ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #218 : เล่ม 8 - ตอนที่ 107 - ว่างเปล่า (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.06K
      6
      28 ต.ค. 51

    /> /> />

    ภาควีรบุรุษเทพสงคราม

    ตอนที่ 107 ว่างเปล่า

    1 เมษายน อ.ศ. 226

     

    เวลาผ่านไปสองอาทิตย์เต็มหลังจากเหตุการณ์ที่นครมิสต์

    สันติภาพช่วงสั้นๆได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน มิใช่ความขัดแย้งทั้งหลายจบสิ้นลง แต่เป็นเพราะทั้งฝ่ายสหพันธ์และฝ่ายจักรวรรดิกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการ ครุ่นคิดถึงการเดินหมากก้าวต่อไป หมากก้าวสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายถึงชะตาของแผ่นดิน ว่าจะตกอยู่ในกำมือของผู้ใด

                    จอมแพทย์วียกมือขึ้นเป็นสัญญาณมิให้ลูทกล่าววาจาอันใด ซึ่งในขณะเดียวกันบุรุษหนุ่มก็อยู่ในสภาวะตกตะลึงกับคำถามเมื่อครู่จนมิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้เช่นกัน

                    “ท่านคงจำคนผิดแล้วกระมัง” เสียงอันสดใสของยูกิกล่าวขึ้นเมื่อนางหายจากอาการประหม่า

    ขณะนั้นเองสายลมอันเย็นยะเยือกได้พัดมาหอบหนึ่ง ทำให้ชายเสื้อขาวของนางปลิวพลิ้วไปตามสายลม จอมแพทย์ชราจึงใช้โอกาสนี้กล่าวกับหญิงสาว ขณะที่ยังคงส่งสัญญาณผ่านสายตาให้กับลูทว่า “หากร่างกายของเจ้าถูกลมเย็นติดต่อกันเป็นเวลานานอาจไม่สบายซ้ำซ้อน เพลงเมื่อครู่ข้าได้รับฟังจนเพียงพอแล้ว โปรดเก็บเครื่องดนตรีแล้วเข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด บุรุษหนุ่มผู้นี้พึ่งจะฟื้นคืนสติหลังจากสลบไปหลายวัน ข้าขอตัวไปดูอาการเขาสักครู่หนึ่ง เสร็จแล้วค่อยมาตรวจดูอาการเจ้าอีกครั้ง”

                    “ไม่ต้องเป็นห่วงท่านหมอ บัดนี้ยูกิแข็งแรงพอที่จะดูแลตัวเองได้บ้างแล้วโปรดอย่าได้เป็นกังวล” ยูกิพยักหน้ารับคำอย่างนอบน้อม แล้วหันมาส่งรอยยิ้มที่งดงามให้กับลูทครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยการให้กำลังใจว่า “ท่านหมอเป็นจอมแพทย์ในหมู่แพทย์ ขอเพียงเจ้าปฏิบัติตามที่ท่านหมอสั่งการทุกอย่างก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง โปรดพักผ่อนให้มาก ข้าต้องขอตัวก่อน แล้วพบกันใหม่” สิ้นสุดประโยคนั้นนางก็หันกายเดินเข้าประตูอีกบานหนึ่ง ที่เชื่อมจากห้องพักเคียงข้างกับระเบียงไป

                    กึก ... เสียงปิดประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

    ความสงสัยที่อัดอั้นเต็มอกของบุรุษหนุ่มถูกระบายออกมาเป็นประโยคคำถามที่จับต้นชนปลายไม่ถูกว่า “ท่านหมอวี ... นาง ... ยูกิ เกิดอะไรขึ้นกับยูกิ?

                    จอมแพทย์ชราส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “พวกเราเข้าไปสนทนากันในห้องของเจ้า เรื่องนี้กล่าวไปแล้วยืดยาวนัก”

                    เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง ชายชราผายมือเป็นสัญญาณให้บุรุษหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจึงวางนิ้วแตะลงบนชีพจรเขา จอมแพทย์หลับตาส่งเอลผ่านชีพจรเข้าตรวจสอบสภาพร่างกายภายในของบุรุษหนุ่มพลางกล่าวว่า “ข้าทราบว่าเจ้ามีข้อสงสัยมากมายต้องการไต่ถาม แต่ก่อนที่พวกเราจะสนทนากันข้าจำเป็นต้องแน่ใจว่าร่างกายของเจ้าอยู่ในขั้นปลอดภัยเสียก่อน”

                    ลูทยังคงอยู่ท่ามกลางความสับสน สมองนึกถึงเรื่องราวของยูกิและการแสดงออกที่เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าเมื่อครู่ โสตประสาทรับรู้เสียงจากจอมแพทย์ลางๆว่า “ร่างกายของเจ้าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ควรที่จะจับอาวุธใดๆจนกว่าจะผ่านพ้นสามวันนี้ไป”

                    ชายชราเห็นบุรุษหนุ่มนิ่งราวกับว่าสมองมิอาจรับรู้อันใด ในขณะที่ชีพจรภายในยังคงเต้นต่อเนื่องเป็นปกติ จึงส่งผ่านเอลจำนวนหนึ่งผ่านปลายนิ้วเข้าสู่ชีพจรเพื่อกระตุ้นประสาทของลูท

                    ตึก!

    ความรู้สึกที่เกิดจากการกระตุ้นของจอมแพทย์ปลุกบุรุษหนุ่มให้หลุดออกจากภวังค์แห่งความสับสน ยินเสียงลูทกล่าวกับหมอวีอย่างจบต้นชนปลายไม่ถูกว่า “ข้า ... นาง ... เรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไรท่านหมอ? ข้าทราบว่านครมิสต์เกิดเหตุร้ายฉับพลัน กองทัพจักรวรรดิบุกเข้าจู่โจมด้วยความรวดเร็วชนิดที่คาดไม่ถึง แต่ข้ากลับจำรายละเอียดอันใดเกี่ยวกับการรบมิได้เลย ... นอกจาก ... นอกเสียจาก ... ภาพที่ข้าใช้กระบี่แทงทะลวงร่างของยูกิ มือทั้งสองแปดเปื้อนโลหิตสีแดงฉาน แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นี่มันเรื่องอันใดกัน?

                    เมื่อลูทกล่าวถึงตอนนี้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยฉับพลัน ส่งผลให้เก้าอี้กระเด็นลาดไปตามพื้นส่งเสียงครืดอันดัง “ข้าทำร้ายนาง! ทั้งหมดเป็นเพราะเหตุใดท่านหมอ? ทำไมข้าถึงกระทำเช่นนั้น!?

                    หมอวีจำต้องถอนหายใจครั้งใหญ่อีกเฮือกหนึ่ง ส่ายศีรษะไปมาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสาร การกระทำของบุรุษหนุ่มตรงหน้าล้วนมิใช่ความผิดของเขา แต่กลับมิอาจปฏิเสธได้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากสิ่งที่เขาลงมือกระทำ

                    ขณะที่จอมแพทย์ชราจะตอบคำ เสียงเปิดประตูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ปรากฏเป็นร่างของบุรุษวัยกลางคนสองคนเดินเข้ามาโดยพร้อมเพรียง

                    ลูทหันหน้าไปที่ประตู จ้องมองคนทั้งสองด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า “ท่านพ่อ ลุงกอร์ดอน!?

                    แมกซิมิเลี่ยนมองบุตรชายตามเสียงเรียกเมื่อครู่เล็กน้อย แล้วเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับกอร์ดอน กล่าวกับบุตรชายว่า “เจ้าหลับไปสิบสามวันเต็ม”

                    “สิบสาม!?” ลูททวนคำด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อถือ “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?

                    กอร์ดอนพยักหน้าถี่ๆ กล่าวยืนยันว่า “สิบสามวันที่ผ่านมาเจ้าทำได้แค่เพียงสลบอยู่บนเตียงนั่น มิได้ลุกเดินไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ข้ากับพ่อของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าทุกวันย่อมทราบดี”

                    บิดาที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวตัดเย็บอย่างประณีตถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมากล่าววาจาได้อย่างนี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปลูกหนึ่ง ข้าจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างหายห่วงเสียที” เมื่อกล่าวจบแมกซิมิเลี่ยนพลันลุกขึ้นหันกายเดินออกไปที่ประตู

                    “ท่านพ่อ ... ท่านจะไปที่ใด?” สองเดือนที่ผ่านมาลูทพึ่งจะเห็นหน้าบิดาเป็นครั้งแรก ยิ่งในช่วงเวลาเช่นนี้เขายิ่งต้องการใครสักคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง แต่เมื่อเห็นบิดากล่าวเดียวสองสามประโยคก็จากไป บุรุษหนุ่มจึงเกิดความอาลัยขึ้น

                    แมกซ์หันกลับมาตอบอย่างรวบรัดว่า “ข้ามีงานอีกมากที่จะต้องสะสาง หากเจ้ามีคำถามอันใดก็ขอให้กล่าวกับลุงกอร์ดอนหรือท่านหมอ ข้าเชื่อว่าเจ้าที่เติบใหญ่แล้วย่อมมีความสามารถในการดูแลตัวเอง”

                    “เดี๋ยวก่อนท่านพ่อ แล้วเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมาข้ายัง ...”

                    ปึง! เสียงประตูปิดลงเมื่อบุตรกับบิดาพบหน้ากันได้ไม่ถึงนาทีหนึ่ง ยินเสียงประโยคสุดท้ายของบิดาลอดออกมาจากนอกประตูว่า “มองไปที่อนาคต อย่าได้ยึดติดกับอดีต”

                    บุรุษหนุ่มมึนงงสงสัยกับประโยคเมื่อครู่ จึงหันไปถามว่า “ลุงกอร์ดอน ช่วยบอกข้าทีเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น?

                    กอร์ดอนยื่นมือไปตบไหล่ของบุรุษตรงหน้าที่เขายึดถือไม่ต่างจากบุตรชายเบาๆสองสามครั้ง กล่าวว่า “เรื่องนี้มิได้เกิดขึ้นกับเจ้าคนเดียว แต่เกิดกับประชาชนชาวมิสต์ในนครมิสต์ทั้งหมด บัดนี้นครมิสต์ถูกกองทัพจักรวรรดิยึดครองอย่างสมบูรณ์ สถานที่ที่เจ้าเหยียบอยู่นี้คือตัวตึกรับรองในเขตของพระราชวังฟ้าประทาน พวกเราทั้งหมดไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากอพยพ”

                    “พระราชวังฟ้าประทาน? ... หรือที่นี่คือกรุงเดว่า?

                    จอมแพทย์วีพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่ผิด ที่นี่คือกรุงเดว่า นครหลวงแห่งราชอาณาจักรลาเวนดิส ส่วนนครมิสต์ที่เจ้ารู้จักนั้นล่มสลายแล้ว”

                    “เป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อนครมิสต์นั้นเต็มไปด้วยทหารเก่งกล้านับหมื่น ยอดฝีมืออีกจำนวนมาก รวมไปถึงท่านอาจารย์ ภาคีแห่งผู้พิทักษ์และท่านเอลมาสเตอร์คา ...” วาจาที่บุรุษหนุ่มกล่าวยังไม่ทันจบสิ้น ภาพเรื่องราวที่เคยลืมเลือนไปพลันแทรกเข้ามาในห้วงสมอง

    เสียงระเบิดของอาคม เสียงกรีดร้องของผู้คน เสียงอาวุธปะทะกันของเหล่ากองทหารทั้งสองฝ่าย เงาดำทะมึนของกองทัพมังกรที่บดบังท้องฟ้าจนมืดมิด สองเสาหลักแห่งนครมิสต์ที่นอนจมกองโลหิต แว่นตาที่แตกร้าวของอาจารย์ดาธ และภาพของเวอร์น่อนที่อยู่ในคราบของเทพสงคราม

                    “ว๊าก! บุรุษหนุ่มร่ำร้องด้วยเสียงอันดัง เหงื่อแห่งความกลัวหลั่งออกมาจนชุ่มแผ่นหลัง สองมือกุมศีรษะ งอร่างลงใช้ศีรษะกดลงที่พื้นโต๊ะ ดวงตาเบิกกว้างแทบไม่เชื่อว่าภาพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจริง เมื่อถูกคำพูดของตนเองกระตุ้น ความทรงจำที่หายไปพรั่งพรูกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

                    “ลูท! กอร์ดอนกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน เอื้อมแขนทั้งสองข้างกุมเข้าที่หัวไหล่ของบุรุษหนุ่ม หมายจะสั่นร่างกายของเขาเพื่อเป็นการเตือนสติ แต่จอมแพทย์วีพลันใช้มือยับยั้งแขนของกอร์ดอนเอาไว้ ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวเบาๆว่า “ความทรงจำของเขากำลังฟื้นคืน พวกเราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

                    กอร์ดอนพยักหน้ารับทราบครั้งหนึ่ง ปล่อยมือออกจากการจับกุม จ้องมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยความเวทนา

                    ทั้งเสียงและภาพของการต่อสู้ถูกดึงออกมาจากความทรงจำของบุรุษหนุ่มอย่างไม่หยุดยั้ง การต่อสู้ของเขา ยูกิและหัวหน้าหน่วยรบพิเศษอัศวินดำ เสียงกรีดร้องของคนรอบข้าง ดำเนินไปจนกระทั่งเกิดแรงระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ เสียงดังจากการระเบิดได้กลบเสียงอื่นไปสิ้น ไอร้อนที่เกิดจากการปะทะกันของสองสุดยอดเอลลิสแผ่เข้ากระทบร่าง ตลอดจนภาพของการมหาวิหารแห่งเทพเจ้าทั้งหกที่พังทลายลงมาทีละส่วน จนกระทั่งยอดมหาวิหารแตกร้าวเหลือเพียงส่วนเสี้ยว พร้อมกับการที่กุญแจแห่งพิภพปรากฏขึ้นสู่สายตา หยิบเข้าฟาดฟันเวอร์น่อนอย่างบ้าระห่ำ หลังจากที่เห็นภาพของอาจารย์นอนจมกองโลหิตอยู่ตรงหน้า แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์กลับกลายเป็นภาพที่เลือนลาง และจางหายไปมิอาจจดจำอะไรได้อีก คงเหลือเพียงภาพสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัด

                    ภาพรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของยูกิกับเสียงคร่ำครวญ “เจ้าจะตายไม่ได้”

                    โครม!

    เสียงสองมือของบุรุษหนุ่มกระแทกโต๊ะอย่างรุนแรงดังขึ้น หยาดเหงื่อที่หลั่งออกมาหยดลงบนพื้นโต๊ะสองสามหยด ลูทหอบหายใจอย่างต่อเนื่องราวกับว่าใช้เรี่ยวแรงจนหมดร่าง ความทรงจำที่ถูกบดบังกลับคืนมาสู่ปกติได้อย่างน่าใจหาย ในขณะที่ตนเองยังแทบไม่เชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×