คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF EXO] :: Solitude :: [KAI x D.O] Part 2
"...Because you are my love, the love that I long for
and once you are also the one sho loved me
ans now I just can't reach out to you any more
and where are you, the one I loved with all my heart..."
Background music :: Huh Gak - Hello
.
.
.
.
.
.
"Solitude"
Part 2
... Being different doesn't mean
you have to be alone ...
Solitude
ช่วงใกล้สอบก็คงเป็นช่วงที่ทุกคนหมกมุ่นอยู่กับการดูหนังสือ ไม่ว่าใครจะมีแฟนหรือไม่มี คนที่มีก็อาจจะไปดูหนังสือกับแฟน หรือก็อาจจะแยกกันอ่านก็ได้ อย่างไรก็ตามเรื่องพวกนั้นมันคงไม่เกี่ยวกับผมเพราะผมก็ยังอยู่คนเดียวอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างอะไร ทุกครั้งที่ใกล้สอบ ผมกับเพื่อนๆ จะชวนกันไปนั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟ เหตุผลหนึ่งก็เพราะบรรยากาศของร้านกาแฟที่ชวนอ่านหนังสือ อีกเหตุผลก็เพราะอ่านคนเดียวเวลาไม่รู้เรื่องแล้วมันก็ถามใครไม่ได้ แล้วยังไม่นับเรื่องกาแฟอร่อยอีกหนึ่งอย่างด้วย
ครั้งนี้เองก็ไม่ต่างกัน ผม เซฮุน แบคฮยอน และจงอิน ชวนกันมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟในละแวกมหาวิทยาลัย เราเตรียมหนังสือมาคนละเรื่องกัน เตรียมไว้เผื่อผลัดกันอ่าน แต่ถึงแม้จะมาด้วยกันพวกเราก็จะไม่ค่อยได้นั่งโต๊ะเดียวกันเท่าไร เพราะหากอยู่ด้วยกัน ความคืบหน้ามันก็น้อย แยกกันอ่าน ไม่เข้าใจแล้วค่อยถาม หรือเบื่อแล้วค่อยลุกมาคุยกันแบบนั้นดีกว่าหลายเท่านัก
ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือผ่านแว่นกรอบหนาๆ ของผมอยู่นั้น จากหางตาผมก็เห็นว่าเซฮุนกำลังเดินตรงมายังผม สงสัยมันคงจะเบื่อแล้วแน่นอนไม่ต้องสงสัย ผมยืดตัวขึ้นแล้วปิดหนังสืออย่างฉับไวก่อนจะหันไปยังเขา
“แน่ะ ไม่อ่านแล้วเหรอนาย"
“ก็นายเดินมาจะคุยไม่ใช่เหรอ"
เซฮุนหัวเราะแล้วก็หย่อนตัวนั่ง ถือวิสาสะหยิบคุกกี้ที่ผมซื้อมาเข้าปากชื้นหนึ่งแล้วก็ซดกาแฟของผมตามเข้าไปอีก
“เกรงใจกันเป็นป่ะเนี่ย" ผมถามออกไป
“ก็เป็นนะ แต่พอดีเห็นของนายมันน่ากินก็เลยขอละกัน" เขาก็ตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจ "คือที่เดินมาจะเดินมาชวนไปเที่ยวอ้ะ"
“ไปเที่ยวไรเซฮุน จะบ้าหรือไง สอบยังไม่เสร็จเลยนะ"
“ก็เที่ยวหลังสอบไง พอดีพวกลู่หานโทรมาชวนน่ะ บอกว่าอยากจัดทริป..." เขาเริ่มต้นบอกรายละเอียด ลู่หานก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์ของเซฮุนและจงอินเขา "...เห็นมันบอกว่าอยากไปเที่ยวเกาะ แล้วก็คุยๆ กัน วางแผนเสร็จแล้ว...”
“ตั้งใจอ่านหนังสือสอบกันจังนะเนี่ย" ผมอดแขวะไม่ได้
“เอาน่าๆ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า...” เซฮุนไม่ยอมให้ผมขัดจังหวะ "...คือมันก็เลยโทรมาชวนไปเที่ยวเกาะด้วยกัน ยิ่งไปเยอะยิ่งถูกไงเคยได้ยินป่ะ เขาก็เลยโทรมาชวน แล้วเมื่อกี้ก็ไปถามจงอินมาแล้วจงอินก็ไป แบคฮยอนก็ทำท่าสนใจเหมือนกัน ก็เหลือนายและ"
“ไม่เอาอ้ะไม่ไป"
ผมตอบออกไปในทันทีพลางยกหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของเซฮุนดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักที่ผมปฏิเสธคำชวนของเพื่อนของเขา ผมจึงลดหนังสือลงเปิดโอกาสให้เพื่อนผมได้พูดต่อ
“ทำไมไม่ไปวะ คนเขาอุตส่าห์ชวน"
“นายอยากรู้จริงป่ะล่ะว่าทำไมฉันไม่อยากไป"
ผมถามไปน้ำเสียงจริงจังพลางถอดแว่นออกด้วยไม่อยากให้มันมาขัดความจริงจังของผม ผมเห็นจงอินลุกออกจากโต๊ะของเขามาเหมือนจะมาสมทบการคุยกันของผมกับเซฮุน ก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรซ้ำหลายๆ รอบ
“คุยไรกันเหรอ? คุยด้วยดิ"
ไม่พูดเปล่า เจ้าเพื่อนตัวดีก็หยิบเอาเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงอีกด้าน
“ก็กำลังถามคยองซูมันว่าทำไมมันไม่ยอมไปเที่ยวเกาะด้วยกัน"
“อ้าวคยองซูไม่ไปเหรอ" จงอินทำตาโตใส่ผม สายตาแบบที่พวกผู้หญิงมักจะกรี๊ดกร๊าดเวลาเห็น ซึ่งมันก็มีสเน่ห์ไม่น้อยเลยจริงๆ ถ้าจะว่ากันตรงๆ "...ทำไมล่ะ เอ้อ จะว่าไปเดี๋ยวนี้นายก็ไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับพวกฉันเลยนะ เป็นไรป่าววะ"
“เปล่าไม่ได้เป็น...” ผมเริ่มอธิบาย "...แต่ที่ฉันไม่อยากไป ก็เป็นเพราะว่า คนที่ชวนไปคือเพื่อนของพวกนาย... เขามาชวนก็ชวนพวกนายไม่ได้มาชวนฉัน แล้วอีกอย่างที่ไปก็มีแต่พวกลีดเดอร์กับดรัมเมเยอร์ทั้งนั้น พวกนายก็สนิทกันอยู่แล้วและฉันไม่สนิทด้วย จะให้ฉันไปทำไม"
“คิดมากไปป่าวคยองซู" เซฮุนถาม "...ยังไงนายก็กลุ่มเดียวกับฉันล่ะน่า ก็ไปซะคราวนี้จะได้มีเพื่อนสนิทกันมากขึ้นอีกไง"
...ผมไม่ได้อยากได้เพื่อนสนิทมากขึ้นเสียหน่อย... ผมแค่อยากได้เพื่อนสนิทที่ผมสนิทด้วยจริงๆ ต่างหาก...
“เออ เอาน่า ไม่ไปก็คือไม่ไป เข้าใจป่ะ ฉันไม่สนิทกับพวกนั้นขนาดไปเที่ยวด้วยกัน ไปก็ไม่สนุก พวกนายไปเหอะ"
จงอินหันไปมองหน้าเซฮุนเล็กน้อยเหมือนกับมีเรื่องอะไรจะพูด ผมมองหน้าทั้งสองคนสลับไปสลับมาเพื่อรอว่าจะมีใครที่พูดขึ้นมาก่อน แต่ในเมื่อรออยู่นานสองนานก็ยังไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของทั้งสองคนนั้นผมจึงสวมแว่นกรอบหนาของผมอีกครั้งหนึ่งแล้วเปิดหนังสือ เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าผมทำแบบนั้นแล้วจึงลุกขึ้นจะเดินกลับที่โต๊ะของตัวเองบ้าง อย่างไรก็ตามก่อนจะไปเซฮุนก็ทิ้งคำถามที่ผมไม่วันลืมลงเอาไว้คำถามหนึ่ง
.
.
.
“แล้วอยู่คนเดียวไม่เหงาบ้างเหรอวะ"
.
.
.
เหมือนกับมีอะไรสักอย่างพุ่งกระแทกเข้าที่หน้าท้องของผมเมื่อเซฮุนมันพูดออกมาอย่างนั้น ผมรู้สึกเหมือนสมองของผมเบลอไปชั่วขณะ พยายามไม่คิดอะไรแล้วก็ทำความเข้าใจตัวหนังสือตรงหน้าต่อไปแต่กลับไม่มีแม้สักคำที่ผมจะอ่านรู้เรื่อง อีกครั้งที่รู้สึกเหมือนว่าบรรยากาศรอบตัวค่อยๆ เปลี่ยนไป ผมเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ร้านกาแฟ บางโต๊ะก็นั่งกันเป็นกลุ่ม บางโต๊ะก็นั่งกันสองคน และผมกับเพื่อนๆ อีกสามคนก็นั่งคนเดีย วแล้วในฉับพลันความรู้สึกโดดเดี่ยวมากมายก็ถาโถมเข้าใส่ผมอีกครั้งหนึ่ง ขอบตาผมร้อนขึ้นมาและหยดน้ำเล็กๆ ก็ก่อตัวอยู่ที่หลังกระจกเลนส์ที่ผมกำลังสวมใส่อยู่
แล้วผมไม่เหงาบ้างหรืออย่างไร?
คำถามนี้ถ้าเขารู้จักผมจริงเขาคงจะไม่ถาม... ทำไมผมจะไม่เหงา... กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องฝืนทนความรู้สึกแบบนี้แล้วบอกว่าผมไม่เป็นไร ผมเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ ผมเป็นคนอารมณ์ขัน ผมสร้างเรื่องตลกให้ทุกคนหัวเราะแล้วผมก็หัวเราะกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้... แต่ข้างในแล้วมันเหงาเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด... เข้าใจหรือเปล่าว่าทุกอย่างที่ผมทำลงไปมันเพื่อกลบความรู้สึกข้างในทั้งนั้น ที่ผมทำก็เพื่อให้ตัวเองยังมีเพื่อนๆ ที่คอยอยู่เคียงข้าง... เพราะหากผมไม่ทำผมคงไ่ม่เหลือใครไปแล้วไม่ใช่หรือ...
ผมยืนขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าผมเองยังแปลกใจ ผมรู้จักกับเซฮุนมาก็สี่ปีแล้วและก็แทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะถามคำถามแบบนี้ สองขาก้าวตรงไปยังโต๊ะของเซฮุนอย่างฉับไว เขาเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็ถอดหูฟังของตัวเองออกและส่งยิ้มมาให้เหมือนปกติ ผมหย่อนตัวลงนั่งตรงหน้าเขาและก่อนที่เซฮุนจะทันพูดอะไรผมก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเสียก่อน
“ถามว่าฉันเหงามั้ยน่ะเหรอเซฮุน" ผมโพล่งออกไป "ถ้าอย่างนั้นนายมองหน้าฉันแล้วบอกหน่อยสิว่าหน้าอย่างฉันมันเหงามั้ย" ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร โกรธ น้อยใจ หรือว่ามันก็แค่เหงา "หรือว่านายคิดว่าคนแบบฉันมันเหงาไม่เป็นงั้นเหรอ...” สีหน้าของเซฮุนดูตกใจที่อยู่ๆ ผมก็มาพูดอะไรแบบนี้กับเขา "...งั้นจะบอกอะไรให้นายเข้าใจอย่างนะ ถึงแม้ว่าภายนอกฉันจะดูเป็นคนร่าเริงยังไง แต่ข้างในข้องฉัน...” มือของผมชี้ไปที่ตรงหัวใจที่มันร้องแทบจะตลอดเวลา "...มันก็มีความรู้สึกเหมือนๆ กับพวกนายนั่นแหละ"
แล้วผมก็ลุกขึ้นยืนไม่รอให้เขาพูดอะไรออกมา และก่อนที่จะเดินกลับไปก็หันไปหาเขาอีกครั้งหนึ่ง
“และก็รู้เอาไว้ด้วยนะ ว่าต่อให้ฉันจะไม่ใช่เดือนคณะอย่างจงอิน ไม่ใช่เชียร์ลีดเดอร์เหมือนอย่างแบคฮยอนกับซูโฮ แล้วก็ไม่ใช่ดรัมเมเยอร์เหมือนนายก็ตาม แต่คนธรรมดาอย่างฉันก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้คนอย่างนายมาทำร้ายความรู้สึกกันแบบนี้นะ..." ผมพูดออกไปรัวเร็ว "...นายรู้จักฉันมาสี่ปี ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านายจะมาพูดแบบนี้กับฉันจริงๆ เซฮุน"
แล้วผมก็เดินจากเขามาที่โต๊ะ หยิบหนังสือ หยิบกระเป๋า แล้วก็เดินออกไปจากร้านไม่รอให้ใครมาถามอะไรอีก
Solitude
“น้องมาคนเดียวเหรอครับ"
ชายแปลกหน้าเอ่ยปากถามผมหลังจากที่ผมนั่งดื่มเหล้าคนเดียวในบาร์มาร่วมชั่วโมงครึ่งแล้ว ผมมั่นใจว่าตอนนี้หน้าของผมคงออกจะแดงนิดๆ ด้วยความที่ผมไม่ใช่คนที่ดื่มเก่งเท่าไรนัก
“แล้วพี่เห็นผมมากี่คนล่ะครับ"
“นั่นสินะครับ งั้นพี่ขอนั่งด้วยนะครับ" แล้วโดยไม่รอให้ผมอนุญาต เขาก็ทิ้งตัวนั่งลงที่อีกฝั่งของโต๊ะ แก้วเหล้าในมือของเขาแกว่งไปแกว่งมาอย่างคนที่คงจะคุ้นเคยกับเครื่องดื่มแบบนี้ "...ว่าแต่ว่า สายตาสั้นเท่าไรครับเนี่ย ใส่แว่นแบบนี้นี่"
“ไม่เยอะหรอกฮะ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ด้วยความที่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับใครทั้งนั้นในตอนนี้ หลังจากที่ผมออกจากร้านกาแฟมา ผมก็กลับไปที่ห้องแล้วก็จมอยู่กับน้ำตาอยู่ราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นผมก็ออกมาพยายามหาอะไรดื่มเพื่อให้ลืมเรื่องราวที่มันกรีดลงไปบนหัวใจ
“แต่ผมใส่เพราะไม่อยากให้ใครมามองตาผมน่ะครับ" ผมพูดออกไปตามที่ผมคิดเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ "...ผมไม่ชอบให้ใครมามองเข้าไปข้างในตัวผมโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ปกป้องมัน ... คนเรามันก็ต้องมีความลับบ้างจริงไหมครับ"
“จริงครับ" เขาตอบกลับมา "แล้วน้องมีความลับเรื่องอะไรล่ะครับ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่มาเที่ยวในที่แบบนี้"
ผมหันไปมองรอบๆ ในสถานที่ที่มีแต่ผู้ชายแบบนี้ บางคนก็สวมใส่เสื้อรัดรูปเสียจนเห็นส่วนสัดร่างกายชัดเจน บางคนก็ไม่ได้สวมเสื้อ พนักงานส่วนใหญ่ก็สวมใส่ชุดทั้งแนบเนื้อทั้งมีรอยขาด บางคนก็แต่งตัวหลุดโลกไปเลยก็มี และที่สำคัญในหลายจุดของบาร์แห่งนี้ยังมีชายสองคนยืนดูดปากกันได้โดยไม่สนใจคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องที่ผมชอบผู้ชายน่ะเหรอครับ...” ผมยกแก้วเหล้าของผมขึ้นกระดกครั้งหนึ่ง "เรื่องนั้นผมไม่เคยปิดใครอยู่แล้วครับ"
แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมาเล็กน้อย ผมยกมือของตัวเองขึ้นเช็ดมันออกไปจากหลังแว่น พลางคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวว่าอาจเป็นเพราะผมบอกทุกคนไปหรือเปล่าว่าผมเป็นอะไร ทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้
"ว่าแต่ว่า พี่ชื่อชานยอล นะครับน้องชื่ออะไรครับ"
“คยองซูครับ" ตอบกลับไป
“ชื่อเพราะจังเลยครับ" เขาตอบกลับมาผมก็รู้ดีว่ามันก็แค่ชมไปตามเรื่อง "...ให้พี่เลี้ยงเหล้าเราได้มั้ยครับ"
ผมพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยและเขาก็ยิ้มตอบกลับมา ผมมองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วก็เห็นคนจูบกันบ้าง ยืนคุยกันสองคนบ้าง แต่ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ล้วนดูมีความสุขทั้งนั้น แล้วทำไมถึงได้มีแต่ผมที่โลกมันหม่นหมองเป็นสีเทาแบบนี้กันนะ
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้นะครับ" คนตรงข้ามบอกมาพร้อมกับรอยยิ้มใจดี ผมควรจะเชื่อในรอยยิ้มนั้นไหมนะ "อย่างน้อยก็อย่าเก็บไว้คนเดียว ปล่อยมันออกมาดีกว่าเยอะ เชื่อพี่นะ"
ผมวางแก้วเหล้าของตัวเองลง และก่อนที่ผมจะพูดอะไร มือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นก็สั่นอีกครั้ง ชื่อของจงอินปรากฏบนหน้าจอเช่นเดียวกันกับอีกเจ็ดครั้งที่ผ่านมาที่ไม่ได้รับสาย ผมมองมันดิ้นอยู่บนโต๊ะพักหนึ่งจนคนที่โทรมาตัดสินใจวางสายไปในที่สุด แล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมองคนแปลกหน้าตรงหน้าอีกครั้ง
“คนที่น้องคยองซูชอบโทรมาเหรอครับ... ทะเลาะกันหรือ"
“เปล่าหรอกฮะ" ผมตอบกลับไป "...แต่พี่เคยมั้ยฮะ ที่รู้สึกเหมือนกับว่า คนอย่างพวกเรา...” ผมหมายถึงคนที่ชอบเพศเดียวกันแบบนี้ "...กับเพื่อนๆ ผู้ชายคนอื่นๆ มันมีเส้น มันมีกำแพงกั้นไม่ให้เราเข้าไปสนิทกับพวกเขามากนัก...” เมื่อผมเริ่มพูดมันก็ไหลออกไปเหมือนเขื่อนทลาย "...บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากคุยกับเราเพราะเห็นเราเป็นตัวประหลาด... บางครั้งเขาก็ทำเป็นสนิทกับเราเพราะว่าสงสารที่เราไม่เหมือนคนอื่น...” ผมเว้นระยะเล็กน้อย "...หรือบางครั้งก็เป็นเราเองที่ไม่อยากเข้าไปใกล้คนพวกนั้นเพราะกลัวว่าวันหนึ่งเราจะคิดกับเขามากเกินเพื่อนไป พี่ชานยอลเคยมั้ยครับ"
คนแปลกหน้าตรงหน้าผมไม่ตอบอะไรกลับมาแต่กลับยกแก้วของตนขึ้นจรดริมฝีปากแล้วกระดกรวดเดียวจนหมด หันไปหาบริกรแล้วทำท่าเหมือนกับว่าให้เอาเครื่องดื่มมาเพิ่มอีก
“เหงาสินะครับ?"
ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเมื่อเขาถามหลังจากเงียบไปกัน รอยยิ้มยังคงส่งข้ามโต๊ะมาให้เหมือนจะเข้าใจอย่างไรอย่างนั้น เขาส่งมือข้ามโต๊ะมา ผมเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อยตามสัญชาตญาณแต่ก็ด้วยรอยยิ้มและคำถามนั้นอีกนั่นแหละที่ทำให้ผมไม่ได้ขยับหลีกอะไรมาก มือแกร่งของเขาจับเข้าที่แว่นของผมแล้วก็ถอดมันออกอย่างเบามือ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับแก้มของผมเบาๆ เมื่อตอนที่เขาถอนมือไปนั้น
“ตาของเราก็สวยดีออกครับพี่ว่าอย่าใส่แว่นเลยนะ พี่อยากดูน่ะ...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "แล้วแก้มเราก็นิ่มมากๆ ด้วยนะ น่าหอมจัง...” เขาเว้นระยะเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำหน้ายังไง "ตกลงก็คือเราเหงาสินะครับคนเก่ง...” พูดขึ้นมาอีกครั้ง ผมพยักหน้าไปเล็กน้อย "...แต่เรื่องแบบนี้มันก็ห้ามไม่ได้เนอะ พี่ก็เคยเป็นนะครับ แต่มีคำแนะนำให้อย่างเดียวแหละว่าเราอย่าคิดมากไปเลยเนอะ"
“ไม่คิดมาก" ผมถอนหายใจ "...ผมคงทำได้หรอกฮะ"
มือถือของผมสั่นอีกครั้งหนึ่งผมหันไปมอง มีข้อความเข้ามาหนึ่งข้อความ จากจงอินเหมือนเดิม เขาเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่สมัยประถม คงเป็นเพื่อนที่ผมรู้จักและสนิทมากที่สุดในกลุ่มแล้วกระมัง ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
.
.
.
...นายอยู่ไหนคยองซู ทุกคนเป็นห่วงหมดแล้วนะ ได้ข้อความแล้วโทรกลับด้วย มีอะไรก็มาคุยกันดีๆ สิ...
.
.
.
ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกกัดกร่อนอีกครั้งหลังจากที่อ่านตัวหนังสือเหล่านั้น มีอะไรก็มาคุยกันดีๆ ... ทำอย่างกับว่าผมจะทำเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆ เสียเมื่อไรกัน ความรู้สึกมากมายที่มันอัดแน่นอยู่ข้างในตัวผมต่อทุกคนมันมากเกินกว่าที่จะให้ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ สุดท้ายทุกคนก็จะได้เพียงแต่รับฟัง แล้วหลังจากที่ผมพูดไปแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรืออย่างไร แล้วถ้าทุกคนจะต้องเปลี่ยนเพียงแค่เพราะสิ่งที่ผมรู้สึกแล้วผมยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเพื่อนอีกอย่างนั้นเหรอ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ท่าทางผมมันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอฮะว่ามีอะไร" ผมยิ้มเยาะตัวเองอีกครั้ง
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับน้องคยองซู" เขาตอบกลับมา "...แต่ก็อย่างที่บอก ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้เสมอนะครับ พี่เชื่อว่ามันจะรู้สึกดีขึ้นถ้าเราได้ระบายออกมา"
ผมมองหน้าเขาเล็กน้อย
“แต่พี่เป็นใครก็ไม่รู้นะฮะ เรายังแทบไม่รู้จักกันเลย จะให้ผมเที่ยวเอาเรื่องของตัวเองไปเล่าให้พี่ฟังได้ยังไงฮะ"
เขาหัวเราะเสียงดังแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อยหนึ่ง
“ฟังดูเราพูดเข้าสิ...” เขายิ้ม "...เราเป็นคนคิดมากขนาดนี้พี่ก็เชื่อว่าเราคงไม่เอาเรื่องพวกนี้ไปเล่าให้เพื่อนของเราฟังหรอกจริงมั้ย แล้วถ้าเราไม่เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ก็ยังไม่เล่าให้คนแปลกหน้าอย่างพี่ฟังอีก แล้วเราจะเอาไปเล่าให้ใครฟังล่ะครับ" พี่ชานยอลยังคงพูดต่อไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเมาแล้วหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มันช่างรื่นหูยิ่งนัก "...อีกอย่างนะ พี่คิดว่า เล่าให้คนไม่รู้จักกันฟังก็ดีไปอีกแบบนะ เพราะยังไงเราก็ไม่ได้รู้จักกัน เล่าเสร็จพี่จะเป็นอะไรยังไง คิดอะไรกับเรายังไงเปลี่ยนไป มันก็คงไม่สำคัญกับเราหรอกจริงไหมครับ"
ผมนิ่งเงียบไป อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนอ่านความคิดง่าย หรืออาจเป็นเพราะคนทั่วไปเขาก็คิดกันแบบนี้อย่างนั้นหรือเปล่ามันถึงได้ทำให้คนตรงหน้าผมมองผมได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ ผมรู้สึกแปลกๆ จากข้างใน เหมือนกับว่าตัวผมเองนั้นเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ปาน
“เอางี้มั้ยครับ ที่นี่มันเสียงดัง เราไปข้างนอกเดินไปคุยไปกันมั้ยครับ"
“ไปที่ไหนล่ะครับ"
“ก็ไม่รู้เหมือนกันล่ะครับ...” เขาเกาหัวเบาๆ "...ก็เดินไปเรื่อยๆ แถวนี้ ออกไปเดินตามถนนใหญ่บ้าง สูดอากาศเย็นๆ ข้างนอกหน่อยให้มันรู้สึกดีขึ้น ยังไงเราก็อยู่แถวๆ นี้ล่ะครับ กลับบ้านสะดวกอยู่แล้วเนอะ"
Solitude
To Be Coninued ...
TalK:::
ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยเหงากันมาบ้างแล้วสินะครับ
อาจจะเหงามากเหงาน้อยก็ต่างกันไป
แต่คงไม่มีชื่นชอบความรู้สึกอ้างว้างแบบนั้นหรอกจริงไหมฮะ
โดคยองซูก็เหมือน เขาไม่ชอบมันหรอก
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ
เคยหรือเปล่า ที่เวลาเหงาๆ แล้วเผลอใจไปชอบใครสักคน?
อาจจะเป็นคนบางคนที่เราไม่ควรที่จะชอบเสียเลยด้วยซ้ำ
แล้วจะทำยังไงกันเหรอครับถ้าเป็นแบบนั้น ??
ความเหงามันทรมานนะครับ
ขอให้ผู้อ่านทุกคนเหงากันให้น้อยที่สุดแล้วกันนะฮะ
มาให้กำลังใจโด้ในเรื่องนี้กันเถอะครับ
ให้ผ่านช่วงเวลาทรมานๆ แบบนี้ไปให้ได้
ขอบคุณมากครับ
ปล. รักคนอ่านทุกคนเลยนะครับ ^ ^
ความคิดเห็น