่เธอเก็บมาเลี้ยงเพราะรู้สึกถูกชะตาเมื่อนานมาแล้ว  ตอนนี้กำลังเป็นเด็กน้อยน่ารักวัยกำลังซน  และนั่นก็เลยทำให้เธอกลายเป็นโรคคุณแม่เห่อลูกชนิดรุนแรงตามไปด้วยเหมือนกัน
                "ใช่แล้ว  เด็กเปี๊ยกที่เต้นเหย็งๆทำเสียงเลียนแบบไก่นั่นก็ดูไม่เลว  แต่ยังไงเชนของเราก็น่ารักกว่าอยู่ดี  ก็เพราะยังงั้นแหละ...."
                พูดถึงตรงนี้สาวใหญ่คนพี่ก็หยิบกล่องๆหนึ่งขึ้นมา
                ในกล่องบรรจุไว้ด้วยกล้องดิจิตอลคุณภาพสูงยี่ห้อดัง  พร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพและคู่มือสำหรับมือใหม่ครบเซ็ท  แน่นอนว่าราคามหาแพง
                "ไอ้นี่ชั้นเพิ่งสั่งเข้ามาจากในเมือง  เป็นกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนะ  แถมยังซูมได้ไกลแล้วก็ดัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ด้วย  คุณสมบัติยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่คิดว่าน่าจะเอามาใช้ประโยชน์ซักหน่อยเหรอ ?"
                "ไอ้ใช้ประโยชน์ที่ว่านี่  คงไม่ใช่...."
                คุณพี่สาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
                "ถูกต้องแล้วน้องรัก  ด้วยกล้องดิจิตอลไฮวิชชั่นตัวนี่  เราจะได้สร้างสุดยอดผลงานไปอวดในรายการกับเขากันบ้างล่ะ !"
                แล้วสาวใหญ่คนพี่ก็สาธยายแผนการให้ฟัง  แผนการที่ว่านั้นก็คือให้หลานสาวสุดที่รักรับภารกิจสำคัญ  เป็นการเดินทางไปเยี่ยมเเยียนพื่อนของเธอซึ่งแยกตัวออกจากผู้คน  ไปใช้ชีวิตครอบครัวสามคนอยู่บนดอย
                "พี่หมายถึงบ้านของพี่กบน่ะเหรอคะ ?  แต่ที่นั่นมันอยู่บนดอยนะ  จะให้เชนไปคนเดียวได้ยังไง  อันตรายจะตายไป"
                "ใช่แล้ว  บ้านของยัยกบนั่นแหละดี  เหมาะกับซีนการผจญภัยของหนูน้อยผู้หาญกล้า  มุ่งสู่บ้านใหญ่บนดอย  บ่มีแสงสี  แต่มีทีวี  มีน้ำประปา  บ่มีโฮงหนัง  โฮงนวดคลับบาร์  บ่มีโคล่า  แฟนต้าแป๊บซี่...."
                สาวใหญ่วัยป้าสาธยายออกมาด้วยเสียงสดใส  จนยิ่งพูดนานไปก็เริ่มคล้ายเพลงบ้านบนดอย  ของคุณลุงจรัล มโนเพชรเข้าไปทุกที  จนกระทั่งรันพูดสวนขึ้นมาก่อนว่า
                "ชั้นค้านค่ะ  จะให้เชนไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้ยังไง  พี่สนุกแต่ชั้นทำใจไม่ได้หรอก  ใครจะปล่อยเด็กเล็กๆขึ้นเขาไปคนเดียวได้"
                "ย.ห.อย่าห่วง  พวกเราตามหลังไปถ่ายวีดีโอไกล้ๆ  คนนึงถือกล้องตามไปข้างหลัง  อีกคนก็ไปเคลียร์พื้นที่เตรียมไว้ข้างหน้า  มีผู้ใหญ่ตัวโตตามดูอยู่ตั้งสองคน  ยังไงก็ไม่มีปัญหาหรอก"
                รันนึกในใจว่า  ผู้ใหญ่ที่ว่านั่นน่ะ  คนนึงเป็นสาวใหญ่หัวใจเด็กเปี๊ยกนะ  เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วจะไปดูแลใครที่ไหนได้เรอะ
                "แต่...."
                "ไม่ต้องมาแต่ !  ชั้นสั่งก็ทำๆไป  อย่ามาหือกับพี่น่ะ !!"
                รันจนใจได้แต่ก้มหน้ารับคำ  เธอไม่สามารถปฏิเสธพี่สาวแสนเผด็จการผู้นี้ได้  ด้วยว่าที่บ้านสั่งสอนมาดี  คำสั่งบุพการีและคุณพี่อยู่เหนืออื่นใด  ถ้าแค้นใจนักก็ไปโทษโชคชะตาเอา  ช่วยไม่ได้ก็ดันเกิดมาช้าเอง
                "ตอนนี้เรารีบไปดูสถานที่เตรียมไว้กัน  ต้องไปเตี๊ยมกับยัยกบไว้ก่อนด้วย  พรุ่งนี้ตอนถ่ายจริงจะได้ไม่มีปัญหา"
                พี่สาวผู้แสนดีกล่าวทิ้งทิ้ายก่อนจะเดินเฉิบๆออกไปคนเดียว  โดยทิ้งให้น้องสาวผู้น่าสงสารปิดทีวีและเคลียร์ของกินบนโต๊ะเยี่ยงเบ๊อยู่เบื้องหลัง

      ===========================================================================================================


                เช้าตรู่ของวันใหม่  ก็ยังสดใสเช่นวันวาน
                เชน  เด็กหญิงตัวน้อยแต่งตัวด้วยชุดแดงสดใสไม่ต่างจากดวงตะวัน  บนหัวยังสวมหมวกไหมพรมที่ดูคล้ายหัวแมวอยู่อีกใบหนึ่ง  รันให้ความเห็นว่าการออกเดินทางไกลในครั้งนี้สมควรเตรียมตัวไว้ให้พร้อม  หากไม่สวมหมวกป้องกันเอาไว้แล้วอาจจะเป็นลมแดดได้  ถึงแม้ไอ้การเดินทางไกลที่ว่ามันจะไม่ไกลเท่าไหร่นักก็เถอะ
                และที่สำคัญ  เธอรู้สึกว่าการเดินทางบุกบั่นขึ้นเขาไปหาผู้ชราเช่นนี้มันดูคล้ายนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงยังไงพิกล  เชนเองก็ชอบสวมชุดแดงอยู่แล้วด้วย  อย่ากระนั้นเลยหากต้องเป็นหนูน้อยหมวกแดงแล้วล่ะก็สู้เป็นหนูน้อยหมวกแมวแทนซะยังจะดีกว่า  อินเทรนกว่ากันเห็นๆ
                เชนรับภารกิจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ว่ากันตามตรงสำหรับเด็กน้อยอย่างเธอแล้วการได้รับความไว้วางใจให้ไปทำภารกิจสำคัญนี้สร้างความดีใจให้กับเธอเป็นอันมาก  ประมาณว่าเป็นผู้กล้ารับดาบวิเศษไปปราบมังกรเลยก็มิปาน  ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วนั่นจะเป็นแค่กบชราภาพก็ตามที
                "ถ้าเหนื่อยก็อย่าฝืนนะ  แล้วถ้าหลงทางก็เอาป้ายที่อยู่ในกระเป๋าไปบอกคนแถวนั้น  แล้วในกระเป๋ามีเงินอยู่เวลาหิวก็ไปหาอะไรซื้อกินให้อิ่ม  จะกินอะไรก็ได้ยกเว้นชอคโกแลตหวานๆตัวทำฟันผุ  แล้วจ่ายเงินเสร็จก็ก็อย่าลืมเงินทอนด้วยล่ะ"
                รันสั่งเสียลูกรักด้วยความเป็นห่วงตามประสาแม่ติดลูก  ซึ่งยิ่งนานไปก็ยิ่งสร้างความรำคาญให้กับยุภาผู้พี่มากขึ้นๆ  เพราะดูแล้วยังไม่เห็นว่าไอ้การสั่งเสียเหมือนจะส่งลูกไปรบนี่มันจะจบลงเมื่อไหร่  จนสุดท้ายต้องเป็นเธอเองที่ออกมาตัดบทแล้วลากน้องสาวออกไปเพื่อภารกิจนี้จะได้เริ่มต้นซักกะที
                เมื่อเชนขี่จักรยานออกจากบ้านก็เป็นเวลาที่สองพี่น้องจะได้ปฏิบัตรการลับบ้าง  เชนมุ่งหน้าไปตามแผนที่ที่รันเขียนให้  ซึ่งระหว่างทางมีทั้งร้านขายน้ำ  มีทั้งคนที่คอยให้ความช่วยเหลือถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพ  เรียกว่าเป็นไปตามบทเลยก็ว่าได้  จากนี้ไปตามสคริปแล้วรันจะอ้อมไปดักหน้าคอยระวังภัยให้ลูกน้อย  ส่วนยุภาก็จะคอยถือกล้องวิ่งถ่ายไล่หลังไปตามเสตป  ภารกิจลับของคนเห่อกล้องกับคนเห่อลูกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว !! 
                ทว่าอนิจจาอันโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นดั่งใจหวัง  แค่เพียงออกจากจุดเริ่มต้น  ก็เกิดปัญหาอันแก้ไม่ตกขึ้น
                ยุภานั้นมีนิสัยชอบทำตัวเป็นคุณนาย  แถมยังเป็นคุณนายในยุค 80 จะไปไหนมาไหนก็ต้องพกร่มอยู่ตลอดเวลา  จนผู้คนเรียกขานกันว่าเป็นป้าร่ม  ซึ่งไอ้ร่มคันใหญ่สุดหรูของเธอนั้นมันก็เกะกะมิใช่น้อย  จะถือร่มไปด้วยไล่ตามถ่ายวีดีโอไปด้วยนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเป็นอย่างยิ่ง  ตอนเทสเส้นทางเมื่อวานไม่ได้พกกล้องมาก็เลยไม่มีปัญหาอะไร  แต่วันนี้นี่สิ
                กล้องกับร่มต่างเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งคู่  กล้องหากไม่มีไอ้ที่วางแผนมาก็ชวดหมด  ส่วนร่มนั้นหรือก็เป็นของคู่กาย  จะให้ทิ้งร่มก็เหมือนให้ยอดนักกระบี่ทิ้งอาวุธคู่ใจไปบู๊มือเปล่า  เป็นเรื่องที่ไม่อาจกระทำได้เด็ดขาด  
                แล้วทีนี้จะทำยังไงดี ?

      ===========================================================================================================


                ทางด้านสองป้ายังแก้ปัญหากันไม่ตก  ส่วนตัวเอกหนูน้อยหมวกแมวก็เดินทางไปโดยไม่ได้รับรู้เรื่องนี้  เธอได้พบว่าการขี่จักรยานเดินทางไกลในวันที่อากาศดีแบบนี้เป็นเรื่องสนุกสนานอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะไม่มีผู้ใหญ่คอยมาห้ามนู่นห้ามนี่ด้วย
                ในวันนี้เธอจะทำอะไรก็ได้  จะไปนอนกลิ้งเล่นทรายจนตัวมอมแมมก็คงไม่มีใครดุ  หรือจะซื้อลูกอมขนมหวานกินก็ไม่ต้องห่วงว่าแม่จะมาว่าทีหลัง  ที่สำคัญถึงจะเถลไถลออกนอกเส้นทางไปบ้างก็คงไม่เป็นไร  จะอย่างไรซะบ้านป้ากบเธอเองก็เคยไปมาตั้งหลายหน  ไม่มีหลงทางอยู่แล้ว
                ดังนั้นแผนที่ซึ่งรันให้มา  ในตอนนี้จึงกล่าวได้ว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
                เชนไม่สนใจแผนที่  แต่ขี่จักรยานลัดเลาะไปตามทางที่อยากไป  เลี้ยวเข้าซอยนั้นตัดเข้าซอยนี้  ผ่านสวนนั้นเข้าสวนนี้  บางทีก็มีไปแวะร้านขนมที่ไม่รู้จัก  ซึ้อของเล่นที่ไม่เคยเห็น  จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป  เธอก็ได้รับรู้ความจริงอันแสนโหดร้ายข้อหนึ่ง
                เธอหลงทาง....
                ในตอนนี้อมยิ้มในปากเริ่มจะไม่หวานดังที่เคย  แผนที่ในมือก็อ่านไม่รู้เรื่อง  แน่นอนว่าแผนที่ไม่ผิด  มันผิดที่ตัวเธอเองดันไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ส่วนไหนของแผนที่ต่างหาก  เด็กน้อยเริ่มรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่พุ่งเข้ามาทุกขณะจิต  ตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียวในที่ๆไม่รู้จัก  มองไปทางไหนก็ไม่มีใครเลย  แม่มีแม้แต่แมวซักตัว
                เมื่อคิดได้แบบนั้น  เธอก็เริ่มทำในสิ่งที่เด็กหลงทางสมควรกระทำ  นั่นคือร้องไห้
                เด็กร้องไห้เป็นเรื่องปกติ  ในตอนที่จิตใจบอบบาง  ในตอนที่สับสนหลงทาง  สิ่งที่เด็กน้อยทำได้มีเพียงเท่านี้  นี่เป็นสัญชาติญานแต่กำเนิดของทุกผู้คน  เป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์
                ตอนนี้เธอเพียงหวัง  ขอให้มีใครก็ได้มาช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่  ไปหาคนที่เธอรู้จัก  ไปยังสถานที่ๆเธอรู้จัก  ช่วยพาเธอหนีไปจากความเงียบเหงาที่น่าหวาดกลัวนี้ซักที
                ในโลกนี้จะไม่มีเลยหรือ  ฮีโร่ที่จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันในตอนที่เธอเดือดร้อน  แล้วช่วยพาเธอกลับไปหาแม่  กลับสู่บ้านอันอบอุ่น
                คำตอบคือมี
                ฮีโร่ที่ว่ารุดมาตามเสียงร่ำไห้  แล้วปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันที่เบื้องหน้าของเธอ
                เชนยังจำได้ดี  เขาคนนั้นหันหลังให้กับดวงตะวัน  นั่งคร่อมอยู่บนอานรถสองล้อสุดโก้เก๋  บนใบหน้าสวมหน้ากากประหลาดคล้ายมดคล้ายตั๊กแตน  มีผ้าพันคอสีแดงเพลิงปลิวไสวไปกับสายลม
                แต่เมื่อลองมองดูให้ดี  ยวดยานที่คิดว่ามีสองล้อนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีเพียงแค่สองล้อ  แต่มันยังมีล้อเสริมสำหรับเด็กติดอยู่อีกสองรวมเป็นสี่  ใช่แล้ว...  ยวดยานสุดเท่ห์นั่นก็คือจักรยานแม่บ้านคันจิ๋วสำหรับเด็กนั่นเอง
                นั่นเป็นเด็กตัวเล็กที่ดูแล้วอายุพอๆกับเธอ  ขี่จักรยานเก่าคร่ำคร่าที่มีล้อเสริมเพราะยังขี่ไม่แข็ง  แถมยังสวมหน้ากากตั๊กแตนอันละสิบบาทที่ซื้อมาจากงานวัดเอาไว้ด้วย  ทั้งหน้ากากทั้งผ้าพันคอนั่นทำให้เชนเผลอคิดขึ้นมาว่าจริงๆแล้วเด็กคนนี้อาจจะกำลังติดหวัดนรก 2009 อยู่ก็เป็นได้...
                เสียงเอี๊ยดอ๊าดอันเป็นเอกลักษณ์ของจักรยานติดล้อเสริมดังขึ้นเมื่อเธอคนนั้นขี่จักรยานเข้ามาหาเชนที่กำลังน้ำตานองหน้า  เพียงแต่เธอในตอนนี้ได้ลืมความกลัวเมื่อครู่ไปโดยสิ้นเชิง  อาจบางทีเป็นเพราะเธอรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว  หรือไม่ก็เป็นเพราะเด็กคนนี้ดูน่าตลกเกินไปก็เป็นได้
                เด็กปริศนาในหน้ากากยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเชนแล้วพูดว่า
                "เด็กผู้หญิงไม่เหมาะกับใบหน้าร้องไห้  เอาผ้าเช็ดหน้าของเค้าไปเช็ดซะ !"
                เด็กปริศนาพูดด้วยน้ำเสียงอันแจ่มชัด  ด้วยบทพูดเดียวกันกับฮีโร่ที่เชนเคยดูในทีวีไม่ผิดเพี้ยน  ใช่แล้ว  เขาคนนี้ต้องเป็นฮีโร่ไม่ผิดแน่
                แต่เชนไม่ได้รับผ้าเช็ดหน้ามาจากเขา  เธอควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่แม่ให้มาออกมาเช็ดแทน  หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตาจนสะอาดเรียบร้อยแล้วก็กลับมาเป็นเชนที่สดใดดังเดิม  เธอบุ้ยปากพูดว่า
                "ผ้าเช็ดหน้าของเชนก็มี  นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าที่แม่เชนถักมาให้เชียวนะ !"
                เธอกล่าวพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าที่มีลายแมวสวมหมวกไหมพรม  พร้อมเขียนไว้ว่า "เชนที่น่ารักที่สุดในโลก" ให้ดู
                ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้จะดูดี  ถ้ามันไม่โดนทั้งน้ำมูกน้ำตาของเชนเปรอะเปื้อนจนเละไปหมดแบบตอนนี้
                เด็กปริศนาเลิกหน้ากากขึ้น  ตอนสวมหน้ากากเชนไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง  พอเอาหน้ากากออกถึงได้เห็นว่าคนข้างหน้าเองก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่น่ารักไม่แพ้เธอเหมือนกัน  เด็กหญิงปริศนายิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า
                "เธอเองก็ยิ้มยิ้มได้แล้วนี่นา  คนเรานี่เหมาะกับหน้าตายิ้มแย้มมากกว่าจริงๆนั่นแหละนะ"
                แน่นอน  คำพูดนี้ก็เหมือนกับที่ฮีโร่ในทีวีเคยพูดเช่นเดียวกัน
                เธอเต๊ะท่าแล้วแนะนำตัวว่า
                "เราชื่อมดแดง  เป็นมิตรแห่งความเที่ยงธรรม  เพื่อนๆชอบเรียกเราว่าไอ้มดแดง  แต่เราว่ามันฟังดูหยาบคายไปหน่อย  ถ้าจะให้ดีเรียกว่าไรเดอร์จะดีกว่า"
                เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนในทีวีมีรายการไอ้มดแดง  แต่ฮีโร่คนนี้ไม่ได้สวมหน้ากากมด  แต่เป็นหน้ากากตั๊กแตน  คาดว่าคนพากษ์คนแรกเมื่อสามสิบปีก่อนคงตาลายเข้าใจผิดมองเห็นฮีโร่หน้ากากตั๊กแตนคนนั้นเป็นมด  ตัวก็ดำๆไม่เห็นมันจะแดงตรงไหน  แต่ก็เพราะแบบนั้นคนทั่วไปจึงติดหูกับคำว่า "ไอ้มดแดง" มาช้านาน  ถ้าเรียกไรเดอร์คนคงไม่รู้จัก  แต่เรียกไอ้มดแดงล่ะก็ร้องอ๋อกันหมด
                เชนแนะนำตัวบ้างว่า
                "ส่วนเราชื่อเชน  เป็นเด็กหลงทาง"
                มดแดงถามว่า
                "เธอมาจากที่ไหน ?"
                เชนหยิบเอากระดาษที่มีชื่อที่อยู่ของเธอออกมาให้ดู  นี่เป็นของที่รันให้ไว้ก่อนออกเดินทาง  ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ
                มดแดงหยิบมาดูอย่างพินิจพิเคราะ  ครู่หนึ่งก็คืนให้แล้วกล่าวอย่างชัดเจนว่า
                "เราอ่านหนังสือไม่ออก"
                แน่นอน  เชนก็อ่านไม่ออก  ก็ทั้งเชนทั้งมดแดงเป็นแค่เด็กตัวกระเปี๊ยกนี่นา
                เชนเปลี่ยนเป็นบอกจุดหมายของเธอแทน  เธอชี้ไปที่ภูเขาไกลลิบแล้วบอกว่า
                "แม่บอกให้เชนเอาของไปให้ป้ากบที่อยู่บนเขาลูกนั้น  พอเชนมาเรื่อยๆก็หลงทาง  เธอรู้ทางไปรึเปล่า ?"
                มดแดงมองตามไปยังทิศที่เชนว่า  แล้วก็บ่นพึมพัมอยู่คนเดียว
                "ลุงเคยพาเราไปดูดวงสะเดาะเคราะห์กับคุณป้าบนเขานั่นเหมือนกัน  เธอเองก็จะไปหาป้าคนนั้นด้วยรึไง"
                เชนมาลองนึกดูดีๆ  เธอเองก็จำได้ว่าตอนที่ไปหาป้ากบครั้งก่อนป้ากบก็เคยเอามือเธอไปส่องแว่นดูดวงให้เหมือนกัน  หรือว่าปป้ากบจะเป็นหมอดูกันนะ ?
                "ถ้าเป็นบ้านของคุณป้าบนเขานั่นเราเองก็เคยไป  เพราะงั้นเราจะพาเชนไปเอง"
                มดแดงพูดจบก็เอาหน้ากากลงมาปิดหน้าตามเดิม  ก่อนจะเริ่มขี่จักรยานดังเอี๊ยดอ๊าดๆนำหน้าไปด้วยมาดเดียวกันกับฮีโร่หน้ากากตั๊กแตนไม่มีผิดเพี้ยน

      ===========================================================================================================


                หลังจากขี่ตามหลังมดแดงมา  เชนกับมดแดงได้คุยกันอย่างถูกคอ  มดแดงบอกว่าเธออาศัยอยู่กับลุงที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์  เธอเองก็ไฝ่ฝันอยากจะเป็นนักขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยเหมือนกัน  ตอนนี้ยังขี่มอเตอร์ไซด็ไม่ได้ก็เลยออกมาขี่จักรเล่นตามตรอกซอกซอยต่างๆในเมืองเพื่อให้ชินกับเส้นทางไปพลางๆก่อน  เพราะงั้นถ้าเป็นเส้นทางในเมืองนี้ล่ะก็รับรองได้ว่าเธอรู้ดียิ่งกว่าใครๆทั้งหมด
                ที่มดแดงพูดมาเรียกได้ว่าไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงซักเท่าไหร่เลย  เพราะเธอพาเชนลัดเลาะไปตามเส้นทางต่างๆอย่างชำนาญ  ทั้งยังพาไปแวะกินขนมร้านอร่อยด้วย  ทั้งสองพากันขี่จักรยานไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งผ่านมาถึงป่าช้าในวัดเก่าแห่งหนึ่ง
                วัดนี้ถูกทิ้งร้างเพราะมีโรคอะไรไม่ทราบเมื่อหลายสิบปีก่อน  คนอพยพหนีกันไปหมดตอนนี้จึงไม่มีใครซักคน  จนกระทั่งตอนหลังถนนหนทางดีขึ้น  ความเจริญเริ่มมาถึงคนก็เริ่มกลับมา  แต่วัดนี้ก็ไม่ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เพราะเขาสร้างวัดไหม่ไว้ไกล้ๆนี้แล้ว  แถมเพราะอดีตเคยมีโรคระบาดคนรุ่นเก่าก็เลยไม่ค่อยกล้ามากัน  ป่าช้าที่ว่านี่ก็เป็นป่าช้าเก่าแก่รกร้างที่ดูเหมือนจะไม่มีคนมาเหยียบหลายสิบปีแล้วเหมือนกัน
                "มะ,,,  มดแดง  นี่มันป่าช้านี่..."
                "อื้อ  ใช่แล้ว  นี่เป็นทางลัดที่จะออกไปถนนใหญ่ได้  ไปทางนี้แป๊บเดียวก็ถึง"
                "ทำไมมดแดงดูไม่กลัวเลยล่ะ  เชนกลัวจะแย่อยู่แล้ว  ป่าช้านี่เขาว่ามีผีอยู่กันเต็มเลยไม่ใช่เหรอ ?"
                "เหลวไหลน่าเชน  เราผ่านมาแถวนี้บ่อยๆยังไม่เคยเจอผีที่ว่าเลยซักตัว  อีกอย่างนี่มันกลางวันแสกๆนะ  ต่อให้มีผีก็ไม่ออกมาหรอก"
                มดแดงพูดย้ำอีกทีว่า
                "ถึงผีจะออกมาเราก็จะปกป้องเชนเอง  ก็เราเป็นฮีโร่ผู้พิทักษ์ความยุติธรรมนี่นา !!"
                ป่าช้ายังไงก็ยังเป็นป่าช้า  ยิ่งเป็นป่าช้าเก่าที่ไม่มีคนด้วยแล้วยิ่งเงียบสงัดวังเวงจนน่ากลัว  ถึงจะเป็นตอนกลางวันก็ตามที
                เชนเกาะติดมดแดงไม่ห่าง  น่าแปลกที่มดแดงดูไม่กลัวเลยซักนิด  แถมยังชวนเธอคุยนั่นคุยนี่อยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เธอกลัวด้วย  พอเชนเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้มดแดงดูเหมือนเป็นฮีโร่ขึ้นมาจริงๆเลย
                ทั้งสองคนขี่จักรยานตัดผ่านป่าช้าเข้าไป  เชนพบว่าในที่แบบนี้ก็ยังมีศาลาร้างเก่าๆอยู่ด้วย  ในตอนแรกเธอก็เพียงแค่มองผ่านๆไม่คิดจะสนใจอะไร  แต่ในเวลานั้นก็พลันเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆเงาหนึ่งขยับอยู่
                ศาลาร้างทำจากไม้ที่เก่าจนผุ  เงาตะคุ่มที่ไม่ทราบแน่ชัด  ในป่าช้ารกร้างไร้ร่างผู้คน
                เชนตกใจจนกรีดร้องขึ้นมา  ด้วยความกลัวทำให้เธอร่วงจากจักรยานลงไปกลิ้งหลุนๆอยู่บนพื้น  แถมยังพลอยดึงให้มดแดงที่อยู่ด้วยกันร่วงตามไปอีกคนด้วย
                เด็กน้อยสองคนกลิ้งเกลือกไปมา  เชนหลับตาปี๋  มือหนึ่งกอดมดแดงแน่น  อีกมือก็ชี้ไปทางศาลาร้าง  ทางที่มาของเงาตะคุ่มนั้น
                "ผี...  ผี...  มดแดง  ป่าช้านี่มีผีอยู่จริงๆด้วย !!"          
                มดแดงมองตามที่เชนชี้ไป  ก็พบเห็น "ผี" ที่เชนว่า
                เธอจ้องมองดูดีๆแล้วก็พลันหัวเราะขึ้นมา
                "เชน  นั่นไม่ใช่ผีซักหน่อย  ดูให้ดีๆสิ"
                เชนที่ตัวสั่นงันงกค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วมองไปอีกที  ถึงได้เห็นว่า "ผี" นั้นก็กำลังมองมาทางตนเช่นกัน
                แต่นั่นไม่ใช่ผีที่น่ากลัว  ถึงแม้จะสวมชุดเก่าคร่ำคร่า  แต่ก็ไม่ได้มีหน้าตาบูดเบี้ยวอะไร  ทั้งยังมองมาด้วยหน้าตาอันอบอุ่นเป็นมิตรอีกด้วย
                และที่สำคัญ  นั่นไม่ใช่ผี  ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผีควรจะกลัวซะด้วยซ้ำ
                เชนโพล่งขึ้นว่า
                "ไม่ใช่ผีนี่  คุณปู่พระหัวเหม่งตะหาก !"
                เชนเป็นเด็กจึงไม่รู้ว่าพระอายุมากควรเรียกว่าหลวงปู่  เธอจึงเรียกไปตามที่เห็นแทน
                หลวงปู่ท่านนั้นก็ยิ้มรับ  ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า
                "ใช่แล้วหนู  ไม่ใช่ผี  แต่เป็นคุณปู่พระ  หัวเหม่งหัวใสไม่มีผม"
                เชนกับมดแดงเข้าไปไหว้หลวงปู่ท่านตามมารยาทอันดีที่ได้รับการสั่งสอนมา  ครั้นเมื่อถามว่าหลวงปู่ท่านมาทำอะไรอยู่แถวนี้  ก็ได้ความว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระธุดงค์  พอดีวันก่อนมีคนนิมนต์ให้มาสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับผีไม่มีญาติที่ป่าช้านี้  กำลังตระเตรียมข้าวของอยู่ก็พอดีได้ยินเสียงร้องของเชนเข้าพอดี
                "ก็แปลว่าที่นี่มีผีอยู่จริงๆสิคะ ?"
                เชนถามไปตัวสั่นไป
                หลวงปู่ท่านนั้นยิ้มแล้วกล่าวเสียงราบเรียบว่า
                "ก็อาจจะมี  หรืออาจจะไม่มีก็ได้  แต่ถึงมีพวกเขาก็ไม่ทำอะไรใครหรอก  ที่เรียกว่าผีหลอกอะไรนั่น  จริงๆแล้วพวกเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย  คนปกติชอบกลัวกันไปเองมากกว่า  เราอยู่ส่วนเรา  เขาอยู่ส่วนเขา  ไม่มีใครเบียดเบียนใคร  มีแต่คนเรานี่แหละทีชอบเบียดเบียนกันเอง"
                เชนฟังแบบเข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง  จึงถามอีกทีว่า
                "แล้วสรุปว่าที่นี่มีผีมั้ยคะ ?"
                หลวงปู่ไม่รู้จะอธิบายยังไง  กับเด็กเล็กอธิบายธรรมไปก็คงงงเปล่าๆ  ก็เลยตอบแบบเลี่ยงๆไปว่า
                "อาจจะมี  แต่คงไม่เห็นหรอก  ก็นี่มันยังกลางวันแสกๆอยู่เลยนี่นา"
                มดแดงก็พูดเสริมว่า
                "ใช่แล้ว  กลางวันแสกๆไม่มีผีหรอก"
                "แต่ถ้ากลางคืนก็อาจจะมีใช่มั้ยคะ ?"
                "ก็อาจจะมี  เพราะงั้นพวกหนูรีบไปก่อนมืดจะดีกว่า  ไม่งั้นคนที่บ้านจะเป็นห่วงเอานะ"
                เชนฟังแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังมีงานสำคัญต้องทำอยู่อีก  จึงร่ำลากับหลวงปู่พระธุดงค์แล้วขี่จักรยานจากไป  ก่อนไปยังได้รับพระมาจากหลวงปู่ท่านกันอีกคนละองค์  เอาไว้ให้ไปฝากคนที่บ้าน
                หลวงปู่โบกมือร่ำลากับทั้งสองแล้วบ่นพึมพัมขึ้นมาว่า
                "ใช่แล้ว  เราอยู่ส่วนเรา  เขาอยู่ส่วนเขา  พวกโยมเองก็ควรฟังเอาไว้เหมือนกันนะ"
                ที่นั่นไม่มีใคร  มีแต่ท่านคนเดียว  แต่ท่านพูดราวกับว่ากำลังพูดให้ใครหลายคนฟังอยู่
                "ใคร" ที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนไม่ทราบ  ที่แน่ๆเชนกับมดแดงไม่พบเห็นเลยแม้แต่คนเดียว
                แล้วป่าช้าก็กลับสู่ความสงบเงียบดังเดิม

      ===========================================================================================================


                ตะวันคล้อยต่ำ  ราตรีเริ่มคืบคลาน  จากตอนที่เชนพบกับพระธุดงค์  เวลาก็ผ่านไปนานโขอยู่
                เชนไปถึงบ้านป้ากบเรียบร้อยแล้ว  มดแดงก็กลับบ้านไปแล้ว  แต่ที่นี่กลับยังมีใครบางคนมาเยือนอีก
                หญิงเกือบสาวสองคนมองดูตะวันที่ลาลับ  ไม่ได้ดูด้วยความดื่มด่ำ  แต่ดูด้วยอาการเซ็งจิต
                หากสังเกตให้ดีจะพบว่าหนึ่งในสองสาวถือร่มคันใหญ่อยู่ด้วย  แม้ว่าฟ้าจะไม่มีแสงแดดแล้วก็ตาม
                "นี่.... รัน"
                "คะ ?"
                "ที่นี่ที่ไหนน่ะ ?"
                "ก็...  ป่าช้าร้างล่ะมั้งคะ"
                "แล้วเรามาทำอะไรกันแถวนี้ล่ะ ?"
                "ไม่น่าถาม  ก็หลงทางน่ะสิคะ"
                "เหรอ...  แล้วทำไมเราถึงหลงทางกันได้ล่ะ ?"
                "ก็เพราะพี่บอกว่ารู้จักทางลัด  แล้วเราก็โดนหมาไล่ฟัดจนต้องหนีเตลิดกันมาน่ะสิ"
                สองพี่น้องมานั่งตรองถึงเรื่องที่ผ่านมา  ก็ได้พบว่าทุกอย่างมันพลาดไปซะหมด  พลาดไปตั้งแต่แรก
                ในตอนแรกเริ่มระหว่างที่พวกเธอกำลังเถียงกันเรื่องร่มกับกล้องมือถือ  เชนก็ได้คลาดสายตาไปเสียแล้ว  แน่นอนว่าเป็นรันที่สติแตกก่อนใคร  เธอร้องตะโกน "เชน  เชน  เช๊นนนนน  !!!" แล้วก็วิ่งไล่ตามค้นหาลูกรักสุดชีวิต  แต่หลังจากไปตามจุดต่างๆที่เชนควรจะต้องผ่านแล้วก็ลองถามคนที่นั่นดู  ปรากฏว่าไม่มีใครได้พบกับเชนเลย  
                ยุภาคิดว่าเชนอาจจะใช้เส้นทางอื่นไปก็ได้  เพราะตามปกติแล้วเวลาไปบ้านป้ากบนั้นพวกตนไม่ได้ใช้เส้นทางนี้  เพราะงั้นทางที่ดีควรจะไปรอที่บ้านป้ากบจะดีกว่า
                จากนั้นเรื่องก็ดำเนินต่อไปอย่างผิดพลาดเรื่อยๆ  จนกระทั่งมาถึงตอนนี้นี่แหละ
                รันเปรยขึ้นว่า
                "คงต้องหาคนมาถามทางเท่านั้นล่ะมั้งคะตอนนี้"
                "แล้วไอ้ป่าช้าร้างแบบนี้มันจะมีใครให้เราถามทางได้เรอะ  จะให้ไปถามผีรึไงไม่ทราบ ?"
                "เป็นความคิดที่ดีนะคะ  แต่ดูท่าจะมีคนที่ไม่ใช่ผีมาให้เราถามแล้วล่ะค่ะ"
                รันชี้ไปยังศาลาร้างผุๆตรงหน้า  ที่นั่นมีหลวงปู่รูปหนึ่งกำลังนั่งสวดธรรมเทศนาอยู่  อีกทั้งรอบข้างยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยนั่งประนมมือ  ขัดสมาธิฟังธรรมกันอยู่อย่างสงบด้วย
                ชาวบ้านพวกนี้กล่าวไปแล้วก็ดูพิกลนัก  แต่ละคนมีใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด  แล้วยังสวมชุดแนวย้อนยุคที่ไม่น่าจะมีใครเขาใส่กันแล้วอีกตะหาก
                "เราไปถามทางจากคนพวกนั้นกันเถอะค่ะ  ท่าทางจะเป็นคนท้องถิ่น  แต่แหม....  ชาวบ้านแถวนี้นี่เขานิยมแนวย้อนยุคกันดีนะคะ  แฟชั่นยุคเดียวกับพี่เลย  เผลอๆเก่ากว่าอีกแน่ะ"
                ระหว่างที่รันพูด  ยุภาก็เอากล้องขึ้นมาถ่ายเล่นไปด้วย  โดยหวังว่าไหนๆไม่ได้ถ่ายรูปการผจญภัยของหนูน้อยหมวกแมวแล้ว  ถ่ายเรื่องการผจญภัยของตัวเองก็ยังดี  แถมภาพคนสวมชุดย้อนยุคนั่งฟังธรรมกันเป็นสิบนี่มันหาดูได้ง่ายซะเมื่อไหร่  ถ่ายเก็บเอาไว้คงไม่เสียหลาย
                เธอปล่อยให้รันไปถามทางเพียงคนเดียว  ส่วนตัวเองก็หยิบกล้องขึ้นมามองผ่านเลนส์  โฟกัสไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
                ตอนที่รันเดินกลับมา  เธอพบว่าพี่สาวอยู่ในอาการหัวฟู  ตาเหลือกค้าง  นอนสลบไสลไม่ได้สติคล้ายกับเพิ่งได้เห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตมาหมาดๆ
                รันที่รู้ทางแล้วรีบพาพี่สาวไปจากที่นั่นทันที  เธอในตอนนั้นสนใจแต่พี่สาว  รีบร้อนซะจนไม่ได้สนใจกล้องดิจิตอลไฮวิชชั่นราคาแพงที่ตกอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำไป  
                หลังจากวันนั้นยุภาเองก็ไม่คิดจะกลับมาที่นั่นอีก  ทั้งยังปฏิเสธที่จะพูดถึงมันด้วย
                เธอได้เห็นอะไรไม่มีใครรู้  สุดท้ายความจริงทั้งหมดก็ถูกฝังไปพร้อมๆกับกล้องตัวนั้น
                ความจริงอันน่าสะพรึงกลัว....

      ===========================================================================================================

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×