처음부터 모든 게 익숙할 순 없는 거잖아
You can't get familiar with something from the beginning
คุณไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมาตั้งแต่เริ่มแล้ว
I think of the flickering moments so my heart can rush again
아른거리는 순간들을 떠올려봐 다시 설렐 수 있게
ผมคิดว่ามันเป็นความหวังที่ริบหรี่ ดังนั้นผมจึงวิ่งหนีมันอีกครั้ง
★★★★
:::Byun Baekhyun:::
“มี เรื่องอะไรไม่สบายใจ เล่าให้ฉันฟังได้นะ ถึงเราจะพึ่งรู้จักกันก็เถอะ” เสียงทุ้มของจื่อเทาดังเข้ามาในประสาทการรับรู้ของผม พร้อมกับสายตาแสดงความห่วงใยอย่างชัดเจน
“เปล่าหรอกน่า..” ผมยกยิ้มหม่นๆให้จื่อเทา “ว่าแต่.. ถ้า เอ่อ ช่างมันเหอะ” แล้วผมก็ต้องกลืนหลายๆคำพูดลงท้องของตัวเองไป ไม่รู้สิ..
“เห้อ...” ผมถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาเท้าคางมองผ่านจื่อเทาออกไปข้างนอกหน้าต่าง ฟ้าเริ่มมืดแล้วล่ะ แต่ผมยังไม่อยากกลับบ้านเลยมานั่งที่คอฟฟี่ชอปของจื่อเทา หลายๆเรื่องตีกันอยู่ในหัวของผมจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย แต่เรื่องที่ปวดหัวที่สุดมันไม่ใช่ใครหรอก ไอ้บ้าหูกาง มันพูดอะไรของมัน ...
แค่แกล้งผมใช่ไหม?
หรือ ว่าพูดจริงๆ บอกให้ผมลืม แล้วจะทำให้ผมชอบอีกครั้งเนี่ยนะ? หมายความว่ายังไงกันแน่ เอาเป็นว่ามันเป็นอีกวันที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่ที่ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย.. ไม่สิ ผมไม่กล้าที่จะทำความเข้าใจมากกว่าหรือเปล่านะ ผมแค่กลัว ว่ามันจะไม่เป็นแบบที่ผมคิด แล้วถ้ามันเป็นแบบที่ผมกลัว คนที่เจ็บที่สุดคือตัวผมเอง ความเจ็บปวดมันไม่สนุกนะ
แต่ จะให้โทษใครได้ ในเมื่อผมเป็นคนวิ่งหนีมาเอง ที่จริง.. ผมน่าจะไปถามชานยอลให้เคลียร์ๆ เอาให้มันรู้กันไปเลย แต่ก็นะ ผมมองหน้าชานยอลไม่ได้ ไม่รู้จะมองยังไง จะต้องมองยังไงให้ใจมันไม่เต้นระรัว จะต้องทำยังไงให้ผมเก็บความรู้สึกพวกนี้ไว้ได้เหมือนเดิม ความรู้สึกที่เหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องเป็นพันตัวตอนมองหน้าชานยอลแบบ นั้นน่ะ มันไม่ตลกเลยนะ
มันแค่รู้สึกหวิวๆเมื่อคิดถึงชานยอล ตื่นเต้น จนไม่รู้จะทำยังไง มันไม่ใช่ครั้งแรกก็จริงกับความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมไม่เคยรับมือกับมันได้เลน ปั่นป่วนไปหมด มันเหมือนกับว่าในทุกอย่างของชานยอลมีแม่เหล็กที่ดูดดึงความสนใจของผมเข้าไปจนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
“ไม่เป็นไรแน่นะ หน้านายแดงหมดแล้วนะ” สติของผมกลับมาอีกครั้ง พร้อมมือของผมที่ยกขึ้นทาบแก้มของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
“แดง จริงหรอ” ผมถูหน้าไปมา พลางถามจื่อเทาอย่างตกใจ “ฮอลลล” แล้วผมก็ต้องถอนหายใจเมื่อจื่อเทาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มเล็กๆมาให้ผม
ผม ยู่ปากใส่จื่อเทาเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มแล้วมองมาที่ผม แต่เอ๊ะ ทำไมยังมองอยู่อีก ผมทำได้แค่ส่งสายตาดุจื่อเทาอีกครั้ง ผลก็คือจื่อเทายังคงยิ้มและไม่ละสายตาไปจากผม จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปซะเอง
“เอ๊ะนี่! จื่อเทา” ผมหันกลับไปมองจื่อเทาอีกครั้งสายตาของจื่อเทาก็ยังไม่ไปไหน ผมทนไม่ไหวเลยฟาดไปที่แขนของจื่อเทา
“ตีฉันทำไมเนี่ย”
“แล้วนายจะมองอะไรนักหนา”
“แล้วมองไม่ได้หรือไง”
“ก็แล้วจะมองทำไมเล่า”
“ก็มันน่ารักดีนี่นา..”
“อะ..ไร อย่ามาแกล้งกันหน่อยเลยน่า” ผมฟาดจื่อเทาเข้าอีกที เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูกกับสายตาคมๆคู่นี้
“ก็นายมันน่าแกล้งนี่นา แบคฮยอน ฮ่าๆ”
“ฉันน่าแกล้งตรงไหน อย่ามามั่วหน่อยเลย..” ผมบอกปัดแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
แล้วชานยอลล่ะ?? ชานยอลก็คงแค่แกล้งผมสินะ ผมน่าแกล้งหรอ? แน่นอนว่าผมคิดว่าไม่
“ย๊า !! จื่อเทา” ผมเงยหน้าขึ้นมาเพราะหัวของตัวเองถูกมือของคนตรงหน้าขยี้จนมันไม่เป็นทรง แล้วก็ยังคงเจอกับสายตาของจื่อเทาอยู่แบบนั้น
“เห้ย เดี๋ยวๆ โอเคๆ ไม่แกล้งละๆ อย่าพึ่งไป” จื่อเทารั้งผมที่กำลังจะลุกเดินหนีเอาไว้ เพราะอะไรน่ะเหรอ สายตาแปลกๆแบบนั้นมันทำให้ผมเครียดเพิ่มน่ะสิ
“แค่ไม่อยากให้เครียด.. นะแบคฮยอน ฉันชอบนายเวลายิ้มที่สุดละ” ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังส่งยิ้มให้ผม
“ถ้า แบบ สมมุติว่านายมีคนที่ชอบนะ แล้วนาย.. สารภาพกับเค้าไปแล้ว แล้วเค้าก็ไม่พูดอะไร วันต่อมาเค้าก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วแบบ..” ผมลอบกลืนน้ำลายลงท้องไปสบตาจื่อเทาอย่างประหม่าอีกครั้ง “เเล้วเค้าก็มาบอกเราประมาณว่า แบบ เค้าก็เหมือนจะชอบเรา คือ ถ้าเป็นนาย นายจะเชื่อไหม? นายจะทำแบบไหนหรอจื่อเทา”
“แล้วเค้าคนนั้นเป็นใครล่ะ”
“ก็.. ก็ฉันบอกว่าเป็นเรื่องสมมติ แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าใคร บอกมาเลยว่านายจะทำยังไง” ผมเตรียมง้างมือจะฟาดจื่อเทาอีกที จื่อเทาคนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองชอบใช้กำลัง =w=
“อ่า. .. สมมติก็สมมติ”
“แหน่ะ ยังจะยิ้มอีก ฉันกลับบ้านแล้วจริงๆนะ”ผมบอกเมื่อเจอแววตาเจ้าเล่ห์ในดวงตาแพนด้าของคนตรงหน้า
“ฮ่าๆ คือถ้าเป็นฉัน คงจะ.. ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยได้มีเรื่องแบบนี้ให้คิดฉัยตอบนายไม่ได้หรอก” จื่อเทาบอกพร้อมกับยิ้มแห้งๆมาให้ผม
“แต่กับเรื่องความรักน่ะ ถ้ามันทำให้นายเจ็บเกินไป ถ้ามันทำให้อึดอัดจนทนไม่ไหว.. ฉันว่านายก็ไม่ควรจะคิดถึงมันนะ”
“สาบาน ได้เลยจื่อเทา.. ว่าถ้าฉันทำได้ ฉันคงจะไม่สับสนแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ตัวเกี่ยวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา ถ้าฉันหยุดมันได้ ฉันคงจะไม่ต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้แบบนั้นเสมอมา ฉันจะไม่เลือกเดินมาทางนี้เลยจริงๆ” ถึงผมจะพูดกับจื่อเทาแต่ผมไม่ได้มองคนที่ผมพูดด้วยเลยสักนิด ก็เวลาแบบนี้ยังไงชายเสื้อของผมก็ยังคงน่ามองเสมอ
★★★★
เคยไหม? ที่แม้แต่จะคิด ก็ยังกลัว กลัวที่จะคิด กลัวที่จะหวัง
กลัวว่าถ้ามันไม่เป็นแบบที่หวัง... .แล้วจะทำใจไม่ได้
ผมโบกมือพร้อมกับยก ยิ้มให้จื่อเทาที่มาส่งผมก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ไฟในบ้านเปิดอยู่อย่างนี้แสดงว่าแม่กลับมาจากไปสัมนาที่ต่างจังหวัดแล้วรอผม กลับบ้านอยู่แน่ๆ คงไม่โดนบ่นใช่ไหมเนี่ย
“ชานยอล..” ผมชะงักทันทีที่เห็นร่างสูงของชานยอลเปิดประตูออกมาจากบ้านของผมเอง
“มาเร็วๆเลยไอ้ลูก หมา ปล่อยให้ฉันกับคุณน้ารอตั้งนาน” มือหนาถูกส่งมาจับมือของผมเอาไว้ทำท่าจะดึงผมเข้าไปในบ้าน แต่ผมดึงตัวเองไว้ซะก่อน ทำให้ชานยอลหันมามองผมด้วยแววตาใสแป๋วกับเครื่องหมายคำถามในนั้น
“มา ทำไม”
“ทำไมทำเหมือนฉันไม่เคยมาบ้านแกล่ะวะไอ้ลูกหมา เร็วเข้า เข้าบ้านๆ”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าบ้านตามที่ชานยอลบอก ผมพยายามอีกครั้งที่จะค้นหาอะไรบางอย่างในดวงตากลมโตของชานยอล เราสบตากับอยู่อย่างนั้นราวกับว่ามีหลากหลายคำพูดที่อยากส่งผ่านแต่ไม่รู้จะ เรียบเรียงมันออกมายังไง ราวกับว่าจะส่งทุกอย่างผ่านการมองตา
“แบคฮยอน..” ใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มลงมาเรื่อยๆพร้อมกับลมหายใจร้อนที่แผ่วเบาของชานยอ ลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนปลายจมูกของเราชนกัน ริมฝีปากของชานยอลทาบทับลงมาที่ปากของผมอย่างแผ่วเบา ผมกำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ชานยอล แบคฮยอนมาแล้วใช่ไหมลูก ทำไมยังไม่เข้าบ้าน!!!” เสียงของแม่ดังขึ้นก่อนที่ผมจะได้สติแล้วก็ผลักชานยอลออก
“ครับแม่!!” ผมตะโกนราวกับจะปัดทุกความรู้สึกเมื่อกี้ออกมา บ้าจริง ทำไมหัวใจของผมมันเต้นแรงแบบนี้ล่ะ
ใช่แรง แรงมากแรงจนผมต้องเอามือทาบกับตำแหน่งที่มีก้อนเนื้อกำลังทำงานสูบฉีดเลือด อย่างหนักเอาไว้ หวังจะคลายความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นแรงให้ลดลง
“ยืนอยู่ทำไมล่ะเนี่ย” แขนหนักๆที่พาดลงมาที่คอก่อนที่ตัวของผมจะถูกดึงเข้าไป จนหลังของผมชนกับอกกว้างของชานยอล
“เห้ย..” แล้วชานยอลก็จัดการลากผมเดินเข้าไปหาแม่ในครัวอย่างชำนาญราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
“ไปไหนมาล่ะแบคฮยอนของแม่ถึงได้กลับมืดค่ำ ..”
“ไปคอฟฟี่ชอปของ เพื่อนมาน่ะครับแม่ ขอโทษครับที่ไม่ได้โทรบอกก่อน เล้วอีกอย่างผมไม่รู้ว่าแม่จะกลับมาวันนี้นี่นา” ผมรัวใส่แม่เป็นชุดเพราะกลัวจะโดนบ่นก่อน
“เห็นชานยอลฟ้องแม่ว่าแบคฮยอนมีเพื่อนใหม่ วันหลังก็พามาให้แม่เจอตัวบ้างนะเรา”
“ครับแม่ แม่ก็ ผมคิดถึงนะเนี่ย เลิกบ่นเถอะ” ผมเข้าไปกอดแม่ด้วยความคิดถึง แม่ครับ ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้ล่ะ
“อ่าว จะร้องแล้วหรอเนี่ย แม่บ่นแค่นี้เอง แม่ก็คิดถึงลูกนะ เด็กดี” อาจเป็นไปได้ถ้าตรงนี้ไม่มีชานยอลอยู่ตรงนี้ผมอาจจะปล่อยน้ำตาออกมามากกว่า นี้ แต่ติดตรงที่สาเหตุของความอึดอัดและสับสนยังอยู่ตรงนี้ ไม่อยากให้ชานยอลรู้ว่าทำให้ผมอ่อนแอมากขนาดไหน ไม่อยากให้ชานยอลต้องมารับรู้อีกแล้ว
“ป่ะๆ ชานยอลพาแบคฮยอนออกไปนั่งคุยเล่นกันหน้าทีวี เดี๋ยวอักสักพักซุปเห็ดที่แบคฮยอนชอบกินก็เสร็จแล้วล่ะ” แม่ลูบหัวของผมเบาๆก่อนจะดันตัวผมไปหาชานยอลที่ยืนมองอยู่เงียบๆ
“แบคฮยอน อย่าเงียบแบบนี้ดิ”เสียงของชานยอลดังขึ้นทำให้บรรยากาศของห้องนั่งเล่นที่มี แต่เสียงของซีรี่ย์น้ำเน่าหายไป แทนที่ด้วยเสียงถอนหายใจของผม
“เออว่ะ.. แล้วจะให้พูดอะไรอ่ะ จะให้ทำตัวยังไงวะ” ผมหันไปมองหน้าของชานยอล “ต่อหน้าคนฉันบอกไปว่าชอบ กับคนที่เอาแต่ทำอะไรไม่ชัดเจน คนที่ทำให้สับสน จะต้องทำแบบไหน บอกทีดิ ทำตัวไม่ถูกจริงๆ” ก่อนที่จะมองที่ปลายเท้าของตัวเองอยู่อย่างนั้น เมื่อชานยอลเอาแต่เงียบอยู่เหมือนเดิม
เพราะ ผมไม่แน่ใจว่าชานยอลหมายความอย่างที่พูดจริงๆหรือเปล่า ชานยอลต้องการอะไรกันแน่ อยากแกล้งผมแค่นั้นใช่ไหม จะให้ผมเชื่อความคิดที่ว่า ชานยอลก็ชอบผมเหมือนกันได้ยังไง ในเมื่อเป็นผมเองที่ชอบชานยอลมาตลอด เป็นผมเองมาตั้งแต่ต้น แค่ผมเองคนเดียว.. คำว่าเพื่อนที่มักจะออกมาจากปากของชานยอลเสมอยิ่งทำให้ผมกลัว.. เพราะเจ้าตัวเองแต่พูดเองว่าเพื่อนกัน เพื่อนกัน
“แล้วจะให้คิดไปในทางไหนวะชานยอล ที่พูดแบบนั้นออกมาอ่ะเห้ย จะให้เชื่อหรือแค่จะแกล้งกันเฉยๆ”
“ไม่ใช่นะแบค..”
“เด็กๆ มาเร็วเข้ามาช่วยแม่ยกซุปออกไปหน่อย” ผมลุกขึ้นแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงของแม่ดังออกมาจากห้องครัว ผมเลือกที่จะเดินหนีอีกครั้งกับความสับสน หนีอีกครั้ง ผมยังไม่พร้อมจะยอมรับกับทุกอย่าง . . .
★★★★
:::Park Chanyeol:::
บรรยากาศ บนโต๊ะอาหารของบ้านบยอนวันนี้ออกจะน่าอึดอัดอยู่เล็กน้อย ขอย้ำว่าแค่เล็กน้อย เพราะดูท่าทางคนที่อึดอัดอย่างแบคฮยอนและผมเองจะไม่อยากให้แม่ของแบคฮยอนรู้ สักเท่าไหร่ ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆให้คุณน้าบยอน เมื่อท่านเหมือนจะรู้ว่าระหว่างผมกับลูกชายของท่านมีอะไรผิดปกติ
“อิ่มแล้วหรอแบคฮยอน” คุณน้าบยอนพูดขึ้นทำลายความเงียบเมื่อแบคฮยอนจัดการรวบช้อนแล้ววางลง
“ครับแม่ เหนื่อยๆน่ะครับ ผมไปอาบน้ำแล้วนะ”
“ชานยอลบอกจะค้างที่นี่ใช่ไหม ขึ้นไปพร้อมกันเลยสิ เดี๋ยวแม่จัดการล้างจานเอง” และเหมือนคุณน้าบยอนจะรู้ว่าผมต้องคุยอะไรกับแบคฮยอนเลยพูดแบบนั้นออกมา ผมเลยได้แต่เออออไปด้วย รีบเดินตามแบคฮยอนขึ้นไปชั้นบน
อัน ที่จริงผมน่าจะได้ปรับความเข้าใจกับแบคฮยอนแล้วแท้ๆ แต่คุณน้าบยอนดันกลับมาวันนี้พอดี ทุกอย่าเลยดูล่าช้าไปหมด จนทำให้บรรยากาศระหว่างผมกับแบคฮยอนแย่ลงเรื่อยๆ แถมความอึดอัดยังมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“รอก่อนสิ ไอ้ลูกหมา” ผมเดินกึ่งวิ่งตามคนตัวเล็กที่เอาแต่เดินไปที่ห้องอย่างรวดเร็วราวกันกลัว ว่าถ้าวิ่งตามไม่ทันแล้วแบคฮยอนจะหายไป
“จะตามมาทำไมวะ กลับบ้านไปเหอะ ชานยอล..” เสียงของแบคฮยอนระบายความเหนื่อยล้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าแบคฮยอนกำลังรู้สึกยังไง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มทุกอย่างยังไงดี
“จะ ให้กลับไปได้ยังไง ในเมื่อลูกหมาของฉันยังเป็นแบบนี้” ผมบอกพร้อมกับปิดประตูห้องของแบคฮยอน ยังไงวันนี้ผมก็ต้องคุยกับแบคฮยอนให้รู้เรื่อง
“แล้วจะ ต้องทำยังไงล่ะ สับสนไปหมดแล้วนะชานยอล เลิกเล่นเหอะ อย่าทำแบบนี้” แบคฮยอนก้มหน้ามองพื้นเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไปไหล่เล็กๆนั่นกำลังสั่น ทำให้ผมรู้ว่าแบคฮยอนของผมกำลังร้องไห้ ผมเอื้อมมือไปกุมมือที่กำลังสั่นของแบคฮยอนเอาไว้แน่น ก่อนที่จะใช้แขนดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้อย่างที่อยากทำ
ได้ยินใช่ไหม เสียงหัวที่เต้นแรงของฉัน ได้ยินและรับรู้มันได้ใช่ไหมแบคฮยอน
กำปั้น เล็กๆที่ทุบลงตรงอกของผมไม่ได้ทำให้ผมเจ็บหรืออยากจะปล่อยแบคฮยอนออกจากอ้อม กอดแต่อย่างใด น้ำเสียงอู้อี้ที่ออกมาจากใบหน้าที่ซุกอยู่กับอกกว้างของผม ผมก็ฟังมันไม่รู้เรื่อง
“ฟังนะไอ้ลูก หมา..มีคำไม่กี่คำที่ฉันต้องการจะบอกกับแก” ตอนนี้ผมสั่น เขินและอึดอัดใจเหมือนคนโง่ เพราะไม่ความกล้าของผม แต่ผมก็ไม่สามารถเสียคนตัวเล็กในอ้อมกอดไปได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมต้องการจะบอกกับแบคฮยอน ว่าคนตัวเล็กคนนี้เป็นคนเดียวสำหรับผม และผมไม่สามารถอยู่โดยไม่มีแบคฮยอนได้
“ขอโทษนะแบคฮยอน ที่ฉันทำให้แกต้องร้องไห้ ขอโทษที่ปล่อยให้แกต้องคิดอยู่คนเดียว ที่ปล่อยให้แกต้องสับสนขอโทษที่ไม่กล้าและไม่ได้แคร์แกมากเท่าที่ควร” มือเล็กๆของแบคฮยอนหยุดทุบตีผมแล้วพร้อมกับร่างเล็กของแบคฮยอนที่ยืนนิ่งราว กับต้องการจะฟังทุกถ้อยคำของผมให้ชัดเจน
“ขอโทษจริงๆ แล้วก็..ก็..”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น มามองผม ไม่อยากบอกใครเลยแต่ว่าแบคฮยอนมุมเงยแบบนี้น่ะ น่ารักมากจริงๆ สายตาของแบคฮยอนที่มองมาทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าหัวใจของผมเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น หัวใจของแบคฮยอนก็เช่นกัน
“ฉันก็.. ก็รักแกเหมือนกันนะแบคฮยอนของฉัน” ผมบอกพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของแบคฮยอน บอกด้วยทั้งคำพูดและสายตาของผม เพราะกลัวเหลือเกินว่าแบคฮยอนจะไม่เชื่อ กลัวไปหมดว่าแบคฮยอนจะคิดว่าผมแค่แกล้ง จะคิดว่าคำว่ารักของผมมันไม่จริง “อย่าร้องสิ” ผมบอกเมื่อแบคฮยอนกำลังจะร้องไห้ น้ำใสใสเอ่อคลออยู่เต็มดวงตาเรียวเล็กที่ผมหลงใหล ผมกดหัวของแบคฮยอนลงกับอกกว้างของผมอีกครั้งราวกับจะปลอบโยน
“แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักความรักดีพอ แต่อย่างน้อยฉันก็อยากจะทำให้แกมีความสุข”
ความคิดเห็น