ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #254 : เล่ม 8 - ตอนที่ 113 - เส้นทางลับ (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.18K
      5
      1 ม.ค. 52

    /> /> />

    ซิงเควด้า!?’ เอโนทาลหันกลับไปมองก็พบว่าธนูถูกยิงมาจากบุรุษที่เคยเป็นนายเก่าของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองที่คงเหลืออยู่น้อยนิดพลันปลาสนาการหายไปสิ้น

    เอโนทาลคำรามลั่นเป็นครั้งที่สองเป่าลมหายใจเปลวเพลิงเข้าใส่ซิงเควด้า ก่อนที่จะกระพือปีกบินไต่ระดับเหนือรัศมีศร ติดตรงที่กล้ามเนื้อไหล่ที่ถูกศรยิงเมื่อครู่เป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมปีกส่วนหน้า จึงมิอาจเร่งความเร็วได้เท่าเดิม

    สวบ! ศรดอกที่สองยิงทะลุฝ่าเท้าของเอโนทาลก่อนที่จะถึงท้องฟ้าเหนือรัศมีศร

    ซิงเควด้าหลบรอดเปลวเพลิงพลางปล่อยศรออกเป็นดอกที่สอง กล่าวว่า “หากเจ้ามิใช่มังกรของข้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นมังกรของผู้ใด!

    เอโนทาลกัดฟันทนทานอาการเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งสอง เหลือบสายตาออกไปเห็นเหล่านักรบมังกรและขุนพลมังกรทยอยกันบินขึ้นสู่น่านฟ้า ไล่ล่าตัวนางอย่างไม่ลดละ จึงเร่งความเร็วสูงสุดเท่าที่จะกระทำได้บินกลับไปให้มือธนูบนกองเรือของออสวอลคุ้มครอง

    ฟาฟเนอร์ที่อยู่เบื้องล่างชมดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน กล่าวกับนายของมันว่า “ปล่อยนางไปอย่างนี้ดีแล้วหรือ?

                    เบลโทริน่าพยักหน้าครั้งหนึ่ง “ตราบใดที่ท่านฮินเดลยังไม่สั่งการ พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติการตามอำเภอใจ ดูจากความเร็วของนางแล้วอีกไม่กี่อึดใจขุนพลมังกรคงจะไล่ทัน พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกแรง”

                    หากเอโนทาลไม่บาดเจ็บแม้แต่เงาหลังของนางขุนพลมังกรพวกนี้ยังไม่มีโอกาสเห็น แต่ในสถานการปัจจุบันมิใช่เช่นนั้น ขุนพลมังกรที่ขี่ไวเวิร์นความเร็วสูงไล่มาจนกระชั้นชิดเบื้องหลังนางอย่างที่เบลโทริน่ากล่าว

                    เอโนทาลก้มลงเบื้องล่างพบว่าตนเองพ้นเขตของกำแพงเมืองนครมิสต์มาแล้ว จึงใช้ไหวพริบหุบปีกลดความเร็วลงกระทันหัน สะบัดหางเข้าใส่ขุนพลมังกรที่เร่งความเร็วตามมา กระแทกไวเวิร์นตัวนั้นเข้าอย่างจังจนปลิวออกไปไกล ส่วนตัวนางเองหลังจากที่หุบปีกลงก็มิอาจฝืนอาการเจ็บปวดกางขึ้นใหม่ได้ จึงเหลือปีกข้างเดียวพยุงทิศทางให้ร่อนไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก พุ่งศีรษะเข้าใส่กองเรือของออสวอลกลายสภาพเป็นมนุษย์

                    สตีเฟ่นเห็นภาพที่ลาโทน่าบาดเจ็บบินถลาลงมา จึงปีนขึ้นไปยังเสากระโดงเรือกระโดดรับร่างของมังกรที่เปลี่ยนเป็นสตรี ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ลาโทน่า!

                    ควับ ควับ ควับ! เสียงธนูแหวกอากาศหลายพันดอกยิงขึ้นต้านทานกองทัพมังกรที่ไล่ล่าเอโนทาลมา นักรบมังกรหลายสิบนายร่วงหล่นจากฟากฟ้าลงสู่แม่น้ำลาเมนท์ กองเรือของออสวอลช่วยลาโทน่าไว้ได้สำเร็จ

                    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” สตีเฟ่นกล่าวเมื่อเห็นโลหิตหลั่งไหลท่วมหัวไหล่และฝ่าเท้าของนาง ยินเสียงออสวอลตะโกนขึ้นว่า “หน่วยพยาบาล! ตามหน่วยพยาบาลมาด่วน!

                    ยินเสียงลาโทน่าดังขึ้นด้วยสายตาที่ลืมอยู่เพียงครึ่งหนึ่งว่า “ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์” กล่าวจบดวงตาทั้งสองก็ปิดลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยและพิษบาดแผล

                    “โลหิตของเจ้าจะต้องไม่หลั่งโดยเปล่าประโยชน์” เสียงของไอเวอเรียสดังขึ้นแทนคำตอบว่า “กองเรือเพลิงถึงจุดหมายแล้ว ยิงธนูเพลิงเผานครมิสต์ให้ราบคาบ!

                    การสั่งการครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้สัญญาณโคมอีกต่อไป เสียงของเสนาธิการหนุ่มผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพลังและความฮึกเหิม ดังเพียงพอที่จะทำให้ลูกเรือทั้งสิบลำได้ยินโดยพร้อมเพรียง

     

    นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่ทางใต้ดินเช่นนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีลมเย็นพัดผ่านเอื่อยๆตลอดเวลา

                    หลังจากที่บุรุษหนุ่มทั้งสองร่วงหล่นลงมาก็พบกับทางลาดชันยาวเหยียด พวกเขากลิ้งหลุนๆไปตามทางลาดนานกว่าสิบนาทีจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ปลายอีกแห่งหนึ่ง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและปฏิบัติภารกิจเป็นเวลาสองวันเต็มไม่มีแม้แต่เวลาที่จะนอน ประกอบกับความโล่งใจที่ทราบว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยแน่แล้ว บุรุษหนุ่มทั้งสองจึงล้มตัวลงนอน หลับอย่างเป็นสุขในสถานที่ที่พวกเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเป็นที่ใด

                    ลูทที่ตื่นขึ้นมาก่อนฉุดรั้งบลูที่นอนหลับเป็นตายให้ลุกขึ้น “นอนวันหนึ่งเต็มๆแล้วยังไม่พออีกหรือ? พวกเราต้องหาทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ก่อนที่จะถูกต้มสุก”

                    บลูงัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นสหายหยิบยื่นนาฬิกามาให้ เมื่อกวาดสายตาผ่านพลันตกใจลุกขึ้นในบัดดล กล่าวว่า “ไม่ได้การ! อีกไม่ถึงชั่วโมงศิษย์พี่ใหญ่จะเริ่มเผานครมิสต์แล้ว”

                    “ปัญหาคือตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด?” ลูทชี้มือไปตามผนังเส้นทางใต้ดิน เห็นหินเรืองแสงประดับไว้ตามผนังทุกระยะ แตกต่างจากเส้นทางอับชื้นที่พวกเขาใช้เป็นทางเข้าออกจากโบราณสถานเอลลี่อย่างสิ้นเชิง จึงกล่าวว่า “เส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายใหม่ที่ถูกสร้างมาไม่นาน หินเรืองแสงเหล่านี้เป็นผลผลิตจากเอลเทคที่มีอายุไม่เกินร้อยปี มิใช่ส่วนที่เป็นโบราณสถานหลายพันปีก่อน ดูท่าพวกเราจะหลงเข้ามาในเส้นทางลับของนครมิสต์เสียแล้ว”

                    บลูมองแผนที่พลางส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เส้นทางนี้ไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่ ข้าทราบว่าพวกเราอยู่ที่ตำแหน่งใด แต่แผนที่กลับระบุว่าพวกเราอยู่ในชั้นดินแห่งหนึ่ง”

                    “เส้นทางในแผนที่เส้นใดที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งของเรามากที่สุด” ลูทถามพร้อมกับหยิบเข็มทิศขึ้นมา

                    บลูกลับชี้ไปทางผนังทิศเหนือที่เป็นทางตัน กล่าวว่า “ทางนี้”

                    ลูทตัดสินใจว่า “พวกเราเดินตามเส้นทางเบื้องหน้าไปดูว่าสุดที่ใดแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง เผื่อเบื้องหน้าอาจมีทางเชื่อมระหว่างเส้นทางในแผนที่กับทางสายนี้”

                    “ก็ดีเหมือนกัน”

                    บุรุษทั้งสองใช้เวลาสิบกว่านาทีในการเดินจากตำแหน่งนั้นไปเรื่อยๆ สภาพทางเดินรอบข้างได้เปลี่ยนไปอย่างน่าพิศวง ผนังทั้งสองข้างมีรูปแกะสลักเป็นเรื่องราวของเทพเจ้าทั้งหก มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าถูกสร้างขึ้นจากช่างแกะสลักฝีมือประณีต ต้องใช้เวลาแรมปีเป็นอย่างน้อยในการแกะสลักทางเดินยาวเหยียด

    อากาศรอบกายเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดพาเอาความเย็นของอากาศบริสุทธิ์ผ่านอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอับชื้นที่เป็นของคู่กับเส้นทางใต้ดินจึงไม่ปรากฏในเส้นทางสายนี้ บุรุษหนุ่มทั้งสองเดินไปเรื่อยๆโดยที่มิได้เอ่ยปาก ท่ามกลางความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมรอบนอก ปะปนกับความสงสัยที่ว่าพวกเขานั้นอยู่ในสถานที่ใดกันแน่

                    ทันใดนั้นเองทั้งสองกลับหยุดฝีเท้าโดยพร้อมเพรียง เมื่อเบื้องหน้าเห็นชุดเกราะอัศวินถือหอกถือดาบตั้งเรียงรายอยู่สองฟากไกลจนสุดลูกหูลูกตา ชุดเกราะรูปมนุษย์เหล่านี้ทำท่าเสมือนว่ากำลังยืนตรงทำความเคารพผู้ที่ใช้เส้นทางสายนี้ จนกระทั่งลูทนึกอันใดออก กล่าวว่า “หรือว่า ... สถานที่นี้คือสุสานบุรพกษัตริย์?

                    “สุสานบุรพกษัตริย์?” บลูกางแผนที่ออกอีกรอบหนึ่ง กล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าคาดเดาเป็นไปได้อย่างยิ่ง ทิศทางที่พวกเรากลิ้งลงมาเป็นทิศทางเดียวกับเขตหวงห้ามของนครมิสต์ คงจะไม่มีสถานที่ใดในโลกที่ลงทุนตั้งชุดเกราะโลหะประดับสองฟากทุกสามก้าวในทางเดินใต้ดินที่ไม่มีผู้ใดเข้าถึง หากสถานที่นั้นมิใช่สุสานบุรพกษัตริย์”

                    “สุสานบุรพกษัตริย์ย่อมต้องมีทางออก” ฝีเท้าของลูทก้าวเดินต่อ “ขอเพียงพวกเราไม่แตะต้องวัตถุรอบข้างก็จะไม่เกิดเรื่องราว”

                    “ข้าเกรงว่ากับดักที่เตรียมไว้ดักโจรปล้นสุสานจะทำงานทั้งๆที่พวกเรามิได้แตะต้องสิ่งใด” บลูตอบพลางเดินเคียงข้างสหายไป ความเร็วในการก้าวเดินของทั้งสองลดลงอย่างเห็นได้ชัด ประสาททุกส่วนตื่นตัวขึ้นระวังภัยจากเหตุเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน

                    ทางเดินยาวเหยียดนั้นทอดยาวไปถึงจุดที่เป็นห้องเปิดโล่งกว้าง ที่พื้นของทางเดินเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง หุ่นอัศวินโลหะยังคงยืนเฝ้าอยู่สองฟาก แตกต่างตรงที่พวกมันมิได้ยืนเพียงตัวเดียวเหมือนเมื่อครู่ แต่ละแถวมีหุ่นอัศวินสิบกว่าตัวยืนเรียงกันในแนวตรงราวกับว่าเป็นกองทัพหนึ่ง หากนับชุดเกราะไร้วิญญาณทั้งหมดคงไม่ต่ำกว่าพันชุด

                    บุรุษทั้งสองอ้าปากตาค้าง ยินเสียงของลูทกล่าวว่า “หากพวกมันมีชีวิตขึ้นมาจริง เราสองคนคงจะหมดโอกาสรอดใช่หรือไม่?

                    “หากวิชาคำนวณอันล้ำเลิศของเจ้าหาผลลัพธ์ได้มากกว่าศูนย์ แสดงว่าเจ้าคำนวณผิด” บลูตอบพร้อมกับชี้ให้ลูทดูทางเบื้องหน้า “เบื้องหน้ามีประตูอยู่บานหนึ่ง เส้นทางยาวเหยียดกลับสิ้นสุดลงที่ประตูบานนี้”

                    บุรุษทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ประตูหินบานใหญ่ดูไปดูมาไม่คล้ายกับเป็นประตูสักเท่าใด ออกจะดูเหมือนก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมก้อนมหึมาที่เจาะลึกลงไปในผนังของสุสาน บานประตูไม่มีลวดลายใดๆบ่งบอกว่าเป็นประตูแม้แต่น้อย ถ้ามิได้สังเกตในภาพรวมจากระยะไกล เพียงมองผ่านๆอย่างผิวเผินในระยะใกล้คงจะนึกว่าประตูหินบานนี้เป็นผนังธรรมดา

                    บลูใช้เวลาครู่หนึ่งสำรวจรายละเอียดของประตูหิน พบช่องเปิดเล็กๆสองช่องคล้ายกับรูกุญแจ จึงเรียกสหายเข้ามาใกล้ “เจ้าคิดเหมือนกับข้าหรือไม่?

                    ลูทพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ความเห็นของข้าสิบส่วนเชื่อว่าประตูบานนี้คือประตูทิฆัมพร สถานที่ในตำนานศาสตราคู่กู้แผ่นดิน”

                    บลูมองไปที่ลูท “สนใจทดลองเลยหรือไม่? จะอย่างไรเส้นทางก็สิ้นสุดที่ตรงนี้ แล้วพวกเราก็บังเอิญครอบครองกุญแจแห่งสวรรค์กับกุญแจแห่งพิภพทั้งสองเสียอีกด้วย”

                    ลูทหันหลังไปมองชุดเกราะโลหะนับพัน “เจ้าคิดดีแล้วหรือ? ข้าคิดว่าชุดเกราะเหล่านี้คงจะมิได้ตั้งไว้เฝ้าสุสานบุรพกษัตริย์อย่างไร้สาเหตุจริงหรือไม่?

                    บลูกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง หันหลังชนกับหลังของลูท ดึงกระบองวิสุทธิ์ศาสตราขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมรบ กล่าวว่า “เปิดประตู หากเกิดเรื่องอันใดข้าจะรับมือเอง”

                    “เหมือนพูดง่าย” ลูทส่ายศีรษะพลางหยิบกุญแจแห่งพิภพและกุญแจแห่งสวรรค์ทั้งสองออกมาจากห่อผ้า มือขวาถือกุญแจแห่งพิภพมือซ้ายถือกุญแจแห่งสวรรค์ ให้สัญญาณเพื่อนรักว่า “ข้าจะเริ่มเปิดแล้ว”

                    แกร๊ก! เสียงเบาๆดังขึ้นเมื่อปลายกุญแจทั้งสองเสียบเข้ากับช่องเปิดบนประตูหินได้พอดิบพอดี

                    “ไม่เห็นจะมีอะไร” ลูทกล่าวด้วยความผิดหวัง

                    ขณะที่บลูจะกล่าวตอบ พลันได้ยินเสียงสหายดังขึ้นว่า “กุญแจทั้งสองดูดพลังของข้าไป!

                    “ว่ากระไร!? รีบปล่อยมือ!” บลูรีบหันกลับไปคว้าร่างของลูทดึงออกมาอย่างสุดแรง แต่ที่ไหนได้เอลในร่างของเขาก็ถูกสูบไปเช่นกัน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×