คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : แกะรอยกระบองวิเศษ (2)
ทั้งสามโดยสารม้าออกนอกเส้นทางไปประมาณสิบกิโลเศษพบเจอถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นรังโจรมาก่อน
ด้านนอกมีโรงสีข้าวซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของผู้คน ที่แห่งนี้เองเป็นที่ที่ไกจับตายราเกซได้สำเร็จ
พวกเขาทั้งสามไม่เห็นผู้คนเลยแม้สักคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบราวกับป่าช้า พอพวกเขาเดินเข้าไปที่ปากถ้ำก็พบเห็นร่องรอยการขนถ่ายสิ่งของ อาจจะเป็นไปได้ว่ามีผู้คนมาหยิบยกทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากสถานที่แห่งนี้หมดสิ้นแล้ว
ทั้งสามเกิดความรู้สึกเดียวกันขึ้นมาพร้อมๆกัน นั่นคือความผิดหวัง ผิดหวังกับภาพที่เห็นในเบื้องหน้า ถ้ากองปราบนำกำลังมาตรวจสถานที่นี้แล้วล่ะก็ สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างกระบองวิสุทธิ์ศาสตราย่อมไม่มีทางคงอยู่แน่นอน
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มาแล้วจึงไม่อยากให้เสียเที่ยวเปล่า ลูทปลุกปลอบกำลังใจชวนเพื่อนทั้งสองเข้าไปตรวจสอบสถานที่แห่งนี้สักครั้งหนึ่ง เผื่ออาจจะพบร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจ
ภายในถ้ำนั้นมืดสนิทไม่มีแสงไฟ พวกเขาพบเห็นตะเกียงแขวนอยู่ตามรายทางตลอดสองฟากฝั่ง แสดงว่าเส้นทางสายนี้เป็นทางเข้าออกหลักที่ใช้กัน ตามพื้นยังมีร่องรอยของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
พอพวกเขาเดินเข้ามาได้สักเล็กน้อยก็พบเห็นชั้นวางของจัดเรียงกันไว้ตามสองฟากฝั่ง สภาพระเกะระกะไม่เป็นระเบียบสักเท่าใด ดูจากสภาพของชั้นพวกนี้ยังพอใช้การได้บ้าง ถึงแม้จะชำรุดเสียหายนิดหน่อย ชั้นวางองพวกนี้มีดาบและหอกที่ชำรุดจนใช้การไม่ได้เสียบอยู่เป็นระยะๆ
ลูทคาดว่าแคร่วางอาวุธเหล่านี้คงเป็นสถานที่เก็บอาวุธของพวกโจร เมื่อยามที่ต้องการเรียกรวมตัวเบื้องนอก พวกมันจะสามารถหยิบอาวุธได้สะดวกมือในขณะเดินผ่าน ซึ่งการจัดอาวุธเอาไว้ที่ปากถ้ำก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน ถ้าศัตรูบุกเข้ามาถึงปากถ้ำก็จะสามารถหรือยึดครองทำลายอาวุธเหล่านี้ทิ้งไปได้ จากนั้นก็เริ่มมาตรการปิดล้อมกวาดล้างพวกโจรที่ไร้อาวุธ
บลูเดินสำรวจดูสภาพของอาวุธทั้งหลาย หอกดาบที่เหลืออยู่ล้วนเป็นของที่ชำรุดใช้การไม่ได้ ส่วนของดีๆนั้นคาดว่าโดนพวกมือปราบขนย้ายไปเสียหมด
พอเดินเข้าไปลึกประมาณหนึ่งร้อยเมตรแสงไฟจากปากทางก็เข้าไม่ถึงอีกต่อไป ลูทและบลูทั้งสองพากันจุดคบเพลิงขึ้น แต่ถูกโรสยับยั้งเอาไว้
โรสใช้เอลแห่งแสงเสกแสงสว่างลงบนเสื้อผ้าของทั้งสาม เธอบอกเพื่อนทั้งสองว่า "แสงจากเอลนี้จะอยู่ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเราเก็บคบเพลิงเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจะดีกว่า"
เสื้อผ้าของทั้งสามเรืองแสงขึ้นมาราวกับเป็นวัสดุที่สามารถเปล่งแสงในตัวได้ พวกเขาไม่ต้องใช้มือข้างหนึ่งถือคบเพลิง ทำให้การสำรวจตรวจตราสะดวกขึ้นมาก
ลูทจึงกล่าวว่า "ข้าคิดว่าพวกเราควรจะใช้เวลาสำรวจอยู่ที่นี่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ถ้าไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอันใดพวกเราสมควรที่จะจากไป"
บลูและโรสพยักหน้าพากันเดินต่อ
เมื่อทั้งสามเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งก็พบกับห้องโถงหลัก ซึ่งความจริงห้องโถงแห่งนี้เป็นแหล่งรวมพลด้านในของโจรสุนัขป่า มีโต๊ะเก่าๆและเก้าอี้ที่ชำรุดเสียหายทิ้งเอาไว้จำนวนหนึ่ง เศษแก้วที่มาจากขวดเหล้าที่แตกเสียหายกระจายอยู่ตามพื้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไป
ด้านหลังของห้องโถงแห่งนี้มีทางเดินทะลุไปยังห้องอีกห้องหนึ่ง พวกเขาคาดเดาว่าห้องด้านในน่าจะเป็นห้องนอน ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนแห่งนี้ล้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไปเช่นเดียวกับห้องโถงด้านนอก มีเพียงโต๊ะผุๆอยู่สองตัวกับเก้าอี้อีกสี่ห้าตัวเหลืออยู่
บลูและลูทที่รับหน้าที่ค้นหาที่ห้องโถงด้านนอกก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด นอกเสียจากขวดเหล้าของพวกโจรที่แอบซ่อนเอาไว้สองขวด
โรสรับหน้าที่เดินสำรวจในห้องนอน เธอมองเห็นร่องรอยการเปิดประตูลับจึงทดลองเปิดดู
..
แกร๊ก
..
ประตูลับแห่งนี้ก็เปิดออก
โรสพบประตูลับในห้องนอนจากร่องรอยที่แสดงว่ามีคนเคยเปิดออกเมื่อไม่นานนี้ พอเธอเปิดประตูนี้ออกไปก็พบกับทางเดินอีกสายหนึ่ง
โรสลองเดินสำรวจดู พบว่าเส้นทางที่ด้านหลังของถ้ำนี้เป็นทางออกฉุกเฉิน มีไว้สำหรับหลบหนีเมื่อถูกศัตรูปิดล้อมทางปากถ้ำ
เส้นทางในอุโมงค์ด้านหลังประตูลับมีความยาวเพียงยี่สิบเมตรก็ทะลุไปถึงเบื้องนอก โรสลองเดินสำรวจดูสักพักไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอันใด
เวลาที่มีอยู่ก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงจนทั้งสามเริ่มหมดกำลังใจ แสงจากเอลกำลังจะดับลงในไม่ช้า
บลูกล่าวว่า "ท่าทางกระบองวิสุทธิ์ศาสตราคงไม่อาจรอดพ้นจากหูตากองปราบได้ มีอย่างหรือที่แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ยังถูกขนย้ายไปหมด จะปล่อยให้อาวุธวิเศษอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"
ลูทกล่าวว่า "ก็เป็นไปได้ บริเวณห้องโถงแถบนี้ข้าค้นจนไม่รู้จะค้นอย่างไรแล้ว ปรากฏว่าไม่เห็นเจอสิ่งใดที่น่าจะเก็บมาใช้เลยนอกจากขวดเหล้าสองขวดนั่น สิ่งที่เหลือมีแต่ข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้การไม่ได้ทั้งสิ้น พวกมือปราบคงขี้เกียจจะแบกไปเพราะถึงจะเอาไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรนอกจากขายให้ร้านขายของเก่า โดยส่วนตัวข้าว่าไม่คุ้มกับค่าแรงแบกของ"
บลูกล่าวต่อไปว่า "ข้าเดินตรวจตราดูตามพื้นตามผนัง เคาะก้อนอิฐตามกำแพงหลายจุดก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ หรือว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้"
เมื่อโรสสำรวจทางลับเสร็จก็เดินออกมาจากห้องนอนของพวกโจรกล่าวกับพวกลูทและบลูทั้งสองว่า "อย่าพึ่งหมดกำลังใจไปสิ"
ลูทถามว่า "โรสพบเห็นอะไรดีๆอย่างนั้นหรือ"
โรสส่ายหน้ากล่าวว่า "ข้าเจอทางลับสายหนึ่งคาดว่าเป็นทางออกฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอันใด"
ลูทกล่าวว่า "โธ่ หลอกให้ข้าคิดว่าเจ้าหาอะไรเจอเสียแล้ว ข้ากับบลูเองสำรวจห้องนี้จนถี่ยิบแทบจะเรียกได้ว่าทุกตารางนิ้วแล้วก็ยังไม่พบอะไรเลย"
บลูถามว่า "นี่เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงพวกเราจะยังค้นหากันต่อหรือไม่"
โรสพยักหน้ากล่าวว่า "ย่อมแน่นอน ขอข้าตรวจห้องนี้อีกสักพักหนึ่งก่อน"
ลูทกล่าวว่า "อ้าว ก็ข้ากับบลูช่วยกันหามาตั้งนานแล้วยังไม่พบอะไรเลย พวกเราออกไปหาในที่ใกล้เคียงอย่างโรงสีไม่ดีกว่าหรือ"
โรสส่ายหน้ากล่าวว่า "หาที่โรงสีก็เสียเวลาเปล่า ถ้ากระบองวิสุทธิ์ศาสตรามีจริงมันจะต้องถูกซ่อนเอาไว้ในนี้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าคนหนึ่งจะเป็นอัจฉริยะทางการประดิษฐ์ ส่วนอีกคนหนึ่งจะเป็นอัจฉริยะเรื่องเอล แต่ข้าก็ได้รับการสืบทอดโดยตรงมาจากอัจฉริยะทางเรื่องกลไกสิ่งปลูกสร้างอย่างลุงกอร์ดอน ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าโรงสีนั่นพึ่งจะสร้างมาได้อย่างมากสิบปี แต่เมื่อคราวก่อนที่พ่อเจ้ามาสำรวจนั้นอย่างน้อยก็ต้องเกินยี่สิบปีเข้าไปแล้ว หนังสือนั่นก็ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นบริเวณนี้ ดังนั้นไม่มีทางที่จะเป็นโรงสีได้เลย"
บลูถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินโรสวิเคราะห์ ดูท่าเธอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จริง
ลูทพอได้คิดจึงกล่าวว่า "จริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่เคยได้ยินข่าวที่มีพวกโจรกระบองวิสุทธิ์ศาสตราในการสู้รบมาก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หรือว่าจะไม่มีใครค้นพบกระบองนี้มาก่อนเลยตั้งแต่ตอนที่พ่อมาพบมัน"
บลูกล่าวเสริมว่า "ใช่ ถ้าหากมีจริง มีอย่างหรือที่หัวหน้าโจรสุนัขป่าราเกซจะไม่นำมาใช้สู้รบ แล้วถ้าพวกมือปราบที่มาค้นหาพบเห็นล่ะก็ คงจะมีข่าวคึกโครมกันไปทั้งเมืองแล้ว เป็นไปได้ว่ายังไม่มีผู้คนแตะต้องมัน"
โรสพยักหน้ากล่าวว่า "นั่นเป็นคำตอบที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด"
ทั้งลูทและบลูล้วนมีกำลังใจกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มทั้งสองต่างลงมือช่วยโรสตรวจก้อนอิฐทีละก้อน ผลักผนังทีละด้านอย่างขมักเขม้น
โรสใช้วิธีตรวจดูสภาพของวัตถุว่าแห่งใดมีอายุราวยี่สิบห้าปีหรือมากกว่า จากนั้นจึงลองใช้วิธีเคาะผนังถ้ำแล้วฟังเสียงที่สะท้อนออกมา ตรวจสอบความหนาบางของผนัง เผื่อว่าจะค้นพบประตูกลใดๆ
วิชาเคาะผนังเป็นหนึ่งในวิชาที่กอร์ดอนถ่ายทอดให้กับโรส เสียงที่สะท้อนออกมาจะบอกถึงสภาพภายในผนัง แต่ผู้ที่ฟังจะต้องใช้วิธีการแยกแยะด้วยวิธีเฉพาะของกอร์ดอนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน คนทั่วไปมิอาจจะลอกเลียนแบบได้ หรือถ้าจะลอกเลียนแบบจริง ก็จะไม่มีความละเอียดและแม่นยำดั่งเช่นวิชาที่กอร์ดอนคิดค้นขึ้น
จวบจนเวลาผ่านไปครบชั่วโมงหนึ่งแสงบนเสื้อผ้าของทั้งสามก็ค่อยๆจางลงจนดับไป แต่ทั้งสามก็ยังไม่สามารถหาร่องรอยใดๆที่น่าจะเป็นช่องลับหรือทางลับได้เลย
ลูทถอนหายใจครั้งหนึ่งกล่าวว่า "ท่าทางพวกเราจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว"
บลูมีสีหน้าอับจนปัญญากล่าวว่า "ไม่มีกระบองก็ช่างประไร อย่างไรก็ตามพวกเราต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ ถ้าเราเก่งขึ้นด้วยเครื่องมือไม่ได้ เราก็คงจะต้องฝึกพิเศษระหว่างทางไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกเราจะสามารถต่อสู้กับอัศวินดำได้อย่างสูสี"
โรสไม่ได้กล่าวอะไร สีหน้าของเธอยังไม่ยอมแพ้กับความลับในสถานที่แห่งนี้ ดวงตาอันเด็ดเดี่ยวของโรสยังหมายความว่าจะค้นหาที่ซ่อนลับของกระบองวิสุทธิ์ศาสตราให้จงได้ ช่างเป็นดวงตาที่เหมือนกับกอร์ดอนตอนหนุ่มๆไม่มีผิด
ทั้งสามต้องเปลี่ยนมาเป็นถือคบเพลิงแทนแสงจากเอลที่ห้า พวกเขาพากันใช้ทางออกใหญ่ด้านหน้าเพื่อจะกลับไปยังม้าโดยสาร
พอเดินได้สักพักหนึ่ง โรสเห็นสิ่งผิดปกติจึงอุทานขึ้นมาคำหนึ่ง
ลูทจึงถามว่า "โรสพบเห็นร่องรอยอะไรหรือเปล่า"
โรสกล่าวว่า "พวกท่านดูสิ"
จากนั้นโรสก็ชี้มือไปยังตะเกียงทั้งสองข้างแล้วกล่าวว่า "ตะเกียงพวกนี้ล้วนเป็นของเก่า ... ดูจากสภาพน่าจะมีอายุมากเกินกว่ายี่สิบปีแล้ว ถ้าพวกเจ้าลองทบทวนให้ดีก็จะพบว่า ตะเกียงเหล่านี้เป็นสิ่งของสิ่งเดียวที่ยังอยู่ครบไม่ถูกผู้ใดเคลื่อนย้ายออกไป"
บลูเอะใจขึ้นมาจึงกล่าวว่า "จริงด้วย เมื่อครู่พวกเรามัวแต่ค้นหาภายในห้อง แต่ไม่ได้ค้นหาที่ทางเดินเลยสักนิด ตะเกียงเหล่านี้มีเลศนัยพิกล ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่ได้คิดถึง
นี่เรียกว่าเส้นผมบังภูเขาโดยแท้"
ลูทไม่ได้ตอบคำ เขาปีนผนังขึ้นไปบนผนัง ทดลองดึงตะเกียงออกมาอยู่สองสามครั้ง จึงทราบว่าไม่สามารถทำได้ ตัวของตะเกียงถูกฝังเข้าไปในผนังถ้ำเสียครึ่งหนึ่ง หากมองจากด้านล่างจะเห็นว่ามันถูกแขวนเอาไว้ แต่ที่ไหนได้ คานยึดของมันถูกฝังเข้าไปในผนังถ้ำ มิได้แขวนไว้อย่างที่พวกเขาเข้าใจ
ลูทกล่าวบอกเพื่อนในสิ่งที่เขาพบเห็นว่า "ตะเกียงเหล่านี้ล้วนผ่านการติดถาวรฝังเข้าไปในผนัง ข้าทดลองดึงออกมาสุดแรงก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ รอบด้านมีสนิมเกรอะกรัง ถ้าหากจะประเมินจากวัสดุ ข้าว่าอย่างน้อยมันก็ต้องอยู่ที่นี่มายี่สิบสามสิบปีแล้ว"
บลูกล่าวว่า "พวกเราแยกกันตรวจดูตะเกียงให้ละเอียดทุกใบ ค้นหามาถึงขนาดนี้ก็สมควรที่จะทำให้ถึงที่สุด"
โรสไล่ตรวจสอบตะเกียงทีละใบๆตั้งแต่ปากทางออกเข้ามา โดยที่บลูและลูทค้นหาจากด้านในของถ้ำออกไปยังด้านนอก
ในที่สุดโรสก็ยิ้มออกเมื่อพบว่ามีตะเกียงอยู่ใบหนึ่งหมุนได้ไม่ถูกยึดตายเหมือนใบอื่นจึงตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองมาดู
ทั้งลูทและบลูต่างโห่ร้องดีใจในที่สุดพวกเขาก็พบร่องรอยของกระบองวิเศษชิ้นนี้แล้ว
ได้ยินเสียงแกร๊กคราหนึ่ง โรสเปิดกลไกสำเร็จ เธอยื่นมือไปดันผนังด้านข้างพบว่าผนังเปิดออกเป็นช่องเล็กๆช่องหนึ่ง เมื่อโรสดึงอิฐที่ปิดช่องนั้นออกมา เห็นโพรงลึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านในมีกระดาษอยู่ใบหนึ่ง มิได้มีกระบองวิเศษอันใด
พอทั้งสามหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาตรวจดู ลูทก็ระบุได้ทันทีว่านี่เป็นลายมือของบิดาเขา อ่านดูผ่านตารอบหนึ่งทั้งสามเห็นว่ากระดาษใบนี้เป็นแผนที่ชี้ไปสถานที่เก็บของอีกแห่งหนึ่ง มีแนวภูเขายาวพาดอยู่กลางกระดาษและมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงที่คุ้นเคยกาอยู่แถบนั้น ภูเขาแห่งนี้เรียกว่าเทือกเขาชิลลิ่ง
เทือกเขาชิลลิ่งทอดยาวจากเมืองแองเจลที่อยู่เหนือสุดของภาคตะวันตกไปถึงนอร์โปลิสในภาคกลางข้ามไปยังฟากตะวันออกของประเทศจนเกือบติดทะเลตะวันออก นับได้ว่าเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก สถานที่ซึ่งกากบาทสีแดงระบุเอาไว้แห่งนี้ซ่อนอยู่ด้านใต้ของแถบเทือกเขาชิลลิ่งใกล้กับเมืองนอร์โปลิส ถ้าหากเขาเดินทางบกไปยังนอร์โปลิส จะต้องผ่านสถานที่แห่งนี้เสียก่อน
ลูทกล่าวว่า "นี่ต้องเป็นสถานที่เก็บกระบองวิสุทธิ์ศาสตราเอาไว้อย่างแน่นอน"
บลูถามว่า "เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ใช่สถานที่เก็บอย่างอื่น ในนี้ไม่เห็นมีเขียนเอาไว้สักตัวว่ากระบองวิสุทธิ์ศาสตรา"
ลูทตอบว่า "ไม่เขียนเอาไว้ข้าก็พอจะคาดเดาได้ เพราะแผนที่ใบนี้เขียนด้วยลายมือของพ่อข้าเอง หนังสือที่แสดงถึงอาวุธพวกนี้พ่อข้าก็เป็นคนเขียนขึ้นมา ท่านคงไม่อยากให้คนที่ชิงหนังสือหรือว่าแอบนำหนังสือไปอ่านคัดลอกพบของวิเศษได้โดยง่าย ท่านพ่อจึงวางแผนซ้อนแผนให้ลุงกอร์ดอนช่วยเก็บซ่อนลายแทงเอาไว้เป็นอย่างดี จากนั้นให้ข้าไปหาลุงกอร์ดอนเพื่อขอความช่วยเหลือด้านวิชากลไก ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เองข้าเพิ่งจะเข้าใจ"
โรสกล่าวว่า "อ๋อ ลุงกอร์ดอนถึงได้ให้ข้าออกมาช่วยพวกเจ้า นี่คงเป็นเหตุผลอีกเหตุผลหนึ่งสินะ"
บลูพยักหน้ากล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิดแน่นอน ไม่มีความเป็นไปได้อื่นที่พ่อของลูทจะเขียนแผนที่ปลอมเอาไว้ในนี้"
ลูทยิ้มกล่าวต่อไปว่า "ความดีความชอบของการค้นพบในครั้งนี้ล้วนต้องยกให้กับโรสทั้งสิ้น ถ้าหากไม่มีโรสแล้วล่ะก็พวกเราคงจะไม่มีทางเสาะหาลายแทงผืนนี้ได้หรอก"
โรสไม่เคยถูกชมซึ่งๆหน้าจึงรู้สึกกระดากเป็นธรรมดา เธอกล่าวว่า "เมื่อพวกเราได้ของที่ต้องการแล้วก็รีบไปกันเถอะก่อนที่เราจะสายไปมากกว่านี้"
พวกลูททั้งสามพยักหน้ากล่าวรับคำ แล้วก็ขึ้นม้าเดินทางออกมาจากรังโจรเก่าของราเกซมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองโอดินและเจนีสเหนือ หมู่บ้านนี้เป็นจุดพักการเดินทางของผู้คนที่เดินทางขึ้นลงระหว่างเมืองเจนีสเหนือและโอดิน
พอถึงหมู่บ้านลูท บลูและโรสตรงไปยังร้านอาหารเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านนั้นแล้วก็รับประทานอาหารเป็นการใหญ่
นี่เป็นอาหารมื้อเที่ยงที่ตกถึงท้องพวกเขาในเวลาเกือบบ่ายสามโมงครึ่ง ถึงแม้ว่าทุกคนจะเร่งรีบไปยังเมืองโอดินให้ได้เร็วที่สุดแต่ก็ล้วนหิวโหยสุดจะทนทาน ด้วยภาษิตที่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทั้งสามจึงรับประทานเป็นการใหญ่
ขณะที่รับประทานอาหารกันอยู่นั้น ลูทนึกขึ้นได้ถึงเรื่องการฝึกเอลของเขาจึงถามบลูไปว่า "เรื่องเอลที่เจ้าบอกน่ะบลู เจ้าบอกว่าจะหาคนช่วยสอนหรือทดสอบวิชาเอลให้ข้าใช่ไหม"
บลูเห็นลูทสนทนาด้วยจึงหยุดรับประทานก่อนแล้วบอกกับลูทว่า "ใช่แล้ว สมัยก่อนข้าเป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนแถวนี้ถึงแปดปี พอจบมาข้าถึงได้มีโอกาสไปพบกับเจ้าที่หมู่บ้านสวนเชอร์รี่ เป็นเพราะครูที่นี่แหละที่ส่งข้าไปเป็นพนักงานคุ้มกันฝึกหัดที่หมู่บ้านของเจ้าถึงสองปี ตอนแรกข้ายังแค้นเขาไม่หายที่ส่งข้าไปหมู่บ้านกิ๊กก๊อกชายแดน แต่ถ้าข้าไม่ได้ไปก็คงจะไม่ได้รู้จักกับเจ้าแล้วก็ได้เจออาจารย์ดาธ จริงๆแล้วข้าก็ควรที่จะสำนักขอบคุณอยู่เหมือนกันนะ"
ลูทด่าบลูคำหนึ่งว่า "หมู่บ้านกิ๊กก๊อกส้นเท้าเจ้าสิ" จากนั้นจึงถามว่า "แล้วสถานที่ที่เจ้าจะให้ข้าทดสอบนั้นเป็นอย่างไรหรือ กระบวนการทดสอบทั้งหลายน่ะเป็นอย่างไร ต้องเตรียมตัวอะไรไปก่อนไหม"
บลูบอกว่า "เดี๋ยวเจ้าไปถึงแล้วก็จะรู้เอง โรงเรียนของข้าชื่อเซนต์เอลลิส จัดได้ว่ามีอุปกรณ์ต่างๆครบครัน เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมอะไรไปหรอก"
โรสกล่าวด้วยความแปลกใจว่า "โอโห ... เจ้าเป็นนักเรียนโรงเรียนเอลอันดับหนึ่งหรอกหรือนี่ แต่ข้าไม่เห็นจะรู้ว่ามีโรงเรียนเซนต์เอลลิสที่เมืองโอดินด้วย นึกว่ามีอยู่ที่เมืองเอนเซลเลียร์ที่เดียว"
บลูตอบโรสว่า "ที่เอนเซลเลียร์เป็นโรงเรียนสาขาหลักน่ะ แต่เดิมเซนต์เอลลิสก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ที่นครหลวงของเอนเซลก่อน จากนั้นจึงขยายสาขาออกไปยังต่างแดน โรงเรียนเซนต์เอลลิสมีสาขาย่อยในอาณาจักรนอร์กับอาณาจักรลาเวนดิสที่ละแห่ง ซึ่งสาขาของอาณาจักรนอร์ก็อยู่ที่เมืองโอดินที่เรากำลังจะไปถึงนี้"
โรสพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจถามลูทว่า "แล้วเจ้าล่ะเรียนที่ไหน"
ลูทตอบว่า "ข้าเรียนที่นครมิสต์น่ะ โรงเรียนข้าไม่ดังเจ้าไม่รู้จักหรอก แล้วอีกอย่างข้าเรียนแต่สิ่งประดิษฐ์ อย่างอื่นไม่เข้าหัวเท่าไร เจ้าล่ะเรียนที่ไหน"
โรสตอบว่า "ลุงข้าจ้างครูมาสอนในหมู่บ้านน่ะ ข้าเรียนกับเด็กในหมู่บ้านด้วยกันไม่กี่คน ข้าเลยไม่รู้ว่าโรงเรียนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ครูที่สอนข้าเคยบอกว่าโรงเรียนเซนต์เอลลิสเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งในขณะนี้ ดูจากบลูก็เห็นจะจริงนะท่าทางเป็นชนชั้นหัวกะทิของโรงเรียน"
ลูทกล่าวว่า "หัวเผือกหัวมันสิไม่ว่า แต่ข้าเองชักอยากจะไปพบครูโรงเรียนเก่าเจ้าเสียแล้วสิบลู"
บลูกำลังขำที่ลูทกล่าวไร้สาระ พอเหลือบตาไปมองก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินผ่านเข้ามาในร้านอาหารพอดี ทั้งๆที่ช่วงเวลาบ่ายสามโมงเช่นนี้ไม่ควรจะมีคนเข้าร้านอาหารอีก นอกเสียจากพวกเขาเพียงกลุ่มเดียว หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่พลาดการรับประทานอาหารกลางวันเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสาม
ผู้ชายที่มีอายุราวสามสิบปีเศษเดินเข้ามา เขาใส่ชุดสีฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนเซนต์เอลลิสที่บลูคุ้นเคย บลูพบเห็นก็จดจำได้จึงกล่าวว่า "ครูมอริสมาทำอะไรที่นี่"
ชายคนนั้นเมื่อได้ยินเสียงศิษย์ที่คุ้นเคยจึงหันมากล่าวว่า "อ้าวบลู! เจ้าเองหรือนี่!"ถือว่าเป็นโชคดีของพวกลูท พอพูดถึงครู ครูก็ปรากฏตัวในทันใด
ความคิดเห็น