ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Zelo x You] สาวใสโชคร้ายขอมัดใจนายซุปตาร์ COME BACK

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 15

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 56


    Chapter 15






    Zelo Part 2
     
     
     
    ผมรีบสาวเท้าออกมาจากห้องน้ำด้วยความคิดที่สับสนพลุ่นพล่านโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองอีกเลยว่าคนตัวเล็กมีสีหน้าเป็นอย่างไร ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตายหรือพูดอะไรเว้นเสียแต่คำว่าขอโทษ.....
     
     
     
     
    ผมกระชากประตูตู้เสื้อผ้าออกแล้วรีบหยิบเสื้อตัวแรกที่เห็นพร้อมกับหยิบกางเกงตัวบนสุดออกมาสวมอย่างรีบๆโดยที่ผมไม่ได้คำนึงถึงความเข้ากันเหมือนที่ผมมักจะทำเสมอก่อนออกไปข้างนอก
     
     
     
     
    ผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยแม้แต้น้อย ในหัวคิดเพียงแต่ว่าผมควรต้องอยู่ห่างจากกียอนซักพักเผื่อว่าอะไรๆมันจะไม่เลยเถิดไปมากกว่านี้เพราะผมยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ
     
     
     
     
    ผมไม่ลืมที่จะหยิบฮู้ดและผ้าปิดปากมาสวมก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกมาจากห้องในทันที
     
     
     
     
     
    ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากหอพักอย่างไร้จุดหมาย ขายาวๆของผมยังคงก้าวต่อไปไม่ได้หยุดพัก จริงๆแล้วผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะเดินไปไหนหรือกำลังจะทำอะไร อย่างเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมคือรอยยิ้มของกียอน 
     
     
     
     
    ยัยบ้า!! ทำไมเธอถึงมีอิทธิพลทางจิตใจของฉันได้ขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่ผลักฉันออกไป ทำไมเธอถึงยอมให้ฉันล่วงเกินเธอ!!
     
     
     
    แดดค่อยๆอ่อนลงตามเวลาที่ล่วงเลยไป ลมอุ่นๆพัดเป่าเศษใบไม้แห้งๆบนพื้นให้ปลิวว่อนไปทั่วทางเดินหินอ่อนของสวนสาธารณะ
     
     
     
    ผมย้ายร่างสูงของตัวเองมายังสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก ผมเคยเดินมาที่นี่ตอนดึกๆบ่อยครั้งเพื่อหวังจะดับความรู้สึกสับสนวุ่นวายในชีวิตเวลาที่ผมท้อและหมดกำลังใจและตอนนี้ผมก็รู้สึกแบบนั้นอยู่ ผมกลัวที่จะสู้หน้า
     
     
     
    ผมมองซ้ายขวาเพื่อส่องดูความเคลื่อนไหวรอบๆอาณาบริเวณม้านั่งริมน้ำ ผมรับรู้ได้เพียงเสียงลมและเสียงใบไม้แห้งใต้เท้าตลอดทางที่ผมย่ำไปเพื่อที่จะนั่งลง
     
     
     
     
    ผมทิ้งตัวลงบนม้านั่งริมน้ำพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ ผ้าปิดปากและฮู้ดสร้างความอึดอัดให้ผมไม่ใช่น้อยแต่ผมก็ต้องสวมมันไว้เพื่อความปลอดภัยของตัวผมเอง 
     
     
     
     
    ผมเอนหัวพิงกับพนักเก้าอี้ก่อนจะหลับตาลงเพื่อไม่ให้ผมคิดฟุ้งซ่านแต่ผลที่ได้กลับทำให้ผมอยากจะทึ้งหัวตัวเองเพราะภาพในหัวผมยิ่งแจ่มชัดขึ้น
     
     
     
     
    รอยยิ้มของกียอนตอนได้ป้อนต๊อกปกกีให้ผม หน้าแดงๆของยัยนั่นตอนที่ผมแตะเนื้อต้องตัว
     
     
     
     
    แม่งเอ้ยยยย!!!! ทำไงดีวะเนี่ย ถ้าผมโตมากกว่านี้ผมคงเดินเข้าร้านเหล้าไปนานแล้ว ไม่มานั่งที่สวนนี่ให้โง่อยู่แบบนี้หรอก!
    อย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่าที่หอ ขออยู่ที่นี่ไปจนกว่ากียอนจะนอนแล้วกัน
     
     
     
     
    ผมค่อยๆข่มตาลงอีกครั้งพร้อมกับหยิบหูฟังที่เสียบอยู่กับไอโฟนขึ้นมาเสียบที่หูทั้งสองข้าง
    หวังว่าจังหวะเพลงแร๊ปหนักๆจะช่วยกลบเกลื่อนความคิดฟุ้งซ่านของผมไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
     
     
     
     
    "ผมขอนั่งด้วยคนนะครับ"เสียงทุ้มๆของใครซักคนที่ผมก็ไม่ค่อยจะคุ้นหูดังแทรกกับเสียงเพลงที่ผมยังไม่ได้ปิดมัน ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพียงแค่พยักหน้าตอบเขาไปตามมารยาท
     
     
     
    ที่นั่งมีตั้งมากตั้งมายทำไมต้องมานั่งตัวเดียวกับผมด้วยวะ
     
     
     
    "มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะครับ"
     
     
     
    "ไม่เกี่ยวกับคุณครับ"ผมตอบไปอย่างหัวเสีย เหอะ! ก็ใครใช้ให้มานั่งเบียดผมล่ะ
     
     
     
    "แล้วกียอนไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?"
     
     
     
    คำพูดที่ออกมาจากคนแปลกหน้าทำให้ผมถึงกับตวัดสายตากลับไปด้วยความตกใจ ทันทีที่ผมสบตากับดวงตาคมของคนแปลกหน้าก็ทำให้ผมไขความสงสัยในใจไปอย่างหมดสิ้น
     
     
     
    ไอ้หมอนี่! คนที่ทำงานอยู่ที่ร้านกาแฟ ชื่ออะไรแล้ววะจำไม่ได้ รู้แค่ว่าเห็นหน้ามันแล้วหงุดหงิดชิบหายเลย 
     
     
     
    ผมปลดสายหูฟังและลดผ้าปิดปากลงเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนไม่ใช่คนที่ผมควรจะต้องกลัวแม้แต่น้อย
     
     
     
    "แล้วคุณเห็นว่าผมมากี่คนล่ะครับ? หือ?"ถึงหมอนี่จะไม่เคยทำอะไรให้ผมแต่ผมกลับไม่อยากแม้แต่จะพูดดีด้วย อาจเป็นเพราะ...ผมไม่ค่อยไว้ใจ
     
     
     
     
    "หะๆๆ คุณนี่นะ ไม่เคยพูดดีกับผมเลย"
     
     
     
    "ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม ที่จะต้องพูดดีๆกับคุณ"ผมตอบไปอย่างไม่ยี่หระ
     
     
     
    "ได้ข่าวว่าคุณไม่สบายอยู่นี่นาาาา"
     
     
    "ใครบอกนาย?"
     
     
     
    "ก็.....กียอนไงครับ เขาน่ะบอกผมว่าต้องลางานมาดูแลคุณ"
     
     
     
    "ยัยนั่น....โทรไปบอกนายเหรอ?"
     
     
     
    "ครับ ก็คนที่คอยดูแลเธอก็คือผมนี่แหละ เธอก็ต้องบอกผมเป็นธรรมดา ใช่มั้ยครับ คุณพี่ชายยยย"มันทำเสียงยาน พลางมองหน้าผมด้วยแววตาบางอย่าง พอมองแล้ว ช่างกวนโทสะชะมัด คิ้วข้างหนึ่งถูกยกขึ้นเพื่อท้าทายแบบนั้น ผมรู้สึก หงุดหงิดเป็นบ้า
     
     
     
     
     
    "นายต้องการอะไร?"
     
     
     
     
    "หึ...ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมแค่พูดไปเรื่อย"รอยยิ้มมั่นใจถูกส่งให้ผม ในมุมหนึ่งมันช่างแลดูเหมือน สะใจ แต่อีกมุมก็คล้ายกับจะยกยิ้มเพื่อข่ม เฮอะ! ผมต้องใจเย็นๆไว้ อาจมีอะไรมากกว่าที่คิด
     
     
     
     
    "........."
     
     
     
     
    "เฮ้อ....เหนื่อยหน่อยนะครับ เป็นหวัดแบบนั้นนะ เอ๊ะ! แต่จะว่าไปคุณน้องสาว กียอนที่'น่ารัก'คนนั้นไม่มาด้วย มันแปลกๆนะครับ"หลังจากหมอนั้นปล่อยให้ความเงียบปกคลุมสักพัก มันก็เริ่มบทสนทนาต่อ หัวข้อน่าสงสัยที่เอ่ยมาเมื่อครู่ทำผมชะงัก อึดใจหนึ่งก่อนจะ ตวัดสายตาไปทางอื่น....
     
     
     
     
    หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด ผมเลือกที่จะไม่ตอบ คุยกับคนแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? นอกซะจากความหงึดหงิดที่มีจะเพิ่มมากกว่าเดิม.... 
     
     
     
     
     
    แค่มีเรื่องแบบนั้น ผมก็สู้หน้ากียอนไม่ติด แถมยังเกลียดที่ตัวเองทำอะไรงี่เง่าลงไปอีก ชีวิตผมมันอะไรกันเนี่ย แค่คิดก็ไม่สบอารมณ์ที่สุด 
     
     
     
     
    "อ่าวๆ...ไหงเงียบไปล่ะครับ คุณพี่ชาย? หรือว่า...."จู่ๆเสียงนั้นก็หายไปราวกับกำลังคิดอะไรสักอย่าง...หรือไม่ก็เพื่อทำให้ประโยคถัดไปน่าสนใจ
     
     
     
     
    "ทะเลาะกันมาหรอครับ? นั้นสินะถ้าไม่ทะเลาะกัน คุณคงไม่มานั่งหงอยอยู่ตรงนี้....'สร้างความ ลำบากใยอะไรให้กียอนมาอีกล่ะครับ?'"
     
     
     
     
    ผมยังคงหันหน้าไปทางอื่น มันพยายามจะยั่วผมชัดๆ จะอะไรกันนักหนา เรื่องที่ผมเจอมามันยังทำร้ายผมไม่พอหรอ? แต่ยังไงซะผมนะใจเย็นกว่าที่หมอนี่คิดแน่ๆ ผมต้องทำให้มันมั่นใจแบบนั่น ความเงียบ คือคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี่ 
     
     
     
     
    ผมไม่อยากมีปัญหา คนคนนี้ กียอนคงสนิท ฉะนั้นถ้าต่อยไป ชาตินี้คงได้ยินแค่เสียงกียอน ผมต้องรู้สึกเหมือนมีมีดสักพันเล่มเฉือนเนื้อผมอยู่อย่างเมามัน ผมทำให้กียอนเสียใจไปมากกว่านี้ไม่ได้...
     
     
     
     
    "อย่าทำบทสนทนาจืดชืดสิครับ โอเคๆ ไม่ตอบผมก็ไม่เป็นไร ถือซะว่าคำพูดผมเป็นลมละกันนะ อย่าไปใส่ใจอะไรมันมากเลย "แม้ไม่หันไปผมก็พอคิดออกว่าสีหน้าของมันยามนี้เป็นยังไง รอยยิ้มชั่วๆ คงติดอยู่ตรงมุมปากโสโครกๆของมัน 
     
     
     
     
    "ผมพูดต่อล่ะนะ 'พี่ชายของกียอน' "
     
     
     
     
    "........."
     
     
     
     
    "นี่ๆ รู้รึเปล่าว่าช่วงนี้กียอนดูหนักใจแปลกๆ .......อืม เงียบแบบนี้คุณพี่ชายน่ะ ต้อง'ไม่ใส่ใจ'กียอนแน่ๆเลยสินะครับ เลยไม่ทันสังเกต"
     
     
     
     
    หงุดหงิด หงุดหงิด หุบปาก หุบปาก หุบปาก หุบปาก หุบปาก หุบปาก
     
     
     
     
     
    "ฮะ ฮะ ฮะ พี่ชายเนี่ยไม่ได้เรื่องเลย แค่น้องสาวใกล้ๆตัวก็ไม่สังเกต นี่ผมขอพูดอะไรสักอย่างแล้วกันนะ...." มันหยุดเน้นหนักอย่างจริงจังในตอนท้าย 
     
     
     
     
    "อย่าทำตัวสนิทสนมกับกียอนนัก รู้ไหมว่าถ้าสื่อรู้เรื่องเข้า คนลำบากนะคือกียอน คนอย่างนายที่วันๆเอาแต่ ทำให้กียอนลำบากน่ะ ทุเรศเป็นบ้า ตัวเองก็รวยจะแย่ ต้องลำบากคนอื่นให้มาทำงานอีก ผมไม่รู้ว่าเหตุผลที่กียอนทำงานคืออะไร...แต่ที่แน่ๆ กียอนนะต้องมีปัญหาเรื่องเงินแน่ๆ ขยันซะขนาดนั้น นายน่ะ มันก็ดีแต่ขายหน้าขายตา ทำเป็นเท่ห์ ทำตัวเป็นเทพบุตร"
     
     
     
     
     
    "สุดท้ายนายมันก็แค่ หนูตัวนึงที่แสร้งทำตัวเป็นแมวที่สง่างามแหละนา " 
     
     
     
     
     
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
     
     
     
     
    "อย่าทำคนอื่นลำบาก....."
     
     
     
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
    รำคาญ รำคาญ รำคาญ รำคาญ
     
     
     
    "หยุดเถอะนะครับ เรื่องแบบนั้นนะ"
     
     
     
    ปึ้ก!!!!!
     
     
     
    "หุบปาก หุบปาก หุบปาก หุบปาก! "
    ฟางเส้นสุดท้ายของผมขาดผึงไปแล้ว ...... พอที ผมหันหน้ากลับไปเผชิญหน้า หลังจากทุบเก้าอี้ เสียงดังลั่น 
     
     
     
     
    มันทำแค่ยิ้มกรุ่มกริ่ม คงดีใจสินะที่ยั่วสำเร็จ เฮอะ! 
    "นายจะไปรู้อะไร? นายมันแค่'คนนอก' ขอบอกอะไรไว้สักอย่าง......"
     
     
     
     
    "อะไรล่ะครับ? หรือว่า....." มันยื่นหน้ายิ้มๆเข้ามาใกล้
     
     
     
     
    "........."
     
     
     
     
    "ที่กียอนมาทำงานที่นี่ เพราะอยากดัง? เอ๊ะๆๆๆๆๆๆๆๆ หรืออยากแพร่ข่าวที่ตัวเองสนิทกับคนดัง!  อยากดังขนาดนั้นเชียว เฮ้อ แย่จริงๆ"
     
     
     
     
     
    มันส่ายหน้าช้าๆ พลางปั้นสีหน้าที่แปะคำว่า 'ผิดหวังจริงๆ'ไว้กลางหน้าผาก
     
     
     
     
    "หุบปาก คนอย่างนายไม่รู้จักกียอนดีพอหรอก กียอนไม่มีทางทำแบบนั้น"
     
     
     
     
    "อ่าวๆๆๆๆ แล้วเป็นคนแบบไหนล่ะครับ?"
     
     
     
     
    "นายไม่มีทางเข้าใจ ฉะนั้น นายนะ'อย่ายุ่งกับกียอนอีก'คนคนนั้น มีค่ามากกว่าให้คนอย่างนายมาพูดอะไรแบบนี้ "
     
     
     
     
    "งั้นหรอครับ? เฮ้อ....แย่จัง...งั้นบอกผมให้เป็นบุญหูทีสิ ว่าเป็นยังไง?'คุณพี่ชาย"
    รอยยิ่มของหมอนั้นบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นมนุษย์และสามัญสำนึกของมัน หายไปไหนหมดแล้วนะ
     
     
     
     
    "อย่างแรกโปรดจำไว้ด้วยนะ ว่าผม ไม่ได้เป็นแค่พี่ชายของกียอน! รู้แล้วก็ช่วยอยู่ห่างจากเธอด้วย"
     
     
     
     
    "อืมๆๆๆ ว่าต่อไป~"
     
     
     
     
    "อย่านึกว่าผมไม่กล้าตอบโต้อะไรคุณ ขอย้ำอีกรอบ 'ห้ามสวะอย่างแกมายุ่มย่ามกับกียอนอีก'นายกับกียอนมันคนล่ะชั้นกัน! "
     
     
     
     
    "งั้นหรอกหรอครับ?"
     
     
     
     
    "อ่ะ อีกอย่าง....กียอนน่ะ 'เป็นคนของฉัน'คนอย่างแก อย่าสะเออะ"ผมพูดทิ้งท้ายไว้แล้วรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะเกรงว่าผมจะทนไม่ไหวที่จะซัดหมัดใส่ปากมันให้ห้อเลือด
     
     
     
     
    เลว! เลวมาก!  กียอนอุตส่าห์มอบความไว้ใจ มอบความเป็นเพื่อนที่มีค่ายิ่งให้มัน แต่มันกลับมาต่อว่ากียอนเสียๆหายๆราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ไอ้วิปริต! ไอ้ชั่ว! ไอ้......โถ่เว้ย!!
     
     
     
     
    ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเสียเวลาเล่นสงครามประสาทบ้าบอกับคนสกปรกแบบนั้นอยู่นานจนฟ้าเริ่มมืด  ผมจะไม่ให้กียอนไปเจอกับไอ้ชั่วนั่นอีก ผมจะบอกให้เธอลาออกจากร้านนั่นซะไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
     
     
     
     
    แทนที่ลมอุ่นๆกับความเงียบเชียบจะทำให้ผมสงบและคิดอะไรได้บ้างแต่ไอ้เวรตะไลนั่นกลับทำให้ผมแทบบ้าเข้าไปอีก ทั้งเรื่องกียอนและเรื่องที่มันพูดยิ่งทำให้ผมคิดไม่ตกแต่ถึงยังไงผมก็จะไม่มีทางสนใจคำพูดเน่าๆที่ออกมาจากปากมันเด็ดขาด เพราะคนที่ผมควรจะห่วงตอนนี้ก็คือกียอน ป่านนี้ยัยนั่นคงเป็นห่วงผมแทบคลั่งหรือไม่ก็คงไม่อยากเจอหน้าผมอีก
     
     
     
     
    ผมเดินเตะเศษหินบนพื้นเล่นเพื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ขาก็ยังคงก้าวไปตามฟุตบาทเรื่อยๆถึงแม้ว่าในใจผมอยากจะหันหลังกลับแล้ววิ่งไปหอให้เร็วที่สุด อยากจะวิ่งกลับไปกอดยัยนั่นซักครั้งและบอกว่าผมขอโทษ
     
     
     
     
    ไม่ได้ๆๆๆๆ กลับไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด รู้สึกว่ายังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครตอนนี้ ถ้าพวกฮยองรู้ขึ้นมาจะทำยังไง ผมคงโดนตราหน้าว่าเป็นไอชั่วไปตลอดชีวิตแน่ที่จะทำแบบนั้นกับผู้หญิงตัวเล็กๆ
     
     
     
    ฮึ่ย!!! ผมนี่มันงี่เง่าจริงๆ
     
     
     
     
     
     
    "จุนฮงชิ!!! นายมาทำบ้า!อะไรอยู่ที่นี่!!!"เสียงตะโกนที่ผมแสนจะคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังพร้อมกับความรู้สึกเจ็บๆหน่วงๆที่หัวเหมือนมีอะไรบางอย่างมาชนเข้ากับหัวอย่างจัง ผมรีบหันขวับไปทางต้นเสียงทันที
     
     
     
     
    คนที่ใส่แว่นตาดำในเวลาค่ำๆและคนที่กล้าปาหัวผมแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากยงกุกฮยอง..... เขากำลังยืนมองหน้าผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและโมโหจัดจนผมถึงกับสะดุ้งในรังสีความอำมหิตที่แผ่ซ่านอยู่รอบๆตัวผม   ในมือของฮยองกำหลอดโค้กไว้แน่นจนหยดโค้กค่อยๆไหลจากหลอดหยดลงบนพื้นจนมันขึ้นฟอง และแน่นอนว่าเขาต้องใช้ไอ้กระป๋องโค้กนี่โยนใส่หัวผมแน่ๆ
     
     
     
     
    "โอ๊ยยย ผมเจ็บนะฮยอง!"ผมพูดพลางลูบหัวตัวเองป้อยๆ กระป๋องก็ไม่ได้เล็กๆโยนมาได้ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าหัวผมแตกเสียโฉมขึ้นมาจะทำยังไง
     
     
     
     
    "เจ็บเหรอ?  นายทิ้งกียอนให้อยู่ที่หอคนเดียวแบบนั้นได้ยังไงหะ! นายรีบกลับไปหากียอนเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่ยัยนั่นจะตื่นขึ้นมาร้องไห้จนหลับไปอีกรอบ" ฮยองเดินก้าวฉับๆเข้ามาหาผมก่อนจะบ่นยาวเป็นหางว่าว
     
     
     
     
    "ฮ....ฮยองว่าไงนะครับ กียอนร้องไห้เหรอ?"
     
     
     
     
    "ก็เออน่ะสิ! ยัยนั่นน่ะเอาแต่ถามพวกฉันว่านายหายไปไหน พอพวกฉันบอกว่าไม่รู้ยัยนั่นก็เอาแต่ร้องไห้ใหญ่ แล้วยังจะออกมาตามหานาย"
     
     
     
     
    "......."อะไรนะ?! นี่ผมทำให้กียอนต้องเป็นห่วงขนาดนี้อีกแล้วเหรอ
     
     
     
     
    "นายจะบอกฉันได้มั้ยว่าทำไมจู่ๆถึงหนีออกมาแบบนี้"
     
     
     
     
    "เอ่อ.....คือว่า......คือผมแค่อยากออกมาหาไรกินน่ะครับ"ผมโกหกไปหน้าด้านๆ รู้อยู่แล้วว่าฮยองไม่มีวันเชื่อแต่ผมก็ยังอายที่จะพูดความจริงอยู่ดี
     
     
     
     
    เพราะถ้าฮยองรู้ผมคงโดนมากกว่ากระป๋องโค้กปาหัวแน่ๆ
     
     
     
     
    "จุนฮง...."ฮยองเรียกชื่อผมช้าๆพร้อมกับสายตาจับผิดราวกับตำรวจที่พร้อมจะลั่นไกใส่นักโทษได้ทุกเมื่อทันทีที่นักโทษคนนั้นพูดโกหกไปอีกแม้แค่อีกครั้งหนึ่ง
     
     
     
     
    ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาจับผิดของฮยองทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
     
     
     
     
    "ก็ได้ๆๆๆๆๆ ผมบอกก็ได้"ผมโพล่งออกไปอย่างจำใจก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่มุมมืดๆที่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมาได้ยินบทสนทนาระหว่างผมกับฮยองแน่นอน
     
     
     
     
    "คือ.....คือผมเกือบจะทำอะไรไม่ดีกับกียอน"
     
     
     
     
    "อะไรที่ว่าไม่ดีของนาย? "
     
     
     
     
    "ฮยองอย่าให้ผมพูดซ้ำได้มั้ยฮะ แค่นี้ฮยองไม่เข้าใจหรือไง"
     
     
     
     
    "หรือว่านาย?!! นี่!!! นายทำอะไรกียอนแล้วงั้นเหรอ?? นายมีอะไรกับยัยนั่นเหรอ!! นายเพิ่งจะอายุแค่นี้เองนะ นายนี่มัน....!!"ฮยองเดินเข้ามาคว้าขอเสื้อของผมพร้อมกับคำพูดมากมายที่พ่นออกมาเร็วยิ่งกว่าตอนแร๊ป
     
     
     
     
    "ไม่ใช่ๆๆๆ!! ไม่ใช่อย่างนั้นฮะฮยอง! ผมแค่..... อ้ากก!"
     
     
     
     
    "แค่?? แค่อะไร!"
     
     
     
     
    "ฮยองใจเย็นๆและปล่อยมือจากคอผมก่อนได้มั้ยยย ผมหายใจไม่ออก  อ่อก!"ผมพูดพลางตีมือของฮยองให้หลุดจากคอเสื้อที่ตอนนี้ยับจนดูไม่ได้
     
     
     
     
    "ว่ามา"
     
     
     
     
    "ผมแค่....เกือบจะจูบยัยนั่นในห้องน้ำ แค่....แค่เล้าโลมไปเท่านั้นเอง"
     
     
     
     
    "!!!"
     
     
     
     
    "คือ....ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มันเหมือนผมควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาเห็นเธออยู่ใกล้ๆ แค่ผมได้กลิ่นหอมๆลอยออกมาจากเธอผมก็อยากจะคว้าเธอมากอดมาอยู่ข้างๆผม มาเป็นของผมคนเดียว"
     
     
     
     
    "......"
     
     
     
     
    "ผม......ผมเกือบจะทำอะไรไม่ดีลงไป"
     
     
     
     
    "......."
     
     
     
     
    "ผมไม่แน่ใจ ผมรู้สึกผิด ผมอยากขอโทษ ทุกสิ่งทุกอย่างมันตีเข้ามาหาผมพร้อมๆกันจนผมอยากจะตะโกนออกมา บางทีผมก็อยากจะตัวติดกับยัยนั่นทั้งวันทั้งคืน บางทีผมก็อยากจะหนีออกมาให้พ้นๆ"
     
     
     
     
     
    "....."
     
     
     
     
    "ผมไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง"
     
     
     
     
    ผมพูดจบประโยคสุดท้ายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับยงกุกฮยอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจผมได้พูดออกไปหมดแล้ว ผมพูดไปหมดแล้วจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ผมก็พร้อมที่จะรับมันแล้วล่ะ
     
     
     
     
    "ฉันคิดว่า....นาย....หลงรักกียอนเข้าให้แล้วล่ะ"
     
     
     
     
    "!!!!!!"
     
     
     
     
    หลงรักเหรอ? ผมรักกียอนแล้วงั้นเหรอ?
     
     
     
     
    เหมือนมีดนับล้านเล่มต่างพุ่งเข้ามากรีดใจของผมให้เป็นแผลลึก หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆด้วยความกลัวและสับสน ผมไม่ได้กลัวหากผมจะหลงรักใครซักคนแต่ผมกลัวว่า....สักวันหนึ่งกียอนจะหายไปจากชีวิตผม สักวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นแค่ความทรงจำที่คอยหลอกหลอนผม
     
     
     
     
    "ผมกลัว...ผมไม่อยากรักกียอน"
     
     
     
     
    "นายกลัวอะไร"
     
     
     
     
    "ผมกลัวว่าสักวันผมจะทนไม่ได้หากต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่มีกียอน ผมกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะหายไปเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำเมื่อผมกับกียอนต้องอยู่กันคนละซีกโลก ผมก็คงต้องเดินตามทางของผม ยัยนั่นก็คงต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ผมเป็นศิลปินส่วนยัยนั่นเป็นแค่แฟนคลับ มันเป็นไปไม่ได้ฮยอง เราต่างกันเกินไป"
     
     
     
     
    "จุนฮง นายฟังฉันนะ"ยงกุกฮยองค่อยๆเอื้อมมือมาวางลงบนไหล่ของผมเบาๆ ความรู้สึกอุ่นๆที่ไหล่จากสัมผัสของฮยองทำให้ผมรู้สึกเบาใจขึ้นอย่างน่าใจหาย
     
     
     
     
    "....."
     
     
     
     
    "ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับการจะรักใครซักคน ถึงนายจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงขนาดไหนสุดท้ายนายก็เป็นคนอยู่ดี นายมีสิทธิที่จะรักใครเหมือนกับคนอื่นๆ"
     
     
     
     
    "แล้วถ้าวันนึง......กียอนกลับไทยไปล่ะฮะ"
     
     
     
     
    "ก็แล้วทำไมล่ะ....นายคิดว่าพอถึงวันนั้นแล้วนายจะยอมปล่อยให้คนที่นายรักเดินหนีนายออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยงั้นเหรอ"
     
     
     
     
    "........"
     
     
     
     
    "ฉันเชื่อว่าความบังเอิญทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ย่อมมีเหตุผลของมัน การที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตนายแล้วมาทำให้นายรักแบบนี้คงไม่ใช่แค่ความบังเอิญแล้วล่ะ แต่มันคือพรหมลิขิต"
     
     
     
     
    ".........."
     
     
     
     
    "นายคิดยังไงรู้สึกยังไงก็จงปล่อยมันให้เป็นไปตามเสียงร้องของหัวใจนายเถอะ อย่าไปฝืนมันให้ตัวเองเจ็บเลยแล้วสุดท้ายเวลาจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเด่นชัดขึ้นมาเอง"
     
     
     
     
    "........."
     
     
     
     
    "กลับไปหากียอนซะ ก่อนที่ยัยนั่นจะบินหายไป"
     
     
     
     
    "แล้วเรื่องนั้นล่ะฮะ ผมจะทำไงดี กียอนจะโกรธผมมั้ยที่ทำแบบนั้นลงไป"
     
     
     
     
    "ช่างหัวมันเถอะ!   ถ้ากียอนโกรธนายจริงๆยัยนั่นคงไม่พร่ำเพ้อหาแต่นายทุกๆสิบนาทีแบบนี้หรอก แล้วก็หัดเปิดมือถือซะบ้าง พวกฉันโทรหานายจนมือจะเป็นง่อยอยู่แล้ว"
     
     
     
     
     
    "หือ? ฮยองโทรหาผมด้วยเหรอ?"ผมพูดพลางล้วงมือลงไปในกางเกง อา...นั้นสินะ เพราะกลัวที่ต้องเห็นชื่อ คนคนนั้น เลยไม่กล้าที่จะยก ไอโฟนเครื่องโปรด ขึ้นมา
     
     
     
     
     
    "เฮ้อ นายนี่นะ เห็นปกติสนใจแต่โทรศัพท์ตลอดแท้ๆ มีอะไรหรือเปล่า?"ยงกุกฮยอง มองผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก 
     
     
     
     
    "ขอโทษนะฮะที่ทำให้เป็นห่วง"มือของผมยังคง ควานหาสิ่งนั้นต่อไป ชักแปลกๆแล้วสิ....อย่าหายนะ อย่า ผมภวานา ขอร้องล่ะ
     
     
     
     
    "เฮ้ๆ มีอะไรแน่ๆ จุนฮงคิ้วนายขมวดจนจะกลืนเป็นเส้นเดียวกันแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า?"
     
     
     
     
     
    "เออ แปปนะครับ ฮยอง"ในเมื่อกระเป๋าซ้าย ผมพบเพียงเศษเงินนิดหน่อย ผมเพ่งจิตทัั้งหมดไปที่กระเป๋าด้านขวา ต้องมีสิ ต้องมีแน่ๆ ผมเอื้อมมือเข้าไปช้าๆ อย่างมีหวัง แล้วพยายามค้นหาให้ครบทุกซอกทุกมุม 
     
     
     
     
    "........"ไม่นะ. ไม่จริงสินะ 
     
     
     
     
    "จุนฮง?"
     
     
     
    "...ฮยองฮะ..." ความว่างเปล่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้ ....ผมเงยหน้าขึ้นมองยงกุกฮยอง ไม่รู้ว่าน้ำเสียงผมจริงจังแค่ไหน ผมสังเกตได้เพียงแต่ ใบหน้าเคร่งเครียด ของฮยอง 
     
     
     
     
     
    " ม...มือถือผม"
     
     
     
     
    "ทำไม? นาย...อย่าบอกนะว่า.."
     
     
     
     
    "ยังไม่แน่ใจครับ ผมคงวางทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง แหละ "
     
     
     
    "หวังว่าจะเป็นแบบนั้น คราวนี่เอาไงละ?"
     
     
     
    "ต้องรีบออกไปหา ขอตัวออกไปนะครับ "เมื่อหลายๆนาทีก่อนมันยังอยู่ในมือผม ผมไม่ได้ลืมไว้ที่หอแน่ๆ เพราะตอนเดินที่สวนสาธารณะผมยกมันขึ้นมาเสียบหูฟังเพลงแล้วหลังจากนั้นก็......
     
     
     
     
    ผมออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดทันที เป้าหมายมีที่เดียว ความลังเลหายไปจนหมดสิ้น ทุเรศตัวเองชะมัดที่พลางกับเรื่องแค่นี้
     
     
     
     
    ต้นไม้คุ้นตาสองข้างทาง กับทิวทัศน์สบายๆ ไม่ได้อยู่ในสายตาผม ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความโกรธแค้นระคนหวั่นเล็กๆ ผมยังคงวิ่งไปเรื่อยๆตามที่เคยมาก่อนหน้า ถึงตอนนั้นจะรู้สึกแย่แค่ไหนแต่สติของผมก็ยังทำงาน เป้าหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว...ผมภาวนาครั้งที่ล้าน ว่าอย่าให้เป็นไปตามที่ผมคิด 
     
     
     
     
     
     
    เก้าอี้ตัวเดิม ตั้งอยู่ตรงที่เดิม ผมหวังว่าจะเจอโทรศัพท์เครื่องเดิมเช่นกัน ผมหยุดวิ่งทันทีเมื่อใกล้บริเวณนั้น แล้วค่อยๆก้าวช้าๆเข้าหาเก้าอี้ซึ่งไร้วี่แววของผู้คน 
     
     
     
     
     
    แสงไฟสลัวสาดให้เห็นรางๆ.....................………………
     
     
     
    "บัดซบ!!!"
     
     
     
     
    สิ่งที่ควรจะมี มันหายไป! ผมลองควานหาทั่วๆ บริเวณตรงนั้น ด้วยความหวังซึ่งแท้จะริบรี่แต่ก็ใช่ว่าจะดับมอด
     
     
     
    ทว่า....แม้แต่วี่แวว ก็ยังไม่มีสักนิด ผมทรุดตัวลงกับพื้น สิ่งที่ผมคิดมันผุดขึ้นมา มันคงเป็นจริงแล้วสินะ.....
     
     
     
     
    "ไอ้เชี่ยนั่น!!!! ไอ้ชาติชั่วเอ้ยยย!"





    ...................................................................................................................................

    To Be Continue ..
     
     
     
     
     
     
     
     
    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×