ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #116 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 62.1 พรมแดนสองอาณาจักร (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 926
      0
      3 มี.ค. 51

    ภาควิญญาณข้าเพื่อเจ้า
    ตอนที่ 62.1 พรมแดนสองอาณาจักร
    22 กุมภาพันธ์ อศ. 226
     
    เวลาสองวันผ่านไปกับการเดินทาง พวกลูททั้งสามได้มาถึงชายแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรนอร์ อันเป็นรอยต่อระหว่างนอร์และเอนเซล
                    ลูทประจำอยู่บริเวณที่นั่งคนขับรถซึ่งเป็นทั้งสถานที่ทำงานและเตียงนอนส่วนบุคคล เนื่องด้วยความเร่งรีบที่จะต้องไปยังเอนเซลเจรจากับประธานาธิบดีราชิตก่อนที่อาการพิษของยูกิจะกำเริบ ระหว่างทางจึงมิอาจหยุดค้างแรมตามจุดเปลี่ยนม้าให้เป็นกิจจะลักษณะ ทำได้เพียงหยุดพักตามโรงเตี๊ยมอาบน้ำชำระร่างกาย พักผ่อนเป็นเวลาชั่วโมงสองชั่วโมง เปลี่ยนม้าคู่ใหม่แล้วเดินทางต่อ ตกกลางคืนอาศัยรถม้าเป็นบ้านพัก หาสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยจอดรถพักผ่อนอยู่ข้างทางรุ่งเช้าค่อยออกเดินทางต่อ โดยสตรีทั้งสองจะพักอยู่ในตัวรถ ส่วนเขาทำหน้าที่เป็นเวรยามนอนอยู่บริเวณที่นั่งคนขับ
                    เช้าวันนี้ลูทสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ เนื่องเพราะเมื่อคืนได้มีโอกาสพักรถในบริเวณกระท่อมของชาวสวน จึพักผ่อนได้เต็มตามิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย พอขับรถตามทางมาครู่หนึ่งจึงชวนสตรีทั้งสองสนทนา กล่าวว่า “ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยเหยียบย่างเข้าเขตแดนของเอนเซลสักก้าวหนึ่ง เคยได้ยินแต่เพียงว่าเอนเซลเป็นอาณาจักรที่โดนเด่นเรื่องของเอลเทคที่สุด พวกเจ้าทั้งสองล้วนเป็นคนท้องถิ่นที่เกิดและเติบโตที่นี่ พอจะเล่าให้คนต่างถิ่นอย่างข้าฟังเปิดหูเปิดตาได้หรือไม่?
                    แว่วเสียงอันนุ่มนวลปนสดใสของยอดหญิงยูกิดังขึ้นมาจากในตัวรถว่า “หลังจากนี้ไปอีกวันหนึ่งก็จะเข้าเขตแคว้นธอร์ที่อยู่ตอนเหนือของอาณาจักร เมื่อถึงที่นั่นเจ้าจะรู้ได้ทันทีว่าความเจริญของเอนเซลมีต้นกำเนิดมาจากสิ่งใด”
                    “แคว้น?” ลูทย้อนคำด้วยความสงสัย ถามต่อไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงเรียกเมืองธอร์ว่าแคว้น?
                    รินะที่นั่งอยู่เคียงข้างก็ถามขึ้นเช่นกันว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ในเมื่อประเทศอื่นเรียกอาณาเขตการปกครองว่าเมือง เว้นเสียแต่สหพันธรัฐแห่งนอร์ที่แบ่งดินแดนเป็นสามรัฐก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่เพราะเหตุใดดินแดนส่วนย่อยในเอนเซลถึงได้เรียกว่าแคว้นแทนที่จะเป็นรัฐเช่นกัน?
                    ยอดหญิงยูกิผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้เรื่องการเมืองการปกครองของอาณาจักรตน กล่าวอธิบายว่า “นี่มีสาเหตุมาจากการปกครองของสหพันธรัฐเอนเซลที่ใช้ระบอบสาธารณรัฐ ดินแดนแต่ละเขตจะมีอิสระต่อกันมากกว่าประเทศอื่น เหล่าขุนนางในสมัยก่อนที่ร่างข้อบัญญติทางการปกครองขึ้นมาจึงให้คำจำกัดความของพื้นที่แต่ละส่วนว่า แคว้น และมี เจ้าครองแคว้น เป็นผู้ปกครอง
    เจ้าครองแคว้นแต่ละคนมีอำนาจเต็มในการออกกฎหมายเฉพาะดินแดนอันเรียกว่า แคว้นบัญญัติ สำหรับบังคับใช้ในแคว้นที่ตนเองปกครองอยู่ แต่มีข้อแม้ว่ากฎหมายนั้นจะไม่ขัดกับกฎหมายกลางของสาธารณรัฐเอนเซลที่เรียกว่า บัญญัติแห่งเอนเซล มิฉะนั้นแคว้นบัญญัติจะถือเป็นโมฆะ”
    ยอดหญิงเห็นผู้ฟังทั้งสองตั้งใจฟังเป็นอย่างดีจึงเล่าต่อไปว่า “สมัยก่อนตำแหน่ง เจ้าครองแคว้นเอนเซลเลียร์ ถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาจักรเอนเซล แต่พอมีการแก้ไขร่างบัญญัติแห่งเอนเซลราวร้อยปีก่อน ปรับเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐเต็มตัว จึงมีการตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีขึ้นมาตามทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนคำเรียกหาจากเจ้าครองแคว้นเอนเซลเลียร์เป็นประธานาธิบดี ด้วยเหตุผลเพียงมิให้ยึดติดกับบัญญัติแห่งเอนเซลฉบับเก่าที่มีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ อย่างไรก็ตามผู้คนยังคงยึดติดกับคำว่า “แคว้น” ที่มีมาแต่ในอดีตกาลแทนที่จะเปลี่ยนมาใช้คำว่า “รัฐ” ตามระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีคนแรกก็มีอคติต่อสหพันธรัฐแห่งนอร์ที่ใช้คำว่ารัฐมาก่อนหน้า จึงไม่อยากที่จะลอกเลียนแบบให้เสียศักดิ์ศรี และยังอยากที่จะคงความเป็นเอกลักษณ์ของเอนเซลเอาไว้ คำว่า “แคว้น” จึงไม่ถูกยกเลิกออกไป
    นับแต่นั้นมาหากมีเรื่องที่กระทบถึงแผ่นดินเอนเซลทั้งผืน ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเพียงผู้เดียว แต่ถ้าเป็นเรื่องรองลงไปที่ส่งผลกระทบต่อแคว้นใดแคว้นหนึ่งเท่านั้น อำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะตกอยู่ที่เจ้าครองแคว้นแต่ละคน แทนที่จะเป็นของผู้นำสูงสุดดั่งเช่นผู้นำประเทศอื่น”
                    ลูทได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมึนงงสงสัยส่งผลให้มีคำถามตามมาอีกว่า “เช่นนี้เจ้าครองแคว้นต่างกันอย่างไรกับผู้ปกครองสามรัฐของอาณาจักรนอร์? ข้าเห็นว่ามันเหมือนกันมิใช่หรือ? หรืออาจเป็นเพราะว่าตัวข้านั้นไม่ค่อยจะรู้หลักการทางการเมืองการปกครองเท่าใดนัก ขอเจ้าช่วยอธิบายให้กระจ่างอีกรอบหนึ่ง”
                    ยูกิทราบดีว่าคนปกติธรรมดาที่อาศัยอยู่ในประเทศหนึ่งไม่น่าจะเข้าใจการปกครองของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบอบการปกครองที่มีความซับซ้อนแต่กลับคล้ายคลึงกันบางส่วนอย่างเช่นนอร์กับเอนเซล ในจุดนี้นางเองต้องร่ำเรียนอยู่หลายเดือนกว่าจะเตรียมพร้อมในเรื่องทฤษฎีการปกครอง สำหรับการประลองชิงตำแหน่งยอดหญิงในอดีต คิดได้เช่นนั้นจึงเริ่มอธิบายว่า “อาณาจักรนอร์เดิมปกครองด้วยระบอบสหพันธรัฐ จนถึงเมื่อหลายวันก่อนที่เวอร์น่อนกระทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐสภามาเป็นของตน ประกาศกฎอัยการศึกตั้งระบอบจักรวรรดิขึ้น ดังนั้นการปกครองที่ข้าจะกล่าวเปรียบเทียบคือระบอบสหพันธรัฐกับระบอบสาธารณรัฐ มิใช่ระบอบจักรวรรดิของเวอร์น่อน จึงขอทำความเข้าใจกับเจ้าตรงจุดนี้ก่อน
    ผู้ปกครองทั้งสามในระบอบสหพันธรัฐมีความคล้ายคลึงกับเจ้าครองแคว้นอยู่บ้าง แต่ก็มีความแตกต่างบางประการ จุดที่คล้ายคลึงคือการที่ผู้ปกครองทั้งสามสามารถบริหารงานราชการ ส่งผ่านอำนาจไปทางผู้ตรวจการภาคและผู้ว่าการเมืองไปบริหารงานในเรื่องราวทั่วไป เช่นเดียวกับเจ้าครองแคว้นที่สามารถตัดสินใจเรื่องราวประจำวัน โดยแต่งตั้งลูกน้องขึ้นมาจำนวนหนึ่งช่วยกันบริหารงานในแคว้นให้ราบลื่น
    จุดที่ต่างกันคือผู้ปกครองแต่ละท่านไม่มีอำนาจเด็ดขาดในเรื่องการวางนโยบาย เพียงทำได้แต่การบริหารงานที่ยึดนโยบายจากรัฐสภา โดยที่ผู้ปกครองทั้งสามจะมีอำนาจในการลงคะแนนเสียงได้มากกว่าสมาชิกสภาผู้อื่น เทียบเท่ากับสมาชิกสภาจำนวนยี่สิบเสียง และการตัดสินใจในเรื่องของนโยบายแต่ละเรื่องนั้น จะต้องใช้อำนาจจากรัฐสภาโดยผ่านการลงคะแนนเสียงเป็นการตัดสินใจ ต่างกับเจ้าครองแคว้นที่พอใจจะตั้งแคว้นบัญญัติขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ หากแคว้นบัญญัตินั้นไม่ขัดกับบัญญัติแห่งเอนเซล โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการลงคะแนนเสียงระดับประเทศเช่นเดียวกับสหพันธรัฐแห่งนอร์”
                    ลูทที่เป็นคนหัวดีเมื่อได้รับฟังยูกิอธิบายอย่างละเอียดจึงเข้าใจในทันที กล่าวเสริมว่า “เช่นนั้นเจ้าครองแคว้นคงมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตัว สามารถสั่งการเรื่องต่างๆภายในเมืองได้โดยอิสระ เปรียบเสมือนแคว้นนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของตนแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่ต้องไม่ขัดกับกฎระเบียบในระดับประเทศ ซึ่งวางเอาไว้ในที่ประชุมสาธารณะรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประธาน และเจ้าครองแคว้นทั้งหลายเป็นผู้ร่วมประชุม ใช่หรือไม่?
                    พอถึงตรงนี้รินะก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ขบคิดทำความเข้าใจกับระบอบการปกครองที่ผิดแผกแตกต่างระหว่างสองประเทศ แล้วกล่าวว่า “ดังนั้นผู้ที่พวกเราจะเข้าพบในครั้งนี้ สมควรเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องราวระดับประเทศ นั่นคือประธานาธิบดีราชิต หรือเจ้าครองแคว้นนครหลวงเอนเซลเลียร์ในอดีต”
                    ยอดหญิงยูกิพยักหน้ากล่าวชมเชยทั้งสองว่า “ไม่ผิด พวกเจ้าเข้าใจเรื่องราวได้รวดเร็วยิ่ง”
                    ลูทยิ้มพลางกล่าวว่า “นี่เรียกว่ามีครูดีต่างหาก ทั้งสวยและทั้งเก่ง”
                    ยูกิค้อนให้กับลูทครั้งหนึ่งเมื่อถูกบุรุษหนุ่มกล่าวเยินยอต่อหน้า แต่ก็ยังกล่าวต่อไปว่า “เอ่ยถึงเรื่องครู ในตอนแรกที่เห็นเจ้าประดิษฐ์หน้าไม้ไฮดรา ข้านึกว่าเจ้าเองเป็นชาวเอนเซลที่มีเชื้อสายนอร์ หรือเป็นชาวต่างชาติที่ได้มีโอกาสมาเรียนที่แคว้นใดแคว้นหนึ่งในเอนเซลเสียอีก กลไกเอลเทคชั้นสูงและซับซ้อนขนาดที่ออกแบบนั้นเพียงจำกัดอยู่ในเอนเซล มิได้มีโรงเรียนช่างหรือนักประดิษฐ์ที่ไหนเปิดการสอน แต่พอได้สังเกตสีผมน้ำตาลอมแดงของเจ้าที่แสดงถึงความเป็นชาวนอร์ผสมมิสต์ จึงสงสัยว่าเจ้าไปร่ำเรียนเอลเทคชั้นสูงเหล่านี้มาได้อย่างไร? ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้าอย่างนั้นหรือ?
                    รินะพยักหน้า นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้สึกทึ่งในหน้าไม้อัตโนมัตินั้นเช่นกัน แม้ว่ามันจะมิอาจใช้กับเอลลิสระดับเหนือเมฆอย่างผู้ตรวจการพาโบล แต่ก็ต้องยอมรับว่าไฮดราเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่วิเศษ สามารถยิงได้ต่อเนื่องมากกว่าหน้าไม้ใดๆที่เคยเห็นมา เพียงชั่วลัดนิ้วมือเท่านั้นก็สามารถปล่อยลูกดอกออกได้นับสิบลูก ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์พี่จะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นขณะออกแบบยังไม่ต้องใช้เครื่องมือในการคำนวณใดๆ เพียงใช้กระดาษและดินสอด้ามหนึ่งนั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบก็กระทำได้”
                    ยูกิเกิดอาการหน้าแดงขึ้นเมื่อรินะเล่าเรื่องประการเหล่านี้ออกไป ทั้งหมดนั้นเป็นนางถ่ายทอดให้น้องสาวฟังเองทั้งสิ้น หากมิได้ให้ความใส่ใจกับบุรุษหนุ่มตรงหน้าคงมิกล่าววาจามากมายกับรินะหรอก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×