เรื่องประหลาดในร้านหนังสือของพี่น้ำชา
กลิ่นดอกกุหลาบที่โชยมาตามลมในร้านหนังสือ ทำให้ "เจ" ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดที่ยากจะอธิบาย...
ผู้เข้าชมรวม
79
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เรื่องประหลาดในร้านหนังสือของพี่น้ำชา
เขียน ไฟส้ม
“ทุกวันนี้ไม่มีใครเข้าร้านหนังสือแล้วนะ คนเขาอ่านอีบุ๊กส์กันหมดแล้ว” ผมโพล่งใส่พี่สาวสุดที่รักไปตรง ๆ เธอตื่นตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพื่อมาเปิดร้านขายหนังสือ ที่วันวันหนึ่งนอกจากผม กับแมวจรสีส้มที่เดินแวบไปแวบมาอยู่หน้าร้าน ก็แทบไม่มีใครมาที่นี่ อย่าว่าแต่ร้านหนังสือของพี่สาวผมเลย ทั้งจังหวัดก็แทบไม่มีนักท่องเที่ยวให้เห็น
“เลิกบ่น แล้วไปเอากล่องหลังร้านมา”
ผมลุกขึ้นอย่างหัวเสีย จำใจทำตามคำสั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะเดินไปยกกล่องหนังสือที่เพิ่งมาส่งเมื่อวานออกมาจากห้องเก็บของอย่างทุลักทุเล เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วที่ผมอยู่กับพี่สาวแค่สองคนนับตั้งแต่พ่อแม่เราทั้งคู่หายตัวไป ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้ว่าเธอจะทำใจได้เรื่องนี้มากแค่ไหน แต่เราไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า นอกจากรถที่จอดอยู่ริมถนนก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้อื่น ทรัพย์สินทุกอย่างอยู่ครบ ที่หายไปก็มีพ่อกับแม่เท่านั้น
“วางตรงนี้”
ผมยกกล่องหนังสือมาวางตรงหน้าพี่สาว เธอเริ่มแกะมัน หยิบหนังสือออกมานับจำนวน ส่วนผมกลับไปนั่งแช่อยู่ที่โซฟาตัวเก่า นี่คือกิจวัตรของเราทั้งคู่ในวันที่ผมไม่ได้ไปโรงเรียน พี่ผมเปิดร้านหนังสือ ส่วนผมรู้สึกเหมือนถูกขัง ต้องอยู่เฝ้าร้าน เรียนรู้การจัดการกับหนังสือใหม่และการบันทึกข้อมูลหนังสือลงคอมพิวเตอร์ พี่สาวบอกกับผมว่าสักวันหนึ่งร้านนี้จะกลายเป็นของผม ซึ่งนั่นทำให้ผมคิดหนัก การรักษาร้านหนังสือนี้ให้อยู่รอดในยุคนี้คนมีทางเลือกในการอ่านมากขึ้น ยากพอพอกับการโน้มน้าวให้พี่สาวผมเลิกทำมันซะ
“เดี๋ยวเจ๊จะไปเชียงใหม่ 3 วันนะ”
“ไปหาเฮียเหรอ ทำไมไม่พาเจไปด้วยอะเจ๊”
“แกอยู่นี่แหละ เฝ้าร้านให้เจ๊”
“เจ๊จริงจังปะเนี่ย หนีไปเที่ยวแล้วให้ผมอยู่ร้านคนเดียวเนี่ยนะ”
“เมื่อวานก็เพิ่งไปเล่นเกมบ้านพี่ธารมาไม่ใช่เหรอ อยู่เฝ้าร้านซะบ้าง ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย”
พี่สาวผมลากกระเป๋าใส่ท้ายรถเก๋งคันเก่า เธอย้ำนักย้ำหนาเรื่องร้าน ผมต้องเออออไปตามระเบียบ เงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มาจากมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ผมไม่เห็นว่าร้านหนังสือเล็ก ๆ แบบนี้จะเลี้ยงเราทั้งคู่ให้อยู่รอดได้ยังไง ผมลากตัวเองกลับมานั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ ถ้าพี่สาวผมอยู่ น้องชายอย่างผมไม่มีทางได้มานั่งตรงนี้แน่ เธอบอกว่าผมไว้ใจไม่ได้ ชอบหยิบเงินออกไปโดยไม่บอก ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยทำแบบนั้นเลยสักครั้ง มองไปตรงหน้าเห็นกล่องหนังสือสองสามกล่องหลังร้าน ชั้นวางหนังสือเรียงตัวถอดยาวไปจนถึงประตูห้องเก็บของ พี่สาวผมรักมันมาก เธอจึงหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ คอยปัดฝุ่นที่เกาะบนปกหนังสือที่ไม่มีใครเคยหยิบมันขึ้นมาเปิดดู
“เหนื่อยจัด” ผมลุกขึ้นอย่างเซ็ง ๆ พี่สาวผมชอบอ่านเรื่องแต่ง กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์จึงเป็นนวนิยายรัก ๆ ใคร่ ๆ ที่ผมไม่เคยคิดจะหยิบมันขึ้นมาดู ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนเราจะอินกับเรื่องราวเพ้อฝันแบบนั้นไปทำไม มุมหนังสือวิทยาศาสตร์และหนังสือ self-help ที่ผมชอบแทบไม่ต่างจากลูกเมียน้อยในร้านนี้ นาน ๆ ทีจะมีลูกค้าต่างถิ่นหลงเข้ามาสักคนสองคน และพวกเขามักถามหาหนังสือแบบเดียวกันกับที่ผมชอบเสมอ
ผมเดินเหงื่อซก หลังจากจัดหนังสือจากสองกล่องแรกเข้าชั้น กล่องสุดท้ายวางอยู่หน้าประตูห้องเก็บของ จะว่าไปแล้วมันหนักเอาเรื่อง ตั้งแต่เริ่มเช็กหนังสือ นำหนังสือเข้าระบบ และจัดเรียงมันไว้บนชั้นให้ถูกที่ โชคดีที่พี่สาวผมนับจำนวนและลงทะเบียนมันในระบบให้แล้ว หน้าที่ของผมคือแค่วางมันให้ถูกเชลฟ์ หนังสือในกล่องสุดท้ายไม่ได้ต่างจากสองกล่องแรก มีแต่เรื่อง รักโรแมนติกน่าเบื่อ “หนักจังวะ” ผมเริ่มรู้อึดอัดจากความร้อนที่แผดเข้ามาในร้าน มวลความร้อนประหลาดที่ไม่รู้ว่าก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่เริ่มทำให้ผมต้องเดินกลับเข้าไปในครัว น้ำดื่มเย็น ๆ สักสองแก้วคือตัวช่วยที่ดีที่สุดในตอนนี้ แผ่นหลังผมชื้นเหงื่อ พัดลมเบอร์แรงสุดเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ผมเร่งมือ เหลืออีกไม่กี่เล่มก็จะได้กลับไปนอนในห้องแอร์แล้ว
“อะไรวะเนี่ย” ในกล่องตรงหน้าเหลือหนังสืออยู่แค่เล่มเดียว ทว่าหน้าปกของมันดูต่างจากหนังสือเล่มอื่น ความอุ่นแปลก ๆ นี่ก็ด้วย ทำไมหนังสือถึงอุ่นได้ล่ะ อีกทั้งสภาพของมันก็ดูเก่ากว่าที่ควรจะเป็น ผมรู้ว่าที่ร้านมีโซนหนังสือมือสอง แต่การที่มันมาอยู่ในกล่องนี้นับว่าแปลกพิกล ผมพยายามสำรวจดูรอบ ๆ เล่ม ไออุ่นจากหนังสือยังแผ่ออกมาต่อเนื่อง ผมรู้สึกเหมือนกำลังถือขนมปังที่เพิ่งออกมาจากเตาอบได้ไม่นาน หน้าปกของมันไม่มีชื่อเรื่อง ไม่มีแม้แต่ภาพประกอบ เป็นหนังสือปกสีขาวเก่า ๆ กับกระดาษถนอมสายตาติดเหลือง ผมคิดว่ามันคงเป็นหนังสือไม่ผ่าน qc จากสำนักพิมพ์ ที่หลุดติดมากับกล่องหนังสือใหม่
“เชี่ยไรวะเนี่ย” บนกระดาษแต่ละหน้าว่างเปล่า ไม่มีตัวอักษรเลยแม้แต่ตัวเดียว ผมหัวเสียเล็กน้อย อย่างน้อยมันต้องมีเนื้อหาอะไรบ้างสิ นี่แทบจะเป็นสมุดโน๊ตอยู่แล้ว ผมเปิดไปทีละหน้าจนเกือบหมด ถ้ามันเป็นหนังสือทั่วไป ความหนาเท่านี้คงสามถึงสี่ร้อยหน้า เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วใบหน้า อุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น อากาศร้อนบ้านี่ทำให้ผมรู้สึกหัวร้อนมากขึ้นกว่าเดิม “กลิ่นอะไรวะ” อะไรบางอย่างลอยมาแตะจมูก มันเป็นเหมือนกลิ่นเหมือนดอกกุหลาบ ผมเคยได้กลิ่นแบบนี้ตอนเด็ก ๆ ตอนที่พ่อกับแม่ทำสวนดอกกุหลาบส่งร้านดอกไม้และตลาดเช้า แต่เมื่อพ่อกับแม่หายไป แปลงกุหลาบหลังบ้านก็ถูกปล่อยร้าง “กลิ่นมาจากไหนวะ” ผมพึมพำ พยายามมองที่หาที่มาของมัน จนกระทั่งสมองเริ่มประมวลผลและรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ชัดขึ้น มันลอยมาจากอีกด้านหนึ่งของโซนหนังสือมือสอง ผมเดินตามกลิ่นนั่นไป ในมือยังถือหนังสือเล่มนั้นไว้แน่น ในตอนนี้เนื้อตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อ รู้สึกร้อนจนแทบอยากจะถอดเสื้อออกให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ทว่าความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมเจอเข้ากับเรื่องราวที่อธิบายได้ยาก
“เชี่ยย!!! ใครวะเนี่ย“ ผมตะโกนสุดเสียงพร้อมกับพยายามมองหาอะไรก็ตามที่อยู่ใกล้มือ อย่างน้อยก็ช่วยให้ผมอุ่นใจมากขึ้น กลิ่นหอมกุหลาบ ต้องใช่แน่ ๆ มันมาจากตัวเขาที่นอนสลบอยู่บนพื้น ร่างบางของเด็กหนุ่มกับลมหายใจรวยริน เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า “ทำไงดีวะกู” ผมหันไปมองประตูกระจกโดยอัตโนมัติ ทำไมถึงไม่รู้สึกถึงการมาของเขาเลยนะ อย่างน้อยกระดิ่งที่แขวนไว้ต้องสั่นเตือนสิ
“คุณ…” ผมพยายามเรียกคนตรงหน้าให้ตื่น ก่อนจะพบว่าเขาดูอ่อนแรงเกินกว่าจะยันตัวเองให้ลุกจากพื้น ผิวขาวเนียนบนร่างบางรบกวนสายตาผมพอควร ก่อนสัญชาตญาณจะเริ่มทำงาน และบอกผมให้เข้าไปพยุงตัวคนที่สลบตรงหน้า “คุณ…ไหวมั้ย” ผมพยายามเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล อุณหภูมิบนผิวร้อนราวกับคนจับไข้ ทว่ากลิ่นหอมกลับชัดเจน
“น้ำ… หิวน้ำ…”
“หิวน้ำเหรอ”
ผมตัดสินใจอุ้มคนตรงหน้าไปยังห้องนอน
“รีโมตแอร์อยู่ไหนวะ…คุณไหวมั้ย”
ผมนั่งลงข้าง ๆ ร่างบาง ใบหน้าที่ซีดเซียว เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แก้มเขาเริ่มขึ้นสีชมพูระเรื่อ เนื้อตัวที่ขาวซีดเริ่มมีน้ำมีนวล ราวกับดอกกุหลาบเฉาที่ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงอย่างทันท่วงที
“ขอบคุณนะ”
“ห้ะ? ... ขอบคุณเรื่องอะไร”
“เหงื่อนาย…”
“ห้ะ? ...เดี๋ยว ๆ”
“น้ำ…หิวน้ำ”
ผมเด้งตัวขึ้นเพื่อทำตามคำขอของคนตรงหน้า ลืมไปซะสนิทว่าเขาต้องการน้ำตั้งแต่ตอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น
“ค่อย ๆ ดื่ม เดี๋ยวสำลัก”
ผมมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ทั้ง ๆ ที่ควรจะรักษาระยะห่าง ทว่ากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ก่อตัวขึ้น บอกไม่ได้ชัดเจนว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่
“คุณเป็นใคร เข้ามาในร้านผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึง…”
“ทำไมผมถึงแก้ผ้าอยู่แบบนี้น่ะเหรอ”
“เอ่อ…คือ…ผมหมายถึง”
“ผมออกมาจากหนังสือ”
“ห้ะ!”
ผมสับสนจนไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้อย่างใจนึก นี่มันอะไรกัน เขากำลังเล่นอะไรกับผมอยู่
“ผมเป็นของคุณแล้ว คุณปลุกผมให้ตื่น”
“เดี๋ยว ๆ เป็นของผมอะไร… คุณกำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“เหงื่อของคุณ…”
แม้ข้างในจะสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ความรู้สึกร้อนวูบทุกครั้งที่มองหน้าเขากลับทำให้ผมรู้สึกละสายตาไปไม่ได้
“เหงื่อของคุณที่หยดลงไปบนหน้าหนังสือเล่มนั้น เรียกผมออกมา”
“ถ้าคุณยังไม่เลิกล้อเล่นแบบนี้ ผมจะพาคุณออกไปนอกร้าน”
“นายคิดว่าทำแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอ”
“...”
“นายรู้สึกร้อนวูบวาบ แล้วก็…ได้กลิ่นหอมๆ จากตัวผมใช่มั้ย” เขาลุกขึ้นนั่ง ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง
“เอ่อ…คือว่า…”
“ผมเป็นตัวละครในหนังสือเล่มนั้น เป็นตัวละครที่ตายไปแล้วในเรื่อง แต่ก็ถูกนายทำให้เกิดใหม่อีกครั้ง”
“เดี๋ยว ๆ ผมสับสนไปหมดแล้ว คุณกำลังจะบอกว่าคุณออกมาจากหนังสือจริง ๆ เนี่ยอ่านะ”
“ผมจะโกหกนายให้ได้อะไรขึ้นมา”
เขาพยายามอธิบายเหตุผลที่ไม่น่าเชื่อที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งฟัง เขาบอกผมว่าเขาคือตัวละครในหนังสือ และเหงื่อของผม…ที่หยดลงบนหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งในหนังสือเล่มนั้น เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับผมเอาไว้
“แล้วกลิ่นดอกกุหลาบ…เอ่อ…จากตัวคุณ”
“ผมเป็นดอกกุหลาบ”
ผมอยากจะบ้าตายกับเรื่องที่ได้ยิน จะให้เชื่อได้ยังไงกัน นี่มันปี 2023 แล้ว เรื่องทะลุมาจากหนังสือนี่มันโคตรพล็อตนิยายชัด ๆ
“ความปรารถนาของคุณทำให้ผมมีร่างกายเป็นมนุษย์”
“พอ ๆ ผมไม่น่าเสียเวลานั่งฟังเรื่องไร้สาระของคุณแล้ว ผมจะโทรเรียกตำรวจ ให้มาพาตัวคุณไป”
“นายทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“คุณว่าไงนะ”
“นายพาผมออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ผมจะมีชีวิตอยู่แค่ในที่ที่ผมถูกเรียกออกมา”
“แล้วผมต้องทำยังไง คุณถึงจะกลับเข้าไป…เอ่อ ผมหมายถึงกลับเข้าไปในหนังสือ…เอ่อ เล่มนี้ใช่มั้ย”
“ผมอยู่ได้ด้วยหยาดเหงื่อกับไออุ่นที่คุณมอบให้”
“...”
“ผมพูดจริง ๆ”
“เอางี้ ผมขอเวลาตั้งสติสัก 5 นาที”
ผมยื่นเสื้อกับกางเกงให้คนตรงหน้า ไม่รู้เลยว่าต้องมีปฏิกิริยายังไงกับเรื่องนี้ ทุกอย่างที่เขาเล่ามันประหลาดเกินกว่าจะยอมทำใจเชื่อได้ แต่กลิ่นหอมจากตัวเขามันชัดเจนจนยากจะปฏิเสธ ทั้งไออุ่นและความรู้สึกเชื่อมโยงแปลก ๆ ก็ล้วนทำให้ผมไม่สามารถทำในสิ่งที่ควรทำได้
“ผมเชื่อก็ได้…เอ่อ…คุณชื่ออะไร”
“ผมไม่มีชื่อหรอก ตอนผมอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ผมเป็นแค่ดอกกุหลาบดอกหนึ่งเท่านั้นเอง”
“โอเค แล้ว…มีอะไรที่ผมต้องรู้เกี่ยวกับคุณอีกมั้ย”
“…ผมอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน”
“ห้ะ!”
“หลังจากนั้นผมจะเริ่มเฉาและแห้งตายไปในที่สุด”
“เดี๋ยว ๆ คุณพูดจริงเหรอ”
ถ้าเขาเป็นดอกกุหลาบดอกหนึ่งจริง ๆ สิ่งที่เขาพูดคงน่าเชื่อถือมากกว่านี้ แต่นี่มันคนชัด ๆ
“เว้นแต่ว่า…ผมจะถอนคำสาปให้ตัวเองได้ทันก่อนเที่ยงคืน ในอีก 3 วันข้างหน้า”
“ถอนคำสาปเหรอ?”
“ใช่ครับ ตอนผมอยู่ในหนังสือเล่มนั้น ตัวเอกของเรื่องพูดเอาไว้ ผมได้ยินอย่างนั้น”
“แล้ว…วิธีการล่ะ ต้องทำยังไงถึงจะถอนคำสาปได้”
“ผมไม่รู้สิ จู่ ๆ ภาพก็ตัด แล้วก็มาโผล่ที่นี่ ในร่างมนุษย์”
ผมกระดกขวดน้ำเข้าปาก นี่มันวันอะไรกัน ทำไมผมถึงได้เจอเข้ากับเรื่องประหลาดในร้านหนังสือของพี่สาวตัวเอง มันประหลาดซะจนผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
“งั้นเอาแบบนี้ละกัน”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตัดสินใจทำแบบนั้น แต่ถ้าหากเรื่องที่เขาเล่าเป็นความจริง มันคงเป็นวิธีเดียวในตอนนี้ที่ผมจะทำให้คนตรงหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่แห้งตายไปซะก่อน วิธีเดียวที่จะทำให้เขาได้รับทั้งหยดเหงื่อและไออุ่นจากตัวผมในเวลาเดียวกัน ผมช้อนคางคนตรงหน้าขึ้นมาจูบ ริมฝีปากบางคู่นั้นหวานหอมซะยิ่งกว่าใคร ๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตผม กลิ่นหอมดอกกุหลาบกระจายตัวไปทั่วห้อง มันแรงขึ้น พร้อมร่างกายชื้นเหงื่อของผม เสื้อตัวที่ผมเพิ่งยื่นให้เขาใส่ถูกถอดออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนทั่วร่าง มันปลุกเร้าอารมณ์ให้ผมหิวกระหายและอยากงับเข้าไปบนทุกส่วนของร่างกาย หยดเหงื่อผมทำให้เขาร้องครางไม่เป็นภาษา และการบรรเลงบทเพลงที่ส่งผ่านไออุ่นจากร่างกายผมสู่ตัวเขาก็ดำเนินไปจนถึงสุดที่เราทั้งคู่สุขสมกับมันอย่างเต็มอิ่ม
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“เรื่องเมื่อกี้ นายทำให้ผมรู้สึกอิ่มมาก ๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดอกกุหลาบที่เพิ่งเริ่มบาน”
“เมื่อกี้นายบานสะพรั่งเลยนะ ร้อนแรงมาก ๆ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะอยู่ได้เกินสามวันมั้ย”
“ถ้าผมทำแบบนี้กับคุณทุกวัน มันจะช่วยยืดเวลาให้คุณอยู่ไปได้เรื่อยๆ มั้ย”
“ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมรู้สึกเหมือนเกิดใหม่เลย”
“ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่มาไม่นานเนี่ยอ่านะ”
“ใช่ครับ ผมรู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง”
“ผมทำให้คุณรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ได้อีกหลาย ๆ ครั้งเลย”
“ขอบคุณนะครับ”
ผมไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เขาอยู่กับผมไปได้เรื่อย ๆ ได้จริงมั้ย ผมการปรากฏตัวของคนคนนี้ ทำให้ผมรู้สึกถึงภาระหน้าที่บางอย่างที่ผมเป็นผู้ถูกเลือกจากใครสักคน ผมจะไม่ปล่อยให้เขาแห้งตายไปราวกับดอกกุหลาบที่ร่วงหล่นลงจากต้น ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม คนคนนี้เป็นของผม ผมปลุกเขาขึ้นมาจากโลกหนังสือและความตายของดอกกุหลาบ และทำให้เขาตื่นขึ้นมาให้ร่างมนุษย์ และผมจะต้องทำให้เขาอยู่รอดไปเรื่อย ๆ เพราะดอกกุหลาบต้องได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของ เหมือนกับที่พ่อกับแม่ดูแลสวนกุหลาบก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไป หรือเหมือนกับพี่สาวผมที่ดูแลร้านหนังสือประหลาดนี้อย่างสุดความสามารถ โดยไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไง
(END)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ไฟส้ม ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไฟส้ม
ความคิดเห็น