ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่มือตำนานเทพเจ้ากรีก-โรมัน

    ลำดับตอนที่ #89 : เยือนแดนนรก ตอนที่ 5 เดรัจฉานในแดนนรก-Animals,daemons,spirits

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 66


    และในตอนนี้เราจะมาดูกันว่า เดรัจฉานแต่ละตัวในนรกใต้พิภพของมีหน้าตาและความเป็นมายังไงบ้าง และมีตัวไหนบ้าง เอาล่ะ เริ่มกันเลย


    แอสคาลาปัส-Ascalaphus




    ตามตำนานกรีก คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตในแดนนรก เป็นลูกของเทพอเครอนและนางเออร์ฟีน-Orphne หน้าที่ของมันคือการดูแลสวนของเทพเจ้าฮาเดส ว่ากันว่าในตอนที่เพอร์ซิโฟเน่กินทับทิมในแดนนรกนั้นแอสคาลาปัสนี่แหละที่เป็นคนบอกเทพองค์อื่นๆว่านางได้กินผลทับทิมอันเป็นของในแดนนรกแล้ว ดังนั้นนางก็ได้ถือว่าเป็นคนของโลกผู้ตายไปแล้ว จะต้องอยู่กับเทพฮาเดส หรือบางตำนานก็ว่า คาลาปัสเป็นผู้ล่อลวงให้เพอร์ซิโฟเน่กินผลทับทิมซะเอง


    เมื่อเทพีดีมิเตอร์รู้เข้า พระนางก็พิโรธมาก พระนางได้เสกหลุมก่อนโยนแอสคาลาปัสลงไปแล้วจึงเสกหินยักษ์มาผนึกหลุมไว้  หลายปีต่อมา เฮอร์คิวลิสได้เดินทางมายังนรกเพื่อพาเซอร์เบอร์รัสกลับไปจะได้จบภารกิจ แต่บังเอิญว่าเขาพบกับแอสคาลาปัสที่โดนหินทับเสียก่อน เขาเกิดความสงสสารจึงดันหินออก ปล่อยแอสคาลาปัสไปเป็นอิสระ แต่เทพีดีมิเตอร์ก็รู้ทัน คราวนี้พระนางได้สาปให้แอสคาลาปัสกลายเป็นนกฮูกไปเลย กลายเป็นนกฮูกตัวแรกของโลกครับ


    แอสคาลาปัส และ เพอร์ซิโฟเ่น่  โดย Johann Wilhelm Baur (1670)


    ยูรีโนโมส-Eurynomous   




    ตามเทพปกรณัมกรีก ยูรีโนโมส คือ(จิตวิญญาณ)ปีศาจ ที่อาศัยอยู่ในนรกอเวจี มักปรากฏตัวในสภาพศพที่กำลังเน่าเปื่อยหรือโครงกระดูก หรือปรากฎในรูป กึ่งมนุษย์กึ่งศพ มันเป็นปีศาจที่คอยออกตระเวนหาศพคนตายและลักพามาที่รังลับของมันและเริ่มกัดกินจนเหลือแต่กระดูก(คล้ายๆปอบและกระสือบ้านเรา) ตามตำานกรีกถือเป็นจิตวิญญาณปีศาจชั้นต่ำ


    เซนทอร์-centaur




     เซนทอร์ เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งในเทพปกรณัมกรีก มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ และมีส่วนนึงที่คอยทำหน้าที่ในแดนนรกและแดนสวรรค์ เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจากอิคซิออน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากเทพไททันโครนอส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก เซนทอร์ตระกูลอิคซิออน เกิดจากอิคซิออนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์ตระกูลนี้จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น เซนทอร์ตระกูลโครนอสต่างกับตระกูลอิคซิออน คือเป็นเซนทอร์แสนดี โครนอสมีชายาคือฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกคือเซนทอร์ไครอน 

     

     ฮาร์ปี-Harpies



     

    ฮาร์ปี หรือ ฮาร์พี เป็นสิ่งมีชีวิตตามตำนานกรีกซึ่งมีรูปกายเป็นมนุษย์ผู้หญิง มีท่อนล่างอย่างนก และมีปีก กล่าวกันว่าแต่เดิมฮาร์ปีมีเพียงสองตนเท่านั้น คือเอลโล และโอไซพีเทส ธิดาแห่งเธามาส และโอเชียนิดนามอิเล็กตร้า (โอเชียนิดคือนิมฟ์แห่งทะเล) เธามาสผู้นี้เป็นโอรสของพอนทัสและไกอา ทั้งพอนทัสและไกอาต่างก็เป็นเทพเจ้าโบราณของกรีก โดยพอนทัสเป็นเทพแห่งทะเล ส่วนไกอาเป็นเทพแห่งพิภพ ฮาร์ปีทั้งสองเป็นพี่น้องกับเทวีไอริส ซึ่งเป็นเทวีผู้ทำหน้าที่นำสารให้กับเหล่าเทพเจ้าต่างๆ เช่นเดียวกับเฮอร์มีส หากแต่เฮอร์มีสนั้นขึ้นตรงต่อเทพบดีซูส ในขณะที่ไอริสเป็นเทวีใต้บัญชาของเฮร่า เทวีไอริสยังมีปีกเป็นนกเช่นเดียวกับอีรอส และมักถูกกล่าวถึงในลักษณะของสาวน้อยมีปีก ถือคทานำสาร นอกจากนี้ไอริสยังเป็นเทวีพรหมจรรย์ และถือเป็นเทวีแห่งสะพานสายรุ้งอีกด้วย

     

    เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับฮาร์ปีคือเรื่องเมื่อครั้งเรืออาร์โกมาขึ้นฝั่งที่เธรส ในตอนนั้นมีนักพยากรณ์ตาบอดผู้หนึ่งนามว่าฟีนูสนำความลับของสวรรค์มาบอกแก่คนนอกมากเกินไป เทพเจ้าซูสจึงทรงสั่งให้พวกฮาร์ปีมาขโมยอาหารของฟีนูสเป็นการทรมาน เซเทสและคาลาอีสบุตรของเทพเจ้าแห่งสายลมเหนือโบรีอัสจึงทำหน้าที่ขับไล่เหล่าฮาร์ปีนี้ไป ยังมีบางตำนานกล่าวว่าฮาร์ปีถูกเซเทสและคาลาอีสฆ่าตาย นอกนั้นเล่าว่าเทวีไอริสได้ลงมาห้ามไว้ทัน หากแต่เหล่าฮาร์ปีก็ต้องตายเพราะอดอยากอาหารอยู่ดี


    ในเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำนั้น ฮาร์ปีได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสุนัขล่าเนื้อของซูส การปรากฏตัวของฮาร์ปีจะสร้างความน่าขยะแขยงไว้ในทุกๆที่ที่มันไป ฮาร์ปีจะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าและทิ้งมูลที่มีกลิ่นเหลือรับ จนไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ทนไม่ได้

     

    ในเทพปกรณัมกรีกยังมีการกล่าวถึงฮาร์ปีตนอื่นๆ อีก เช่นฮาร์ปีที่มีชื่อว่าโพดาร์กซึ่งเป็นมารดาของม้าศักดิ์สิทธิ์สองตัวชื่อซานธุสและบาเลียส (ม้าของอคิลลีส) โดยมีเทพเจ้าแห่งสายลมตะวันตกเซฟเฟอรุสเป็นบิดา

     

    บางตำนานกล่าวว่าเป็นสมุนรับใช้ของเทพเจ้าฮาเดส โดยทำหน้าที่หาวิญญาญที่เป็นอาหารมาสังเวยให้ที่นรกทาร์ทารัส อาศัยอยู่ที่ชั้นบรรยากาศ (หรือว่ากันว่าตามหมู่เมฆนั้นเอง) มีความสามารถเกี่ยวกับลม  


    กอร์กอน-Gorgon




    กอร์กอน เป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู มีด้วยกันสามพี่น้องคงกระพันฆ่าไม่ตาย ยกเว้นตัวน้องสุดท้องที่ชื่อเมดูซ่าที่สามารถฆ่าให้ตายได้ หากผู้ใดมองตานางเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน 


    ตำนานกล่าวว่าเดิมทีกอร์กอนทั้งสามเป็นเทพธิดารูปงามและอ่อนโยน มีความบริสุทธิ์เป็นพรหมจารีย์ แต่ขณะที่เมดูซ่ากำลังบูชาเทพีอาธีนาในวิหารได้ถูกเทพโพไซดอนหลงรักและพยายามใช้กำลังขืนใจ เรื่องรู้ถึงเทพีอาธีนาทรงได้ฉวยโอกาสใส่ความว่าลบหลู่นางโดยการสมสู่ในวิหารของนางเนื่องด้วยความเดิมอาธีนากับเมดูซ่ามีแม่คนเดียวกัน และเอเธน่าต้องการทำลายเมดูซ่าให้สิ้นซาก จึงสาปให้เมดูซ่ามีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมที่สวยงามดุจเส้นไหมทองของนางกลายเป็นงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มหัว 


    จากหญิงพรหมจารีย์ที่งดงาม ก็กลายเป็นปีศาจที่น่าขยะแขยง เมดูซ่าทั้งโศกเศร้า อับอาย และน้อยใจในความไม่ยุติธรรมทั้งที่เธอมิได้ทำผิด ทั้งที่เธอตั้งใจรักษาพรหมจารีย์ แต่นางก็มิเคยได้ผลความดีตรงนั้นเลยจนนางมีแต่ความอับอายและความแค้น จนเมดูซ่าต้องการทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้าจากความเกลียดชังที่ปะทุขึ้น 


    ทุกคนที่มองหน้านางก็จะกลายเป็นหินไปหมด จนได้กล่าวขวัญเป็นอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดในตำนานกรีก วีรบุรษเพอร์ซีอุสเป็นผู้สังหารเมดูซ่าโดยใช้ดาบที่เทพเฮฟเฟสตัสประทานให้(บ้างก็ว่าเทพีอาธีนาเป็นคนประทานให้)ตัดหัวของเมดูซ่า จากนั้นเมดูซ่าก็จบชะตากรรมจากชีวิตอันโหดร้ายที่ไร้ซึ่งความยุติธรรมของเธอในที่สุด นับว่าเป็นอสุรกายที่มีความเป็นมาอันน่าสงสารและน่าเห็นใจมากที่สุดก็ว่าได้           



    หัวนางเมดูซ่า ภาพโดย Rubens - Circa 1615  


    ไคเมร่า-Chimera 



    ไคเมร่าเป็นสัตว์ประหลาดหัวเป็นแพะตัวเป็นสิงโตและหางเป็นงู ลมหายใจของมันก่อให้เกิดลมร้อนถึงตายในตำนานเล่าว่าไคเมร่าเป็นลูกของอิคิดน่าและไทฟอน เป็นพี่ชายของเซอเบอรัส ไคเมร่ามีร่างกายกำยำและเป็นที่รวมของสัตว์ร้ายสามชนิด คือ ส่วนหัวถึงหน้าอกเป็นแพะ แต่บั้นท้ายกลับเป็นมังกรหรืองู นอกจากนี้ยังสามารถพ่นไฟเหมือนมังกรได้อีกด้วย ไคเมร่าถูกวีรบุรุษเบลเลอโรโฟนผู้ขี่ม้าบินเพกาซัสแทงตายด้วยหอก


    ไฮดรา-Hydra




    บุตรแห่งอสุรกายไทฟอน-Typhon กับอสุรกายอิคิดนา-Echidna ไฮดรามีร่างกายเป็นงูยักษ์หรือมังกร เริ่มตั้งแต่ห้าไปจนถึงร้อยหัวเลยทีเดียว และไม่มีอาวุธใดฆ่ามันได้ เพราะหัวแต่ละหัวเมื่อถูกตัดขาดไปจะงอกขึ้นมาใหม่เพิ่มเป็นสองหัวทันที แถมแต่ละหัวยังมีความคิดเป็นของตัวเองซะงั้น ลมหายใจและโลหิตเป็นพิษ 


    ตำนานนั้นผู้ปราบไฮดราก็คือ เฮอร์คิวลิส-Hercules ซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของยูริสเทียสให้ไปปราบไฮดรา อสูรกาย 9 หัว(บางตำนานบอกว่าไฮดรามี 10 หัว แต่บางตำนานก็บอกว่ามีมากถึง 100 หัว หรืออาจมากกว่านั้น) และการที่ลมหายใจมันมีพิษที่ร้ายแรง เฮอร์คิวลิสจึงสูดลมหายใจเต็มปอดแล้ววิ่ง เข้าไปโดยเอากระบองฟาดใส่หัวมัน ด้วยแรงอันมหาศาลทำให้หัวของเจ้าไฮดราขาดลงมาหนึ่งหัวแต่หัวของมันก็งอกขึ้นมาใหม่ถึงสองหัว 


    แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮอร์คิวลิสเมื่อตัดหัวของไฮดราได้แล้วจึงได้ให้ไอโอลอส-ผู้ช่วยของเฮอร์คิวลิส นำไฟไปลนที่คอของไฮดราเพื่อไม่ให้มีหัวใหม่งอกออกมาได้ เมื่อสังหารไฮดราลงได้แล้ว เฮอร์คิวลิสได้เอาลูกธนูจุ่มเลือดของไฮดราเพื่อใช้เป็นศรพิษอาวุธปราบอสูรกายตัวอื่นๆ เพิ่มเติมนิดนึงนะครับ 


    ที่นี้เรามาว่าเรื่องกลุ่มดาวไฮดรากันครับ กลุ่มดาวงูไฮดรา เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดของพื้นที่ใหญ่ที่สุดบนท้องฟ้า มีความกว้างกว่า 100 องศา เป็นกลุ่มดาวที่ดาวฤกษ์ไม่สว่างมากนัก ยากแก่การมองให้เป็นรูปงูไฮดรา ยกเว้น ดาว Alphard ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาว และมีดาว 6 ดวง ที่เรียงกัน เป็นรูปส่วนหัวของงู อยู่ทางทิศตะวันออกของดาวโพรซิออน กลุ่มดาวงูไฮดราจะมองเห็นได้ดีที่สุดในเวลา 21.00 น. ของเดือนเมษายน 


    กลุ่มดาวงูไฮดรา เป็นกลุ่มดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดากลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรองโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล และเป็นหนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ในรายการของทอเลมี



    ไฮดรา ในภาพยนตร์ เพอร์ซีย์ แจ็คสัน-Hydra (Percy Jackson)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×