ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #173 : เล่ม 6 - ตอนที่ 76 สองจอมทัพมังกร (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      0
      24 มิ.ย. 51

    “คำกล่าว หากผู้ใดครองสองศาสตรา ผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน อันไร้สาระสิ้นดี”เสียงกล่าวดังขึ้นมาจากห้องส่วนตัวของจักรพรรดิแห่งนอร์
                    ห้องของจักรพรรดิแห่งนอร์ก็คือห้องส่วนตัวของเวอร์น่อนนำตึกธงอาชา แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตึกธงอาชาได้เปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักธงอาชาและห้องส่วนตัวของผู้ปกครองเวอร์น่อน จึงกลายเป็นห้องส่วนตัวของจักรพรรดิแห่งนอร์ ที่อนุญาตให้เพียงบุคคลตระกูลซอร์โดและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นผ่านเข้าออกได้อย่างอิสระ ยิ่งด้วยในเวลานี้เวอร์น่อนกำลังเก็บตัวพักรักษาอาการบาดเจ็บ ตำหนักธงอาชาจึงแทบมิให้ผู้ใดย่างกราย จนกระทั่งวันนี้
                    “ท่านพ่อตามตัวข้ามามีเรื่องอันใดหรือ?” มหาอุปราชผู้อยู่ในตำแหน่งประมุขของจักรวรรดิชั่วคราวกล่าวขึ้น
                    เวอร์น่อนอยู่ในชุดคลุมสีแดงหม่นมีสัญลักษณ์รูปอาชาสีเงินสะท้อนไปมาอยู่กลางหลัง กล่าวกับบุตรชายว่า “ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็นว่าประโยค หากผู้ใดครองสองศาสตรา ผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน เป็นเพียงคำกล่าวโคมลอย จักรวรรดินอร์แห่งนี้ไม่ต้องการกุญแจทั้งสองดอกก็จะสามารถยึดแผ่นดินทั้งมวลได้ ขอเพียงข้าพ้นจากอาการบาดเจ็บนครมิสต์จะต้องแหลกสลาย”
                    วานเตสถามว่า “อาการบาดเจ็บของท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ข้ามองจากภายนอกแทบไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย”
                    ศีรษะกึ่งล้านเลี่ยนของเวอร์น่อนส่ายไปมา ยินเสียงกล่าวว่า “ดูแรนดัลมีฝีมืออยู่ท่าสองท่า จนบัดนี้อาการของข้ายังมิอาจฟื้นตัวได้เกินสามส่วน แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ”
                    มหาอุปราชวัยสี่สิบเศษไม่เข้าใจจึงกล่าวว่า “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?
                    เวอร์น่อนเดินไปที่ตู้เก็บของหยิบหีบขนาดย่อมออกมาใบหนึ่ง ตัวหีบนั้นเก่าคร่ำคร่าแต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นหีบที่มีมูลค่าสูงยิ่ง หีบนั้นสร้างจากโลหะอันดามันที่ทั้งเหนียวและทนทาน อาจเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดนำโลหะสูงค่าขนาดนี้มาทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน พอวานเตสเห็นว่าหีบใบนี้ทำมาจากโลหะอันดามัน ก็ทราบได้ว่าของที่เก็บอยู่ด้านในย่อมต้องเป็นของที่มีค่าสูงกว่าตัวหีบอีกหลายเท่า
                    จักรพรรดิเวอร์น่อนเปิดหีบใบนั้นหยิบของขั้นมาสองสิ่ง กล่าวว่า “เจ้าทราบดีใช่หรือไม่ว่าตระกูลซอร์โดของเราเป็นเพียงตระกูลเดียวที่มียอดศัสตราวุธตกทอดกันมาถึงสองชิ้น ในสองศาสตรานั้นต่างเป็นวิชาคนละแนวทางไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย นั่นคือเคียวปลิดยมทูตที่เป็นแนวทางของศาสตร์แห่งเอลและคาทานะสะบั้นใจที่เป็นแนวทางของศาสตร์แห่งซัน สิ่งที่อยู่ในมือของข้านี้คือคัมภีร์ลับของตระกูลซอร์โด ทั้งสองเล่มถูกแก้ไขและปรับปรุงโดยบรรพบุรุษในแต่ละยุค จนกลายเป็นความรู้ที่มิอาจหาได้ที่ใดอีก ในคัมภีร์ที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งเอลนี้เองทำให้ข้าค้นพบแนวทางการรักษาอาการบาดเจ็บที่ไม่มีใครเหมือน และถ้าหากฝึกสำเร็จข้าจะย่นระยะเวลาการรักษาตัวจากครึ่งค่อนปีเหลือเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น”
                    เมื่อรับฟังประโยคสุดท้าย ดวงตาสีแดงจนเกือบดำของวานเตสก็เปล่งประกายขึ้น กล่าวว่า “เช่นนี้ท่านพ่อก็จะสามารถกลับมาปฏิบัติภารกิจได้อีกครั้งหนึ่ง นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง”
                    ดวงของเวอร์น่อนเปล่งประกายเช่นกัน แต่ประกายทั้งสองข้างกลับเป็นสีแดงสด แดงราวกับสีของโลหิต               มันยื่นคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งให้กับบุตรชาย กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นถึงมหาอุปราชแห่งจักรวรรดิ สร้างผลงานยอดเยี่ยมมาโดยตลอด สมบัติชิ้นนี้ก็สมควรจะเป็นของเจ้าเสียที คัมภีร์ตระกูลซอร์โดที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งซันจะช่วยยกระดับให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าเมื่อเจ้าศึกษามันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นั่นก็คือระดับสูงสุดของขั้นไร้รูปไร้ตัวตนที่เรียกว่า จิตวิญญาณแห่งซันและเมื่อนั้นบุคคลในตระกูลซอร์โดทั้งสามก็จะครองแผ่นดิน พิชิตห้าอาณาจักรรวมแผ่นดินใต้หล้าเป็นปึกแผ่นโดยไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวาง”
                    วานเตสรับคัมภีร์มาจากมือของบิดา ในใจกลับพรั่นพรึงแววตาที่แดงฉานราวกับโลหิตของเวอร์น่อนคู่นั้น พลางถามว่า “ท่านพ่อเห็นว่าโรฮันที่ฝึกยุทธทางศาสตร์แห่งซันเช่นกันสมควรจะได้รับรู้เนื้อหาของคัมภีร์เล่มนี้หรือไม่?
                     “แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสองจะเป็นซันชิน แต่แนวทางของโรฮันกับเจ้านั้นเป็นคนละแนวทางกัน คัมภีร์เล่มในมือเจ้าส่วนใหญ่ระบุถึงวิธีการใช้คาทานะสะบั้นใจให้ก่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด แม้ว่าโรฮันได้รับไปก็มิอาจช่วยให้มันเก่งกาจขึ้นไปกว่าเดิม” เวอร์น่อนส่ายศีรษะอีกครั้ง กล่าวต่อไปว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก บัดนี้โรฮันได้พัฒนาตนเองขึ้นไปอีกระดับแล้ว อาจเรียกได้ว่ามันมีฝีมือเทียบเคียงกับเจ้าก็ว่าได้ ข้าจึงได้อวยยศให้มันเป็นถึงอุปราชช่วยเจ้าควบคุมหน่วยอัศวินดำบางส่วน และไม่กี่วันก่อนผลงานที่มันพึ่งจะสร้างให้เห็นก็แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วว่าโรฮันควรคู่กับตำแหน่งนั้น ที่สามารถทำให้สาธารณรัฐเอนเซลยินยอมเป็นพันธมิตรกับพวกเรา”
                    มหาอุปราชกล่าวด้วยความสงสัยว่า “โรฮันพัฒนาตนขึ้นไปถึงระดับนั้นในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร?
                    “นั่นเป็นเพราะเทพเจ้าแห่งสงครามที่มอบพลังให้กับวงศ์ตระกูลของเรามาโดยตลอด พอเจ้าศึกษาคัมภีร์ฉบับนั้นจนแตกฉานแล้วก็จะเข้าใจด้วยตนเอง ว่าพลังของเทพเจ้าแห่งสงครามนั้นคืออะไรเรื่องนี้พวกเรายุติการสนทนากันเพียงเท่านี้ ข้ามีเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่จะให้เจ้ารับรู้และช่วยจัดการ”
                    เทพเจ้าแห่งสงคราม วานเตสทวนคำกล่าวนั้นอยู่ในใจ ในขณะที่มีเสียงฝีเท้าเดินมาอย่างจงใจให้ได้ยิน
    จักรพรรดิเวอร์น่อนกล่าวจบจึงเดินไปเปิดประตูด้วยตนเอง ปรากฏเป็นร่างของบุคคลสองคนที่มีทั้งตำแหน่งและความสามารถประจักษ์ให้เห็นว่ามิได้ด้วยไปกว่ามหาอุปราชแห่งจักรวรรดินอร์ บุคคลทั้งสองเป็นบุรุษอายุราวห้าสิบหกสิบปี คนหนึ่งรูปร่างผอมสูงอีกคนหนึ่งเข้มแข็งบึกบึน สวมชุดเกราะสองชุดที่หามิได้จากที่ไหนอีกแล้วในโลก ชุดเกราะที่แสดงถึงพลังและอำนาจที่มีเพียงบุคคลสองคนเท่านั้นที่มีไว้ครอบครอง เกราะที่ถูกสร้างมาจากเกล็ดของมังกรอัสกาลอร์ นามว่า เกราะเกล็ดมังกร
    เกราะเกล็ดมังกรตัดเย็บขึ้นมาจากเกล็ดมังกรดำบุเข้ากับผ้าที่ทอจากใยลาเมล่า ปราศจากชิ้นส่วนที่เป็นโลหะทำให้มีน้ำหนักเบากว่าเกราะทั่วไปถึงสองเท่า เกล็ดมังกรดำทนเปลวอัคคีความร้อนและความเย็นทุกชนิด ดาบกระบี่ธรรมดาล้วนฟันแทงไม่เข้า หากจะมีผู้ใดสร้างทำเนียบยอดชุดเกราะก็รับรองว่าเกราะเกล็ดมังกรทั้งสองชุดต้องติดอันดับอย่างแน่นอน
    วานเตสกล่าวนามของบุคคลทั้งสองออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านจอมทัพมังกรเบเรียล ท่านจอมทัพมังกรฮินเดล!?
    “ไม่ต้องประหลาดใจไปท่านมหาอุปราช บัดนี้หน่วยรบมังกรของเรากับจักรวรรดิแห่งนอร์ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว” คนกล่าววาจาเป็นจอมทัพมังกรเบเรียลที่สวมเกราะเกล็ดมังกรเต็มยศ เว้นแต่เพียงผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงินสดที่แตกต่างกับสีเหลืองทองของจอมทัพมังกรฮิลเดล
    จักรพรรดิเวอร์น่อนเชื้อเชิญบุคคลทั้งสองเข้ามา กล่าวว่า “เมื่อท่านเบเรียลและท่านฮิลเดลยินยอมช่วยเหลือ จักรวรรดินอร์ของเราก็จะมีสภาพเหมือนมังกรบินที่ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งได้อีก”
    จอมทัพมังกรฮินเดลมีรูปร่างผอมสูงเป็นผู้นำแห่งวังมังกรที่บนยอดเขาไดมอนด์ฮิล กล่าวสนับสนุนว่า “ท่านจักรพรรดิมีฝีมือสูงส่งอยู่แล้ว กองทัพมังกรของพวกเราทั้งสองนี้เป็นเพียงเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จะทำให้จักรวรรดินอร์สามารถยึดครองแผ่นดินทั้งมวลได้ง่ายดายและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น”
                    “พวกท่านทั้งสองไม่ต้องถ่อมตนจนเกินไป แม้แต่เด็กอายุสิบขวบยังทราบว่าไม่มีผู้ใดในแผ่นดินกล้าดูแคลนศักยภาพของกองทัพมังกร ยิ่งถ้าเป็นท่านจอมทัพมังกรทั้งสองให้การสนับสนุน โอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้รับชัยชนะนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย” จักรพรรดิเวอร์น่อนกล่าว
                    จอมทัพมังกรเบเรียลที่มีรูปร่างบึกบึนกำยำกล่าวว่า “ที่พวกข้าทั้งสองมาในครั้งนี้ก็เพื่อการนี้อยู่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านจักรพรรดิมีคำสั่งประการใดให้พวกเราทั้งสองได้น้อมสนอง?
                    จักรพรรดิเวอร์น่อนเปล่งประกายแห่งเทพสงครามในดวงตาทั้งคู่อีกครั้ง กล่าวว่า “พวกท่านทั้งสองก็ทราบดีว่าในปัจจุบันกองกำลังที่กระด้างกระเดื่องต่อจักรวรรดิของเราเหลือเพียงสองแห่งเท่านั้น หนึ่งก็คือเมืองเอเวอร์เกรซทางตะวันออกและสองก็คือเมืองเจนีสทางตะวันตก ส่วนเมืองโลซานทางตอนใต้นั้นได้ตกเป็นพื้นที่ของฝ่ายเราด้วยฝีมือของจอมพลทาลอส ก่อนที่จักรวรรดินอร์จะสามารถยึดแผ่นดินทั้งมวลจะต้องทำการยึดเมืองทั้งสองนี้ให้ได้เสียก่อน รวมแผ่นดินนอร์ให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง การบุกเมืองเอเวอร์เกรซนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของจอมพลทาลอส และการบุกเมืองเจนีสอยู่ภายใต้การควบคุมของเสนาธิการสูงสุดมิดาส มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อถือฝีมือของบุคคลทั้งสองที่เป็นขุนพลที่เก่งที่สุดในจักรวรรดิ แต่ถ้าหากมีท่านจอมทัพมังกรยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ส่งกองกำลังไปสนับสนุนสักส่วนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าภารกิจบุกตีเมืองทั้งสองนี้จะต้องมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว”
                    จอมทัพมังกรเบเรียลหันไปกล่าวกับจอมทัพมังกรฮิลเดลว่า “เมืองเจนีสอยู่ใกล้กับวังมังกรของข้า คงจะมอบให้อัศวินมังกรเบลโทริน่าเป็นกำลังเสริม รบกวนพี่ท่านช่วยจัดการเมืองเอเวอร์เกรซเป็นอย่างไร?
                    จอมทัพมังกรฮินเดลตอบว่า “อัศวินมังกรโมลล็อคเป็นอย่างไร?
                    วานเตสครุ่นคิดว่า อัศวินมังกรเบลโทริน่าสตรีที่สามารถบังคับมังกรดำฟาฟเนอร์ กับอัศวินมังกรโมลล็อคบุรุษที่สามารถบังคับมังกรแดงซาลามันเดอร์คนใดคนหนึ่งในสองคนนี้เทียบเท่ากับกองทัพขนาดย่อมกองหนึ่ง
                    เวอร์น่อนกล่าวต่อไปว่า “สำหรับเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยของแผนการนั้น ข้าอยากจะให้ท่านจอมทัพมังกรทั้งสองสนทนากับมหาอุปราชวานเตสในภายหลัง พวกท่านล้วนทราบกันว่าตัวข้านั้นได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี ต้องใช้เวลาในการพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง”
                    “และถึงบัดนั้นพวกเราทั้งสองคงจะได้ลงมือสักทีใช่หรือไม่ท่านจักรพรรดิ?” จอมทัพมังกรเบเรียลกล่าว
                    “หลังจากสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนข้าก็ไม่เคยได้ยืดเส้นยืดสายอย่างจริงจังสักครั้งหนึ่ง หวังว่าครั้งนี้การบุกทะลวงนครมิสต์คงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” จอมทัพมังกรฮินเดลกล่าวสนับสนุน
                    เวอร์น่อนพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “พวกท่านทั้งสองเตรียมใจไว้รอความสนุกสนานที่กำลังจะเกิดขึ้น นครมิสต์จะไม่สามารถยืนอยู่เหนืออาณาจักรนอร์อีกต่อไป เมื่อใดที่ข้าเชิญพวกท่านมาที่ตำหนักธงอาชานี้อีกครั้ง เมื่อนั้นจะเป็นเวลาสูญสลายของนครมิสต์”
                    เสียงหัวเราะของบุคคลทั้งสามดังขึ้นในห้องส่วนตัวของจักรพรรดิเวอร์น่อน ราวกับว่านครมิสต์ตกอยู่ในกำมือของพวกมันเรียบร้อยแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×