แม่มดกับเจ้าหญิง yuri - แม่มดกับเจ้าหญิง yuri นิยาย แม่มดกับเจ้าหญิง yuri : Dek-D.com - Writer

    แม่มดกับเจ้าหญิง yuri

    แม่มดไม่มีสิทธิ์รักใครใช่ไหม...ถ้าแม่มดจะรักเจ้าหญิงจะผิดไหม

    ผู้เข้าชมรวม

    1,409

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    1.4K

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    11
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.ย. 55 / 09:50 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      แม่มดกับเจ้าหญิง

                ร่างกายฉันที่สั่นเทิ้มไปหมดสายฝนที่พรั่งพรูออกมาอย่างหนักกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดถึงตาจะพร่ามั่วขนาดไหนแต่สายตาของฉันจ้องไปยังเธอคนนั้นเจ้าหญิงของฉัน ฉันยิ้มน้อยๆออกมาดวงตาที่หลับลงพร้อมความทรงจำต่างๆในชีวิตของฉัน

                ฉันเป็นแม่มดที่ชั่วร้ายที่สุดก็ว่าได้...ฉันทำทุกอย่างล่อลวงผู้คนที่ฉันต้องตาให้มาตกเป็นทาสรับใช้  ...มีอำนาจมากมาย ช่วงชิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีเจ้าของหรือไม่โดยเฉพาะการช่วงชิง “หัวใจ”...ใช้เวทย์มนต์ทำสิ่งต่างๆ ใบหน้าของฉันไม่ได้ดูดีแถมมีผมชี้ฟูฟ่องใครเห็นต่างหวาดกลัว นั้นอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉัน...เกลียดการเข้าสังคมขนาดแม่มดด้วยกันยังรังเกียจเดียจฉันตัวฉันเอง

                วันนี้ฝนตกอย่างแรงกระท่อมเล็กๆกลางป่าที่โยกเยกตามแรงลมแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในบ้านที่ยังเหมือนเดิม..ฉันเดินจัดโต๊ะอาหารยามค่ำที่แสนหวานอาหารที่เป็นอาหารปกติทั่วไป...ไม่ใช่พวกเนื้อสดๆหรือตับ ไต หัวใจของหญิงสาวแต่เพียงใด ฉันนั่งบนเก้าอี้ไม้ ก๊อก ก๊อก  ก๊อก เสียงเคาะประตู...ดวงตาฉันจ้องมองไป...กระท่อมแม่มดแห่งนี้ไม่น่าจะมีใครเหยียบย่างเข้ามาได้..แถมป่าแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์มากมายที่เป็นอันตราย แต่ถ้าเป็นพวกแม่มดก็ไม่มีใครกล้าคบค้าสมาคมด้วย ใครกัน ฉันลุกออกเดินไปยังประตู อนาคตคือสิ่งที่ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อนาคตของฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงเมื่อมือคู่นี้เปิดประตู ภาพแรกที่เห็นเป็นหญิงสาวแรกแย้มยืนตัวเปียกในมือถือช่อดอกไม้เล็กๆไว้ ใบหน้าน่ารักนั้น ดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างไม่คิดหวาดกลัวสิ่งใดๆ หัวใจของฉันที่รู้สึกแปลกๆขึ้นมากระทันหัน แต่ฉันก็สงสัยทันทีเมื่อเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ได้โดนมนต์สะกดใดๆกลับยืนเฉยโดยที่ไม่วิ่งหนีเมื่อเห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์นี้

                “ขอเข้าไปข้างในได้ไหม” เสียงหวานที่เอ่ยออกมา ฉันกลับเปิดประตูและเชื้อเชิญหญิงสาวคนนั้นเข้ามาอย่างว่าง่าย ร่างบางนั้นเดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วตักกินอย่างรวดเร็วเหมือนไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ฉันจ้องมองเด็กสาวคนนั้น เด็กคนนั้นหันมาแล้วบอกให้มากินด้วยกัน ฉันเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ ร่างกายแปลกไปมือสั่นเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง แต่ก็น่าแปลกเมื่อฉันที่อยู่ตัวคนเดียวตลอดกลับมีเก้าอี้หลายตัวอยู่ล้มรอบโต๊ะใบใหญ่นี้...ไม่นานร่างนั้นก็หลับบนโซฟากำมะยี่สีแดงดั่งเลือด...

                เช้านี้ฉันออกเดินไปในตัวเมืองใบหน้าที่เหมือนคนปกติทั่วไปหลังใช้เวทย์มนต์...ฉันออกเดินซื้อของในตลาดที่แสนวุ่นวาย ทำไมฉันต้องออกมาซื้อของนะในหัวที่วนคิดแต่เรื่องเดิมซึ่งปกติก็ไม่เคยออกมาซื้อ ฉันเดินไปเรื่อยๆ ฉันมองไปยังกลุ่มคนที่ห้อมล้อมอะไรบางอย่าง ฉันเดินไปดูเมื่อความอยากรู้สิ่งๆนั้น ฉันเดินแทรกกลุ่มคนไปอย่างยากลำบากถ้าจะใช้เวทย์มนต์ก็ได้แต่ไม่ชอบทำอะไรเป็นเรื่องใหญ่ซักเท่าไหร่ เมื่อมาถึงมันเป็นป้ายประกาศ รูปหญิงสาวที่แสนคุ้นเคย ฉันมองรูปนั้นด้านหลังที่เขียนถึงเงินรางวัลที่แสนยากที่จะได้มา ฉันเดินกลับบ้านทันที

                ประตูไม้เปิดออกร่างเด็กสาวที่นั่งบนโซฟาสีแดงกำลังทำมงกุฏดอกไม้ที่เธอถือมาด้วยเมื่อวาน เธอหันมาแล้วยิ้มแล้วเดินมายืนตรงหน้าฉันที่ใบหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม มือเล็กๆที่วางมงกุฏดอกไม้บนหัวที่ฟูนั้น

                “ขอบคุณนะ” คำพูดแสนหวานที่เอ่ยออกมา “ฉันต้องไปแล้ว” ร่างบางยิ้ม เมื่อได้ยินแบบนั้นเหมือนหัวใจฉันหล่นหาย “ไปด้วยกันไหม” ร่างบางบอก ฉันเพลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ฉันได้พาหญิงสาวคนนี้ไปยังที่ๆเธอมา

                ห้องโถงขนาดใหญ่ร่างราชาที่สูงศักดิ์นั่งบนบัลลังค์สีทองข้างๆกันมีราชินีที่งดงามนั่งอยู่ซักพักร่างหญิงสาวเดินออกมาพร้อมชุดเต็มยศ เธอเป็นลูกของราชาและราชินีนั้นคือเจ้าหญิงนั้นเอง ฉันจ้องมองเธออย่างไม่วางตา เสียงห้าวหาญเปล่งออกมา

                “ข้าขอบคุณเจ้ามาก...ที่ช่วยลูกสาวเราไว้” ขอบคุณนั้นเป็นครั้งแรกที่มีคนขอบคุณและเป็นครั้งแรกที่ไม่มีใครกลัวฉัน  ตอนที่ฉันเดินทางมาผ่านเมืองผู้คนในเมืองต่างมองและก็ถอยห่างออกไปแต่ในนี้กลับไม่ใช่ทุกคนมองมาอย่างอ่อนโยนโดยเฉพาะเจ้าหญิง

                ”นี้คือเงินตามที่สัญญาไว้" ทหารยกถุงเงินออกมาวางไว้ตรงหน้าเบาๆ ฉันมองเงินจำนวนมากมายนั้น ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันคงรีบคว้ามันแล้วเดินจากไปแต่ตอนนี้เหมือนมีบางอย่างถ่วงร่างกายนี้ไว้

                “ไม่” ฉันตอบปฏิเศษไปแล้วหันหลังเดินเพื่อที่จะกลับไปยังบ้าน นี่ไม่ใช่ตัวฉัน ฉันคิดอย่างนั้น  ตัวฉันต้องโค่นบัลลังค์ซิแล้วเป็นใหญ่แผ่นดินถึงจะถูก แล้วให้ทุกคนเป็นข้ารับใช้และใช้เวทย์มนต์ช่วงชิงหัวใจผู้ที่ต้องตาต้องใจ  แต่ฉันกลับหันหลังออกเดิน แต่เท้าสองข้างก็ต้องหยุดเมื่อมีมือเล็กๆจับข้อมือไว้ นี้เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสมือที่แสนนุ่มนี้

                “อย่าเพิ่งไป...อยู่กับเราที่นี้ก็ได้” ฉันหันกลับ เจ้าหญิงมองมาอย่างเว้าวอน ฉันจะทำไงดีจะตกลงหรือปฏิเสธดี ในหัวที่ตีกันวุ่นไปหมด

                “นะ” เจ้าหญิงยิ้มบางๆแค่นั้น ฉันกลับพยักหน้าตกลงแบบไม่รู้ตัว เจ้าหญิงยิ้มกว้าง

                “เจ้าชื่ออะไรและทำงานอะไร” ราชาเอ่ยถาม ฉันหันไปตอนนี้ในคอไม่อาจตอบอะไรได้ ถ้าพูดชื่อทุกคนก็จะรู้ว่าฉันเป็นแม่มดที่ชั่วช้าที่สุดในตอนนี้ ทั้งเผาหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน ล่อลวงผู้คน และช่วงชิงหัวใจ เหมือนมีอะไรบางอย่างจุกที่คอ ไม่อาจพูดคำใดๆได้เลย

                “ช่างมันเถอะค่ะ” เจ้าหญิงพูดขึ้น “เขาช่วยหนูไว้เพราะงั้นก็ไม่มีอะไรมากแค่นี้ก็พอค่ะ” เจ้าหญิงตอบแล้วดึงฉันออกมาจากห้องโถงโดนตรงไปเรื่อยๆ  ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าอยู่ส่วนไหนของปราสาทเราทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆจนมาถึงหน้าห้องหนึ่งเจ้าหญิงเปิดเข้าไปเป็นห้องกว้างขนาดใหญ่

                “นี้เป็นห้องของเธอนะ” สายตาฉันที่กวาดมองดูรอบๆห้องเสียงเดินเข้ามาเป็นรับใช้เดินเข้ามาเจ้าหญิงเดินไปคุยกับแม่บ้านซักพักแม่บ้านก็เดินมาหาฉันแล้วลากไปที่ห้องๆหนึ่งจับฉันไปยังอ่างน้ำ น่ารำคาญ ความคิดแรกที่โผล่เข้ามาฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งยามร่างกายซักเท่าไหร่ มือข้างขวาเตรียมโบกเพียกเรียกเวทย์แต่ก็ต้องหยุดไปเมื่อภาพใบหน้าจ้าหญิงโผล่เข้ามาในสมอง ฉันไม่อาจทำได้ยังงั้นหรือ  ตอนนี้ฉันไม่อาจเข้าใจตัวเองได้เลยไม่นานฉันก็ออกมาจากห้องๆนั้นผมลู่ลงเสื้อผ้าชุดใหม่ ฉันคิดเสมอต่อให้ชำระร่างกายให้สะอาดเพียงไรหน้าตาฉันก็ไม่อาจดูดีขึ้นมาได้ผมยาวถูกมัดรวบไว้ เสียงเปิดประตูเข้ามาฉันหันไปมองเป็นเจ้าหญิงที่เดินเข้ามาพร้อมมงกุฏดอกไม้ตัวนั้น ฉันจำได้ว่าฉันเอาไว้ในกระท่อมคงไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงจะไปเอามานะ เจ้าหญิงวางมงกุฏนั้นไว้บนหัวของฉันแล้วยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี

                “พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ” เพื่อนฉันได้ยินประโยค รู้สึกหัวใจแปลกๆมากขึ้น  นับจากวันนั้น เราสองคนไปด้วยกันตลอดเวลาไม่ค่อยห่างกันไปไหนหรือจากันไป  วันไหนที่เจ้าหญิงร้องไห้ฉันจะอยู่เคียงข้าง สิ่งใดที่เจ้าหญิงต้องการฉันมักจะหามันมา เจ้าหญิงสอนให้ยิ้ม สอนให้รู้จักแบ่งปันสิ่งของให้คนอื่น ไม่มีใครกลัวฉันอีกต่อไปเรื่องและเรื่องแม่มดที่ชั่วช้าก็หายไปเพราะไม่มีเหตุการณ์แบบครั้งก่อนอีก เพราะแม่มดนั้นก็คือตัวฉันคนนี้ ฉันอยู่ที่นี้มาได้สามเดือน ฉันมีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าหญิง ฉันอยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไปแต่อนาคตและความสุขไม่เคยยังยืนเท่าไหร่ เมื่อลูกของกษัตริย์เพื่อนบ้านเสด็จมายังเมืองนี้  ราชาได้จัดงานตอนรับขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันงานมาถึงเสียงขบวนแห่งและเสียงประชาชนดังกึ่งก้องไปทั่วแผ่นดินนี้ ลูกกษัตริย์เพื่อนบ้านมีใบหน้าที่ดึงดูดผู้คน ดูดีทุกอย่างต่างจากฉัน  ฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่าการมาของคนคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตฉันอีกครั้ง ร่างนั้นเดินเข้าห้องโถงเพื่อเข้าเฝ้าราชา และราชินีฉันยืนอยู่ห่างๆ สายตาของฉันเห็นร่างเจ้าหญิงวิ่งไปแล้วสวมกอดคนคนนั้น รอบแขนที่โอบกอดกัน วินาทีนั้นหัวใจของฉันเหมือนดังถูกกระชากออกมาอย่างแรก 

                “น่ารักมาเลย...เป็นคนรักกันต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ซิ”

                “นั้นซิ แต่ที่จริงกลับประเทศเพื่อนเรียต่อให้จบเห็นว่าจะมาอยู่ด้วยกันหลังเรียนจบแล้วละ”

                “น่าอิจฉาเนอะ”

                หัวใจของฉันเจ็บมากว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงเหล่าข้ารับใช้พูดกันแบบนั้น  มีน้ำบางอย่างไหลออกมาจากดวงตาฉันไม่เคยรู้ว่ามันคืออะไร  ฉันถอยออกมาห่างเดินกลับห้องตัวเอง สิ่งแรกคือฉันไปที่เตียงนอนลงเอาผ้าห่มผืนหนาคลุม ตอนนี้ฉันไม่อาจหยุดน้ำสายนี้ได้ ฉันปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ จนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

                เช้าวันใหม่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเดินไปยังสวนซึ่งเป็นทีที่ฉันมักจะไปกับเจ้าหญิงบ่อยๆ ฉันเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงใจกลาง ภาพแรกที่ฉันเห็นคือ ร่างสองร่างที่ยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน  ความอิจฉาริษยาแทรกเข้ามาในร่างกาย ฉันกลับหลังหันแล้วเดินออกมา  ฉันเดินกลับไปยังห้อง รอเวลาพลบค่ำ  เมื่อถึงช่วงนั้น ฉันร่ายเวทย์ปลอมตัวออกนอกประสาทไปยังสถานบันเทิง ฉันเดินเข้าหาหญิงสาวที่หมายตา เหยื่อคนแรกก็เดินเข้ามา ฉันทำการช่วงชิงหัวใจ ด้วยวาจาเพื่อจะได้กลืนกินร่างกายนั้น ไม่นานเหยื่อก็ติดกับเมื่อความโกรธ เกลียด ริษยาประดังเข้ามาไม่หยุดบวกกับภาพเจ้าหญิงและคนรักหยอกล้อกัน ฉันได้ปลดปล่อยไปกับร่างหญิงสาวคนนี้ไปจนหมด ร่างเปลืยเปล่านอนหลับสนิท ฉันใส่เสื้อผ้าแล้วกลับเข้าวังซึ่งเป็นเวลาใกล้เช้านั้นเอง เวลาผ่านฉันออกมาทำแบบเดิมซ่ำๆแล้วเสียงล่ำลือก็ดังอีกครั้ง จนวัหนึ่งเมื่อฉันกลับมาจากปลดปล่อยอารมณ์ ฉันเดินเข้าห้องของตัวเอง เห็นร่างบางนั่งอยู่ที่เตียงนั้น

                “หายไปไหนมา” ร่างนั้นถาม ฉันไม่ตอบคำถามใดๆ “ฉันไม่เห็นเธอเลยช่วงนี้หายไปไหนเหรอ” ฉันส่ายหน้าไปมา  ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลยังไงดีเหมือนกัน  ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน ฉันยังคงเงียบต่อไป

                “เราเป็นเพื่อนกันนะ  ถ้าเธอมีเรื่องทุกใจบอกฉันได้นะ ฉันจะช่วยเอง” เจ้าหญิงเสนอช่วย  ฉันบอกไปจะดีไหมนะ เพื่อจะได้รู้ว่าที่ฉันเป็นมันคืออะไร

                “ฉันไม่รู้หรอกนะ  แต่ฉันไม่ชอบให้เจ้าหญิงไปอยู่กับคนคนนั้น”

                “ทำไม”

                “ไม่รู้..แค่ไม่ชอบเข้าใจไหม!” ฉันพลักร่างบางนั้นลงไปที่เตียงนุ่ม ฉันโกรธอย่างถึงที่สุดเมื่อเห็นภาพเดิมๆนั้น ภาพเจ้าหญิงกับคนคนนั้น  ฉันเกลียด

                “เป็นไรไป” น้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย ฉันรู้สึกเหมือนไม่ต้องการ ฉันคอมร่างบางนั้น มือเล็กๆของเจ้าหญิงเอื้อมมาลูบหัวฉัน  แต่ความโกรธก็ยังไม่หายไป ริมฝีปากที่จูบลง  มือเล็กๆที่ทุบลำตัวของฉันไปมา ริมฝีปากที่หลุดพ้นพันธนาการ

                “อย่าทำแบบนี้นะ” เสียงเล็กพยายามห้ามตัวฉันไว้แต่ก็ไม่เป็นผล ฉันไม่ยอมหยุด ความโกรธ เกลียด ชัง ริษยามันมีมากเกิดไน เสียงเล็กๆที่เรียกชื่อคนรัก ยิ่งทำให้มันมีมากขึ้น

                เช้าวันใหม่ ฉันตื่นขึ้นมา วันนี้คือวันงานที่จะจัดงานฉลองให้คนคนนั้น และเป็นพิธีหมั่นด้วย ฉันเหม่อมองไปยังหน้าต่างเมื่อมองข้างกายก็ไม่มีร่างเจ้าหญิงน้อย  ฉันคงถูกเกลียดแล้วซินะ  ฉันลุกขึ้นเปิดผ้าห่อม สายตาที่มองไปเห็นกองเลือดเล็กๆบนผ้าปูที่นอน หัวใจฉันยิ่งกระตุ๊กมากขึ้น  ฉันทำเรื่องร้ายแรงซะแล้ว ฉันนั่งคิดทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และยังคงนั้งบนเตียงนั้น จนถึงพลบค่ำที่เป็นช่วงเวลางานเลี้ยงและพิธี  ฉันแต่งตัวเสร็จเดินไปในงานที่แสนหรูหรา ต่อให้ฉันมีเสื้อผ้าดีๆใส่ฉันก็ยังไม่คู่ควรกับงานแบบนี้ ฉันเดินไปเรื่อยๆมองหาเจ้าหญิง ขอเจอเธอสักนิดจะได้ไหม นิดหนึ่งก็ยังดี ขอได้ไหม ทุกอย่างก้าวที่เดินฉันก็ยังเฝ้าเภาวนาขอให้เจอ  มีผู้คนที่เข้ามาทักแต่ฉันก็ยังคงเดินต่อไปแต่ก็หาไม่เจอ ฉันเดินไปที่ระเบียง เพียงเก้าเท้าออกไป ก็ได้เจอกับร่างที่ฉันเฝ้าตามหา เจ้าหญิงนั้นเอง

                “เจ้าหญิง” ฉันเรียกชื่อนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างบางหันกลับมามองแล้วเดินหนี ถ้าสายตาฉันไม่ฝาด บนใบหน้านั้นฉันเห็นน้ำใสๆไหลอาบแก้ม ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ ฉันรู้สึกตัวอีกทีคือ เสียงประกาศทำพิธีหมั่น ฉันจะทำไงดีนะ ฉันจะทำไงดีนะ เท้าสองข้างที่ออกเดินไปเป้าหมาย  ไม่อยากสูญเสียสิ่งเดี่ยวที่รู้ตอนนี้ ฉันเดินขึ้นเวที อยู่ระหว่างเจ้าหญิงกับคนคนนั้น ฉันสบัดมือกลุ่มหมอกสีดำคละคลุ่งไปทั่วบริเวณ ฉันประกาศตัวเอง ว่าฉันคือแม่มดที่แสนน่าเกลียดน่ากลัว ฉันอุ้มร่างบางกระโดดออกมากลุ่มค้างคาวแปลงกายเป็นรถมาสีดำ ฉันพาร่างเจ้าหญิงเข้าไปข้างในแล้วออกเดินทางท่ามกลางเสียงเอะอะโวยของผู้คน ตอนนี้ฉันไม่กล้ามองหน้าเจ้าหญิงแต่ก็ต้องหันเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้ของร่างบาง มือที่เอื้อมเพื่อไปเช็ดน้ำตาแต่ก็โดนมือบางนั้นสะบัดออก

                รถม้าจอดฉันเดินลงมาเป็นกระท่อมที่แสนคุ้นเคย ร่างบางรีบลงมาอย่างรวดเร็วตรงเข้าไปข้างในบ้าน ฉันเดินตามเจอร่างบางนอนร้องไห้บนเตียงสีแดงนั้น ฉันนั่งบนขอบเตียง

                “ทำไมต้องทำแบบนี้”

                “ฉันไม่รู้” ฉันตอบแค่นั้น ร่างบางตอบได้คำว่าทำไมแค่นั้น ทำไม ทำไม ที่พรั่งพรูออกมาจากปากเล็กแล้วสะท้อนไปยังหัวใจของฉัน  เราออกเดินทางละถิ่นฐานเดิมไปอยู่ที่ไกลแสนไกล เพื่อหนีจากจุดฉัน พวกเราอยู่ในเมืองๆหนึ่งเป็นดังคนธรรมดา เธอไม่เป็นเจ้าหญิงและฉันไม่ได้เป็นแม่มด เราทั้งคู่ปกปิดฐานะ ร่างนั้นไม่เคยยิ้มให้กับฉันสักครั้งหรือปริปากพูดใดๆ ฉันทำได้แค่เฝ้ามอง ฉันทำทุกอย่างเจ้าหญิงก็ไม่เคยยิ้ม ฉันต้องทำยังไงถึงจะได้เห็นรอยยิ้มนั้น เราทังคู่เดินเข้าไปในเมือง เธอมักยิ้มแย้มให้คนอื่น พูดคุยสนุกสนาน มื่อเห็นแบบนั้นหัวใจของฉันก็แทบสลายไปอีก แต่อย่างน้อยเจ้าหญิงก็ไม่ต้องทรมานกับคนอย่างฉันให้มาก เธอมีความสุขก็ดีมากแล้ว

                ผ่านมาได้สองเดือนในฤดูฝนฝนตกมาสามวันสามคืนยังไม่เห็นดวงตะวัน...อยู่ๆเธอไม่ทานข้าวกลับมีอาการไอออกมา เจ้าหญิเดินไปนอนที่เตียง ซึ่งฉันถามเธอก็ไม่เคยตอบอะไรเลย เมื่อร่างบางหลับฉันเดินไปดูอากาศ ใบหน้าร้อนผ่าว เหงื่อออก ฉันรู้ทันทีว่าคืออะไร ฉันเดินไปหายาที่เคยชื่อมาเก็บไว้แต่ยานั้นกลับหมดไปแล้ว ทำไงดี บ้านหลังนี้อยู่ห่างไกลจากผู้คน ความคิดแรกคือฉันเป็นแม่มดใช่แต่ฉันไม่อยากใช้มันอีกแล้ว ฉันเดินเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพร อากาศที่หนาวเย็นจับขั่วหัวใจ  เท้าของฉันค่อยๆก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุด มองหาต้นสมุนไพรที่ช่วยรักษาพิษไข้นั้น ฉันเดินไปเรื่อยๆอีกนิดเดียวก็ถึงหน้าผาแล้ว ฝนตกหนักแบบนี้ต้นไม้อาจเน่าตายไปแล้วก็ได้ ฉันเดินจนมาถึงหน้าสูงชัน ฉันก้มมองข้างล่างนั้นว่าจะเป็นไง  แล้วฉันก็เจอต้นไม้เล็กๆที่ฉันตามหามันอยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ  ฉันรีบก้มลงเก็บมันขึ้นแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น  อีกนิดเดียว  อีกนิดเดียวเท่านั้น อ๊ะได้แล้ว อยู่ๆร่างกายเหมือนไร้แรงโน้มถ้วงฉันคว้าทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ตอนนี้ร่างกายที่ห้อยบนหน้าผาผ้าคลุมปลิ้วลอยหายไปร่างกายหนาวสั่น ฉันไม่ยอมแพ้ ฉันไม่ยอมแพ้ ภาพเจ้าหญิงที่นอนป่วยอยู่น้ำตาฉันไหลออกมา ฉันคาบสมุนไพรไว้ในปาก มือที่ค่อยๆคว้าหินปีนขึ้นไป ถ้าใช้เวทย์มนต์คงง่ายกว่านี้  แต่ไม่ฉันไม่เอาอีกแล้ว ฉันพยายามปีนต่อไปอีกนิดเดียว ฉันปีนต่อไปเพื่อเจ้าหญิงจนมาถึงสำเร็จ  อาการเจ็บแปล๊บบริเวณขาฉันมองไปเจอเลือดที่ไหลออกมาตามแผล ฉันค่อยออกเดินเพื่อกลับไปยังบ้านฉันเดินไปเรื่อยๆฝ่าพายุฝนนี้ไปจนมาถึงบ้านแสนอบอุ่น  ฉันรีบเตรียมอุปกรณ์ทำยา บดให้ละเอียดแล้วป้อนให้ร่างบางตามด้วยน้ำ  ฉันเฝ้ามองอาการสักพักร่างกายนั้นก็ทุเลาลง  ฉันเผลอหลับไป

                ฉันลืมตาขึ้นมาเจอแสงอาทิตย์ เช้าแล้วเหรอ ฉันลุกขึ้นมองไปรอบๆวันนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ก็มีบ้างอย่างไม่คุ้นตาคือนี้ไม่ใช่ห้องฉัน สายตาที่กวาดไปรอบมองหาเจ้าของห้องก็เจอนอนอยู่ข้างๆ ฉันมองเจ้าหญิงยามหลับเธอช่างสวยและน่ารัก ฉันลุกขึ้นความเจ็บแปล๊กที่ขาเกิดขึ้น ฉันมองไปยังขาก็แปลกใจ เสื้อผ้าชุดใหม่และที่ขามีผ้าพันแผลไว้ เสียงลุกขึ้นของคนข้างๆฉันหันไปมองเจ้าหญิงบิดขี้เกียจสองสามที่แล้วหันมามองฉัน

                “ขอบคุณนะ” เจ้าหญิงพูดเสร็จก็เดินไปที่ครัว  ฉันนั่งนิ่งวันนี้เจ้าหญิงพูดกับฉัน  ฉันยิ้มบางๆหัวใจอยู่ๆก็เต้นเร็วขึ้น  ฉันเดินเข้าครัวไป  เจ้าหญิงกำลังทำอาหารเช้า ฉันจึงลองชวนคุยแต่ก็ยังเหมือนเดิม เจ้าหญิงไม่ปริปากพูดอะไรเลย อาหารเช้าที่แสนสำคัญของฉัน  ถึงแม้เจ้าหญิงพูดแค่ประโยคเดียวฉันก็มีความสุขแล้ว  เจ้าหญิงเข้าไปในตัวหมู่บ้าน ฉันซักผ้าแล้วก็ตากไว้สายลมอ่อนๆแสงแดดอ่อนๆ ผ้าที่ตากใกล้แห้งแล้วฉันออกไปเก็บ อากาศที่น่าจะสดใสก็มีเมฆครึม  ฉันเหม่อมองสงสัยพายุยังไม่หมดไปสินะ  โดยที่ฉันไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะมาเปลี่ยนชีวิตของฉันอีกครั้ง  เวลาผ่านไปท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำฉันยังไม่เห็นร่างเจ้าหญิงฉันจึงออกตามหาฉันเดินไปตามถนนไปทางหมู่บ้านฉันเดินอย่างร้อนรนกลัวว่าเจ้าหญิงจะเจออันตรายระหว่างทาง  จากเดินกลายเป็นวิ่ง ฉันวิ่งและวิ่งให้เร็วที่สุด ฉันเห็นเงาหนึ่งฉันวิ่งตรงไป เป็นเจ้าหญิงที่กำลังถือของมา ฉันยิ้มออกมาทันที เจ้าหญิงไม่เป็นไร ฉันช่วยเจ้าหญิงถือของเราทั้งสองเดินกลับบ้านโดยมีความเงียบเป็นตัวขั้นกลางเหมือนเดิม ฉันมองไปบนฟ้าที่เหมือนฝนกำลังจะตกลมแรงขึ้น เราทั้งคู่ต่างเร่งฝีเท้า แต่ก็ต้องหยุดเดินเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่กลางถนน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ฉันตกใจอย่างรุนแรงเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้านั้นคือคนคนนั้น สายลมพัดแรงหยาดเม็ดฝนตกลง สายตาแห่งความโกรธมองมาที่ฉัน คนคนนั้นเดินตรงมาในมือมีดาบบางฉันจ้องมองดาบพร้อมคว้ามือเจ้าหญิงออกวิ่งฉันวิ่งสุดกำลัง พอหันหลังไปเจอคนคนนั้นวิ่งตามมา ฉันและเจ้าหญิงวิ่งมาถึงทุ่งกว้าง เสียงฟ้าร้องฝ่าผาดั่งไปทั่วบริเวณ ตัวฉันหยุดเหมือนถูกดึงกระชากฉันหันไปมองร่างบางที่นั่งกับพื้นหญ้าที่เปียกไปด้วยน้ำ  สายฝนที่กระหน่ำแรงเสียงที่เปียกปอนไปหมด

                “หยุดนะนางแม่มด” เสียงคนคนนั้นดังฉันหันไปมองทันทีดาบเล่มบางชี้มาทางฉัน  คงสู้กันสินะฉันคิดอย่างนั้น เพราะไม่มีทางเบือกอื่นแล้วตอนนี้  ฉันออกห่างๆเจ้าหญิงเพื่อที่ไม่ให้โดนลูกหลง  เจ้าหญิงนั่งอยู่ตรงนั้น  ฉันสบัดมือเรียกไม้เท้า คนคนนั้นวิ่งตรงมาดาบที่ง้างฟันลง ฉันใช้ไม้เท้ารับไว้ ถ้าฉันสู้จริงคงเสร็จไปนานแล้วแต่ฉันไม่ต้องการ  ฉันกวัดแกว่งไม้เท้าเพื่อรับการมาของดาบสีเงินนั้น แล้วใช้ปลายไม้ฟาดไปหนึ่งทีร่างคนคนนั้นเซไปเล็กน้อยแล้วเข้าใส่ฉันก็ฟาดกลับไปอีกจนตอนนี้ร่างตรงหน้ามีเลือดสีแดงอาบบริเวณหัวแต่ก็ไม่ถึงกับสาหัส คนคนนั้นวิ่งมาอีกครั้งฉันตั้งใจจะหลบ เท้าที่ไปสะดุ้ดกับก้อนหิน ไม้เท้าในมือที่เตรียมโบก ไม่นะ ฉันไม่อยากใช้เวทย์มนต์ทำร้ายคนอีกแล้ว..ฉันไม่อยากเห็นเจ้าหญิงต้องร้องไห้อีกแล้ว วินาทีนั้นดาบเล่มบางก็แทงเข้าที่ท้อง ฉันจับดาบแน่น คนคนนั้นดึงดาบออก ร่างของฉันทิ้งตัวลงทันที เจ็บแปล๊กบริเวณหน้าท้องมือที่กุ้มไว้ฉันยกขึ้นมาสีแดงฉานเต็มมือนั้นคือเลือด  ฉันทิ้งมือลง ร่างกายฉันที่สั่นเทิ้มไปหมดสายฝนที่พรั่งพรูออกมาอย่างหนักกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายไม่หยุดถึงตาจะพร่ามั่วขนาดไหนแต่สายตาของฉันจ้องไปยังเธอคนนั้นเจ้าหญิงของฉัน ฉันยิ้มน้อยๆออกมาดวงตาที่หลับลงพร้อมความทรงจำต่างๆในชีวิตของฉัน แล้วลืมตาร่างคนคนนั้นเดินมาใกล้ ดาบสีเงินที่ถูกยกสูงขึ้น  ฉันยิ้มน้อยๆ น้ำตามีมากขึ้น ฉันตั้งใจจ้องมองเจ้าหญิงเพื่อดูว่าเธอดีใจไหมที่ฉันตายเพื่อที่จะได้เป็นอิสระ หรือเธอเสียใจที่ฉันตายแต่มันเพราะอะไรละ  ฉันไม่อาจรับรู้ได้เลย ดาบเล่มนั้นกระชากลงมาอย่างแรงก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะถูกสัมผัสร่างกายของฉัน ฉันตะโกนประโยคหนึ่งขึ้นมา

                                                                                                          “ฉันรักเธอเจ้าหญิงของฉัน”

       ......................................................................................................................................................................................................................
      เพื่อเป็นกำลังใจ...เม้นให้ด้วยเน้อ...เพื่อผู้เขียนมีกำลังใจต่อไป....ขอบคุณทุกท่านที่อ่านเน้อ...อาริงาโตะ

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×