ตอนที่ 4 : บทที่ 3 น้ำบริสุทธิ์
“แล้วตอนพักนายเห็นใครอยู่กับคุณนาคาจิม่าบ้าง”ทากิโกะเอ่ยถามเด็กหนุ่มหลังจากเดินเข้ามาใกล้ อากิระก้มหน้าลงนึกถึงกลุ่มของเด็กสาวที่เดินเข้ามาหาซุรูกะก่อนที่เขาจะลงไปทานอาหารกลางวัน
“ไม่รู้ซิ จำไม่ได้เลย”เด็กสาวถอนหายใจยาวๆออกมาเฮือกหนึ่ง
“เดี๋ยวฉันไปแจ้งประชาสัมพันธ์ก่อนแล้วกัน...ฝากบอกพวกผู้ชายที่เหลือด้วยว่าเลื่อนเวลาเปลี่ยนชุดไปเป็นตอนเที่ยงห้าสิบ อย่าลืมล่ะ”อากิระพยักหน้ารับคำครั้งหนึ่งก่อนที่ทากิโกะจะรีบวิ่งลงบันไดไป
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวลงบันไดไปเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มหันซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของรุ่นน้อง หยิบเอาปากกากับกระดาษเขียนข้อความที่ทากิโกะบอกเอาไว้
‘เลื่อนเวลาเปลี่ยนชุดไปเป็นตอนเที่ยงห้าสิบ โซนาตะ ทากิโกะ’ อากิระตรวจสอบความถูกต้องของตัวอักษรรอบหนึ่ง จากนั้นจึงนำมันออกมาติดบอร์ดประกาศตรงที่พักบันได เด็กหนุ่มมองป้ายทำมือของตัวเองนิ่งๆพลางคิดไปแค่นี้น่าจะพอใช้ได้แล้ว ในตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงของประตูห้องเปิดออกที่ด้านหลังพร้อมกับเสียงคุยกันของกลุ่มสาวๆดังมาเข้าหู
อากิระรีบเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยกลัวว่าถ้ามีใครมาเห็นเขาทำลับๆล่อๆตอนนักเรียนหญิงเปลี่ยนเสื้อผ้าคงไม่ดีนัก
“...เห็นหน้ายัยนั่นรึเปล่า น้ำตาคลอเบ้าเลยเนอะ ฮ่ะๆๆ”
“ใช่ๆ แต่แหม เหมือนว่าคราวนี้ยังน้อยไปนะ ยังจะอุตส่าห์ปากดีได้อีก”
“โหย~ คราวหน้าถ้ายังปากดีได้อีกนะ จะเอาหัวมันไปยัดส้วมเลยคอยดู ฮ่ะๆๆ”
อากิระที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของใต้บันได เขาจำเสียงของนักเรียนหญิงกลุ่มนี้ได้ พวกเธอเป็นกลุ่มเดียวกับที่เดินมาชวนซูรุกะไปทานอาหารกลางวันอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าพวกเธอจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กสาวหายตัวไปเสียด้วย ตอนนี้ที่เขาคิดออกคือ ซูรุกะอาจจะถูกขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ถูกทำให้ไม่สามารถมาเข้าชั้นเรียนได้...
“โฮ้ย...ได้ยินว่าวันนี้มีของใหม่มาล่ะ ลองไปดูหน่อยไหมล่ะ”
“เห๋~ ของใหม่งั้นเหรอ...”
บทสนทนาของกลุ่มนักเรียนชายเมื่อสักครู่แล่นเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ความคิดอกุศลมากมายพลันเกิดขึ้นราวกับเงาตามตัว
“นี่! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”เสียงร้องดังแสบแก้วหูของทากิโกะดังขึ้น ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวด้วยกลัวว่าเธอจะรู้ว่าเขาแอบอยู่ในนี้ แม้ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวก็ตาม แต่การอธิบายว่าทำไมถึงต้องเข้ามาแอบในนี้ก็นับว่าน่าอายอยู่ดี
ภายในห้องเก็บของมืดๆมีเพียงแสงสว่างลอดเข้ามาทางช่องอากาศที่ประตู เสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงของเด็กหนุ่มดังราวกับเสียงกลองของวงดนตรีเพลงร็อค
“อะไรเล่า นี่มันก็ถึงเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราก็อยากเปลี่ยนชุดนะ”เสียงตอบรับจากนักเรียนชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวของอากิระ ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องสนับสนุนของนักเรียนคนอื่นอีกสองสามคน
“ไม่ต้องพูดมากเลย! ลงมา! ไม่อ่านป้ายบ้างรึไงห๊ะ!”เสียงของทากิโกะดังขึ้นอย่างมากจนน่ากลัวว่าพรุ่งนี้เธออาจจะเสียงแหบเอาได้ง่ายๆ นั่นทำให้กลุ่มของนักเรียนชายเกิดความไม่พอใจเล็กๆน้อยๆแต่ก็ยอมเดินลงบันไดไปแต่โดยดี
“แล้วมันมีเรื่องอะไรทำไมถึงต้องลดเวลาพวกเราด้วย”หนึ่งในนั้นเอ่ยถามทากิโกะด้วยความสงสัย
“เอาเป็นว่าเรื่องเวลาคาบหน้าจะใช้คือให้แล้วกัน ส่วนเหตุผลพวกนายรู้ไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะงั้นก็อย่ารู้เลยดีกว่า”
“ชิ...”
“. . .”ภายในห้องที่มืดมิดมีเพียงสายลมอ่อนๆพัดเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กที่อยู่เกือบติดเพดานห้อง ร่างบางอ้อนแอ้นของนาคาจิม่า ซูรุกะนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เด็กสาวพยายามแกะเทปผ้าที่พันข้อมือออกแต่ทว่ามันไม่สำเร็จ ความรู้สึกของกาวเหนียวหนึบที่บริเวณปากทำให้รู้สึกขยะแขยงอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วยังมีฝุ่นที่จับตัวหนาบนพื้นอีก แม้จะมองไม่เห็นเพราะถูกผูกผ้าปิดตาไว้ก็ยังพอเดาได้ว่าที่นี่ต้องไม่มีคนมาใช้เป็นปีแน่ๆ
เด็กสาวพยายามลุกขึ้นนั่งทว่านั่นไม่ง่ายนักเพราะข้อเท้าของเธอก็ถูกพันธนาการไว้เช่นกัน นั่นทำให้พาลนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังออกจากห้องเรียนมา...
ครืด~!
เสียงของประตูเลื่อนขึ้นสนิมดังขึ้น พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าหนักๆของใครบางคนเดินตรงเข้ามาหาเธอ ใคร เด็กสาวได้แต่พูดอยู่ในใจ หัวใจของเธอเต้นเร็วและแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เม็ดเหงื่อที่ผุดออกมารวมตัวกันก่อนจะไหลผ่านผิว ให้ความรู้สึกราวกับมีแมลงนับร้อยกำลังไต่ตามตัว จิตใจที่เคยสงบนิ่งไม่หวั่นเกรงแม้คลื่นถาโถมบัดนี้กลับอ่อนไหวราวกับปุยนุ่นที่จะถูกลมพัดไปเมื่อใดก็ไม่สามารถรู้ได้
ชั่ววินาทีนั้นเองมือหยาบใหญ่ข้างหนึ่งวางไหล่ของเธอก่อนที่มันจะค่อยๆเลื่อนต่ำลง...ดวงตาสีนิลใต้ผ้าปิดตาปิดแน่นแต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลรินเพราะความรู้สึกหวาดกลัวได้
เส้นผมสีดำยาวสลวยของเธอค่อยๆถูกยกสูงขึ้น เธอรู้สึกถึงมันได้ เสียงสูดลมหายใจเข้ายาวๆหลายครั้งดังขึ้น เรียกให้ความกลัวของเธอพุ่งจนถึงขีดสุด เส้นขนทั่วทั้งร่างลุกชั้นขึ้น เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ในลำคอ หน้าอกเหมือนมีทั่งเหล็กนับพันวางทับจนรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว ความมืดมิดที่ไม่อาจหยั่งถึงค่อยๆดึงจิตใจของเธอลงสู่ความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แบบ
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงของฝีเท้าหนักๆอีกหลายเสียงดังขึ้นตรงเข้ามาอย่างเร่งรีบ ประกายความหวังที่เกือบจะดับมอดไปเริ่มมีแสงเรืองรองขึ้นมาเล็กน้อย...
ครืด~!
เสียงของประตูค่อยๆเลื่อนปิดพร้อมกับที่แสงสว่างแห่งความหวังของเด็กสาวดับมอดลง อากาศภายในห้องเย็นเฉียบไปจนถึงกระดูสันหลัง พร้อมกับที่เสียงหัวเราะเบาๆอย่างหื่นกระหายหลายเสียงดังขึ้นรอบตัว น้ำตาที่เคยพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ล้นทะลักออกมา ราวกับคลื่นยักษ์จากมหาสมุทร
อย่านะ...ไม่นะ...ช่วยด้วย....
12.35น.
หลังจากรอจนแน่ใจว่าด้านนอกไม่มีใครอยู่แล้ว อากิระจึงค่อยๆเปิดประตูเดินออกจากห้องเก็บของก่อนจะรีบออกจากอาคารเรียน เด็กหนุ่มเงยหน้ามองนาฬิกาที่ตรงกลางโรงอาหาร 12.35น. ตอนนี้เบาะแสเดียวที่เขามีคือห้องเก็บของเก่าที่ได้ยินจากกลุ่มของนักเรียนชายเมื่อตอนทานอาหารกลางวัน แม้จะไม่แน่ชัดแต่ก็เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่มี
ในตอนนั้นเองที่มีนักเรียนหญิงสายสามัญสองคนเดินถือขนมเดินมาทางเขา
“...พวกนักเลงโรงเรียนเรานี่แหละ”
“งั้นเหรอ...น่าสงสารจัง ถ้าเป็นฉันนะฆ่าตัวตายซะดีกว่า”
“...ได้ยินพวกนั้นคุยกันว่าเป็นนักเรียนเข้าใหม่สายพิเศษ...”ทันทีที่ได้ยินคำสุดท้ายของเด็กสาวอากิระรีบเดินไปขวางทางทั้งสองคนเอาไว้ทันที
“เอ่อ...”เด็กหนุ่มอ้ำอึ่งเนื่องด้วยความเขินอาย เนื่องด้วยว่าปกติแล้วเขาไม่เคยคุยกับเด็กผู้หญิงคนอื่นนอกจากทากิโกะที่เป็นเพื่อนสนิท“...เอ่อ คือว่า เรื่องที่คุยกันเมื่อกี้”
“นายแอบฟังพวกเราคุยกันเหรอ อี๋ พวกโอตาคุ”ราวกับถูกดาบเสียบเข้ากลางอก คำถามที่เตรียมไว้สลายไปราวกับฝุ่นผงท่ามกลางสลายลม เหลือเพียงความเปล่าสีขาวโพลน ...สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่สามารถหลบหนี คำๆนี้ไปได้จริงๆ...
“ไปกันเถอะ...อย่าไปยุ่งกับพวกโรคจิตดีกว่า”เด็กสาวทั้งสองคนค่อยๆเดินเบี่ยงไปทางด้านข้างของอากิระ...
“...เออ เป็นแล้วมันผิดด้วยรึไง...”คำพูดอันแผ่วเบาของเด็กหนุ่ม ราวกับถูกส่งผ่านไปหาเด็กสาวทั้งสองโดยตรงจนพวกเธอต้องหันกลับมาด้วยความแปลกใจ“ถ้าเป็นโอตาคุแล้วมันไปทำให้พวกเธอเดือดร้อนรึไงกันน่ะห๊า!”อากิระตะโกนลั่นอย่างสุดจะทนจนเด็กสาวทั้งสองถอยห่างออกไปด้วยความตกใจ
“อะ...เออซิ! พวกนายมันน่าขยะแขยง พูดไม่รู้เรื่อง ไร้สาระ งี่เง่า โรคจิต บ้ากา...”เมื่อเด็กสาวคนนั้นได้สบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม ความรู้สึกผิดแปลกได้แทรกเข้ามาในความคิดของเธอจนคำพูดสุดท้ายไม่อาจส่งออกไปได้ แววตาคู่นั้นไม่ได้กำลังโกรธหรือเคียดแค้นแม้แต่น้อย แต่เป็นแววตาที่กำลังวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด...ทำไมกันนะ...
“บอกฉันที นักเรียนคนนั้น อยู่ที่ไหน... นาคาจิม่า ซูรุกะอยู่ที่ไหน”เสียงของอากิระสั่นเครือจนน่ากลัว ความกังวลผสมรวมกับความเร่งรีบส่งให้หัวใจของเขาเต้นรัวเสียยิ่งกว่ากลองชุดนับร้อยเท่า
“ที่ได้ยินมาน่าจะเป็น...ห้องเก็บของเก่าชั้นดาดฟ้าตึกสายสามัญ”
“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ”อากิระรีบก้มหัวให้เด็กสาวทั้งสองคนก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังบันไดขึ้นตึกสามัญอย่างเร่งรีบ เสียงฝีเท้าของเขารวดเร็วและหนักหน่วงกว่าครั้งใดๆ ในใจคิดเพียงว่าขอให้ไปได้ทันเวลา แรงผลักดันที่ไม่รู้ที่มาส่งร่างของเด็กหนุ่มขึ้นบันไดตึกไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจร่างของเขาก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเก็บของ สนิมเหล็กสีส้มที่เกาะกรังบนบานประตูบ่งบอกถึงความเก่าแก่ และไร้ซึ่งการทำนุบำรุง
และโดยไม่รอช้า อากิระดึงประตูเลื่อนเปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว นักเรียนชายท่าทางเอาเรื่องหกเจ็ดคนกำลังรุมล้อมร่างบางของซูรุกะเอาไว้ เขาจำคนพวกนี้ได้ นักเรียนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่นั่งทานอาหารกลางวันถัดจากเขาไปอย่างแน่นอน ในขณะที่อากิระกำลังกวาดสายตาไปยังกลุ่มนักเรียน ที่ด้านในสุด สายตาของเด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นร่างของเด็กสาวในสภาพที่ชุดนักเรียนหลุดลุย กำลังดิ้นรนขัดขืนหนึ่งในกลุ่มนักเรียนชายคนหนึ่งอย่างสุดกำลัง
“เฮ้ย! แกเป็นใครวะ”
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!”อากิระตะโกนลั่นจนน่ากลัวว่าเส้นเสียงของเขาจะขาดเอาได้ง่ายๆ
“เมินกันงั้นเหรอ! แก~ รนหาที่ตายเองนะเว้ย!”หนึ่งในกลุ่มนักเรียนชายพุ่งเข้าหาอากิระอย่างรวดเร็ว ในสายตาของอากิระนักเรียนชายคนนั้นไม่ต่างไปจากปีศาจร้ายที่เขาไม่อาจรับมือ อย่าว่าแต่การป้องกันตัวเลย เขาไม่รู้แม้แต่วิธีที่จะชกคนให้เจ็บเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มได้แต่ยกแขนขึ้นบังใบหน้าตัวเองด้วยสัญชาตญาณ
หมัดฮุกขวาพุ่งเข้าใส่ลิ้นปี่จากด้านล่างอย่างแม่นยำ จนร่างของอากิระลอยสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะล้มลงบนพื้นอย่างไม่อาจฝืน สัมผัสของกระดูกหน้าแข้งแข็งๆกระแทกเข้าที่กระดูกสันหลังจนเกิดเสียงที่ฟังดูน่ากลัว ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นผ่านเส้นประสาทสู่สมองอย่างรวดเร็ว จนไม่อาจกลั้นน้ำตา
สัมผัสของพื้นปูนมราแนบอยู่ที่แก้มของเด็กหนุ่ม ไม่ต่างไปจากเตารีดร้อนๆ แสงแดงแรงๆของเวลาเที่ยงวันยิ่งส่งให้เหงื่อกาฬผุดพลายออกมาทั่วทั้งร่าง แผ่นหลังที่เปียกแฉะหลังจากวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างเร่งรีบรู้สึกได้ถึงเศษหินเศษทรายบนพื้นจนรู้สึกแสบไปทั่วทั้งตัว
ในสายตาที่เริ่มพร่าเลือนของอากิระ เขาเห็นว่าร่างบางของเด็กสาวกับลังสั่นเทิ้มพร้อมกับที่นักเรียนชายคนนั้นค่อยๆถอดชั้นในของเธอออกทีละชิ้น
ช่วย...ช่วยหน่อยซิ...ช่วยเธอคนนั้นหน่อย...
“มิสเทรี่!”เสียงร้องดังขึ้นเด็กหนุ่มขึ้นก่อนที่ลูกเตะลูกที่สองจะปะทะเข้ากับปลายคางของเด็กหนุ่มจนสติของเขาหลุดลอยไป...
...ราชา ราชาแห่งข้า ท่านจะไม่อ่อนแอหากท่านปรารถนาความแข็งแกร่ง ท่านจะไม่หวาดกลัวหากท่านปรารถนาความกล้า ท่านจะไม่สูญเสียหากท่านปรารถนาจะปกป้อง ข้าขอให้สัญญา...
“เหอะ! จอดสนิท...”
“...ฉันจะไม่อ่อนแอ...ถ้าฉันอยากจะแข็งแกร่ง…”อากิระค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“...โห อยากได้อีกซินะ กูจัดให้!!!”สิ้นเสียงของนักเรียนชายคนนั้น ลูกเตะที่แรงกว่าสองครั้งก่อน พุ่งเข้าใส่ที่สีข้างของอากิระจนเกิดเสียงดังจนน่ากลัวว่ากระดูกซี่โครงจะหัก ร่างของเด็กหนุ่มโซซัดโซเซไปตามแรงแตะในสภาพที่ถ้าจู่ๆจะล้มคว่ำลงไปก็ไม่น่าแปลกใจ
“ฉันจะไม่กลัว...ถ้าฉันอยากมีความกล้า และฉันจะไม่สูญเสียอีกถ้าฉันอยากจะปกป้อง!”เสียงตวาดดังลั่นของอากิระทำเอานักเรียนชายที่เตะเขาผงะถอยหลังไปด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มค่อยๆยืดตัวกลับขึ้นมายืนตรงอีกครั้ง ใบหน้าฉายชัดถึงความตั้งใจอันแน่วแน่จนความเจ็บปวดที่ได้รับไม่อาจเข้ามาขัดขวางได้อีกต่อไป
“...ไอ้เฮี*นี่ มันต้องบ้าแน่ๆ รุมแม่งเลย!”นักเรียนชายคนนั้นพูดขึ้นก่อนที่พวกที่เหลือจะเลิกสนใจซูรุกะแล้วหันมาเพ่งเล็กอากิระแทน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นในท่าเตรียมตั้งรับเต็มกำลัง...
เสียงบางอย่างหนักๆล้มลงกระแทกดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เป็นสัญญาณว่าการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านที่กินเวลาเพียงไม่กี่นาที ในที่สุดก็ได้จบลงเสียที
ในตอนนั้นเองเสียงของฝีเท้าหนักๆคู่หนึ่งค่อยๆเข้ามาใกล้เธอ จิตใจของเด็กสาวรู้สึกสับสนไป เหงื่อเย็นๆไหลผ่านหน้าท้องเรียบเนียนที่ถูกฉีกเปิดอยู่ไร้ซึ่งการปกปิดใดๆ
สัมผัสอุ่นๆจากมือข้างหนึ่งที่ข้างแก้มทำให้เด็กสาวสะดุ้งเฮือก เสียงของเหลวบางอย่างหยดลงพื้นดังขึ้นครั้งหนึ่งก่อนที่มือข้างนั้นจะเลื่อนไปดึงผ้าปิดตาของเธอออก เด็กสาวต้องรีบหลับตาเพราะแสงจ้าจากแดงตอนกลางวันที่ประตูสาดเข้ามาด้านใน
เมื่อพอปรับสายตาได้แล้ว ซูรุกะจึงได้รู้ว่าที่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีผม ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาจากศีรษะ ดวงตาข้างซ้ายมีรอยแดงช้ำจากการถูกต่อหลายครั้ง เลือดกำเดาสีแดงเข้มไหลออกมาจากจมูกข้างหนึ่ง เรียวปากแห้งแตกเป็นรอยแผลยาวจนน่ากลัว สภาพของอากิระตอนนี้แค่ไม่ล้มลงไปก็น่าเหลือเชื่อพออยู่แล้ว
เด็กหนุ่มค่อยๆดึงเอาเทปที่ปิดปากของเด็กสาวออก พร้อมกับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ไม่เป็นไรนะ...ฉันจะช่วยเธอเอง...”หยาดน้ำตาใสๆเอ่อคลอที่ขอบตาของเด็กสาวอย่างน่าสงสาร อากิระใช้มือข้างหนึ่งเช็ดเอาคราบน้ำตาบนใบหน้าของเธอออกก่อนจะโน้มตัวไปด้านหลังพยายามแกะเทปผ้าที่ข้อมือ ในขณะที่ซูรุกะยังคงร้องสะอึกสะอื้นอยู่ที่ข้างหูของเขา
“พอแล้ว...นายทำพอแล้ว พอเถอะนะ...”เด็กสาวพูดทั้งสะอื้นจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง สัมผัสของหยาดน้ำตาที่หยดลงบนเสื้อนักเรียนโชกเลือด เขาสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มลอกเอาเทปผ้าที่ข้อมือและข้อเท้าออกจนหมดก่อนที่เขาจะไม่สามารถทรงตัวได้จนล้มพับไปบนตัวของเด็กสาว
“ชิซาโต้คุง ชิซาโต้คุง! อากิระ!”ซูรุกะร้องเรียกเด็กหนุ่มด้วยความตกใจ เธอพยายามเขย่าร่างของเขา ทว่าไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมา...
ในตอนนั้นเองที่ประตูดาดฟ้าตึกถูกเปิดออกอีกครั้ง เด็กสาวผู้มีผมหางม้าสีน้ำตาลส้มโดดเด่นไม่เหมือนใครโซนาตะ ทากิโกะ เดินผ่านพวกนักเรียนชายที่นอนหมดสติบนดาดฟ้าตึกเข้ามาหาพวกเธอทั้งสองคน
“คุณนาคาจิม่า! อากิระ! ไม่เป็นไรนะ! อาจารย์มาแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่มีอะไรแล้ว..”เสียงของทากิโกะดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่ม อากิระพยายามจะลืมตาขึ้นมองหน้าเด็กสาวทั้งสองทว่าภาพที่เขาเห็นนั้นพร่าเลือนเกินกว่าที่เขาจะมองรู้เรื่อง ในขณะที่เขากำลังจะหมดสติไปนั่นเอง เสียงที่ดังอย่างแผ่วเบาของเด็กสาวก็ดังแทรกเสียงของทากิโกะเข้ามา
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างสดใส และดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกมากมายของซูรุกะนั้นตราตรึงและฝังลึกลงไปในความทรงจำของเด็กหนุ่ม เสียงใสหวานๆของเธอดังอยู่ที่ข้างหูของเขาว่า“ขอบคุณนะ...ชิซาโต้คุง...”
12.40น.
“...ราชาแห่งข้า ท่านทำสิ่งที่เกินกว่าความคาดหมายของข้ามากมายนัก...โปรดพักผ่อนให้สบายเถิด ท่านจะต้องเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน...มิสเทรี่ผู้นี้ขอให้คำมั่นสัญญา”นัยน์ตาสีแดงเลือดของมิสเทรี่จับจ้องไปยังร่างไร้สติของอากิระด้วยความหลงใหล ก่อนที่ร่างบางของเด็กสาวจะค่อยๆสลายไปโดยไม่มีใครทันรับรู้ถึงตัวตนของเธอแม้แต่คนเดียว...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
