คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [★ Fic exo ★ ChanBaek] Ch 3 : Even In my Dreams
Love of a friend
Chapter 3:
Even in my dreams
♥ G.o- Even in my dreams
이런 내 맘 찢어져도 모를거란 걸
บางทีเธออาจจะไม่รู้ว่าเธอทำใจฉันแหลกสลาย
(알아) 언제나 그 자리 다가서지 못 할
(ฉันรู้ว่า) ฉันไม่มีทางยืนอยู่ข้างเธอได้
(단 한번만) 날 바라봐줘
(แค่สักครั้ง) มองมาที่ฉันได้ไหม
(단지 네게) 내 맘을 줄게
(แค่เธอคนเดียว) ที่ฉันจะมอบหัวใจให้
정말 내가 안보이니
แต่เธอก็ไม่เคยเห็นฉันในสายตาเลย
너를 원하고 또 원하는 나 사랑도 못하는 나
ฉัน ..คนที่ต้องการและต้องการเธอจริง ๆ นั้น กลับไม่มีสิทธิ์จะรักเธอได้
이렇게 맘 아픈데
เพราะอย่างนั้นหัวใจถึงได้เจ็บมากขนาดนี้
...................................................
오직 너 하나만 바라볼래 내 사랑을 다 줄래
ฉันแค่อยากจะมองหน้าเธอ อยากมอบความรักทั้งหมดที่มีให้
내 꿈에서라도
แม้กระทั่งในความฝัน
★★★★
"เฮ้ย! ไอ้หมา สวนสนุก สนุกมากไหมวะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงสนุกสนานของไอ้จงอินดังลอยมาก่อนที่ร่างดำๆของมันจะปรากฏเข้าสู่สาย ตาผมซะอีก ทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองมันที่พึ่งเดินเข้าประตูห้องมา มันมาช้ากว่าผมอีกไอ้ดำขี้เกียจ =w=
“แหม ไม่ต้องเลยนะไอ้ดำ ทิ้งเพื่อนอย่างฉันไปเฝ้าลูกแมวขาหักอะไรนั่นของแกต่อไปเถอะ อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าใครคือลูกแมวขาหัก” ผมสวนออกไป จนทำให้ไอ้ดำที่เดิมมาถึงแล้วถึงกับหุบยิ้มแล้วตีหน้าบึ้งใส่ผม
“อะไรๆ ไม่ต้องมานอกเรื่องเลย ว่าไงวะได้เล่นป่ะ” ใครกันแน่นอกเรื่อง ตัวเองแหละพยายามเลี่ยงประเด็นไอ่แมวขาหักอะไรนั่นน่ะ
“อือ....เล่น”
“แล้วต้องหยุดกลางคันเหมือนตอนเกรด 8 ป่ะวะ”
“โหย ไม่แล้วเว้ย ฉันโตแล้วนะไอ้ดำ เงียบไปเลยเลย”
“ฮ่าๆ ใครจะไปรู้วะ เดี๋ยวไอ้ยอลมาความจริงจะต้องเปิดเผย”
“เปิดเผยบ้าบออะไรเล่า หุบปากบานๆของแกไปเลยไป”
“เสียงดังกันแต่เช้าเลยนะ ไอ้หมาหัวเน่า ไอ้ดำ” เสียงโอเซฮุน ไอ้ติ๋มปากร้ายดังขึ้นมาพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่เดินเข้ามาแล้วทำหน้าบูดๆ เป็นตูดแมงกระพรุนเหมือนทุกวัน
“ไม่ให้เสียงดังได้ไงวะ จำได้ไหมไอ้ฮุนเรื่องที่เล่าให้ฟัง ตอนไปสวนสนุกตอนเกรดแปดอ่ะ” จงอินว่านั่นทำให้ผมถึงกับต้องก้มหน้าลงกับกระเป๋าด้วยความอายแปลกๆ =_=’’
“จำได้ดิวะ โอ้ย ฮาว่ะ ไม่ต้องมาฟุบหลับเลยไอ้หมาหัวเน่า ทำไมวะไอ้ดำ”
“ก็เมื่อวันเสาร์ไง ไอ้ยอลมันพาไอ้หมาไปสวนสนุกมาเว้ย”
“จริงดิ!! แล้วเป็นไงมั่งวะไอ้หมาหัวเน่า ฮ่าๆ” ผมฟุบหน้าลงอย่างไม่ต้องการให้ใครได้เห็นหน้า แต่เสียงของไอ้สองคนนี่ก็ดังเข้าหูผมมาซะงั้นอ่ะ
“เงียบไปเลย ฉันไม่ได้เป็นไรสักหน่อยนะเว้ย แล้วอีกอย่างนะ ฉันไม่ใช่หมาหัวเน่านะเว้ย!!!”ผมแหวใส่เซฮุนอย่างเหลืออด
“อะไร จะบอกว่าแกสระผมทุกวันงั้นสิ ไอ้หมาหัวเน่าๆๆๆๆ”เซฮุนว่าพร้อมกับวางมือหนาๆนั่นลงบนกลุ่มผมของผมแล้วขยี้ มันไปมา จนรู้สึกว่าหนังหัวจะหลุดติดมือมันไปด้วย
“เออสระทุกวัน ทำไมจะดมไหมล่ะ มามา” ผมจับมือหนาของเซฮุนไว้ พลางยื่นหัวไปใกล้ๆ
ปั๊ก!!!! โครม!!
เสียงเหมือนอะไรล้มทำให้ผมเลิกสนใจเซฮุนแล้วหันไปมองทางต้นเสียง
“เห้ย!! ชานยอล!!” ผมว่าแล้วรีบลุกขึ้นไปดูชานยอลที่ล้มอยู่ตรงประตูห้อง ข้างๆกันมีโต๊ะเรียนที่ล้มและถุงขนมที่ชานยอลอาสาไปซื้อมาให้ผมที่นั่งรออยู่บนห้อง ชานยอลเตะมันหรือทำอะไรมันผมไม่ค่อยแน่ใจโต๊ะมันถึงได้ล้มไปแบบนั้น เพราะมาเห็นอีกทีก็เจอชานยอลในสภาพแบบนี้แล้วยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อมองที่ ขากางเกง พบว่ามันฉีกเป็นรอยยาว แถมยังมีกลิ่นเลือดอ่อนๆอีก
“......” ชานยอลไม่ได้ได้พูดอะไร แถมยังทำหน้านิ่งๆด้วย ที่จริงมันควรจะทำหน้าเหยเกด้วยคามเจ็บปวดสิ
“เอ่อ..ไอ้หูกาง เป็นอะไรรึเปล่าวะ”
“.....” ชานยอลยังคงมองหน้าผมนิ่งๆอยู่แบบนั้น ยังคงไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม
“ชานยอล...”ผมมองชานยอลด้วยสายตาแห่งความไม่เข้าใจ เพราะตอนนี้ถึงจะได้สบตา แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตนั่น ก็ไม่ทำให้ผมเข้าใจได้เลย...ว่าความหมายที่อยู่ในสายตาคู่นั้น มันคืออะไรกันแน่ ผมไม่รู้...ผมไม่กล้าจะคิดอะไรมากหรอก...
ผมไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรชานยอลอีกต่อไป เมื่อเซฮุนเข้ามาพยุงให้ร่างสูงของชานยอลยืนได้เต็มตัว ก่อนจะพากันไปห้องพยาบาล
“ไอ้หมา ไอ้ยอลมันเป็นอะไรวะ” จงอินที่ลากผมออกมาจากห้องพยาบาล ด้วยเหตุผลที่ว่าควรปล่อยให้ครูห้องพยาบาลได้ทำแผลเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ลากโอเซฮุนออกมาด้วย ทำให้ผมต้องมองหน้าดำๆของเจ้าของคำถามอย่างอธิบายอารมณ์ของตัวเองไม่ถูก
“ไม่นิ ไม่ได้เป็นอะไร เมื่อเช้ายังดีดีอยู่เลย” ผมว่าก่อนจะมองผ่านกระจกหน้าห้องพยาบาลสายตาจับจ้องไปยังร่างสูงที่นั่งให้ ครูประจำห้องพยาบาลทำแผล แล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
ชานยอลเป็นอะไรน่ะเหรอ
นั่นสิ ผมก็อยากจะรู้ว่าชานยอลเป็นอะไร
“คือฉันเห็นมันเดินเข้ามา แล้วอยู่ๆ ก็ปาถุงขนมลงพื้นแล้วมันก็เตะโต๊ะเว้ย หรือมันไปมีเรื่องกะใครมาวะ”
“ห๊ะ!? เตะโต๊ะเองเนี่ยนะ ไอ้หูกางมันจะทำแบบนั้นไปทำไมวะ” ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ ผมอยากจะเห็นกับตาตัวเองมากกว่า แต่ก็ติดที่ตอนนั้นไม่ทันมองเพราะมัวแต่เล่นกับเซฮุนอยู่
“มันมีเรื่องไม่พอใจหรือเปล่าวะ ปกติมันไม่ใช่คนแบบนี้นี่หว่า”
“ไม่นะ ช่วงนี้มันก็ปกติดีนี่หว่า” ผมว่าพลางขมวดคิ้ว แต่ก็ต้องรีบหลุมสายตาลงต่ำ เมื่อได้สบกับสายตาของร่างสูงที่กำลังมองมาทางผมพอดี
“แกจะเข้าไปดูมันหน่อยไหม ไอ้หมาหัวเน่า”
ผมมองเซฮุนที่พึ่งเดินออกมาด้วยความหงุดหงิดกับคำว่า หมาหัวเน่า
“อือ..ไม่ไปเข้าแถวนะ เดี๋ยวคาบแรกจะเข้าไปละกัน”
บางทีผมก็กลัวนะ...ถ้าผมกลายเป็นหมาหัวเน่าไปจริงๆล่ะ ถ้าลูกหมาอย่างผมกลายเป็นหมาหัวเน่า...เหอะ ! บ้าใช่ไหมล่ะ แค่คิดเล่นๆก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เหมือนมีอะไรแข็งๆมาปักไปทั่วร่างกาย
ผมเปิดประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา แบบไม่ต้องการให้คนที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลรู้ว่าผมกำลังเข้าไป แต่จะทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเตียงมันตรงกับประตูอยู่แบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจมองยังเห็นเลย แล้วนับประสาอะไรกับสายตาของชานยอลที่โฟกัสอยู่ที่ผมตั้งแต่เมื่อครู่....จะไม่เห็นได้ไงล่ะ
“คุณบยอน ฝากดูแลเพื่อนด้วยแล้วกันเดี๋ยวครูต้องไปทำเรื่องสั่งซื้อยา”
“อ่า..ครับครู” ผมพยักหน้าเบาๆให้คุณครูห้องพยาบาลที่พูดขึ้นทำลายความเงียบระหว่างผมกับชานยอลที่เอาแต่มองหน้าผมนิ่งๆมาตั้งแต่ผมเข้ามาและทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ ใกล้ๆเตียงพยาบาล
“แล้วเป็นยังไงบ้างอ่ะนั่น...” ผมเปิดปากพูดออกไปพลางหลบสายตาชานยอลไปมองทางอื่น
“......” เห้ย นี่ชานยอลจะเงียบแบบนี้จริงๆหรอ?? คือมันนานมากเลยนะตั้งแต่ครูประจำห้องพยาบาลออกไป ที่ระหว่างเรามีแต่ความเงียบ แล้วพอผมทำใจพูดขึ้นมาชานยอลก็เงียบแบบนี้ ไม่ให้ผมอึดอัดได้ยังไง
“อ่า โอเค ...” ผมพยักหน้าเบาๆ และสบกับสายตาของชานยอลอย่างรู้สึกว่ามันเหนื่อยล้า ผมเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินกับท่าทีแบบนี้ของชานยอล “...ฉันไปก็ได้ ถ้าแกรำคาญขนาดนี้” ผมไม่รู้แล้วว่าผมจะกลั้นก้อนแข็งๆและความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาได้อีกนาน ไหม รู้แค่มันยากจริงๆนะที่จะทำเสียงที่กำลังจะสั่นเครือให้เป็นปกติ
หมับ!
แรงบีบเบาๆที่ข้อมือ ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองยังข้อมือตัวเอง ...ไม่กล้าแม้แต่จะช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลาของชานยอล...กลัวเหลือเกิน ว่าถ้าเจอสายตาที่ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจแบบนั้นอีกแล้วจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนสิ...ลูกหมา”
“....” ผมก้มมองข้อมือของผมที่ถูกมือหนาของชานยอลจับไว้อยู่อย่างนั้น ก่อนที่ภาพนั้นจะพร่ามัวไปด้วยน้ำตา...แล้วมันก็กลับมาชัดเจนดังเดิม เมื่อบัดนี้น้ำตาที่เคยเอ่ออยู่เต็มตาของผม ได้หล่นลงสู่ที่ต่ำตามกฏแรงโน้มถ่วงเป็นที่เรียบร้อย ผมเห็นมันชัดเจนเลยล่ะ มันหล่นใส่มือของชานยอลเต็มๆเลย...
“แบคฮยอน...” ชานยอลลุกขึ้นนั่งก่อนจะช้อนคางของผมที่ก้มจนแทบจะชิดกับอกให้เงยขึ้นมาสบตากลมโตคู่นั้น
“..แก...แกเป็นอะไรวะ ...ชานยอล ทำไม...ฮึก”ผมปล่อยโฮออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากสายตาคู่นั้น..คู่เดิมที่ผมหลงใหลมัน...
“แบคฮยอน ฉันขอโทษ..อย่าร้องนะเว้ย” ร่างสูงกระตุกแขนผมเบาๆแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดไว้กดใบหน้าผมลงกับไหล่แข็งแกร่ง
จะแปลกไหม? ที่ผมจะรู้สึกว่ามันอบอุ่น
จะแปลกไหม? ที่สัมผัสของร่างสูงทำให้น้ำตาของผมหยุดไหล
จะแปลกไหม? ที่ผมอยากจะฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้าตลอดไป
คงแปลกมากใช่ไหม ถ้าชานยอลจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับตัวเอง
“อะ..อื้อ ปล่อยแล้วพอแล้ว หายใจไม่ออก” ผมประท้วงขึ้นมาพร้อมกับดันไหล่หนานั่นให้ออกห่างจากตัว เมื่อยิ่งเนิ่นนานก็เหมือนแรงกอดรัดจากอ้อมแขนแข็งแกร่งยิ่งมากขึ้น...มาก จนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
“โทษทีๆ ...แล้วก็... แกอย่าร้องไห้อีกนะ”ชานยอลว่าพร้อมกับเกลี่ยน้ำตาให้ผมเบาๆ
“ใครเค้าอยากจะร้องไห้กันล่ะ...ก็แก...แกทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะชานยอล...ฉันไม่เข้าใจ”
“....”
“ไม่เข้าใจ..ว่าแกสื่ออะไรผ่านสายตาของแก... ไม่เข้าใจแต่มันจุกไปหมดและเพราะไม่เข้าใจ...ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มากที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แกสื่อออกมาผ่านสายตาได้..โกรธตัวเองที่ไม่รู้เลยว่าแกเป็นอะไร..ฮึกฮือ” พอพูดขึ้นมาแล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมาอีกแล้ว ผมนี่บ้าจริง
“โอเคๆ ไอ้ลูกหมา ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่หงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ อย่าร้องนะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ”ชานยอลบีบมือผมเบาๆเหมือนที่ชอบทำและมองผม...
“...อ่า...” ผมหายใจแรงๆออกมาทางปากทีนึง อย่างต้องการปล่อยความรู้สึกจุกและหนักอึ้งออกไปให้หมด
“ต่อไปนี้ ฉันจะบอกแกทุกเรื่อง..จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะ แต่เรื่องนี้ ปล่อยให้มันหายไปเถอะเนอะ อย่าไปสนใจมันเลย” ผมพยักหน้าให้ชานยอลเบาๆ โอเค..ในเมื่อชานยอลพูดแบบนั้นก็แสดงว่าชานยอลอยากจะทิ้งเรื่องที่ทำให้หงุด หงิดแบบนั้นไปเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะรื้อฟื้นหรือซักไซร้ว่ามันเป็นอะไร... ถ้าเรื่องนั่นมันทำให้ชานยอลหงุดหงิดจนทำร้ายตัวเองได้แบบนี้ ก็ปล่อยให้มันหายไปเถอะ
“ไปล้างหน้าล้างตาไป หน้าเปื้อนคราบน้ำตาเป็นลูกหมามอมแมมเลยว่ะ” ชานยอลว่าก่อนจะขยี้หัวผมเบาๆ แล้วดันตัวผมไปทางอ่างล้างหน้า
“เพราะใครกันล่ะ ...” ผมยู่ปากเล็กน้อยใส่ชานยอลอย่างที่ชอบทำ ทำให้ชานยอลหัวเราะและยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินไปยังอ่างล้างหน้า รู้สึกตันๆที่จมูกมานิดๆแล้วด้วยแหละ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยด้วยซะอีก ขืนร้องไห้บ่อยๆแบบนี้ได้เป็นไข้หวัดแหงๆ
“ขอโทษจริงๆนะ ไอ้ลูกหมา”
“โหย แกไม่ได้ผิดอะไรหรอกน่า ฉันคิดมากไปนิดหน่อยเองน่า...” ผมบอกชานยอล
“ก็มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนี่หว่า รู้สึกผิดเลยขอโทษ”
“อือ.. ว่าแต่ แผลน่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครูบอกว่านอนพักก่อนอย่าพึ่งใช้ขา เดี๋ยวจะอักเสบอะไรไม่รู้ บอกอีกว่าตอนพักกลางวันน่ะ ถึงจะออกไปได้”
“อ่า..เหรอ เจ็บมากสินะ” ผมทำหน้ายับยู่ยี่ล้อเลียนชานยอลที่ทำหน้าเหมือนเจ็บแผลที่ขาขึ้นมาทันทีที่ผมถามถึง
“ไม่ ต้องมาล้อเลียนเลย ทีแรกก็กะจะเตะเล่นๆระบายอารมณ์ให้ใครบางคนมันรู้เฉยๆว่าไม่พอใจ แต่มันดันยั้ง...แรงไม่อยู่นี่หว่า” ชานยอลพูดอ้อมแอ้ม อะไรไม่รู้ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์แต่ก็พอจะจับได้บางประโยค
“โห ถ้านั่นแค่เตะเล่นๆ ทำไมไม่ไปเตะบอลกะไอ้จงอินเลยล่ะ”
“ก็ถ้าฉันไปแล้วแกจะอยู่กับใครวะ”
“ก็ทำไมจะอยู่ไม่ได้ เซฮุนก็อยู่..” ผมว่าแล้วแลบลิ้นใส่ชานยอล
“เซฮุนๆๆๆ อะไรก็เซฮุน นี่แกชอบไอ้เซฮุนมันรึไงวะ”
“อะไร ของแกชานยอล...เหอะ นี่เอาขาเตะหรือว่าเอาหัวไปฟาดโต๊ะมากันแน่....” ชอบเซฮุนงั้นเหรอ เหอะๆ คนที่ผมชอบนั่งซื่อบื้อ ทำหูกางอยู่ตรงนี้ต่างหากล่ะ มันไม่เคยรู้เลยสินะ
“แล้ว ทำไม..ถ้าฉันชอบมันจริงๆ ... จะเป็นยังไงวะ” ผมว่าพลางมองไปยังชานยอล แล้วก็ต้องรีบสะบัดหัวตัวเองแรงๆ เมื่อคิดได้ว่าพูดอะไรไม่ทันคิดออกไป เหมือนจะเห็นสายตาแปลกๆของชานยอลอีกแล้วสิ
“พูดจริงป่ะนี่”
“หน้าฉันเหมือนคนจริงจังหรอวะ ฮ่าๆ ไม่เอาแล้ว พูดอะไรวะขนลุกว่ะ ฮ่าๆ”
“ให้มันจริงนะเว้ย เพื่อนกันทั้งนั้นอ่ะ”
“เดี๋ยวตอนพักกลางวันจะมารับไปกินข้าวนะเว้ย ไปละ นอนพักก่อนก็ได้ไปเรียนละ” ผมพูดเมื่อเสียงออดเข้าเรียนคาบแรกดังขึ้น
“อือ..มาเร็วๆนะเว้ย ไม่สิ ฉันไปเรียนด้วยไม่ได้หรอวะ ไอ้ลูกหมา...”
“หื่อ พอเลย ปล่อยได้ละ เดี๋ยวเข้าสายขี้เกียจฟังอาจารย์บ่น” ผมว่าพลางแกมือเหนียวเป็นตุ๊กแกของชานยอลออก
“โถ่ ใจร้ายว่ะ” ชานยอลว่าแล้วยู่ปากใส่ผม ดูก็รู้ว่ามันพยายามล้อเลียนใบหน้าของผม เหอะๆ
“ก็ทำไม ใจร้ายอ่ะ :P” ผมว่าแล้วส่งยิ้มให้ชานยอล ก่อนจะหันหลังเดินออกมา ยังไม่ได้ยินเสียงตะโกนล้อเลียนของชานยอลดังไล่หลังมาอยู่เลยนะเนี่ย
รอย ยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้าของผมอย่างห้ามไม่ได้แล้วผมเองก็ไม่คิดจะห้ามรอย ยิ้มนี่ด้วย เพราะยิ้มยังไงชานยอลก็ไม่ได้เห็นมันหรอก และไม่ได้รู้ด้วยว่าผมยิ้มแบบนี้เพราะอะไร ...
แค่นี้...ได้แค่นี้มันพอแล้วใช่ไหม บยอนแยคฮยอน
ผม ถามตัวเองก่อนจะหุบยิ้มกว้างๆนั่นลง ผมไม่รู้ว่ามันพอแล้วใช่ไหม นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่ผมต้องการ รักของผมน่ะ คำว่ารักของผม...มันคือสิ่งที่ไม่หวังตอบแทนอะไรเลยจริงๆน่ะหรอ? ... ลึกๆแล้ว ลึกๆลงไป ผมไม่ได้ต้องการที่จะได้รับความรักจากชานยอลตอบกลับมาเลยหรอ ........
ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น
ผม ปฏิเสธตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าผมต้องการ...ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อน.. มันไม่ใช่แค่นั้น ผมอยากจะได้รับความรักจากชานยอล ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน..... มันจะผิดมากไหมชานยอล ที่ฉันคิดแบบนี้??
“ตกลงไอ้ยอลมันเป็นอะไรวะ ไอ้หมา”ผมยังทิ้งตัวลงนั่งได้ไม่ถึงนาที คิม จงอิน เพื่อนผิวสีแทนเข้มๆ[?] ตัวดีก็เดินเข้ามาถาม
“ไม่รู้ดิ มันบอกว่าหงุดอะไรก็ไม่รู้ มันไม่บอก แต่อย่าไปถามมันเลย มันคงอยากจะปล่อยให้เรื่องที่ทำให้มันหงุดหงิดใจ หายไปเงียบๆล่ะมั้ง” ผมว่ากลางเงยหน้าไปตอบคำถาม
“โห อะไรวะ เข้าใจยากว่ะไอ้คู่นี้”
“พอ ละไอ้ดำ มานี่เลย เลิกสนใจเรื่องชาวบ้านมากมายได้แล้วไหม?” เสียงติ๋มๆของเซฮุนดังข้ามฟากมาจากอีกฝั่งของห้องเรียน ผมขำเล็กๆเมื่อประโยคเมื่อครู่เหมือนจะแอบด่าไอ้ดำนี่กลายๆ ก่อนที่ไอ้จงอินจะหันไปชูนิ้วกลางใส่เซฮุนและเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่แถวสุดท้ายแถวเดียวกับผมแต่คนละฝั่ง
เอ๊ะ!! ว่าแต่มีใครสงสัยไหมเนี่ยว่าทำไมทั้งๆที่ผมสี่คนเป็นเพื่อนกัน ทำไมต้องนั่งห่างกัน เรื่องมันก็มีอยู่แค่ว่าไอ้หูกางน่ะ มันบอกว่าเห็นหน้าง่วงๆของไอ้จงอินทีไรมันอยากจะหลับตามทุกที ไม่มีอารมณ์เรียน เลยลากผมหนีไอ้จงอินกับไอ้เซฮุนมาริมหน้าต่าง ลำดับที่นั่งจึงเป็น ชานยอล ผม และเพื่อนอีกสามสี่คน ค่อยเป็นไอ้จงอิน ไอ้เซฮุน และโต๊ะว่างอีกหนึ่งตัว
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วมองไปตรงโต๊ะที่ว่าง... คิดถึงไอ้หูกางจัง ผม ไม่ได้โอเวอร์อะไรขนาดนั้นนะ พึ่งแยกกับมันมาเมื่อกี้เอง แต่แค่เห็นโต๊ะว่างเปล่าที่เคยมีชานยอลนั่นตรงนี้ มีชานยอลกับผมนั่งเล่นกันหัวเราะกันแล้วมันโหวงแปลกๆ บอกไม่ถูกแฮะ แค่รู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลกๆวูบเข้ามา ทำให้รู้สึกกังวลแปลกๆ
“เงียบได้แล้วค่ะนักเรียน..” เสียงอาจารย์ปาร์ค อาจารย์ประจำชั้นสุดเหี่ยว เอ้ย! สุดเหี้ยบดังขึ้นทำให้สมาชิกในห้องทุกคนต่างก็เงียบเหมือนเจอหมีแล้วแกล้งตาย
“วันนี้ ชั้นเรียนของเรามีสมาชิกใหม่มาคนนึงนะ.....” ทันได้นั้น เสียงซุบซิบก็ดังขึ้นในห้องอย่างห้ามไม่ได้ รวมถึงผมที่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จะไม่ให้แปลกใจได้ไงล่ะ นี่มันห้องเอนะ จะมีสมาชิกใหม่ได้ยังไง ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องที่เก่งที่สุดในสายชั้นแล้วก็ต้องสอบเข้ามาเท่านั้นนะ ถึงจะมานั่งเชิดหน้าชูคอในห้องเด็กเก่งแบบนี้ได้น่ะ แล้วคนที่ย้ายมาใหม่นี่ยังย้ายเข้ามากลางเทอมด้วย ทำให้ต้องมีการลือกันไปต่างๆนานามั่งล่ะ ว่ามีเส้น และคงไม่ใช่เส้นเล็กเส้นบะหมี่หรือมาม่าแน่ๆ มันต้องเป็นเส้นใหญ่ชุบแป้งทอดเลยล่ะ
“เงียบ ก่อนนะนักเรียน หยุดความคิดไร้สาระอะไรของพวกเธอไว้ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกล...”อาจารย์ ปาร์คพูดอย่างรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น “เข้ามาได้แล้วล่ะ เสี่ยวลู่หาน...” ผมหันไปตามเสียงของอาจารย์ปาร์ค
แล้ว ภาพตรงหน้าก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้าง...รู้สึกหัวใจกระตุกวูบขึ้นมาอย่างไม่ เข้าใจตัวเองเหมือนกัน... หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของลางสังหรณ์แปลกๆเมื่อครู่...
กลัว
คำนี้แว๊บขึ้นมาในสมองเมื่อมองหน้าสวยราวกับนางฟ้าของผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าห้อง... คนคนนี้... เสี่ยวลู่หาน...ลู่หานคนนี้....
“ทุกคนนี่คือเสี่ยวลู่หาน ย้ายมาจากประเทศจีนนะ แล้วเรื่องที่พวกเธอคิดกันน่ะไม่ใช่อะไรหรอกนะ ลู่หานเป็นเด็กเรียนดีติดอันดับต้นๆของโรงเรียนเก่าที่เคยเรียนอยู่เลยนะ ครูไม่รู้ว่าจะพูดให้พวกเธอเชื่อยังไง”
ตอนนี้ผมรู้สึกชาวาบที่มือ ข้างขวา เจ็บ..ชา และสั่น จนต้องกำมือเอาไว้แน่น... อยากจะวิ่งไปหาชานยอลในตอนนี้เหลือเกิน...อยากจะวิ่งไปพาชานยอลออกไปจากที่ นี่...ไม่อยาก...ไม่อยากให้
“แต่คอยดูเอาก็แล้วกัน ยังต้องใช้ชีวิตร่วมกันในห้องเอนี่ไปอีกเทอมครึ่งได้เลยนะ ยังไงก็ดีกันไว้นะเด็กๆ เอาล่ะเลยเวลามานานละครูจะไม่สอนแล้วกันนะคาบนี้ ยังไงก็ช่วยกันดูแลเพื่อนใหม่ไว้ด้วยนะ เอาล่ะลู่หานจ๊ะไปนั่งตรงที่ว่างตรงนั้นสิจ๊ะ” ผมไม่รู้ว่าอาจารย์ปาร์คพูดอะไรบ้างแค่ฟังแล้วเหมือนมันผ่านหูไปก็เท่า นั้น..
“ซ..เซฮุน” ผมเลิกคิ้วมองร่างสูงโปร่งของโอ เซฮุนที่ทรุดตัวลงมานั่งข้างๆผมในที่ของชานยอลอย่างไม่เข้าใจ
“อะไร” เซฮุนที่ปกติจะยียวนตอนนี้กลับถามผมกลับมาอย่างสั้นๆ ทำให้ผมต้องมองไปทางจงอินด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องพบกับสายตางงๆจากใบหน้าคมแบบง่วงๆมึนๆกลับมาเหมือนกัน...และรอย ยิ้มของคนมาใหม่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันกับจงอิน ใกล้ๆกับที่ของเซฮุนที่มันพึ่งทิ้งมาและมานั่งข้างๆผม ทำให้ผมต้องส่งยิ้มเล็กๆกลับไปให้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ อาจจะเรียกได้อีกครั้งว่ามันคือความกลัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าผมจะต้องรู้สึกแบบนั้นไปทำไม แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“มา..นั่งทำไมตรงนี้วะ”
“หะ..ก็ เห็นหมาหัวเน่าอย่างแกเหงาๆ เลยมานั่งเป็นเพื่อนว่ะ” นั่นไง เซฮุนคนเดิมกลับมาแล้วล่ะ แต่ผมก็ยังอดแปลกใจกับการกระทำแปลกๆเมื่อครู่ของเซฮุนไม่ได้หรอกนะ แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะดูแล้วมันไม่ตอบแน่ๆ
“แล้วไอ้จงอินล่ะ ไม่กลัวมันเหงามั่งรึไง ทิ้งมันมาแบบนั้นน่ะ”ผมย้อนกลับไปทันที
“ไม่ว่ะ ดูหน้ามันก็เหงาหงอยง่วงหงาวหาวนอนทุกวันอยู่แล้วว่ะ ฮ่าๆ”
“เออเนอะ เหอะๆ” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนไม่ได้สนใจคนข้างๆ หรือใครในห้องอีกเลย
เสียง ของอาจารย์ฮันที่สอนอยู่ตอนนี้ไม่ได้เข้าไปติดในสมองผมหรือจำทำให้ผมสนใจได้ แม้แต่น้อย ตอนนี้ผมกลัวไปหมด ผมรู้สึกจริงๆนะ ว่าถ้าผมไม่ได้บอกชานยอลวันนี้ ว่าผมรักมัน ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย หรือผมควรจะบอก...บอกไปเลย แล้วจะเป็นยังไงต่อจากนั้นค่อยคิดอีกที
บอกตรงๆเลยว่าความกลัวตอนนี้มันสร้างความกล้าหาญมาให้ผมอย่างประหลาด... ผมจะบอก..
บอกชานยอลว่าผมรู้สึกยังไงมาตลอด
บอกชานยอลว่าผมต้องการอะไรมากที่สุด
บอกชานยอลว่าผมคิดถึงใครอยู่ทุกเวลา
บอกชานยอลว่าผมเป็นห่วงใครมากกว่าตัวเอง
บอก...บอกทุกอย่างที่จะทำให้ความรู้สึกว่ารักมากมายในใจผมได้ถ่ายทอดออกไปให้ชานยอลฟังจนหมด ให้ชานยอลได้รับรู้...
บอก ไป...ทั้งๆที่ในใจผมก็ยังคงหวังว่าเราจะไปได้ไกลกว่าเพื่อนกัน...แต่ดูมันจะ หริบหรี่เหลือเกิน...ยิ่งเมื่อครู่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของคนคนนั้นแล้วผมยิ่ง กลัว..และรู้สึกว่ามันริบหรี่เต็มทน ตอนนี้บอกได้เลยนะว่าแค่อยากให้ชานยอลรับรู้ไว้จริงๆ
ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ผมจะบอกชานยอล!
“วันนี้พอแค่นี้นะ อย่าลืมทบทวนบทเรียนด้วยล่ะ”
สิ้นเสียงของอาจารย์ฮันผมรีบ เก็บของใส่กระเป๋า ไม่สนใจที่จะหันไปตอบคำถามของเซฮุนที่ถามว่าผมจะเร่งรีบไปไหน ผมตื่นเต้น และรู้สึกกลัวไปหมด...กลัวจริงๆ ว่าถ้าผมไม่รีบไปบอกตอนนี้แล้วผมจะไม่มีโอกาสได้บอกชานยอล...
ผมเดินกึ่งวิ่งไปยังที่ที่ชาน ยอลอยู่ อย่างเร่งเรีบ ความตื่นเต้น ความกังวล ความสับสนตอนนี้มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เท่าความกลัวที่มีอยู่ในใจ...กลัวว่าชานยอลจะห่างผมออกไปอีกแล้ว... ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากบอกชานยอลไป ก่อนที่ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้บอก ชานยอล...จะว่ายังไงนะถ้ารู้ความลับของผม... J
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างบางของแบคฮยอนยืนหอบหายใจอยู่หน้าห้องพยาบาล หายใจ เข้าและออกผ่อนลมหายใจให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับจะทำใจและรวบรวมความกล้า ทั้งหมด...ร่างบางยังไม่อาจประมวลหาคำพูดที่สวยหรูดูดีได้...และเหมือนเจ้า ตัวก็ยังไม่เห็นจำเป็นต้องคิดคำพูดที่สวยหรูออกมาเลยแม้แต่นิด เพราะ ตอนนี้ความต้องการหนึ่งเดียวของ บยอน...แบคฮยอนคือ...แค่อยากจะบอกชานยอล ถึงความรู้สึกที่เก็บไว้มานาน... ก่อนที่จะไม่มีความกล้าแบบนี้อีก... ก่อนที่มันจะยากไปกว่านี้
แบคฮยอนยกยิ้มขึ้นอย่างให้ กำลังใจตัวเอง มือเล็กเอื้อมไปข้างหน้าเตรียมจะผลักประตูที่กั้นเค้ากับชานยอลไว้ เปรียบเสมือนกำแพงของคำว่าเพื่อนที่ชานยอลคอยพร่ำบอกเค้าอยู่เสมอ...วันนี้ แหละที่แบคฮยอนจะลองปีนข้ามกำแพงนั้นไป...มันเป็นความพยายามครั้งแรก...และ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เค้าจะลองพยายามปีนข้ามกำแพงนี้ไป
ใกล้...
ใกล้...ใกล้เข้าไปทุกที
ร่างบางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเมื่อตอนนี้มือเล็กๆของตัวเองแตะกับลูกบิดประตูแล้ว...ค่อยๆบิดอย่างช้าๆ
“อ้าว คุณบยอน มาอยู่นี่เองครูตามหาตั้งนาน” มือของแบคฮยอนชะงักไป ก่อนจะหันไปมองต้นเสียง ก็พบกับอาจารย์ปาร์ค อาจารย์ประจำชั้นซึ่งเอ็นดูแบคฮยอนเป็นพิเศษและมักจะเรียกเค้าไปใช้งานอยู่ บ่อยๆ
“อ่า..ครับอาจารย์ปาร์ค” แบคฮยอนรีบเลื่อนตัวออกไปให้ไกลจากห้องพยาบาลที่สุดเพราะไม่อยากให้ชานยอลรู้..
“คือครูมีเรื่องจะวานให้ช่วย หน่อยน่ะ คุณบยอนช่วยไปเรียงเอกสารการเรียนการสอน แบบที่ครูเคยให้ทำน่ะ จำได้ใช่ไหม เอาให้เสร็จก่อนคาบบ่ายล่ะ ช่วยครูหน่อยนะ” แบคฮยอนได้แค่คิดในใจว่าอาจารย์เล่นขอร้องเค้ามาเป็นชุดแบบนี้ ถ้าปฏิเสธคงมิวายโดนบังคับเป็นแน่
“ครับ..อาจารย์ปาร์ค” ตอนนี้ในใจของแบคฮยอนสั่นไปหมด...แค่จะไปบอกชานยอลยังมีอุปสรรค เห็นทีว่าเค้าคงจะไม่ได้บอกแล้ว... แบคฮยอนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันตนเอง ก่อนที่ความรู้สึกกลัวจับใจจะกลับมาทำให้ขอบตาร้อนผ่าวไปหมด แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้เพราะตอนนี้เค้ากำลังเดินตามหลังอาจารย์ปาร์คอยู่ ....
.
.
.
.
.
ร่างบางของแบคฮยอนวิ่งด้วย ความเหนื่อยหอบมาถึงโรงอาหาร หลังจากที่เค้ารีบทำงานที่ได้รับมอบหมาย จนมันเสร็จก่อนกำหนดราวๆชั่วโมงกว่า พลังแห่งความรักของแบคฮยอนทำให้เค้าทำให้เกือบทุกอย่าง
แบคฮยอนคิดในใจว่าอาจจะทันถ้าไปบอกชานยอลตอนนี้...สิ่งที่เค้ากลัวคงจะยังไม่เกิดขึ้น
ขอล่ะ...อย่าพึ่งให้สองคนนั้นเจอกันเลย เค้าไม่อยากให้ชานยอลเจอใครคนนั้นเลยจริงๆ
เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แบคฮยอนกลับไปที่ห้องเรียนก็พบแต่ความว่างเปล่าสอบถามเพื่อนในห้องจึงรู้ว่า พวกเพื่อนของเค้ารวมทั้งชานยอล อยู่ที่โรงอาหาร ตอนที่กวาดสายตาไปทั่วห้องนั้น...หัวใจของแบคฮยอนกระตุกวูบไป เมื่อไม่เห็นหน้าสวยๆของนักเรียนใหม่...
เสี่ยวลู่หาน
ใช่เสี่ยวลู่หานไม่ได้อยู่ที่ห้อง...นั่นมันยิ่งทำให้แบคฮยอนกลัว
แบคฮยอนสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง แล้วมองไปรอบๆ ก่อนที่จะเจอ...
เจอภาพที่ทำให้เค้าแทบล้มทั้งยืน
ความกลัว...ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น
สิ่งที่กลัว...เหมือนมันจะเป็นจริง....
ภาพของชานยอลที่นั่งหัวเราะและยิ้มอย่างร่าเริงอยู่กับนักเรียนใหม่ โดยมีจงอินและเซฮุนนั่งอยู่ตรงนั้น...
แบคฮยอนไม่ได้สนใจใบหน้าของคน อื่นนอกจากใบหน้ายิ้มแย้มของชานยอล... และสายตาของชานยอลเวลามองไปที่เสี่ยวลู่หานคนนั้น...ยิ่งทำให้ความรู้สึก กลัว ชานยอลไม่เคยมองใครด้วยสายตาแบบนั้นมาก่อน...ไม่ใช่แบบที่มองจางอี้ชิง... ไม่ใช่แบบที่มองเค้า...
วินาทีนี้แบคฮยอนรู้แล้วว่า...สิทธิ์ของตัวเองที่จะบอกรักชานยอล...มันลดเหลือน้อยลงมากขึ้นทุกที...
เป็นแค่เพื่อน...ไม่มีสิทธิ์
ทั้งๆที่วันนี้แบคฮยอนตั้งใจจะบอกกับชานยอล
พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างแบคฮยอน
พระเจ้าไม่เคยให้โอกาสแบคฮยอน
ไม่สิ...ไม่ใช่พระเจ้าหรอก ชานยอล..ต่างหากล่ะ
ชานยอลไม่เคยมองมาที่เค้าสักครั้ง
แค่มองมาทางนี้สักครั้งไม่ได้เลยเหรอ...ชานยอล
ชานยอล...บอกเสมอว่าเป็นแค่เพื่อน...ดีใจที่มีแบคฮยอนเป็นเพื่อน...ขอให้แบคฮยอนอยู่ด้วยกันแบบนี้..
ในฐานะเพื่อนสินะ
กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ขนาด นี้ แบคฮยอนต้องอึดอัดเพราะความรู้สึกกลัวมากขนาดไหนไม่มีใครรู้ แม้แต่ตัวแบคฮยอนเองก็ยังไม่รู้ว่าทนต่อความอึดอัดแบบนั้นและผ่านมันมาโดย ที่ไม่ร้องไห้ได้ยังไง หรือว่าเค้าจะเข้มแข็งขึ้นอีกขั้นแล้ว
แบคฮยอนได้แต่มองภาพตรงหน้า และมันพร่ามัวลงทุกทีเพราะน้ำตาที่เอ่อล้น.... แบคฮยอนทำได้แค่วิ่งไปจากตรงนั้น...วิ่งออกไปจากตรงที่มองเห็นภาพนั้น... ภาพที่ไม่มีวันเป็นตัวเองได้เลยที่จะทำให้ชานยอลยิ้มแบบนั้น...แต่ก็ยังหวัง เอาไว้ลึกๆว่ามันอาจจะมีสักวัน...แค่สักวัน..
‘ความหวังไม่เคยหมดไปเลยจริงๆ เพราะความหวังหรือเปล่า?? ที่ทำให้คนเราต้องเจ็บอยู่ซ้ำๆ
TBC
★★★★
ความคิดเห็น