ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Take me to your heart ❤ ... รับฉันไว้ในใจที [NewJiew]

    ลำดับตอนที่ #2 : 02 :: ไม่รู้ตัว (ว่าอะไรที่หายไป)

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 56


    02 ไม่รู้ตัว (ว่าอะไรที่หายไป)

     


     

    บางคนอาจหลีกหนีความวุ่นวาย….

     

    มาเพื่อ…

    .

    .

    .

    .

    .

    พบกับอะไรที่วุ่นวายยิ่งกว่า



     

    ……………………………………..

     

     

     

     

    “ช่วยดูน้องหน่อยนะ เดี๋ยวฉันไปทำบัตรก่อน”

     

    “เออ ไม่ต้องห่วง”

     

     นิวถือวิสาสะหยิบเอากระเป๋าใบเล็กของคนเจ็บมาถือไว้ในมือ แล้วกำชับกับบอยหลังจากที่บุรุษพยาบาลเข็นร่างเล็กเข้าไปในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ผมสั้นสีบลอนด์ทองที่รวบตึงไว้ก็หลุดลุ่ยระใบหน้าใส แต่เธอไม่มีเวลากังวลกับเรื่องรูปลักษณ์ของตนในตอนนี้

               

    สองเท้าก้าวยาว ๆ ไปที่ห้องทำบัตรโรงพยาบาลของผู้ป่วยด้วยความรีบร้อน พลางก้มมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างชั่งใจ

     

    ขอโทษเต๊อะน้องมันจ๋ำเป๋น (ขอโทษนะน้องมันจำเป็น)” เอ่ยขออนุญาตลอย ๆ กับเจ้าของกระเป๋าใบเล็กแล้วเปิดมันออกเพื่อค้นหาบัตรประจำตัวประชาชน คิ้วเรียวขมวดยุ่งตั้งแต่เห็นโลโก้แบรนด์ดังที่ติดอยู่บนกระเป๋าชัด ๆ  แล้วก็ยิ่งยุ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นบัตรเครดิตจากหลายธนาคารเหน็บอยู่แทบทุกซอกจนไม่มีที่ว่าง นึกตำหนิทั้งตัวคนเจ็บและผู้ปกครองอยู่ในใจว่าทำไมถึงให้เด็กอายุแค่นี้ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อเกินวัย

     

    บัตรเครดิตจากตี้ไหนปะล่ำปะเหลือน่ะ อายุถึงแล้วก๋า ….อ๊ะ…. ป้ะละ (บัตรเครดิตจากไหนเยอะแยะ อายุถึงแล้วรึไง .. อ๊ะ เจอแล้ว)” นิวเบิกตาโตเมื่อเห็นบัตรประจำตัวประชาชนที่ซ่อนอยู่ด้านในสุด  หยิบมันขึ้นมาอย่างยินดีแล้วปิดกระเป๋าที่เต็มไปด้วยสิ่งเคืองสายตาเอาไว้อย่างเดิม

     

    ถึงจะรู้ดีว่ามันคือการละลาบละล้วง แต่ก็อดที่จะพลิกบัตรในมือขึ้นมาดูไม่ได้

     

    “ฮะ?……” ถึงกับอ้าปากค้างไปหลายวินาที เมื่อมองเห็นตัวเลขระบุปีเกิดของเจ้าของบัตร เธอแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ต้องก้มลงไปพินิจดูชนิดที่หน้าแทบจะทิ่มลงไปในบัตรใบนั้น ก่อนเพ่งมองรูปถ่ายเพื่อความแน่ใจว่าตนไม่ได้หยิบมาผิดใบ จากนั้นจึงยกนิ้วขึ้นคำนวณอายุของคนหน้าเด็ก

     

    “ต๋ายห้าละ….  ผ่อเล้าะไปฮ้องเขาว่าน้อง (ตายล่ะ ดันไปเรียกเค้าว่าน้อง)”  หญิงสาวยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เธอทึกทักเอาเองด้วยการประมาณจากสายตามันผิดทั้งหมด

    .

    .

    .

     

    จิ๋วได้รับคำตอบว่าสวนดอกคือที่ไหนก็ตอนที่ถูกพามาอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งนี้ หญิงสาวหลับตาลงเพื่อระงับอาการปวดที่ตีขึ้นมาเป็นระลอก อีกทั้งยังต้องการหนีภาพเพดานขาวสะอาดที่ทนมองมานานหลายสิบนาที โชคยังดีที่ความเจ็บบรรเทาลงบ้างแล้วด้วยฤทธิ์ยา

     

    คิ้วเรียวขยับเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ปลอบตนมาตลอดทางกำลังถามไถ่อาการของเธอจากนางพยาบาล หญิงสาวปรือตาขึ้นมองช้า ๆ

     

    “อาการเป็นยังไงบ้างคะ... เอ่อ.. พี่” เจ้าของเสียงเอ่ยถามด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจมากกว่าครั้งแรกที่เจอ สรรพนามที่ใช้เรียกเธอก็เปลี่ยนไป คงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเมื่ออีกฝ่ายคงได้รู้แล้วด้วยตนเอง… ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามที่จิ๋วยังนึกไม่ออก

     

    “ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณที่พามาส่งโรงบาลนะคะ” จิ๋วเหลือบมองผ้าพันแผลบนขาข้างซ้ายแล้วกล่าวขอบคุณเสียงเบา นิวพยักหน้ารับรู้พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนแจ้งแก่คนเจ็บ

     

    “เมื่อกี๊ พยาบาลเค้าบอกไม่ต้องนอนโรงบาล ถ้าฝนหยุดตกแล้วพี่ค่อยยังชั่วก็กลับบ้านได้แล้วล่ะค่ะ”

     

    จิ๋วไม่ตอบอะไร เพียงแต่เลื่อนสายตามองไปยังกระเป๋าใบเล็กและสมาร์ทโฟนในมือของนิว ทำให้เธอต้องมองตามโดยอัตโนมัติ

     

    “ขอโทรศัพท์กับกระเป๋าหน่อยได้มั้ยคะ”

     

    “อ..อ้อ นี่ค่ะ” นิวยื่นกระเป๋าให้คนเจ็บด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนอ้อมแอ้มสารภาพ “พอดีว่าไปทำบัตรโรงบาลมา เลยต้องเปิดกระเป๋าหาบัตรประชาชน ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

     

    เพราะร่างเล็กเอาแต่ก้มหน้ามองจอโทรศัพท์เธอจึงไม่อาจเดาความรู้สึกจากสีหน้าที่ซ่อนไว้ได้ เห็นเพียงหัวคิ้วที่ขมวดชนกันกับเรียวปากอิ่มที่เม้มเป็นเส้นตรงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทำให้คนมองเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

     

    “ไม่เป็นไรค่ะ… ส่วนเรื่องค่ารักษาค่อยมาเอาที่พี่ไปจ่ายแล้วกันค่ะ” จิ๋วพูดออกมาในที่สุด หลังจากปล่อยให้ความเงียบอันน่าอึดอัดคลอบคลุมอยู่อึดใจใหญ่

     

    “เรื่องนี้พวกเราจัดการเองค่ะ ยังไงเพื่อนเราก็ทำพี่เจ็บ เราควรรับผิดชอบ” นิวยืนยันหนักแน่น

     

    “ไม่ได้หรอก คุณกับเพื่อนมันคนละคนกัน” คนเจ็บไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ เช่นกัน

     

    “พวกเราตกลงเรื่องนั้นกันทีหลังได้ค่ะไม่ต้องห่วง”

     

    “โทษนะคะ ขอดูอาการคนเจ็บหน่อยค่ะ” เสียงหวาน  ๆ พยาบาลสาวขัดขึ้น หยุดการโต้เถียงที่ทำท่าว่าจะยืดเยื้อออกไป สบโอกาสให้นิวปลีกตัวออกไปจากห้องฉุกเฉินอย่างง่ายดาย จิ๋วเองก็เหนื่อยกับการโต้เถียงด้วยเรื่องที่หาข้อสรุปไม่ได้ อยากนอนพักผ่อนมากกว่า อย่างอื่นเอาไว้จัดการทีหลังก็ยังไม่สาย

     

     

     

                “น้องเป็นไงบ้างนิว” ทันทีที่โผล่หน้าออกมาบอยก็ยิงคำถามใส่ไม่ทันให้ตั้งตัว พอจบประโยคคนฟังก็ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

     

                “ไม่ใช่น้องเว้ย เค้าแก่กว่าเรา” เธอตอบพร้อมก้าวไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับนั่งรอหน้าห้องฉุกเฉิน

     

                “เฮ่ย! อย่ามาอำ” บอยทำท่าไม่เชื่อ

     

                “อำบ้านแกสิ… แล้วนี่พกเงินมาด้วยป่ะ สำรองเอาไว้จ่ายค่าโรงบาล ค่อยไปไซโคเอากับเพื่อนแกทีหลัง”

     

                “ไม่มีเงินสดอะ เดี๋ยวต้องไปกดตังค์ก่อน… เค้าแก่กว่าเราจริงเหรอ แล้วอายุเท่าไหร่วะ” ดูเหมือนหนุ่มผมยาวจะยังไม่คลายความสงสัย

               

    “บอกไปแล้วแกต้องไม่เชื่อแน่ ๆ” 

               

    “…..” บอยใช้สายตาเร่งเร้าเอาคำตอบ

               

    “สามสิบ”

               

    “โกหกน่า! ชายหนุ่มเผลอตัวร้องลั่น ทำหน้าเหมือนเห็นผี

               

    “ขอดูบัตรเค้าเลยมั้ยล่ะถ้าแกไม่เชื่อ”

               

    .

                .

                .

               

    เสียงเคาะประตูห้องทำให้จิ๋วต้องหันมองแล้วถอนหายใจ เพราะเธอยังไม่อยากขยับตัว ด้วยร่างกายที่บอบช้ำยังเจ็บระบมเป็นแห่ง ๆ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสัยว่าใครมาหาเธอค่ำ ๆ มืด ๆ เพราะตั้งแต่มาถึงนอกจากเด็กม.เชียงใหม่สองคนนั้นเธอก็ยังไม่รู้จักใครแถวนี้เลยสักคน

     

    “ใครคะ?”

               

    “ยัยจิ๊ด นี่ฉันเองเปิดประตูเร็ว” เสียงทุ้มห้าวที่พยายามดัดให้สาวดังมาจากหลังบานประตู ภาพใบหน้าบูดบึ้งของเจนรบพี่ชายหัวใจสาวก็ปรากฏอยู่ในความคิด นี่คงจะมาเฉ่งเธอเรื่องที่ถึงเชียงใหม่แล้วไม่บอกแถมยังเกิดเรื่องเมื่อกลางวันอีก ดูเหมือนที่ต่อว่าเธอผ่านทางโทรศัพท์เมื่อตอนอยู่โรงพยาบาลคงยังไม่หนำใจ

     

                “พี่เจนเหรอ.. รอเดี๋ยวนะ”  จิ๋วตะโกนตอบแล้วเดินกะเผลก ๆ ไปพร้อมไม้ค้ำเพื่อเปิดประตูให้ลูกพี่ลูกน้องร่างสูงใหญ่

     

                “แม่จิวเวอรี่ ดูสภาพหล่อนตอนนี้สิ ยังกะไปฟัดกับน้องหมาที่ไหนมางั้นแหละ นี่ล....”

     

                “พี่เจนเข้ามาข้างในก่อนเถอะ ค่อยบ่นต่อ นะคนดีนะ” เสียงกังวานใสขัดขึ้นอย่างนุ่มนวลพร้อมสีหน้าเหนื่อยหน่าย เมื่ออีกฝ่ายใส่มาเป็นชุดตั้งแต่ประตูแง้มเปิด มือเล็กฉุดเอาคนที่ตัวโตกว่าเกือบเท่าตัวเข้ามาในห้องอย่างทุลักทุเล

     

                “ไม่ต้องมาตะล่อม ฉันไม่ไม่ใช่นักเรียนของเธอปิยนุช” เจนรบทิ้งตัวลงบนโซฟาเต็มแรง เหลือบมองใบหน้าและผิวขาวนวลที่มีรอยถลอกปอกเปิกของน้องสาวต่างสายเลือดผ่านแว่นกรอบหนา แล้วเบ้ปากตามนิสัย

     

    จิ๋วถอนหายใจเบา ๆ ตั้งท่าจะอธิบาย “โธ่พี่เจน มันเป็นอุบัติเหตุ จิ๋วก็ไม่อยากให้มันเกิดหรอก แล้วพี่เจนต้องดูแลร้านอีก จิ๋วไม่อยากให้มันวุ่นวาย”

     

    “ฉันว่ามันวุ่นวายกว่าเดิมมากกว่า”  เจนรบพูดเหน็บแนม ตบท้ายด้วยท่าค้อนปะหลับปะเหลือก

     

    “มันก็ใช่.. แต่มันก็แค่ตอนนี้ล่ะนะ” หญิงสาวยกมือยอมแพ้ แต่เจนรบก็ไม่ยอมให้หูเธอได้พักผ่อน ยังคงพร่ำบ่นเรื่องวันนี้ไม่หยุดปาก

     

    แม้พักหลัง ๆ ทั้งคู่จะไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนสมัยที่เจนรบยังอยู่กรุงเทพ ฯ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องก็ไม่เคยเปลี่ยนไป และเจนรบก็ยังเป็นพี่ชาย (พี่สาว) ที่มองจิ๋วเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหมือนเมื่อวันวาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะโตพอในสายตาของเจนรบและคนอื่น ๆ ที่อยู่กรุงเทพ ฯ สักที

     

    “เสื้อผ้าในกระเป๋าไม่ต้องเอาออกมานะ สภาพแบบนี้หล่อนอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก พรุ่งนี้จะให้เด็กที่ร้านมาเก็บช่วยของ”  คุยกันไปได้พักใหญ่เจนรบก็ออกพูดเชิงออกคำสั่ง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พบกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นอนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของห้องเข้าพอดิบพอดี จิ๋วชักสีหน้าไม่พอใจอ้าปากจะเถียงแต่อีกฝ่ายชี้หน้าห้ามไว้อย่างรู้ทัน .. สมกับที่รู้จักกันมาทั้งชีวิตจริง ๆ

     

    “ไม่ต้องเลย หรืออยากจะให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่เธอ เลือกเอานะยัยจิ๊ด”

     

    “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยน่าพี่เจน” ไม่ใช่ว่าเธอจะกลัวพ่อกับแม่ แต่เธอเบื่อที่จะหาเหตุผลมาโต้แย้งกับท่านทั้งสองมากกว่า ซึ่งหากเกิดเรื่องทำนองนั้นขึ้นเมื่อไหร่คนที่ปวดหัวก็ไม่พ้นเธอเองทุกที

     

    “ถ้าหล่อนทำตามที่ฉันบอกเรื่องเล็กจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอนรับรองได้” เจนรบย้อน

     

    “โอเค ก็ได้” สุดท้ายก็จำต้องรับคำเพื่อตัดปัญหา  คุยกับเจนรบย่อมง่ายกว่าคุยกับพ่อกับแม่เธออยู่แล้ว

     

    “คืนนี้กลับไปด้วยกันเลย เอาแค่ของจำเป็นไปต้องใช้ไปก่อน”

     

    “แล้วพี่จะให้จิ๋วไปนอนที่ไหน” ดวงตาคู่หวานเบิกกว้าง ทึ่งในการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นของเจนรบ

     

    “บ้านฉันมีตั้งสามชั้นจะกลัวไร ห้องหับก็เตรียมไว้รอหล่อนเรียบร้อยแล้วย่ะ”

     

    “ถ้าเตรียมไว้ขนาดนั้นแล้วก็มาฉุดกันไปเลยดีกว่ามั้ง” จิ๋วประชดประชันคนเป็นพี่อย่างขัดใจ

     

    .

    .

    .

     

                บอยพาซาเล้งพร้อมผู้โดยสารหนึ่งคนมาถึงร้านซ่อมนาฬิกา ซึ่งเป็นบ้านของนิวผู้เป็นเจ้าของรถพ่วงคันเล็ก หลังจากที่ใช้งานมันมาอย่างหนักกว่าสัปดาห์เพื่อเตรียมสถานที่สำหรับเทศกาลรับน้องใหม่ที่กำลังจะมาถึง

     

    ขนของกั๋นเสร็จแล้วก๋าลูก หยังมากั๋นค่ำมืดแต๊ว่า รอหื้อมันเจ๊าก่อนแล้วก้อยเอามาส่งก่อได้ล้อ (ขนของเสร็จแล้วเหรอลูก ทำไมมากันค่ำ ๆ มืด ๆ รอให้เช้าก่อนค่อยมาส่งก็ได้)” จบประโยคของผู้เป็นแม่ นิวก็แอบยักไหล่ให้บอยเป็นแทนคำพูดที่ว่า เห็นไหม ฉันบอกแกแล้ว

     

    “เสร็จแล้วครับแม่ ไม่อยากเก็บไว้ที่คณะนานครับ เดี๋ยวเด็กมันพังเล่น” บอยตอบติดตลกเพราะคุ้นเคยกับญาติผู้ใหญ่ของนิวเป็นอย่างดี

     

    “เด็กบ้าที่ไหนจะมาพังรถเล่นวะมหา”

     

    “เด็กบ้าอย่างแกไงนิว”

     

    “อ่าวไอ้นี่”  เร็วเท่าความคิด นิวโยนกำปั้นใส่บนแผ่นหลังของเพื่อนสนิทดังอั๊ก ส่งผลให้ผู้อาวุโสหนึ่งเดียว ณ ที่นั้นต้องออกปากตักเตือนลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาตำหนิ

     

    ไปตี๋เปื้อนยิหยังล่ะฮั่น เยี๊ยะตั๋วหื้อเหมือนแม่ญิงผ้องล้อ (ไปตีเพื่อนทำไมล่ะ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงซะบ้างสิ)”

     

    แม่…. ลูกหิว กิ๋นเข้ากั๋นเต๊อะแม่ ต๊องฮ้องละเหนี่ย (แม่…. หนูหิว กินข้าวกันดีกว่าเนอะแม่เนอะ ท้องร้องจ๊อก ๆ แล้วเนี่ย)… ไป ๆ เข้าบ้านกันมหา” นิวเข้าไปทำเสียงออดอ้อนออเซาะผู้สูงวัยเพื่อเอาตัวรอด สองมือประคองแม่เข้าไปในบ้าน แล้วหันไปพูดกับบอยในประโยคหลัง

     

    เป๋นจะอี้ตลอด จ่มนิดจ่มน๊อยก่อบ่อได้ (เป็นอย่างนี้ทุกที บ่นนิดบ่นหน่อยไม่ได้)” ผู้เป็นแม่ยังบ่นไม่ขาดปาก ก่อนหยุดลงเมื่อหลานชายตัวน้อยวิ่งเข้ามากอดนิวเต็มรักจนเธอเซถอยหลังไปเป็นก้าว

     

     “อูย ตานุ อานิวจุก” นิวนิ่วหน้า มองหลานชายด้วยสีหน้าเจ็บปวด พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแผ่นหลังของแม่เดินเข้าบ้านไว ๆ

     

    “อานิว อานิว เอาซาเล้งปิ๊กมาแล้วก๋าคับ (อานิว อานิว เอาซาเล้งกลับมาแล้วเหรอคับ)” เด็กชายละล่ำละลักถาม

     

    “ซาเล้งอยู่ปู้น จะไปลืมไหว้อ้ายบอยโตยเน่อ (ซาเล้งอยู่นู่น อย่าลืมไหว้พี่บอยด้วยล่ะ)” เมื่ออาการจุกเสียดทุเลาลงจึงพาหลานชายไปหาบอยที่เพิ่งก้าวลงจากซาเล้ง

     

    “อ้ายบอยหวัดดีค้าบ (พี่บอยหวัดดีค้าบ)”

     

    “หวัดดีคับตานุ”

     

    เด็กชายไหว้บอยพร้อมเรียกเขาด้วยชื่อเล่นที่ไม่มีใครในคณะเรียกเลยซักคน ก่อนวิ่งขึ้นไปบนซาเล้งแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความสนุกสนาน

     

    ตานุ เดียวซาเล้งมันจะแหลวหนา โดนป้อด่าพ่อฮู้โตยเน่อ (ตานุ เดี๋ยวซาเล้งก็พังหรอก โดนพ่อดุไม่รู้ด้วยนะ)” นิวขู่หลานชายที่กำลังคึกคะนอง

     

    “บะแหลวหรอกอานิว (ไม่พังหรอกอานิว)” แต่เด็กชายก็ไม่ฟังเสียงยังคงกระโดดไปกระโดดมาเสียงดังโครม ๆ จนเหมือนรถจะพัง

     

    “หื้อมันได้จะอี้ก่า….แล้วอองตองไปตางใดละ (ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วอองตองล่ะไปไหน)” นิวอ่อนใจกับความซุกซนของเด็กชาย จึงเปลี่ยนไปถามถึงหลานสาวคนเล็กแทน

     

    “อยู่ในบ้านคับ กิ๋นเข้าอยู่ (อยู่ในบ้านคับ กินข้าวอยู่)” เด็กชายตอบฉะฉาน

     

    “แล้วตานุยิหยังบ่ไปกิ๋นเข้าล่ะ (แล้วทำไมตานุไม่ไปกินข้าวล่ะ)”

     

    “ตานุยังหมะหิวคับ (ตานุยังไม่หิวคับ)….อานิว!

     

    “หือ.. มีอะหยังก๋าตานุ (หือ? มีอะไรเหรอตานุ)”  นิวกับบอยหันมองเด็กชายพร้อมกัน เมื่อเสียงแหลมเล็กตะโกนเรียกชื่อเธอดังลั่น

     

    อันนี้ของอานิวแม่นก่อคับ (นี่ของอานิวรึเปล่าคับ)” ตานุหยิบเอาสร้อยข้อมือเส้นเล็กที่ติดอยู่ตรงซอกพื้นไม้ของซาเล้งชูขึ้นมาตรงหน้า

     

    “….” สองคู่หูส่งคำถามผ่านทางสายตาสลับกับมองสร้อยสีเงินปริศนาอย่างงุนงง ต่างคนต่างส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตน

               

     

    แล้วมันมาหล่นอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?

     

     

    _____________________________

     

    ได้ชื่อฟิคใหม่แล้วค้าบ ขอบคุณพี่จัสที่สละเวลามาเป็นที่ปรึกษา
    และด้วยเหตุผลที่จำเป็นเลยเปลี่ยนชื่อเรียกตัวละครจากชื่อจริงเป็นชื่อเล่นเวลาบรรยาย 


     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×