ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #8 : กลุ่มปลดปล่อยเจนีส (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.26K
      2
      10 ก.ค. 50

    ภาคแผนครองพิภพ

    ตอนที่ 8 กลุ่มปลดปล่อยเจนีส

    3 กุมภาพันธ์ อศ. 226

    โรซาไลน์บอกให้ลูทนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนที่สี่ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในการใช้เอล

    ลูทนับว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะทางด้านเอลแต่ทว่าเขาฝึกเอลช้ากว่าผู้ที่ฝึกคนอื่นๆเป็นเวลากว่าสิบปี ถ้าเป็นคนปกติธรรมดาจะเริ่มฝึกเอลเมื่อราวอายุเจ็ดถึงแปดขวบ พอเติบโตขึ้นอายุราวยี่สิบก็จะสามารถเป็นผู้ใช้เอลระดับกลางหรือระดับสูงได้ โรสก็ผ่านการฝึกเช่นนี้จนสามารถสำเร็จเป็นผู้ใช้เอลระดับสูงเมื่ออายุราวยี่สิบปี ถ้าคนหัวดีที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้อาจจะเลื่อนขึ้นไปถึงปราชญ์ชั้นกลางดั่งเช่นบลูเพื่อนของเขา

    ระดับของเอลลิสจะแบ่งตามความสามารถของเอลที่ใช้ได้ เริ่มจากผู้ใช้เอลชั้นต้น ผู้ใช้เอลชั้นกลางและผู้ใช้เอลชั้นสูง สามระดับนี้ถือว่าเป็นสามระดับล่างสุดในบรรดาเอลลิสทั้งหมด เมื่อผ่านระดับของผู้ใช้เอลทั้งสามขั้นแล้วก็จะก้าวขึ้นเป็นระดับปราชญ์ ซึ่งก็จะแบ่งเป็นต้น กลางและสูงเช่นเดียวกัน ระดับต่อจากนี้ก็จะมีจอมปราชญ์อีกสามระดับ จอมขมังเวทย์อีกหนึ่งระดับจึงจะขึ้นสู่ระดับแห่งฟ้า ระดับแห่งฟ้าทั้งสามระดับมิได้เรียกว่าต้น กลาง สูงดังเดิมหากแต่เปลี่ยนชื่อเป็นวิถีแห่งฟ้า บัญญัติแห่งฟ้าและหยั่งรู้ฟ้าดิน ซึ่งระดับหยั่งรู้ฟ้าดินนี้เป็นเป้าหมายในชีวิตของบลู

    บรรดาเอลลิสอาวุโสหลายคนต่างเชื่อกันว่ามีระดับที่อยู่สูงกว่าระดับหยั่งรู้ฟ้าดินไปอีกขั้นหนึ่งเรียกว่าฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันทอดสายตาทั้งแผ่นดินไม่มีผู้ใดสามารถฝึกปรือได้ถึงขั้นนั้น

    การเลื่อนขั้นแต่ละขั้นมิใช่ว่ากระทำกันได้ด้วยตนเอง จริงอยู่ระดับผู้ใช้เอลหรือระดับปราชญ์สามารถเลื่อนกันได้ไม่ยาก เพียงศึกษาตำราและใช้เอลที่ระบุเอาไว้ว่าเป็นเอลสำหรับขั้นต่อไปได้สำเร็จก็จะเลื่อนขั้นได้ แต่ถ้าเป็นระดับจอมปราชญ์ขึ้นไป ผู้ที่จะเลื่อนขั้นจะต้องผ่านการทดสอบที่บัญญัติเอาไว้เสียก่อนถึงจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นจอมปราชญ์ได้ เอลลิสระดับจอมปราชญ์จะได้รับเกียรติจากผู้คนทั่วแผ่นดินราวกับว่าเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ประการหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านทั้งหลายจึงหวังว่าจะฝึกบุตรธิดาของตนให้เป็นเอลลิสผู้เก่งกาจขนาดขึ้นเป็นจอมปราชญ์ได้ หารู้ไม่ว่าบรรดาผู้ฝึกเอลนับพันคนจะมีผู้ที่สำเร็จระดับจอมปราชญ์เพียงคนเดียว ความพยายามมิได้ช่วยให้คนธรรมดาบรรลุถึงระดับจอมปราชญ์ หากแต่เป็นความสามารถส่วนบุคคลล้วนๆ

    ลูทพักผ่อนเพียงพอแล้วจึงขอให้โรสแนะนำวิธีการขั้นฝึกเอลในขั้นที่สี่ซึ่งถือว่าเป็นขั้นสุดท้ายและยากที่สุดในบรรดาขั้นตอนทั้งหมด

    โรสจึงกล่าวว่า "เอาล่ะ ขั้นตอนที่สี่ ขั้นตอนนี้เป็นการปลดปล่อยเอลของตัวเองที่รวบรวมมาได้ออกไป ทำให้เกิดเป็นพลังงานหรือที่เรียกว่าอาคมนั่นเอง ลูทจะรู้สึกเหมือนกับเรี่ยวแรงของตัวเองหายไปเพราะว่าเอลที่โคจรอยู่ไหลออกจากร่างกายไปสู่ด้านนอก โดยผู้ฝึกช่วงแรกอาจจะเหมือนรู้สึกราวกับวิ่งติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง แต่ผู้ฝึกขั้นสูงที่ชำนาญแล้วจะมีเอลที่ไหลเวียนอยู่มากกว่าทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยมากแต่อย่างใด เอลที่สะสมเอาไว้จะเปรียบเสมือนกะละมังหรือโอ่งใส่น้ำถังหนึ่ง ถ้าใช้ออกก็เหมือนเทน้ำออกไปจำนวนหนึ่งถ้าภาชนะใส่น้ำมีขนาดใหญ่แล้วล่ะก็สามารถเทออกได้มากครั้งกว่าภาชนะขนาดเล็ก ยกตัวอย่างง่ายที่สุดเช่นบลูสามารถใช้เอลได้หลายครั้งกว่าโรสเพราะว่ามีเอลที่สะสมเอาไว้มากกว่า นี่เป็นหลักการคร่าวๆที่เจ้าจะต้องจดจำเอาไว้ก่อน"

    ลูทพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจพยายามปลดปล่อยเอลที่รวบรวมเอาไว้ที่มือข้างซ้าย โรซาไลน์บอกให้ลูทหยุดก่อนเธอยังอธิบายไม่จบอย่าพึ่งทดลองทำตามจากนั้นจึงกล่าวว่า "วิธีการฝึกขั้นตอนที่สี่แบ่งเป็นสองขั้นตอนย่อย ขั้นตอนย่อยที่หนึ่งเรียกว่าประสาน ขั้นตอนย่อยที่สองเรียกว่าปลดปล่อย ขั้นตอนประสานเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องฝึก คือก่อนที่จะปลดปล่อยพลังงานออกไปผู้ใช้เอลจำเป็นจะต้องประสานพลังของเอลที่รวบรวมมาจากภายในร่างกาย ซึ่งในจุดนี้เรียกว่าเอลภายในเข้ากับเอลภายนอกทั้งเจ็ดคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง ความมืดและมิติ เพื่อที่จะให้เอลที่กำลังจะปลดปล่อยออกมามีพลังงานของเอลธาตุธรรมชาติประสานแฝงอยู่  หากไม่ประสานธาตุก็จะขัดกับหลักธรรมชาติภายนอกทำให้เอลในร่างไม่มีช่องทางออกมา เช่นการร่ายอาคมธาตุลมเพื่อที่จะตัดท่อนไม้ออกเป็นสองท่อนแบบที่บลูใช้ดาบสุญญากาศ ถ้าเป็นเอลที่ไม่ประสานธาตุลงไปก็จะไม่มีทางระบายออกมาได้

    เมื่อประสานธาตุเสร็จสิ้นก็จะถึงขั้นตอนย่อยที่สอง ขั้นตอนนี้คือการปลดปล่อยเอลที่ประสานเสร็จสิ้นออกไปด้านนอก โดยสื่อสารไปให้เอลที่โคจรอยู่ภายในผลักดันเอลที่เตรียมไว้ออกไป ในขณะที่เริ่มฝึกก็จะฝึกแยกกันโดยที่จะฝึกประสานก่อนแล้วจึงปลดปล่อย แต่ท้ายที่สุดลูทจะต้องทำให้ขั้นตอนย่อยทั้งสองกลมกลืนกันเป็นขั้นตอนเดียวโดยที่ไม่มีรอยต่อ จึงจะถือว่าฝึกวิธีการใช้เอลได้สำเร็จ ตอนนี้เจ้าก็ทดลองดูได้แล้ว"

    การฝึกในขั้นตอนย่อยที่หนึ่งนี้กลับไม่ราบรื่นเหมือนกับสามขั้นตอนที่ผ่านมา ลูทรวบรวมเอลภายในร่างกายมาได้แต่ไม่สามารถประสานเข้ากับธาตุใดๆได้ เขาทดลองไปทั้งห้าธาตุก็ไม่สามารถประสานเข้ากับธาตุใดๆได้เลย ทั้งบลูและโรสก็พยายามจะแนะนำธาตุที่ตนเองถนัดคือดิน น้ำ ลม ไฟและแสงซึ่งลูทไม่สามารถใช้ได้ พวกเขาทั้งสองก็ไม่ทราบวิธีการประสานเอลเข้ากับธาตุความมืดหรือมิติจึงไม่สามารถแนะนำเพิ่มเติมได้อีก

    พวกเขาลองฝึกกันอยู่เป็นเวลานานจนลูทเหน็ดเหนื่อย บลูที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้มากกว่าโรสจึงครุ่นคิดถึงกรณีเช่นนี้ที่เขาพบในสมัยยังเป็นนักเรียนอยู่ บางสิ่งบางอย่างดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง

    บลูกล่าวว่า "จากที่ข้างตั้งสมมุติฐานเอาไว้ ลูทสามารถใช้เอลได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอนไม่เช่นนั้นคงจะไม่สามารถผ่านขั้นตอนการฝึกเอลทั้งสามได้ ดูจากเอลในมือซ้ายก็เห็นว่าผ่านขั้นตอนรวบรวมเอลได้สำเร็จ ดังนั้นปัญหาคงจะไม่อยู่ที่สามขั้นตอนแรก หากแต่เป็นขั้นตอนที่สี่ การประสานอาจจะกำหนดธาตุไม่ถูกก็เป็นได้ บางคนถ้าไม่ใช้ให้ถูกธาตุก็ไม่มีวันใช้เอลได้ เหมือนข้าไม่สามารถใช้เอลแสง ความมืดและมิติได้ไม่ว่าจะลองประสานกี่ครั้งก็ตาม ดูท่าเจ้าจะต้องไปนอนพักเสียก่อนแล้วล่ะ รอจนกว่าพวกเราจะไปถึงเมืองโอดินถ้าถึงที่นั่นแล้วข้าพอจะขอให้ครูฝึกเอลที่โรงเรียนข้าช่วยสอนเจ้าอีกที"

    ทั้งลูทและโรสพยักหน้าคราหนึ่งแสดงว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่บลูกล่าว ความหวังที่จะให้ลูทใช้เอลได้ภายในหนึ่งชั่วโมงก็ดับวูบไป นี่เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบังแท้ๆ ถ้าไม่มีคนชี้แนะวิธีประสานธาตุสองแบบให้กับเขาลูทก็ยังคงต้องใช้กระบี่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ลูทสามารถฝึกขั้นตอนการใช้เอลที่คนปกติใช้เวลาหลายเดือนได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียวก็ถือว่าย่นระยะเวลาไปมากยิ่งกว่ามาก

    บลูกล่าวต่อไปว่า "ถ้าหากว่าเป็นธาตุความมืดข้าว่าคงหาคนสอนให้เจ้าได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นธาตุแห่งมิติเนี่ยล่ะสิ ข้าว่าเจ้าอาจจะต้องรออยู่นานสองนานเลยล่ะ เพราะว่าเอลแห่งมิติเป็นหลักวิชาใหม่ซึ่งคนพบเมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี่เอง คนฝึกได้และคนใช้ได้จึงมีน้อยกว่าน้อย ที่โรงเรียนเก่าข้าจำได้ว่ามีครูอยู่คนหนึ่งที่สามารถใช้เอลแห่งมิติได้แต่ไม่ค่อยจะอยู่กับร่องกับรอยเท่าใดนัก ถ้าครูอยู่พอดีก็ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้วกัน"

    พอลูทได้ยินบลูกล่าวอย่างนั้นก็ยิ่งหดหู่ลงไปอีก เขาได้แต่เฝ้าภาวนาว่าขอให้ครูที่นั่นอยู่ครบด้วยเถิด อย่างน้อยเขาก็อยากจะใช้เอลเป็นจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงเพื่อนทั้งสองในการเดินทางครั้งนี้

    ความหมายของคำว่าครูกับอาจารย์ในโรงเรียนนี้ต่างกันมากนัก การที่ครูแต่ละคนจะก้าวขึ้นไปเป็นอาจารย์จะต้องผ่านการทดสอบจากอาจารย์คนอื่นๆ หรือฝึกเอลจนได้ระดับจอมปราชญ์ชั้นสูงขึ้นไป ฉะนั้นบลูถึงเรียกครูที่โรงเรียนเซนต์เอลลิสว่าครู หากแต่เรียกอาจารย์ดาธว่าอาจารย์

    เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง บลูเดินไปหยิบหอกสั้นของตนเองขึ้นมาเช็ดถูกทำความสะอาด ตัวด้ามหอกมีกลไกแฝงอยู่ถ้ากดปุ่มแล้วกลไกไม่ทำงานหอกสั้นไม่ยอมยืดเป็นหอกยาวอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต เขาบ่นขึ้นให้เพื่อนทั้งสองฟังว่า "หอกกิ๊กก๊อกด้ามนี้ใช้สู้ไม่กี่ครั้งก็จะพังเสียแล้ว ไม่รู้ว่าสร้างมาได้อย่างไรข้าใช้เหรียญเงินตั้งสิบกว่าเหรียญแลกซื้อมา"

    เงินตราของยุคนี้จะเป็นเหรียญทองแดง เงินและทองที่ใช้ร่วมกันในทุกอาณาจักร แต่ว่าแต่ละอาณาจักรก็จะมีแม่พิมพ์และรูปแบบต่างกันออกไป สิ่งที่ถูกควบคุมให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก็คือขนาดและน้ำหนักจะต้องเท่ากันไม่ว่าผลิตที่ใดก็ตาม อัตราส่วนการแลกเปลี่ยนของเหรียญแต่ละชนิดคือทองแดงห้าเหรียญจะเท่ากับเงินหนึ่งเหรียญ เหรียญเงินร้อยเหรียญจะเท่ากับทองหนึ่งเหรียญ แต่ทว่าเหรียญทองได้ถูกยกเลิกการใช้งานเปลี่ยนเป็นธนบัตรแทนเพราะว่าเหรียญทองนั้นทั้งหนักและเก็บรักษายาก ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ ทั้งสามอาณาจักรคือนอร์ ลาเวนดิสและเอนเซลมีมติร่วมกันให้มิสต์ที่เป็นรัฐกลางทำการดูแลเรื่องเงินตราชนิดธนบัตร

    ศูนย์กลางเรื่องการเงินนี้จะอยู่ที่เมืองออรอนที่เป็นเมืองอันดับสองของนครมิสต์ ธนบัตรที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเมืองออรอนมีสามชนิดคือเทียบเท่าเงินสิบเหรียญ ห้าสิบเหรียญและทองหนึ่งเหรียญ อย่างไรก็ตามผู้คนก็ยังติดคำว่าเหรียญทองอยู่เพราะว่าคุ้นเคยและใช้กันมานานหลายร้อยปี

    เมื่อลูทได้ยินบลูกล่าวถึงเรื่องศาสตราวุธที่ติดตั้งกลไกจึงมีอารมณ์ดีขึ้นเพราะว่าเพื่อนของเขาบ่นถึงเรื่องสิ่งประดิษฐ์ที่เขาชอบ ลูทจึงขอยืมหอกของบลูมาดูเพื่อจะตรวจสภาพของอาวุธที่บลูใช้

    พอลูทตรวจสอบดูสักพักหนึ่งก็ส่ายหน้าอยู่สองสามครา กล่าวว่า "หอกชิ้นนี้ทำด้วยเหล็กธรรมดาไม่ใช่เหล็กกล้าอันใด ปุ่มกลไกนี่ก็ออกแบบเอาไว้อย่างหยาบๆ พอกดเข้ากดออกไม่ถึงร้อยครั้งก็คงจะสึกทำให้กลไกฝืด นี่บลูเจ้าลองมาดูสิพอข้ากดไปสามครั้งความยาวด้ามหอกที่ยื่นออกมาไม่เห็นจะเท่ากันสักครั้ง บลูเจ้าซื้อมาได้ยังอย่างไรนี่"

    บลูถามสวนลูทกลับว่า "แล้วข้าจะดูเป็นได้อย่างไรละ ตอนข้าซื้อหอกนี้เจ้าก็ไม่ได้อยู่ด้วย หอกอันนี้ความจริงข้าก็ไม่อยากใช้มันนักหรอกแต่ก็มีเอาไว้ดีกว่าไม่มี อย่างน้อยก็ถือว่าป้องกันตัวในระยะใกล้ได้ระดับหนึ่ง แล้วเจ้าว่าต้องทำด้วยวัสดุอะไรถึงจะดีเมื่อเจ้าบอกว่าหอกพวกนี้ทำจากเหล็กธรรมดา"

    โรสที่นั่งอยู่ด้านข้างจะเรียกว่าไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลยก็ไม่ผิด เธอก็ได้แต่นั่งดูผู้ชายสองคนเขาพูดจากโต้ตอบกันส่วนตนเองก็รับฟังเอาไว้อย่างเดียวเผื่อจะได้รับความรู้ใหม่ๆที่เป็นประโยชน์บ้าง

    ลูทได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวว่า "ถ้าเป็นเรื่องเอลข้ายอมรับว่าเจ้าเก่งกว่าข้าสามร้อยเท่า แต่ถ้าเป็นเรื่องวัสดุนี่ข้านับว่าเป็นอาจารย์ปู่ของเจ้ายังน้อยไป"

    เมื่อลูทคุยโอ้อวดเสร็จก็ทำท่าจะอธิบายให้เพื่อนฟัง บลูรู้อยู่แล้วว่าลูทจะต้องพูดทำนองนี้ ด้วยความเคยชินจึงนั่งฟังอย่างยิ้มแย้ม

    ก่อนที่ลูทจะอธิบายได้ถามบลูกลับไปว่า "เจ้าใช้เอลเป็นหลักทำไมไม่ใช้อาวุธประเภทไม้เท้าหรือคทาที่ติดแร่เอลไลท์เอาไว้ เอลของเจ้าจะได้มีอานุภาพมากยิ่งขึ้น"

    บลูตอบว่า "ตอนแรกข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เจ้าลองคิดดูถ้าเกิดเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถทำอันตรายได้ด้วยเอลแล้วจะทำอย่างไร หรือว่าถ้าเจอคู่ต่อสู้ตอนพลังเอลของข้าหมดฟื้นฟูไม่ทันข้าก็จะไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือช่วยป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย ที่กล่าวมาทั้งหมดยังมีน้ำหนักไม่เท่าประเด็นถัดไปซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นก็คืออาวุธประเภทไม้เท้าที่ติดแร่เอลไลท์แท้ๆเอาไว้มีราคาสูง ยิ่งทนทานเอลได้มากเท่าใดก็ยิ่งราคาสูงตามไปเท่านั้น ข้าจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาได้อย่างไรกัน"

    ลูทกล่าวตอบว่า "ที่เจ้าพูดมาก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง ข้าพอจะคิดอะไรออกแล้ว พวกเจ้าลองมาดูอาวุธชิ้นนี้ดีกว่า" พลันกวักมือเรียกบลูและโรสไปดูศาสตราวุธจากหนังสือที่บิดาเขารวบรวมเอาไว้

    ลูทพลิกไปหน้าหนึ่งแล้วชี้ให้ดูพร้อมกล่าวว่า "นี่คงเป็นอาวุธที่เหมาะกับเจ้าที่สุดมันเรียกว่าวิสุทธิ์ศาสตรา เป็นไม้กระบองหรือไม้เท้าก็ได้แล้วแต่เจ้าจะเรียก มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกตรงยาวประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร วัสดุที่ทำส่วนตัวของมันหลอมมาจากแร่อันดามัน เอรูไดท์ โอริฮาลกอนและมิทราลผสมรวมกันในอัตราส่วนสี่ต่อสองต่อหนึ่งต่อหนึ่ง ที่ปลายทั้งสองข้างบรรจุเอาไว้ด้วยก้อนแร่เอลไลท์ที่แฝงกลไกยืดหดได้ ถ้าผู้ถืออาวุธชนิดนี้บังคับให้เอลไหลผ่านจากปลายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งส่วนที่เป็นด้ามของมันก็จะยืดออกได้ตามต้องการ วัสดุทั้งสี่ผสมเป็นแกนกลางของกระบองมีความคงทนสูงกว่าเหล็กกล้า ผู้ใช้สามารถนำเข้าต่อสู้ประชิดตัวได้อย่างสบายไม่เกรงกลัวอาวุธวิเศษใดๆทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ถูกทุบด้วยโอริฮาลกอนแท้ๆ วิสุทธิ์ศาสตราชิ้นนี้คงจะเป็นอาวุธที่ใฝ่ฝันของผู้ใช้เอลแทบทุกคน"

    บลูถามลูทด้วยความสงสัยว่า "ไอ้แร่อันดามัน เอรูไดท์ โอริฮาลกอนนี่มันอะไรกัน จากทั้งหมดที่เจ้าพูดมาข้าเคยได้ยินแต่แร่มิทราล"

    ลูทอธิบายด้วยความยินดีที่เพื่อนถามว่า "แร่พวกนี้ถือเป็นโลหะที่หายากแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป แร่อันดามันมีสีน้ำเงินสกัดได้จากใต้ทะเลลึกเท่านั้นมีคุณสมบัติหยุ่นเหนียวและแข็งแรงอยู่ในตัว นิยมมาทำเป็นชุดเกราะป้องกันราคาแพง แร่เอรูไดท์มีสีขาวทนทานเอลได้ดีกว่าโลหะประเภทอื่น โดยปกติแล้วจะมาทำเป็นคทาหรือไม้เท้าร่วมกับแร่เอลไลท์ แร่โอริฮาลกอนหายากที่สุดในบรรดาแร่ที่กล่าวมา มันเป็นแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหากนำมาทำเป็นคมดาบคมกระบี่แล้วล่ะก็จะไม่เกรงกลัวศาสตราวุธใดๆ ส่วนแร่มิทราลไม่ได้จัดเป็นแร่ชั้นยอดเหมือนกับสามอย่างที่ข้าบอกไปแต่มันเป็นแร่สังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ถูกสร้างจากเอลไลท์และเหล็กกล้านิยมมาทำอาวุธที่เกี่ยวข้องกับเอล มีคุณสมบัติฟื้นตัวได้เมื่อดูดซับพลังเอลธาตุชนิดเดียวกันกับการหลอม เหมือนปลายหอกที่อัศวินดำหัวแดงนั่นใช้"

    บลูสงสัยจึงถามว่า "ไม่ใช่เอลไฟหรอกหรือที่ใช้ซ่อมโลหะมิทราล"

    ลูทตอบว่า "ไม่ใช่ โลหะมิทราลถูกหลอมได้โดยเอลเท่านั้นไม่ว่าเอลชนิดใดก็หลอมมันได้ หากจะซ่อมก็ต้องใช้เอลชนิดเดียวกันหลอมใหม่ อย่างหอกทมิฬหลอมมาจากเอลที่สี่ก็ต้องใช้เอลที่สี่ในการซ่อม นี่เป็นทฤษฎีการใช้โลหะมิทราลของเอลเทค"

    โรสพึ่งจะเอ่ยปากได้เป็นครั้งแรกก็ถามอย่างตรงประเด็นว่า "แล้วเราจะมีปัญญาที่ไหนไปเอามาล่ะลูท" บลูพยักหน้าเห็นด้วยกับโรสทันที ตัวเขาเองก็ทึ่งในความสามารถของอาวุธชิ้นนี้แต่ก็เหมือนความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่น่าจะเป็นเจ้าของมันได้ ถ้าหากจะซื้อด้วยเงินก็คงจะราคาสูงกว่าหมื่นเหรียญทอง เงินจำนวนนั้นสามารถเลี้ยงคนทั้งเมืองได้เป็นเดือนทีเดียว

    ลูทกล่าวตอบว่า "อาวุธชิ้นนี้เป็นสมบัติของเมืองเจนีสก่อนที่จะตกเป็นของอาณาจักรนอร์ ก่อนที่จะเกิดสงครามเจนีสขึ้นพ่อของข้าก็ค้นพบอาวุธชนิดนี้และทำแผนที่เอาไว้ในพื้นที่ของเจนีสเหนือ ข้าดูไปดูมาก็พบว่าอาวุธชนิดนี้เก็บไว้ในรังของกองโจรสุนัขป่า ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิดขุนโจรราเกซคงจะซ่อนเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง พอถึงตอนนี้ราเกซถูกมือปราบไกกำจัดไปแล้ว เจ้าลองคิดดูดีๆสิ ข้าคิดว่าอาวุธจะต้องอยู่ในรังของมันแน่นอนเพราะว่าถ้าราเกซนำติดตัวเอาไว้ก็คงจะเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ตอนถูกไกกำจัด ถ้าเราลองเสี่ยงโชคไปค้นดูก็อาจจะเจอก็เป็นได้ รังของราเกซอยู่ระหว่างเมืองโอดินที่เราจะไปกับเมืองเจนีสเหนือแห่งนี้ เราเสียเวลาไปค้นหาอย่างมากก็ครึ่งวันทำให้พวกเราเดินทางช้าลงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าพวกเราหาพบมันก็จะเป็นกำลังสำคัญของพวกเราต่อไป พวกเจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร"

    บลูและโรสได้ยินดังนั้นก็คึกคักขึ้นมาทันทีกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นเมื่อพวกเราเสร็จเรื่องราวของท่านการาดอสจะไปลองเสี่ยงโชคดูสักครา ไกพึ่งจะปราบราเกซได้เมื่อวานนี้เอง ถ้าพรุ่งนี้พวกเราออกเดินทางไปก็คงอาจจะพอมีหวังบ้าง ถ้าเกิดว่ารังของราเกซจะยังไม่โดนพวกมือปราบท้องถิ่นยกเค้าไปก่อนนะ"

    ทั้งสามส่งเสียงตอบตกลงว่าจะไปลองทดสอบค้นหายอดศาสตราวุธดูสักครา ถึงไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของเพียงแค่ได้เห็นของวิเศษก็ถือว่าเป็นบุญตาแล้ว

    บลูจึงกล่าวว่า "เอาอย่างนี้ละกันพวกเจ้าทั้งสองพักผ่อนไปก่อน เดี๋ยวข้าจะออกไปทิ้งรหัสของเนสเอาไว้เพื่อที่จะติดต่อกับกองกำลังประสานเจนีสว่าขอเข้าพบกับท่านการาดอสในวันพรุ่งนี้เช้า จากนั้นพรุ่งนี้เวลาบ่ายพวกเราจะไปสำรวจยอดศาสตราวุธนี้ดูสักครั้งหนึ่ง"

    โรสกล่าวว่า "เดี๋ยวข้าออกไปด้วยแล้วกันจะไปเดินเล่นงานประจำปีสักหน่อย"

    ลูทยักไหล่ กล่าวว่า "ไปซื้อของอีกแล้วล่ะสิ ถ้าแบบนั้นข้าก็ออกไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาด้วยดีกว่า นั่งจับเจ่าคนเดียวอยู่ในห้องมันก็น่าเบื่อใช่ย่อย"

    เนื่องจากทั้งสามพักผ่อนกันเพียงพอแล้วก็พากันเดินออกจากที่พัก ตรงไปยังถนนสายหลักของเมืองเจนีสเหนือซึ่งเป็นถนนสายหลักที่มีการจัดงานประจำปี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×