บ๊ะบาย
คำว่า "บ๊ะบาย" คำเดียวก็มีผลต่อคนหนึ่งคนได้
ผู้เข้าชมรวม
112
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เช้าวันนี้ผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินดูไม่แน่นขนัดเหมือนกับทุก ๆ วัน พื้นที่ภายในโบกี้รถไฟฟ้ายังพอมีพื้นที่ว่างพอให้ผมได้เปลี่ยนท่ายืนได้อยู่สองสามท่าอย่างสบายอารมณ์ .. พลันก็พุ่งทะลวงอุโมงคอนกรีตแห่งความมืดและแสงไฟรายทางที่อยู่ข้างหน้าเหมือนว่ากำลังมุ่งจากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งโดยที่ไม่ต้องสนใจผู้คนที่อยู่ข้างบนพื้นดินว่าจะขับรถยังไง รถติดแค่ไหน.. ผ่านสถานี ห้วยขวาง ศูนย์วัฒนธรรม อา.. (วันนี้ไม่พบกับเธอคนนั้นหรือนี่..) ผ่านพระรามเก้า ผ่านเพชรบุรี.. (โห..คนนี้ตัวสูงเน๊าะ...) ... แล้วก็ถึงสถานนีสุขุมวิท !! เป้าหมายปลายทางของการเดินทางของผมในเช้าวันนี้
สิ้นเสียงประตูที่เลื่อนเปิดกว้างออก เสียงผู้คนย่ำเท้ากันออกมาจากรถไฟฟ้า ต่างพุ่งตรงกันไปที่บันไดเลื่อนกันเป็นทิวสาย โดยไม่สนใจว่าคนที่เดินตามข้างหลังเรานั้นเป็นใคร ผมหันไปมองนาฬิกาของสถานีรถไฟฟ้า 8.50 น. โอ้ นี่ผมยังเวลามีมากพอขนาดที่ผมไม่ต้องรีบจิกเท้าเดินไปตอกบัตรทำงานเหมือนกับทุก ๆ วัน นี่แหล่ะนะ ชีวิตผู้คนวัยทำงาน ที่ต้องมีความรับผิดชอบมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด.. (ถึงแม้ว่าผมกำลังเขียนเรื่องนี้ในเวลาทำงานก็เถอะนะ.. )
เดินไม่ถึงห้านาทีผมก็เดินมาถึงภายใต้ตึกสูงสามสิบกว่าชั้น ที่ ๆ รู้จักกันในนามว่าจัสมินทาวเวอร์ สถานที่ตั้งของออฟฟิตที่ค่อนข้างไฮโซดูดีมีชาติตระกูลเล็กน้อย ชั้นล่างมีฟิตเนส มีร้านอาหารอิตาลี่ กับร้าน Subway เบอร์เกอร์ยักษ์ใหญ่ยาวล่ำอ้วนสุดแสนอร่อย ด้านหลังตึกจัสมินจะเป็นโรงแรมหรูซึ่งมีไว้บริการชาวต่างซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนมากจะเป็นชาวญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่เข้ามาเที่ยวหรือทำงานในเมืองไทย จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่ผมจะเห็นผู้หญิงเชื้อชาติเอเชียเดินกันขวักไขว่แถวนี้ .. แต่บัดนี้สายตาหนึ่งคู่ของผมกำลังจดจ้องไปยังผู้หญิงหน้าตาน่ารักผู้หนึ่ง ..ผิวสีขาวไข่มุก ใบหน้าเรียวสวย เส้นผมสีดำขลับยาวประบ่า รูปร่างกระทัดรัดสูงประมาณ 165 แต่งกายด้วยชุดกระโปรงทักซิโดสีดำรูปทรงพอเหมาะพอดีกับสัดส่วนร่างกายของเธอ เธอกำลังยืนเลือกซื้อขนมอยู่ชั้นล่างของตึก มองแว๊บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทยด้วยบุคลิกและลักษณะและสำเนียงการพูด และเพียงแว๊บเดียวนี้เองผมก็รู้เลยว่า บุคลิกแบบนี้แหล่ะ คือบุคลิกของผู้หญิงที่ผมมองหามานาน!!(อย่าแปลกใจเลยครับ มันก็ใจง่ายตามประสาคนโสดที่ต้องมองหาคนมาควงแขนไปดูหนัง ฟังเพลง เดินเล่นชายหาด แล้วก็อุ้มลงทะเล .. มันก็ไม่น่าผิดชิมิ?.. ชิมิ??)
แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อโลกใบนี้กำลังเล่นตลกกับผมอยู่ ดั่งคำสาปของฟ้าได้จงใจกลั่นแกล้งผมจนกว่าผมจะหมดแรงหายใจเมื่อไหร่ฟ้าก็คงสะใจเมื่อนั้น(พูดเวอร์ไปรึเปล่าหว่า) ผมจึงเป็นแค่คนเจียมตัวได้เพียงแค่มองผ่านเธอไปเหมือนกับเช่นสาว ๆ หลาย ๆ คนที่ผมได้มองผ่านไปแล้วแล้วบนรถไฟฟ้า หากมีวาสนาต่อกันก็คงได้เจอกันอีกบนรถไฟฟ้านะจ๊ะ อะไรประมาณนั้น ..
ปุ่มลูกศรสีแดงหน้าลิฟถูกบรรจงกดอย่างช้า ๆ (จึ๊ก!) จะมีใครมานั่งนับมั้ยหนอว่าวัน ๆ นึงไอ้ปุ่ม ๆ นี้มันจะถูกจิ้มวันละกี่ครั้ง.. ถ้าเป็นมนุษย์อย่างเราโดนจิ้มอย่างนี้ก็คงเนื้อเขียวไปแล้ว..(ตูจะบ่นอะไรวะเนี้ย) ผมค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในลิฟแล้วก็กดไปที่ชั้น .. 20 .. ที่ตั้งแห่งออฟฟิตนรก ... ประตูลิฟค่อย ๆ เลื่อนเข้าหากันแคบลงในทุกๆ เสี้ยววินาทีที่ผมจ้องให้มันปิด !! แต่ทันใดนั้น!! ก็มีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังปั๊ก ๆ ๆ ๆ พร้อมกับเสียงผู้หญิงเบาๆ "อ๊าาา..." นึกแล้วเชียวว่าจะต้องมีคนวิ่งมาขอแจมขึ้นลิฟอีกจนได้.. ผมเลยกดจิ้ม <--> ให้ประตูลิฟเปิดออก.. ภาพเบื้องหน้าของผมตอนนี้ก็คือ.. หญิงสาวอายุประมาณไล่เลี่ยกับผม อาจจะแก่กว่าสักสองปีผมกระเซิงเล็กน้อยถึงปานกลาง กางแขนประมาณ 120 องศา พอเหมาะพอเจาะรองรับบานประตูลิฟทั้งสอง.. แล้วสายตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาสบตากับสายตาผม.. โอ้ว เธอคนเมื่อกี้นี่เอง ช่างเซ็กซี่เหลือจะประมาณเป็นคำพูดได้.. นี่ถ้าผมไม่กดเปิดประตูลิฟให้เธอคงโดนลิฟหนีบให้เสียโฉมไปแล้วกระมัง
แล้วเธอก็ค่อย ๆ กระมิดกระเมี้ยนเดินก้มหน้าเข้ามาในลิฟ.. ผมมองหน้าเธอแล้วเอียงหัวเล็กน้อยอยู่ข้างหน้าปุ่มในลิฟ ประมาณว่า.. จะไปชั้นไหนดีล่ะ? เธอมองหน้าผมแล้วก็่เอื้อมมือเข้ามามาใกล้ตัวผมเรื่อย ๆ และผ่านเลยไปที่ปุ่มลิฟที่มีตัวเลข 23 กดเสียงดังปี๊ป!... แล้วก็หยุดอยู่พักนึง จากนั้นก็เลื่อนมือขึ้นไปข้างบนอีกหน่อยที่หมายเลย 21 .. ปี๊ป! อะไรของเค้าวะผมคิดในใจ.. คนอยู่ในลิฟแค่สองคนแต่กดไปแล้วสามชั้น ผมก็มองหน้าเค้าประมาณสงสัยว่า ตกลงไอ้ชั้น 23 นี่ล่ะ.. เหมือนจะรู้กัน เธออมยิ้มปิดบังความผิดของเธอพร้อมกับสายหน้าบอกมาประมาณว่า มะช่ายยย .. ผมก็เลยหันไปเอานิ้วจิ้มปุ่มมันเข้าไปอีกหนึ่งที ปิ๊ป!.. แสงสีแดงที่เคยสว่างอยู่ก็กลับเลือนหายไปในบัดดล! โอ้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก นี่แหล่ะลิฟตึกไฮโซ กดผิดแล้วยกเลิกได้.. เธอทำตาโตทึ่งในความรู้รอบตัวใหม่ที่เธอได้รับ ผมยิ้มให้เธออย่างผ่าน ๆ ... แล้วเราสองคนก็ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปข้างบนอย่างช้า ๆ ด้วยกัน..
มีมารยาทอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ควรคุยกันในลิฟ เพราะเรื่องที่คุยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องส่วนรวม แม้ว่าจะพยายามกระซิบกระซาบกันยังไง ไอ้คนที่อยู่ในลิฟเป็นต้องได้ยินกันทุกคนไป จนทำให้บ่อยครั้งที่บรรยากาศในลิฟมักจะเป็นบรรยากาศแห่งความตรึงเครียดไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งไปเลยทีเดียว ดังผมจะยกตัวอย่างที่มาจากอีเมล์ที่ไม่สามารถระบุต้นตอได้ว่า..
"
ธรรมชาติประการหนึ่งของคนในลิฟท์คือ
ทุกคนจะวางตัวเย่อหยิ่งไม่รู้จัก ไม่มองหน้ากัน ไม่ยิ้มแย้ม ตาจ้องที่เลขบอกชั้น บรรยากาศเย็นยะเยือกเหมือนเกิดสงครามเย็น แต่คุณอาจเปลี่ยนแปลงมันได้โดย
1. กรณีที่ขึ้นหลายชั้น แกว่งตัวไปมาให้ลิฟท์โยกเยก พลางร้อง ”ฮุยเลฮุย ”
2. แจกนามบัตรและขอนามบัตร
3. ทำเสียงบึ้มทุกครั้งที่มีคนกดปุ่ม
4. จับมือคนที่เข้าใหม่ พลางพูดว่า ”ยินดีต้อนรับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
5. ร้อง ” ติ๊งต่อง ” ทุกครั้งที่ประตูปิด -เปิด
6. ไอแห้งๆ เป็นระยะ บ่นพึมพำว่ายาวัณโรคหมดหลายเดือนแล้ว
7. ยืนเงียบๆ ที่มุมในสุด หันหน้าชิดฝา ไม่ขยับร่างกาย พึมพำคาถา ไม่ต้องลงแม้ลิฟท์จะขึ้นสุดแล้ว
8. พูดเสียงดังว่า ” เอ๊ะ ปุ่มอะไร ? ” แล้วกดปุ่มสีแดงที่เขียนว่าหยุดฉุกเฉิน
9. แง้มกระเป๋าถือ ชะโงกหน้าดูข้างใน พูดกับกระเป๋าว่า ” คุณสบายดีไหม ? อากาศในนั้นพอหายใจหรือเปล่า ? เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
10. พอประตูปิด ก็วิ่งไปทุบประตูแล้วร้องไห้ “เปิดๆๆ”
11. หันไปมองคนข้างหลัง แล้วถามว่าจับก้นผมทำไม
12. หันไปถามคนข้างๆ ว่า ชั้น 19 ค่าโดยสารเท่าไหร่
13. หยิบโทรศัพท์มาเม้าท์กับเพื่อน บ่นว่าตึกนี้ทำไมมีแต่คนหน้าตาอุบาทว์
14. มองผู้ชายข้างๆ แล้วทำน้ำลายไหล
15. ทำตัวเป็นกระเป๋าลิฟต์ คอยเก็บค่าโดยสารคนเข้าใหม่
17. กดโทรศัพท์(แกล้งก็ได้)แล้วพูดว่า”ระเบิดที่ให้วาง
เรียบร้อยแล้วครับ
18. ตอนมีคนเข้ามาก็ทักสวัสดีค่ะ/ครับ ตอนออกก็พูดว่ารับขนมจีบซาละเปาเพิ่มมั้ยคะ/ครับ
19. เวลามีคนเข้ามาเพิ่ม ทำเสียง “อ๊อดดดด.. ” สัญญาณเตือนน้ำหนักเกิน
"
กลับมาที่เรื่องของผมต่อ.. ถึงแม้ว่าผมจะมีโอกาสอยู่กับผู้หญิงแบบสองต่อสองแล้วก็ตาม แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก นอกจากมองตัวเลขของลิฟที่ค่อย ๆ ปั่นตัวเลขขึ้นไปช้า ๆ รอว่าเมื่อไหร่มันจะถึงชั้น 20 ของผม และเมื่อนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผู้หญิงคนนี้ก็คงเป็นอันต้องจบสิ้นกัน (ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ) นี่แหล่ะนะ ชีวิตคนเมืองกรุงอย่างผมที่ไม่ค่อยได้สนใจบุคคลรอบตัวเท่าไหร่ .. ผมคือผู้โดยสารลิฟ .. เค้าก็คือผู้โดยสารลิฟ.. ก็แค่นั้น แค่นั้นเอง..
แต่แล้วเธอก็ทำให้ความคิดผมต้องเปลี่ยนไปในทันใด.. เมื่อประตูลิฟเปิดที่ชั้น 20 .. ผมกำลังจะก้าวขาออกจากลิฟ.. จู่ ๆ ก็มีเสียงเธอก็พูดขึ้นมาว่า... "บ๊ะบายยย.." โอ้แม่เจ้า เกิดมาแล้ว 27 ปีผมก็พึ่งจะเคยเจอคนแปลกหน้าบ้ายบายให้ตอนออกลิฟเนี้ยแหล่ะครับ ถามคุณตรง ๆ ว่าถ้าเจอคนหน้าแปลกที่ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนเนี้ย .. จะบ๊ะบายเค้าตอนเค้าออกลิฟมั้ยครับ?? ไม่มี๊.. แต่เธอคนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกว่า เธอเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต และทุก ๆ คนก็เป็นเพื่อนของเธอได้ ถึงแม้ว่าจะพึ่งเจอกันในลิฟภายในระยะเวลาไม่ถึง 90 วินาทีเลยก็เถอะ!
ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ บ๊ะบาย เธอกลับ แต่ผมก็ก้มหัวแล้วยิ้มให้เล็กน้อยแล้วก็เดินออกจากลิฟไป .. ทั้ง ๆ ที่ใจทั้งใจมันบอกว่าอยากจะอยู่ต่อในลิฟนั้นก็เถอะ! วันนี้ผมเลยยิ้มแก้มปริทั้งวันงานการแทบไม่ต้องทำกันเลยทีเดียว แอบหวังว่าลงลิฟวันนี้จะเจอเธออีกมั้ยน้า.. ถ้าเจอกันอีกทีคงจะต้องแนะนำตัวแลกเบอร์โทรกันซะหน่อยแล้วครับงานนี้ รู้สึกพลาดอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งที่ผมปล่อยให้คนน่ารักอย่างนี้ผ่านไปอีกจนได้.. ผมละต้องมานั่งเซ็งตัวเองอย่างนี้ทุกทีไป.. นี่ล่ะมั้งคือคำสาปของสวรรค์ เฮ้อ...
.. ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ คำวา "บ๊ะบาย" คำเดียวของเธอจะทำให้ผมเอามาเขียนเรื่องได้ยืดยาวขนาดนี้.. ^o^ ไม่น่าเชื่อว่าคำบอกลาบางคำนั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกดีได้เหมือนกัน.. อย่างน้อยก็สำหรับผมในวันนี้แหล่ะครับ :)
ผลงานอื่นๆ ของ Arms's lifestyle ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Arms's lifestyle
ความคิดเห็น