ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #9 : กลุ่มปลดปล่อยเจนีส (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      1
      10 ก.ค. 50

    บรรยากาศตอนหัวค่ำของเมืองเจนีสเหนือแตกต่างจากตอนกลางวันไปอีกแบบหนึ่ง

    แสงไฟหลากหลายสีสาดส่องโอ้อวดความสว่างไสวของร้านรวงในยามราตรี พลุไฟถูกจุดขึ้นไประเบิดเป็นดอกสีสันสดใสจนลูทที่แหงนคอมองฟ้าถึงกับตาเป็นประกาย เสียงพลุไฟดังมาเพิ่มอีกจากทางทิศใต้หลายดอก เมื่อเขาเบือนหน้าไปมองก็พบว่าเมืองเจนีสใต้มีการจุดพลุไฟขานตอบรับเมืองเจนีสเหนือตามธรรมเนียม เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาเองก็รู้สึกอยากจะให้เมืองทั้งสองกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเหมือนเดิม

    ลูทเห็นคนจำนวนมากมายืนต่อแถวเรียงรายเต็มพื้นที่ด้านหน้า ทั้งหนุ่มทั้งสาวทั้งชราทั้งเยาว์วัยต่างพากันเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้เข้าแถวทั้งหลายทำท่าชะเง้อรอคอยอะไรบางอย่างเหมือนกับกลัวว่าจะไม่ได้สิ่งของที่กำลังรออยู่ คนเหล่านี้ล้วนแต่งตัวดีเหมือนผู้มีอันจะกินทุกคน ไม่เห็นคนยากคนจนหรือคนแต่งตัวมอซอมาต่อแถวสักคนหนึ่ง ลูทเกิดความสนใจขึ้นมาทันทีจึงเดินเข้าไปถามคนที่ยืนรอเข้าแถวอยู่คนหนึ่งว่า "พี่ชายมาเข้าแถวทำอะไรหรือ"

    ชายหนุ่มคนนั้นหันมามองทีหนึ่งแล้วทำหน้าแปลกใจกล่าวว่า "เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร อีกสองวันจะมีงานแสดงของยอดหญิงยูกิที่เมืองโอดิน" แล้วก็ไล่ลูทให้ไปอ่านป้ายที่ตั้งไว้ด้านข้าง

    ลูทเดินไปดูที่ป้ายประกาศด้านข้างแถวที่ยาวเรียงราย มีเขียนข้อความด้วยตัวหนังสือตัวใหญ่เอาไว้ว่า "จองบัตรการแสดงดนตรีของยอดหญิงยูกิ อาเมดะที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ การแสดงจะเปิดแสดงที่เมืองโอดินในเวลาสามทุ่มตรง บัตรสำหรับผู้ใหญ่ราคาห้าเหรียญทอง สำหรับเด็กราคาสามเหรียญทอง ทางผู้จัดจะทำการเปิดจองบัตรในเวลาสามทุ่มตรงมีจำนวนทั้งหมดสองร้อยใบเท่านั้น"

    พอลูทอ่านจบก็ทั้งตกใจและกระตือรือร้นสนใจ ที่ตกใจหมายความว่าราคาของบัตรแพงลิบลิ่วแต่คนที่มาเข้าแถวดูเหมือนจะมากกว่าจำนวนของบัตรที่มีจำหน่ายอยู่อย่างน้อยสองเท่าตัว ส่วนที่กระตือรือร้นสนใจหมายความว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ชอบดนตรีถ้าได้รับชมรับฟังการแสดงของยอดหญิงยูกิอาจจะช่วยพัฒนาทักษะการดนตรีของเขาก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามเขาคงไม่ลงทุนใช้จ่ายเงินจำนวนห้าเหรียญทองแลกกับการฟังดนตรีเพียงครั้งเดียว แล้วยอดหญิงอะไรนั่นเขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเสียด้วยซ้ำ พอคิดเช่นนั้นก็ส่ายหัวครั้งหนึ่งสะบัดหน้าจากไป

    พอลูทเดินไปได้สักพักพบกับโรสที่กำลังเลือกซื้อของอยู่จึงเดินเข้าไปหากล่าวว่า "โรส ได้ซื้ออะไรหรือเปล่า"

    โรซาไลน์ส่ายหน้าครั้งหนึ่งบอกว่าไม่ได้ซื้ออะไรหรอกเดินเลือกดูเฉยๆจากนั้นจึงถามลูทว่า "เจ้าเห็นพลุเมื่อครู่ไหม ข้าว่ามันสวยดี พอมองไปทางใต้ก็เห็นพลุของเมืองโน้นด้วย"

    ลูทกล่าวว่า "แน่นอนจะไม่เห็นได้อย่างไร เขาจุดเสียดังสนั่นเต็มท้องฟ้าออกขนาดนั้น ข้าว่ามันสวยดีเหมือนกันนะ สีสันตระการตา ไว้ข้าจะลองสร้างพลุขึ้นมาบ้าง"

    โรสมองไปด้านหน้าเห็นคนต่อแถวยืนกันเต็มไปหมดจึงถามลูทว่า "นั่นอะไรน่ะรู้ไหม ทำไมคนเยอะขนาดนั้น"

    ลูทตอบไปว่า "อ๋อ พวกนั้นเขามาเข้าแถวจะรอซื้อบัตรชมการแสดงของยอดหญิงยูกิยูเกะอะไรนั่นแหละ เห็นป้ายเขียนว่าอีกสองวันจะมีการเปิดแสดงที่เมืองโอดินแต่กลับมีคนเอาบัตรมาให้จองถึงที่นี่ ราคาก็แพงหูฉี่ตั้งห้าเหรียญทองไม่รู้ว่าสติแตกหรือเปล่าซื้อกันเข้าไปได้อย่างไร"

    โรสตอบว่า "เจ้าน่ะสิสติแตก เจ้ารู้ไหมว่ายอดหญิงยูกิเป็นผู้หญิงคนที่สองที่ชนะการประลองอาร์คาน่าเชียวนะ"

    ลูทขมวดคิ้วถามต่อไปว่า "การประลองอาร์คาน่าอะไร"

    โรสกล่าวอธิบายว่า "การประลองอาร์คาน่าเป็นการประลองทดสอบความรู้และศิลปะของสามอาณาจักรที่สี่ปีมีครั้งหนึ่ง ถ้าผู้ชายชนะเลิศจะได้ตำแหน่งเมธีแต่ถ้าผู้หญิงชนะเลิศจะได้ตำแหน่งยอดหญิงเป็นตำแหน่งที่ประมุขของสามอาณาจักรประทานให้โดยตรง ตำแหน่งนี้ได้รับเกียรติจากทุกหนทุกแห่งแม้แต่ทายาทราชวงศ์หรือสมาชิกสภาก็ยังต้องไว้หน้าอยู่บ้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าห้าเหรียญทองนี่นับว่าถูกมากแล้วกับการแสดงของยอดหญิงครั้งหนึ่ง การแสดงแบบนี้จะมีขึ้นทุกสี่ปีก็คือหลังการสอบวัดความรู้คราหนึ่งนั่นแหละ ครั้งนี้ยอดหญิงยูกิพึ่งจะได้รับตำแหน่งเมื่อสองเดือนก่อนจึงเปิดการแสดงขึ้น รายได้ทั้งหมดน่ะจะนำไปช่วยเหลือองค์กรการกุศลด้วย"

    ลูทรับฟังจนสมองพองโต เขารู้สึกราวกับว่าโรสเป็นคนจัดงานประลองอาร์คาน่าด้วยตนเอง กล่าวว่า "อย่างนั้นเชียวหรือ แล้วเจ้ารู้มาได้อย่างไรกันละ ในเมื่อเจ้าไม่เคยออกมานอกหมู่บ้านเกินเมืองเจนีสใต้"

    โรสมองหน้าลูทอย่างประหลาดใจ ตอบว่า "เอ๊ะ ก็ข้าอ่านพิราบรายวันทุกวันนี่" พอพูดจบก็เดินเข้าไปในฝูงชนเพื่อจะไปดูป้ายประกาศ

    ลูทพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจพร้อมกับเดินตามไป นึกไม่ถึงว่าการรับรู้ข่าวสารมีประโยชน์ขนาดนี้ ถ้าเขาร่ำรวยมีเงินสักวันหนึ่งเขาจะสมัครสมาชิกพิราบรายวันจะได้ทันต่อเหตุการณ์รอบข้างบ้าง

    ลูท บลูและโรสต่างเดินกันทั่วจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน งานประจำปีก็เลิกรา ผู้คนทยอยกันจากไปส่วนพ่อค้าแม่ค้าก็เก็บข้าวของร้านค้าขึ้น กลับบ้านช่องที่พักเพื่อพักผ่อนเตรียมที่จะเปิดร้านอีกในวันรุ่งขึ้น พวกลูททั้งสามก็เหน็ดเหนื่อยจึงกลับที่พัก อาบน้ำชำระร่างกายแล้วก็เข้านอน

    พรุ่งนี้จะเป็นวันที่พวกเขาได้มีโอกาสพบกับการาดอสผู้นำกลุ่มประสานเจนีสเสียที

    เช้าวันรุ่งขึ้นโรซาไลน์เดินมาเคาะประตูเรียกลูทกับบลู พวกเขาทั้งสามจะต้องไปพบกับการาดอสในเวลาแปดโมงเช้า แต่นี่ก็เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้วชายหนุ่มทั้งสองนอนกันเพลินไปหน่อยเลยยังเก็บของไม่เสร็จ

    "เสร็จแล้วๆ" ชายหนุ่มทั้งสองผลักประตูออกมาอย่างรีบร้อน จากนั้นทั้งสามรุดไปยังสถานที่นัดพบทันที บลูนัดพบกับลูกน้องของการาดอสอีกต่อหนึ่งก่อนแล้วพวกเขาจึงจะพาบลูไปพบการาดอสภายหลัง คาดว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องความปลอดภัยหรืออะไรก็ตาม

    ทั้งสามตรงมายังร้านอาหารชื่อร้านน้ำชาน้อยในถนนสายหลักของเมือง พวกเขารีบสุดตัวจึงมาถึงก่อนเวลาประมาณสิบห้านาที ด้วยความหิวโรสจึงสั่งอาหารเช้าเป็นข้าวต้มกับปลาย่างมารับประทานกันก่อน ทั้งบลูและลูทต่างก็กินอย่างเอร็ดอร่อย ออกปากชมแม่ครัวฝีมือดีที่ร้านนี้อย่างไม่ขาดคำ บลูกล่าวกับเพื่อนพ้องทั้งสองคนว่าการเจรจาที่นี่ขอให้เขารับผิดชอบเอง โรสกับลูทที่ไม่ค่อยชอบเจรจาทางการเมืองอยู่แล้วก็ตบปากรับคำด้วยความยินดี

    พวกเขาทั้งสามมองไปที่ผนังก็พบรูปวาดของมือปราบคนหนึ่งเขียนอยู่ มีท่าทีอาจหาญองอาจดูไม่เหมือนมือปราบทั่วไป โรสจึงเอ่ยปากถามเจ้าของร้านว่า "นี่เป็นรูปของใคร"

    เด็กน้อยคนหนึ่งอายุเจ็ดแปดขวบที่เป็นธิดาของเจ้าของร้านชิงกล่าวว่า "นี่เป็นรูปของมือปราบไก"

    เจ้าของร้านผู้เป็นบิดาของเด็กคนนั้น กล่าวต่อไปว่า "เขามีบุญคุณเคยช่วยลูกข้าไว้ครั้งหนึ่ง ข้าถึงได้แขวนรูปเขาเอาไว้บนผนังนี้ การที่เมืองเจนีสเหนือสงบเรียบร้อยแบบนี้ก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ"

    ทั้งสามผงกศีรษะจ้องมองรูปเหมือนของมือปราบไกอยู่พักหนึ่ง หากมีวาสนาพบพานอาจจะขอความช่วยเหลือเรื่องอัศวินดำก็เป็นได้

    พอถึงเวลาแปดโมงตรงบุคคลที่บลูนัดไว้ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นเพื่อนร่วมสังกัดของเนสอีกทีหนึ่งชื่อว่าโดม โดมเป็นคนผอมสูงจึงดูเก้งก้างไปเล็กน้อยมือทั้งสองของเขายาวเรียวดั่งเช่นกระบี่ของเขาที่เหน็บไว้ที่ขากางเกง หน้าตาของเขาไม่ค่อยแสดงออกถึงความรู้สึกสักเท่าใดนักเหมือนกับว่าเป็นคนที่ลึกลับไม่เปิดเผยความรู้สึกภายในให้กับคนนอกรับรู้คนหนึ่ง

    เมื่อทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวซึ่งกันและกันเสร็จสิ้น โดมจึงอาสาพาพวกบลูทั้งสามไปพบกับการาดอส

    โดมกล่าวว่า "ท่านผู้นำพักอยู่ตึกข้างเคียง การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางลับๆ ทั้งยังไม่ได้อยู่ในเขตควบคุมของพวกเรา ขออภัยที่ไม่ได้บอกที่อยู่ให้พวกท่านรับทราบเอาไว้แต่แรก พวกเราไปหาท่านผู้นำกันเถิด ขอให้พี่น้องทั้งสามตามข้ามา" พวกบลูตอบไปว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็เดินตามโดมไป

    โดมพาคนทั้งสามเดินมาถึงตัวตึกเตี้ยๆหลังหนึ่งดูซอมซ่อชอบกล ไม่สมกับเป็นที่อยู่ของผู้นำกองกำลังหรืออดีตพระอนุชาของกษัตริย์เลยสักนิด เมื่อโดมเปิดประตูเดินนำหน้าเข้าไปทั้งสามก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติเพราะภายในห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีผู้คน มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว ตู้ติดผนังอีกตู้หนึ่งและหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้บานหนึ่งเท่านั้น ลูทถึงกลับเลื่อนมือมาแตะไว้ที่กระบี่ลอบสังเกตพฤติกรรมของโดมอย่างละเอียดทุกขั้นตอน

    หรือว่านี่จะเป็นหลุมพรางกับดักของพวกอัศวินดำ

    บลูทำท่าจะเอ่ยปากกล่าวอะไรแต่โดมโบกมือบอกเป็นนัยว่าให้ใจเย็นไว้ก่อนรอคอยสักพัก โดมเดินไปถึงตู้ที่ผนังด้านข้างกดปุ่มกลไกครั้งหนึ่งตู้นั้นพลันเลื่อนออกไปได้ พวกเขาเห็นเป็นประตูบานหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังตู้ที่เลื่อนออก โดมหันมาเรียกให้พวกเขาเดินตามเข้าไป พวกบลูเห็นดังนั้นถึงเข้าใจว่าตัวตึกที่อยู่จริงๆคือตึกสูงด้านข้างนั่นเอง ส่วนตึกซอมซ่อนี้ทำเป็นทางเข้าลับเอาไว้เพื่อตบตาผู้คนภายนอก นับว่าเป็นการพรางตัวปกปิดร่องรอยอย่างหนึ่ง หรือถ้าจะอาศัยเป็นเส้นทางหลบหนีก็ย่อมได้เพราะด้านหลังมีหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ คนร้ายจะต้องคิดว่าผู้ที่หลบหนีจะต้องกระโดดออกไปทางหน้าต่างจึงติดตามออกไป หารู้ไม่ว่ามีทางลับทะลุไปห้องข้างเคียง บลูจึงแอบจดจำเส้นทางหลบหนีลับๆนี้เอาไว้เผื่อจะได้ใช้ในยามฉุกเฉิน

    ภายในตึกด้านข้างก็เป็นเช่นเดียวกันกับตึกหลังแรก สภาพตึกยังคงเป็นตึกโทรมมอซอ โดมต้องกดกลไกเปิดตู้อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะทะลุไปยังตึกที่สาม ซึ่งตัวตึกที่สามนี้เองถึงจะเรียกว่าเป็นที่หมายที่แท้จริง การหลอกสองชั้นนี้แยบยลนัก ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาที่ว่าถ้าคนร้ายพบกลไกการหลบหนีครั้งหนึ่งแล้วก็ต้องไม่คิดว่ามีกลไกหลบหนีชุดที่สองอยู่ภายในห้องที่เปิดจากกลไกชุดแรก

    พอพวกเขาทั้งสามเดินทะลุห้องปลอมห้องที่สองมาถึงตึกสูงด้านข้างก็พบว่าสภาพภายในแตกต่างกับสองห้องที่ผ่านมาราวฟ้ากับดิน ตัวตึกอยู่ในสภาพดีตบแต่งสวยงามวางเครื่องประดับที่มีมูลค่าแพงอยู่หลายต่อหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของการาดอสส่งมาถึงเมืองเจนีสเหนืออย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการซ่องสุมกำลังเฉยๆ ตัวตึกและบริวารที่ฝังรากอยู่ในนี้ยืนยันให้เห็นเป็นอย่างดีว่าการาดอสตระเตรียมก่อการใหญ่ รวบรวมเจนีสเหนือใต้เข้าไว้ด้วยกัน

    คนทั้งสี่เดินมาถึงห้องประชุมแห่งหนึ่งซึ่งจุคนได้ประมาณยี่สิบคน เห็นเก้าอี้ประมาณยี่สิบตัววางเรียงรายล้อมโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวตัวหนึ่ง โดยที่นั่งหัวโต๊ะเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่คาดว่าคงเป็นของการาดอส โดมบอกให้ทั้งสามรอคอยสักครู่อยู่ในห้องประชุม แต่ทั้งสามยังไม่ทันรอคอยอันใดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาถึงปรากฏเป็นร่างของการาดอสเดินมาหาพวกเขา โดมจึงขอตัวจากไป

    จากการที่การาดอสเดินออกมาต้อนรับบุคคลทั้งสามด้วยตนเองแสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่ไม่ถือตัวและไม่วางอำนาจ ลูกน้องจึงได้รักและเคารพพร้อมที่จะถวายชีวิตให้ ด้วยนิสัยใจคอเช่นนี้กอปรกับบุคลิกของผู้นำและความเป็นเชื้อพระวงศ์ทำให้เกิดภาพพจน์ที่ราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ขึ้น ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาภายนอกก็พบว่าการาดอสมีอายุประมาณสี่สิบห้าปีไม่เกินห้าสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ของเขาสวมเสื้อผ้าที่ทอจากเส้นใยมิทราลสีขาวปกป้องคุ้มครองกายทดแทนเสื้อเกราะ มีข้อดีที่น้ำหนักเบาเหมาะกับการใส่อยู่ภายในเมืองหรือสถานที่ปลอดภัยมากกว่าใส่เดินทางหรือออกรบในสมรภูมิ ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลมีผมขาวแซมขึ้นบ้างเล็กน้อยเห็นได้ชัดเป็นชาวเมืองเจนีสขนานแท้

    เมื่อการาดอสพบคนหนุ่มสาวทั้งสามจึงถามว่า "ข้ารู้สึกยินดีที่น้องทั้งสามนำข่าวคราวของเนสมาบอกกับข้า ข้าดีใจที่เขาไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต อาการของเนสเป็นอย่างไรบ้าง" จากนั้นก็นั่งลงที่หัวโต๊ะประชุมแล้วบอกให้ทั้งสามนั่งลงสนทนากัน พวกบลูทั้งสามจึงค่อยนั่งลงทางฝั่งขวาของการาดอส

    บลูตอบไปว่า "ท่านผู้นำออกมาต้อนรับด้วยตนเองเช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติแก่พวกเราทั้งสามเป็นอย่างมาก เนสบอกว่าเขาจะต้องรักษาตัวอีกประมาณสองเดือนจึงจะหายเป็นปกติ เขาจึงให้ข้าเดินทางมาพบท่านผู้นำแทน"

    การาดอสส่ายศีรษะด้วยความผิดหวังกล่าวว่า "เนสเป็นหนึ่งในผู้สืบข่าวสารชั้นยอด หากขาดเขาไปสองเดือนทำให้หน่วยข่าวกรองของข้าขาดลดทอนประสิทธิภาพลงไปส่วนหนึ่ง ข้าเองได้รับข่าวจากพิราบสื่อสารเมื่อสองวันก่อนก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง" จากนั้นการาดอสจึงถามว่า "แล้วพวกเจ้าทั้งสามชื่ออะไร มาจากที่ไหน"

    บลูตอบเป็นคนแรกว่า "ข้าชื่อบลู วอลซ์เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเนส ต่อมาทำงานรับจ้างคุ้มกันชาวบ้านจากโจรละแวกนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ารับงานคุ้มครองเนสช่วยเขาในการปฏิบัติภารกิจชิงสมุดบันทึก" จากนั้นบลูจึงหยิบสมุดเล่มที่ขโมยมาได้ให้กับการาดอส ระบุว่านี่เป็นสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติงานในครั้งนั้น

    การาดอสตอบว่า "ข้าขอบใจเจ้าเป็นอย่างมากที่ช่วยเนสให้รอดมาได้ หากเจ้าไม่กระโดดลงจากรถม้าชักนำศัตรูไปอีกทางหนึ่งเนสคงจะประสบภัยร้ายแรง"

    บลูกล่าวถ่อมตนว่า "ท่านผู้นำกล่าวยกย่องเกินไปแล้ว" ในใจนึกว่าผู้นำที่ใส่ใจถึงรายละเอียดปลีกย่อยของผู้ใต้บังคับบัญชามีไม่มากนัก มิน่าเล่าการาดอสถึงสามารถครองใจคนหมู่มากได้

    การาดอสกล่าวว่า "เมื่อมีหลักฐานสำคัญขนาดนี้ พวกเราคงจะกำหนดแผนการปฏิบัติการได้ง่ายกว่าเดิม แต่เรื่องนี้เอาไว้เดี๋ยวสักครู่พวกเราค่อยสนทนากัน" จากนั้นหันหน้าไปถามโรสว่า "เจ้าเป็นคนลาเวนดิสใช่ไหม"

    โรซาไลน์มีผมสีทองตาสีน้ำทะเลแสดงว่าเป็นคนลาเวนดิสโดยกำเนิด ตอบว่า "ใช่แล้วท่านผู้นำ ข้าเป็นชาวลาเวนดิสชื่อว่าโรซาไลน์ คอรันดัมอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆละแวกเมืองเจนีสใต้แห่งหนึ่ง ที่เดินทางออกมาครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือบลูซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับข้า"

    การาดอสนึกอยู่สักพักจึงถามว่า "เจ้าเป็นอะไรกับวินสตัน คอรันดัม"

    โรสตกใจจึงตอบไปว่า "นั่นเป็นชื่อของบิดาข้า ท่านรู้จักเขาหรือ"

    การาดอสกล่าวว่า "เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนวินสตัน คอรันดัมเป็นขุนพลแห่งอาณาจักรลาเวนดิสที่ยกกองทัพมาช่วยเหลือเมืองเจนีสในครั้งนั้น ทั้งสีผมและสีตาของเจ้าถอดแบบมาจากเขาไม่ผิดเพี้ยน แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นข้าเองก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย เขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ"

    โรสทำหน้าผิดหวังเมื่อไม่ได้ข่าวคราวของพ่อ ตอบไปว่า "ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตั้งแต่ข้ายังเด็กพ่อแม่ของข้าก็ออกไปทำอะไรสักอย่าง ปล่อยให้ลุงเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็ก"

    การาดอสตอบว่า "เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย พ่อของเจ้าเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเคยรู้จัก เขามีคุณธรรมน้ำมิตรและจิตใจที่ดีงาม รับรองต้องไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อเจ้า ข้าคิดว่าด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางประการจึงจำต้องจากเจ้าไป" จากนั้นการาดอสจึงหันไปถามถึงลูทเป็นคนสุดท้ายว่า "ส่วนเจ้าล่ะเป็นคนของอาณาจักรนอร์ใช่ไหม"

    ลูทเห็นว่าตนเองมีผมสีน้ำตาลค่อนข้างไปทางแดงจึงเกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นคนของอาณาจักรนอร์เขาตอบไปว่า "ไม่ใช่หรอกท่านผู้นำ ข้าชื่อลูท ออร์นิเทียเป็นคนจากนครมิสต์ บ้านข้าอยู่ที่หมู่บ้านสวนเชอร์รี่ติดชายแดนข้างเคียงนี่เอง พอดีพบกับบลูที่เป็นเพื่อนสนิทของข้าตั้งแต่ครั้งยังเรียนอยู่จึงเดินทางมาด้วยกัน"

    การาดอสหัวเราะยินดีราวกับได้ของวิเศษ จนทั้งสามต้องหันไปมองหน้าซึ่งกันและกันไม่ทราบว่าการาดอสหัวเราะเรื่องอะไร จากนั้นสักพักการาดอสจึงกล่าวว่า "ข้ายินดีที่ได้ลูกสาวของวินสตันและลูกชายของแมกซ์กลับมาเป็นพันธมิตรอีกครั้ง เจ้ารู้ไหมว่าแมกซ์พ่อของเจ้าสมัยก่อนเป็นหน่วยรบพิเศษจากมิสต์ผู้สร้างผลงานไว้มากมายในศึกครั้งนั้น ข้าได้ยินพวกเจ้ากล่าวว่าเรียนวิชาจากอาจารย์คนเดียวกันอย่างนั้นหรือเขาเป็นใคร"

    บลูตอบไปว่า "อาจารย์ของพวกข้าชื่อว่าดาธ ตอนนี้ก็น่าจะมีอายุประมาณสี่สิบห้าสี่สิบหกปี สอนวิชาให้พวกข้าทั้งสาม มีฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาด สมัยก่อนอาจารย์ก็เคยเข้าไปช่วยรบในศึกสงครามเจนีสเช่นกัน"

    การาดอสตอบว่า "ดาธหรือ ข้ากลับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เขาอาจจะเปลี่ยนชื่อปกปิดนามสกุลก็เป็นได้ คนที่มีชื่อเสียงมักจะทำเช่นนี้เพื่อหลีกหนีปัญหาที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิด" จากนั้นจึงกล่าวว่า "ในตอนนี้ข้ายอมรับพวกเจ้าทั้งสามว่าเป็นพวกเดียวกันโดยสนิทใจ ในเวลานี้ของทุกวันจะมีการประชุมช่วงเช้าพอดี ข้าจะหารือกับขุนพลคู่ใจทั้งสองของข้า ขอให้พวกเจ้ารั้งอยู่ก่อนเพราะหัวข้อที่จะประชุมในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมุดบันทึกที่พวกเจ้านำมา" จากนั้นจึงบอกผู้รับใช้หน้าห้องให้ไปตามตัวขุนพลทั้งสองเข้ามา

    พวกลูททั้งสามนั่งรอคอยสักพัก โรสกำลังคิดถึงเรื่องบิดาของตน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องราวของบิดาในรอบสิบกว่าปีจึงตั้งใจว่าการเดินทางครั้งนี้จะสืบข่าวถึงบิดามารดาของตนให้กระจ่าง หากชะตาฟ้าลิขิตให้เจอกันอีกครั้งเธอจะต้องได้พบกับบิดามารดาอย่างแน่นอน ระหว่างที่โรสครุ่นคิดอยู่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินเข้ามายังห้องประชุม ขุนพลของผู้นำการาดอสหนึ่งชายหนึ่งหญิงอายุประมาณสามสิบปีเศษเดินทางเข้ามาทำความเคารพการาดอสคราหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับพวกลูททั้งสาม

    การาดอสพอแนะนำคนทั้งสามให้กับขุนพลทั้งสองรู้จักแล้วจึงหันมาแนะนำขุนพลทั้งสองให้กับพวกลูทรู้จัก เขาผายมือไปที่ขุนพลผู้ชายกล่าวแนะนำว่า "ผู้นี้เป็นกุนซือของข้ามีนามว่าราเมส เขาเปรียบเสมือนมือขวาของข้าเป็นผู้ที่วางแผนกลยุทธ์ต่างๆทั้งหมดให้กับกลุ่มประสานเจนีส"

    เมื่อบลูพิจารณาบุคลิกของราเมสก็พบว่าเหมือนกับอ่อนแอไม่สามารถต้านแรงลมได้ เขาอยู่ในชุดนักศึกษาสีเขียวแต่พอบลูพบเห็นประกายตาของเขาก็ทราบว่าคนนี้เป็นคนที่ฉลาดและงำประกายมีความสามารถในการใช้เอลเป็นเลิศคนหนึ่ง

    ทั้งลูทและโรสเห็นว่าคนผู้นี้เป็นคนที่น่ากลัวคนหนึ่ง ภายใต้การงำประกายและสีหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปรทำให้ไม่มีทางทราบได้ว่าภายในจิตใจของเขานั้นคิดอะไรอยู่

    กุนซือราเมสทักทายกับพวกลูทคำหนึ่ง จากนั้นการาดอสจึงแนะนำขุนพลผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขากล่าวว่า "แม่ทัพมอริแกนคนนี้มีฝีมือในการรบเก่งกาจ พวกเจ้าอย่าได้ดูถูกว่าเธอเป็นผู้หญิง ถ้าเห็นเธอในสนามรบเมื่อไหร่ถือว่าพบเห็นยมทูตเมื่อนั้น"

    แม่ทัพมอริแกนกล่าวว่า "ท่านผู้นำก็พูดเกินเลยไปข้าไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น เดี๋ยวพวกน้องทั้งสามจะเข้าใจผิด"

    มอริแกนเป็นผู้หญิงที่มีผมน้ำตาลแสดงว่าเป็นชาวเจนีสแท้ๆอีกคนหนึ่ง หน้าตาจัดว่าสวยงามหมดจดไปกว่าหญิงชาวบ้านธรรมดาไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่ทัพของกองกำลังประสานเจนีส

    ลูทนึกในใจว่าจะเข้าใจผิดได้อย่างไรกันล่ะดูจากท่าเดิน อาวุธและชุดเกราะก็รู้แล้วว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือ ถ้าเขาบังเอิญได้สู้กับแม่ทัพมอริแกนรับรองต้องเสียทีในช่วงเวลาอันสั้น ถ้าคู่ต่อสู้คนใดประมาทเพราะถือว่าแม่ทัพมอริแกนเป็นผู้หญิงแล้วละก็รับรองตายสถานเดียว

    โรซาไลน์กลับคิดตรงกันข้ามกับลูท เธอเห็นว่าพี่สาวคนนี้ทั้งสวยงามทั้งเก่งกาจ ตนเองก็อยากจะเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพเช่นนี้เหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าโลหิตของขุนพลแห่งลาเวนดิสในกายที่ไหลเวียนอยู่ส่งอิทธิพลต่อความคิดเช่นนี้ของเธอหรือไม่

    ส่วนบลูกลับมีความเห็นต่างออกไป เขาคิดว่าแม่ทัพมอริแกนถึงเป็นผู้หญิงก็ยังมีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ชาย คาดว่าคงใช้เอลร่วมกับทักษะการสู้รบได้เป็นอย่างดีไม่เช่นนั้นด้วยพละกำลังของผู้ชายที่มากกว่าผู้หญิงโดยสรีระเธอคงไม่ได้รับคัดเลือกมาในฐานะของแม่ทัพ

    แต่สิ่งที่พวกเขาทั้งสามมีความคิดตรงกันก็คือ การาดอสใช้คนด้วยความสามารถของบุคคล ไม่เช่นนั้นจะให้ผู้หญิงมาเป็นแม่ทัพคุมกองกำลังทหารได้อย่างไร นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้การาดอสเข้าไปนั่งอยู่ในจิตใจของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่เหมือนกับผู้บัญชาการคนอื่นๆที่เพียงแต่ใช้สอยบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตนเองเช่นเครือญาติเป็นต้น

    การาดอสพอแนะนำขุนพลทั้งสองเสร็จสิ้นจึงกล่าวว่า "เอาล่ะ เรามาเริ่มสนทนาในประเด็นสำคัญกันเถิด ข้าขอเปิดประชุม ณ บัดนี้"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×