ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่มือเทพปกรณัมญี่ปุ่น - Japanese mythology

    ลำดับตอนที่ #21 : จิโซ-Jizo เทพเจ้าแห่งนักเดินทางและเด็ก

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 63





    เทพจิโซเป็นเทพผู้คุ้มครองนักเดินทาง หญิงมีครรภ์และผู้อ่อนแอ และเหล่าเด็ก บางตำนานว่าไว้ว่าลักษณะเด่นของเทพองค์นี้คือมีแผลเป็นบนใบหน้าปรากฏพร้อมไม้เท้าประจำกายที่เรียกว่าชากุโจ และแก้วมณีในอีกมือสำหรับคอยให้พร และเพราะท่านเป็นเทพแห่งนักเดินทางจึงมีการสร้างรูปเคารพของพระองค์ไว้ตามป่าเขาโดยเชื่อว่าท่านจะมาช่วยเหลือแก่นักเดินทางที่ตกระกำลำบาก 

    โดยเทพจิโซเองถือเป็นพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นให้ความเคารพมาก เชื่อว่าพระองค์คือผู้ไถ่บาปให้แก่เหล่าสัตว์นรกเพื่อหลุดพ้นจากบาปทั้งมวลและเดินทางสู่สวรรค์เยี่ยงผู้มีบุญได้  และหน้าอีกอย่างของท่านก็คือการนำพางแก่ดวงวิญญาณของเด็กๆที่ยังวนเวียนในโลกไม่สามารถไปเกิดได้ 

    เรื่องเล่าของเทพจิโซนั้นมีปรากฏในนิทานพื้นบ้านโดยเล่าสืบต่อกันมาอย่างช้านานว่า ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มีคุณตาคุณยายยากจนสองคนอาศัยกันอยู่ตามลำพัง ทั้งคู่หาเลี้ยงชีพด้วยการสานหมวกคะสะ-Kasa ....ครั้งในช่วงที่เทศกาลปีใหม่กำลังจะมาถึง คุณยายปรึกษากับคุณตาว่า... ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนแทบจะไม่เหลือข้าวสารอยู่เลย แถมหิมะก็หนาจนหาหญ้ามาสานหมวกได้ยากลำบากเหลือเกิน แล้วจะสานหมวกไปขายกันได้อย่างไรล่ะ


    ทันใดนั้น ลูกหนูตัวหนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากรูข้างผนัง แล้วร้องว่า “หิวจังเลยยยยย” พ่อหนูและแม่หนูจึงเอ็ดลูกชายว่า “บ้านนี้ยากจน จนแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรากินเลย อดทนหน่อยก็แล้วกันนะลูก” คุณตาเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “เจ้าหนูตัวน้อย... น่าสงสารจังเลย พวกเรานี่แย่เหลือเกิน แม้แต่หนูก็ยังต้องมาทนหิวไปกับเราด้วย” 


    ด้วยความรู้สึกผิด คุณตาจึงมอบข้าวสารที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้กับครอบครัวหนูไป เช้าวันต่อมา หลังจากกินอาหารเช้าซึ่งมีเพียงผักดองและชาแล้ว พวกหนูก็ออกเดินไปในกองหิมะ และเก็บหญ้าแห้วหมูซึ่งใช้สำหรับทำหมวกคะสะกลับบ้านมาได้จำนวนหนึ่ง พวกมันมอบฟ่อนหญ้าให้กับสองตายาย แล้วกล่าวว่า “พวกเราขอตอบแทนสำหรับอาหารเมื่อคืนนี้ด้วยหญ้าฟ่อนนี้ก็แล้วกันนะ...” คุณตาคุณยายซาบซึ้งใจมาก พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณครอบครัวหนู ถ้าพวกเขาสานหมวกและนำไปขายในเมือง พวกเขาน่าจะสามารถซื้ออาหารกลับมาได้มากพอสำหรับเทศกาลปีใหม่นี้ ดังนั้นทั้งหนูและคนต่างช่วยกันลงมือสานหมวกอย่างขะมักเขม้น เมื่อทำเสร็จหมดแล้ว ชายแก่ก็แบกหมวกเหล่านั้นขึ้นหลัง และลุยหิมะมุ่งหน้าเข้าเมืองทันที 


    เมื่อเดินมาถึงชานเมือง คุณตาก็สังเกตเห็นรูปปั้นหินรูปเทพจิโซ  ตั้งเรียงรายอยู่ บนเศียรมีหิมะปกคลุมอยู่เต็มไปหมด คุณตาเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า “ท่านจิโซ… ดูเหมือนเศียรของท่านจะเย็นมากนะ” จากนั้นคุณตาก็นำผ้าขนหนูที่คาดศีรษะไว้ มาบรรจงเช็ดหิมะออกจากเศียรของรูปปั้นจิโซจนหมด ขณะที่ในเมือง ผู้คนกำลังเตรียมตัวสำหรับเทศกาลปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน และอึกทึกครึกโครม เมื่อเข้าเมืองไปแล้ว ชายแก่ที่พยายามตะโกนขายหมวกสาน จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เวลาผ่านไปจนเริ่มค่ำ ถนนเริ่มไร้ผู้คน คุณตาก็ยังไม่สามารถขายหมวกได้แม้แต่ใบเดียว จนกระทั่งเขาต้องตัดสินใจแบกหมวกสานขึ้นหลังอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน


     ระหว่างทาง.. เขาก็ได้แต่รำพึงรำพันอย่างหดหู่ว่า “ข้าทำอะไรไม่ได้เลย… ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งของที่สามารถมอบให้ท่านจิโซได้” เมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่รูปปั้นหินจิโซตั้งอยู่ ชายแก่ก็สังเกตเห็นหิมะที่ตกมาคลุมเศียรของรูปปั้นอีกครั้ง เขาก็ทำเช่นเดิม คือปัดหิมะออกจากรูปปั้นทั้งหมด คุณตากล่าวกับรูปปั้นจิโซว่า…“ข้าขายหมวกสานไม่ได้เลย ไม่มีเงินมาซื้อข้าวปั้น ข้าจึงไม่มีอาหารมาถวาย ถ้างั้น… ข้าจะสวมหมวกสานเหล่านี้ให้กับพวกท่านแทนก็แล้วกันนะ” 


    หลังจากสวมหมวกลงบนเศียรของรูปปั้นจนหมด ปรากฎว่าหมวกมีไม่พอ รูปปั้นเทพจิโซนั้นมี 6 ขณะที่หมวกสานมีแค่ 5 คุณตาจึงนำผ้าขนหนูของเขามาพันเศียรรูปปั้นเทพจิโซองค์สุดท้าย แล้วจึงเดินกลับบ้านท่ามกลางหิมะตก โดยไม่มีอะไรคลุมศีรษะ 


    เมื่อกลับถึงบ้าน พวกหนูเห็นคุณตาไม่มีหมวกสานแบกขึ้นหลังกลับมาด้วย ก็ตื่นเต้นดีใจคิดว่าคุณตาขายหมวกจนหมดเกลี้ยง คุณตาได้แต่กล่าวว่า “ให้อภัยข้าเถอะ ข้าไม่สามารถขายหมวกได้แม้แต่ใบเดียว” ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณยายและครอบครัวหนูฟัง หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด คุณยายก็บอกว่า “นั่น! เป็นการกระทำที่ดี มีน้ำใจงามมากๆ เลยนะ งั้นเรามาฉลองปีใหม่กันด้วยผักดองและน้ำอุ่นกันเถอะ” 


    กลางดึกคืนนั้น มีเสียงร้องอยู่ด้านนอกบ้านว่า “มีของปีใหม่มาส่ง! มีของปีใหม่มาส่ง! บ้านคนแก่ขายหมวกอยู่ไหน?” สักพักก็มีเสียงดังต่อมาว่า “คนขายหมวก... ขอบคุณสำหรับหมวกสาน เราวางของฝากเพื่อแสดงความขอบคุณไว้ให้ สุขสันต์วันปีใหม่นะ” นั่นเป็นเสียงของรูปปั้นหินเทพจิโซนั่นเอง.. พวกท่านนำของขอบคุณมามอบให้คุณตา แล้วจึงเดินกลับไปที่ชานเมืองเช่นเดิม 


    เมื่อสองตายายเปิดประตูออกไปก็พบกับข้าวสาร มิโซะ และอาหารการกินอีกมากมายวางอยู่ด้านนอก พวกเขาและครอบครัวหนูช่วยกันเตรียมอาหาร แล้วนำกล่องอาหารปีใหม่ที่พวกเขาช่วยกันทำไปถวายแด่รูปปั้นจิโซที่ชานเมือง คุณตากล่าวว่า “ตอนนี้ข้าสามารถนำของมาถวายท่านได้แล้ว ขอบคุณมากครับ” หลังจากนั้นทั้งคุณตาคุณยาย และครอบครัวหนู ก็ฉลองปีใหม่ด้วยกันอย่างมีความสุข


    *เกร็ดความรู้เพิ่มเติม


    วัดคุกินุคิ-Kuginuki Temple




    วัดคุกินุคิตั้งอยู่บนถนนเซ็นบุน-Senbon ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกียวโต นับเป็นวัดขนาดเล็กที่มีเอกลักษณ์เป็นตะปูกับคีม  ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หากแต่เป็นวัดที่เป็นที่นิยมอีกหนึ่งแห่งของชาวบ้านท้องถิ่น ที่จะมาอธิษฐานของพรให้หายจากความเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่างๆอยู่เสมอๆ ภายในบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะสำหรับการแวะผ่อนคลาย รวมทั้งยังจะสามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

     

    ชื่อของวัดนั้นมาจากคำว่า “คุกินุกิ-Kuginuki” หมายถึง การถอนตะปู ซึ่งอาจหมายถึงการหายจากความเจ็บปวดโดยเปรียบเสมือนการถอนตะปูก็เป็นได้ มีตำนานเล่าถึงที่มาของวัดว่ามาจากพ่อค้าผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้กับวัดแห่งนี้รู้สึกเจ็บปวดที่มือของเขาอย่างมาก จึงได้ไปสวดขอพรกับพระโพธิสัตว์จิโซ-Boddhisattva Jizo ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัด คืนวันนั้นเองเค้าได้ฝันเห็นพระโพธิสัตว์ มาบอกว่าเป็นกรรมจากการในอดีตนั้นเค้าได้ไปเจาะมือของคนๆหนึ่ง จิตวิญญาณที่อาฆาตของคนผู้นั้นตามมาแก้แค้นจึงทำให้เกิดความเจ็บปวด พ่อค้าผู้นี้จึ้งได้ทำการถวายชุดตะปูคีมเพื่อเป็นการชดใช้ในความผิดที่เคยก่อขึ้น หลังจากนั้นอาการปวดต่างๆของเค้าได้หายไป 


    สิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อค้าคนนี้กลายเป็นเรื่องเล่าขานต่อๆกันมา ทำให้เมื่อมีผู้ที่เจ็บป่วยก็จะมีการถวายตะปูกับคีมติดบนกระดานไม้ติดบริเวณวิหารของวัด จนภายในวิหารเต็มไปด้วยกระดานเหล่านี้มีจำนวนมากถึง 1,000 ชิ้น อีกทั้งยังมีการแกะสลักหินรูปตะปูกับคีมที่เป็นสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้  อีกทั้งส่วนอื่นๆหลากหลายส่วนในวัดที่มีสัญลักษณ์ของตะปูและคีม


    การเดินทาง

    - จากสถานีรถไฟคิตะโนะฮาคุบาอิโช (Kitanohakubaicho Station) เดินเท้าใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือต่อรสบัสใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที

    - จากสถานีรถไฟเกียวโต (Kyoto Station) ต่อรถบัสใช้เวลาประมาณ 25 นาที ลงป้ายเมล Senbon Kamidachiuri เดินต่ออีกเพียง 3 นาที


    เครดิตข้อมูลวัด

    https://www.talonjapan.com/kuginuki-temple/

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×