คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Rhythm 11 : Which SUN is...?
(Special Part : กานต์ครับผม ^^)
“กานต์โว้ยยยยย!! เอาฝรั่งเศสมาด่วนๆ!!”
พวกหมัดเห็บเหาหิวกระหาย เอ๊ย...ไอ้เป้ไอ้เมฆไอ้พีทสามสหายร่วมห้องและร่วมวงกับผมกระโดดชาร์จเข้าใส่ทันทีที่ผมโผล่หน้าเข้ามาในห้อง ผมมองพวกมันยิ้มๆแต่ก็ยื่นสมุดฝรั่งเศสให้แต่โดยดี แหม...คนมันเก่งยังงี้ก็ช่วยไม่ได้แหละคร้าบบบ ฮ่าๆ<<<รู้สึกเป็นพวกหลงตัวเองหน่อยๆ?
อ่า...ลืมแนะนำตัว ผมชื่อกานต์กฤษฎ์ครับ ชื่อยาวเรียกยากแถมยังเขียนยากเนอะ? ดังนั้นพวกเพื่อนๆเลยมักเรียกผมแค่ ‘กานต์’ ส่วนนอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพอใจว่าใครอยากใส่ยศอะไรให้(เป็นต้นว่าไอ้ , เชี่ย , สาด ฯลฯ)
แต่ผมไม่ค่อยถือหรอกครับ ในเมื่อผมออกจะเป็นคนดี~!
“เออกานต์ ไมที่โต๊ะมึงดูแปลกๆไปวะ?”ไอ้เป้ที่ยังสงสัยไม่เลิกซักขึ้นทั้งที่ยังลอกไม่เสร็จ และไอ้พีทไอ้เมฆก็สนับสนุนด้วย
“ช่ายๆ ช่ายยยย ทำตัวน่าสงสัยเป็นบ้า”
“คือ...”ผมหยุดคิดนิดหนึ่ง อืม...จะตอบพวกมันว่าอะไรดีล่ะ “...วันนี้มันปวดๆท้องอ่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมไม่ค่อยอยากให้ไอ้บ้าพวกนี้รู้เรื่องของน้องตัวเล็กๆคนนั้นนัก
“อ๋อ ถึงได้กินน้อยงั้นสิ มิน่า”พีทที่เป็นไอ้ซื่อตลอดกาลพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ก้มหน้าลงไปลอกงานต่อ พีทเป่าแซ็กฯครับ เหมือนไอ้กล้าแฟนอั๋นมันแต่เป็นรองลีดฯ
“แกนี่ไม่ค่อยพูดแต่ชอบเก็บข้อมูลจริงเว้ย ไอ้พีท”เมฆลีดฯทรอมโบนเริ่มมองเพื่อนที่ตัวเล็กที่สุดในห้องคนนี้แบบหวาดๆ ถ้าแค่ในห้องผมคนตัวเล็กสุดก็คือพีทนี่แหละครับ แต่ถ้านับในวงด้วยคนที่ตัวที่เล็กสุดในกลุ่มพวกเราม.5 จะเป็นเน็ต<<<พีทภูมิใจมากที่ตัวเองสูงกว่าเน็ตสองเซนต์ - -
“ใครว่าไม่พูด เชี่ยพีทนี่ออกจะพูดมากเป็นต่อยหอย อุ้ก!!”ไอ้เป้ตัวปากดีสวนขึ้นมา ก่อนจะหน้าเขียวไปแบบกะทันหันเหมือนมีใครเอาตีนกระทืบตีนมัน
“ไปโดดลงเหวเหอะ ไอ้แรงควาย!”พีทชี้หน้าด่าไอ้เป้ มันเป่าทูบาครับ ในสายตาพีทตัวน้อยเลยเห็นว่าไอ้เป้นี่แหละแรงควายตัวจริง
“อูย...ด่ากูแรงควายแต่มึงนี่ควายกระทืบโรงชัดๆ...ตัวออกเล็กไหงแรงเยอะงี้วะ”
“กระทืบโลงมึงอ่ะเดะ! ไอ้ควายสาด!”
“เฮ้ย เดี๋ยวพวกมึงก็ลอกไม่เสร็จหรอก ไอ้สองฟายนี่”คนสงบศึกเป็นเมฆครับ ท่าทางมันจะทนไม่ได้กับเสียงพีทที่ออกแนวสูงๆน่ารำคาญ ทำให้สองฟายจำใจต้องสงบศึก หยุดเถียงกันก่อน
ผมนั่งมองสามสหายหมัดเห็บเหาลอกการบ้าน ไอ้สามตัวนี้รื่นเริงดีครับ อยู่กับพวกมันแล้วไม่เบื่อ แต่สักพักมิสที่สอนวิชาฝรั่งเศสก็เข้ามา พวกมันจึงจำต้องแยกย้ายกันกลับศาลตัวเองเป็นการด่วน
ผมบอกให้เพื่อนในชั้นลุกขึ้นยืนทำความเคารพมิส เอ่อ...มาดมัวแซลที่สอน(ในวิชาฝรั่งเศสต้องเรียกเงี้ยอ่ะครับ) ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ผมก็เป็นหัวหน้าห้องนะ เป็นคนที่วิวัฒนาการแล้วในจำนวนลิงกังมากมาย ณ ที่นี้
(เชื่อรึเปล่าว่าถ้าสามสหายหมัดเห็บเหาได้ยิน มันจะต้องรวมหัวกันค้านหัวชนฝาว่าไม่ใช่)
ห้อง 9 ของผมเป็นห้องศิลป์ภาษา-ฝรั่งเศสครับ เรามีแผนภาษาสามแผนคือฝรั่งเศส จีน เยอรมัน ซึ่งด้วยความที่ไม่ใช่ลูกคนจีนและไม่นิยมฮิตเลอร์พอ(ไม่เกี่ยว...)ผมจึงเลือกเข้าฝรั่งเศส แต่ถ้าถามว่าในอนาคตอยากเรียนอะไร แหม...ไม่ยาก...ก็ดนตรีนี่แหละครับ!
ผมอยากเรียนเอกการดนตรี จึงเลือกเข้าสายที่เรียนเบาสุดเพื่อให้มีเวลามากที่สุดสำหรับการฝึกซ้อม
พอพูดถึงวงผมก็นึกถึงวาน้องผม ไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดนะครับ แต่เป็นรุ่นน้องที่ผมสอนเองกับมือ เพิ่งเข้ามาปีนี้ก็จริงแต่เป็นเฟิร์สทรัมเป็ตที่มีแววทีเดียว คิดว่าหลังจากผมก็คงเป็นวานี่ล่ะครับที่จะเป็นลีดฯทรัมเป็ตรุ่นต่อไป
ทิวาเป็นเด็กตลกดีครับ เป็นคนเฮฮาและก็ชอบทะเลาะกับนัทแซ็กฯน้องไอ้พีทมัน รายนี้เองก็เฮฮาใช่ย่อย ทิวาเป็นกึ่งๆหัวโจกของพวกเด็กม.3 แต่ในความซ่าแบบเด็กผู้ชาย ผมกลับรู้สึกได้ว่าน้องเขาน่ารัก ^^
เอ่อ...ผมเปล่าเป็นเกย์หรอกครับ แต่ทิวาเป็นกรณีพิเศษ ผมชอบที่น้องเขาร่าเริงดี...ร่าเริงจัดมากๆเลยล่ะ ดังนั้นถ้าจะพูดกันแบบตรงๆ...ผมก็คงเป็นผู้ชายที่ชอบทิวา แต่บังเอิญว่าน้องเขาเป็นผู้ชายเฉยๆล่ะมั้ง?
สิ่งจุดประกายสิ่งแรกให้พวกเราสนิทกันเป็นตอนเทอมหนึ่งหลังจากที่ทิวาเพิ่งเข้ามา วันนั้นเป็นวันลูกเสือโลกที่มีการสวนสนามครับ ซึ่งในจำนวนเด็กทรัมเป็ต ทิวาเป็นเด็กม.ต้นที่โตสุด(ม.3) และก็บังเอิญเป็นอย่างสูงที่น้องม.2 ที่เคยเล่นมาก่อนหน้านี้และฝึกมาเพื่องานนี้เกิดจับไข้ไม่สบาย
แน่นอน สวนสนามย่อมคู่กับแตรฟันฟาร์ ผมไม่กล้าปล่อยเด็กม.1 ที่เพิ่งเริ่มหัดลงสนามแน่ แถมเด็กม.2 ที่เป่าได้ก็เหลือแค่คนเดียว ลงท้ายผมจึงเลือกให้วาเป็นฟันฟาร์ 1
(แตรฟันฟาร์มีสองคน เป็นแตรเดี่ยวให้สัญญาณก่อนเริ่มสวนสนาม ใครเคยผ่านการเดินสวนสนามของลูกเสือมาคงนึกออก)
ตอนนั้นล่ะครับที่ฟันฟาร์หลักสูตรเร่งรัดก่อนลงสนามจึงเริ่มขึ้น
ผมเป็นคนสอนให้วาเป่าเองกับมือ ไล่โน้ตฟังเสียงให้ทีละตัวๆจนถึงเวลาเริ่มงาน วันนั้นวาเครียดมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะต้องรับความกดดันจากคนทั้งสนาม เจ้าตัวสั่นจนเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว และก็คงเป่าไม่ออกแน่ถ้าผมไม่เรียกสติไว้ก่อน
“ถ้าวาไม่เป่า พี่เป่าให้เอง”ผมพูดตามตรง “เดี๋ยวยืมชุดคนตัวใหญ่ๆสักคนมา แล้ววาก็เข้าไปยืนในแถว เล่นตามปกติแบบที่คนอื่นเล่น”
วันสวนสนามมีถึงแค่ม.ต้นที่เข้าร่วม สำหรับม.ปลายที่ขึ้นสู่รด.แล้วก็ต้องไปเรียนตามปกติ แต่พอผมพูดแบบนั้นออกไป ทิวา...เด็กนั่นกลับส่ายหน้า
“งานของผม ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
วาพูดแค่นั้นแล้วก็ลงสนามไป ผมยอมรับว่าในวินาทีที่ได้ยินเสียงประธานกล่าวเปิดงานจบ ผมถึงกับหยุดฟังมาสเซอร์และรอฟังเสียงฟันฟาร์จากในห้องเรียนอย่างใจจดใจจ่อ
และวาก็ทำได้อย่างที่ปากพูดครับ ฟันฟาร์ 1 ในวันนั้นกระหึ่มทั่วสนาม ทะลุกระจกเข้ามาจนถึงห้องเรียนด้วยซ้ำ
ผมดีใจ...ดีใจเหลือเกินที่มองคนไม่ผิด
ถึงวาจะก้าวช้ากว่ารุ่นน้องคนอื่นๆตรงที่ไม่ได้เริ่มตั้งแต่ ม.1 แต่อะไรบางอย่างที่มีอยู่ลึกๆข้างในก็ทำให้สามารถสปีดตัวเองขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่เดือนเดียว
นั่น...จะเรียกว่าความรู้สึกบีบคั้นของมือโซโลก็คงได้ล่ะมั้ง?
ผมเริ่มจับตามองและฝึกเคี่ยวทิวา จนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้...ที่ความรู้สึกนั้นก้าวล้ำเกินกว่าคำว่าพี่น้อง...
“กานต์ เหม่ออีกละ”พีทสะกิดแขนผม ผมนั่งข้างพีทครับ สุขสงบกว่านั่งข้างไอ้ปากมากเป้ไม่ก็จอมขี้รำคาญอย่างเมฆเป็นไหนๆ “เลิกเรียนแล้วนา เป็นอะไร? ง่วงนอนเรอะ?”
“อ้อ เปล่าๆ”ผมรีบปฏิเสธ ไม่ได้ง่วงหรอก แค่เหม่อคิดโน่นคิดนี่เยอะไปหน่อย “ไปวงกัน”
ผมชวน พีทพยักหน้า หันไปตะโกนเรียกเมฆกับเป้ แล้วเราก็ยกพวกกันไปซ้อมตามปกติ
วันนี้วาดูแปลกๆไปอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึกได้ถึงความกังวลบางอย่าง อ้อใช่...ผมได้บอกวาไปแล้วครับว่าผมรู้สึกยังไง แม้น้องเขาจะไม่ได้ปฏิเสธอะไรแต่ก็ไม่ตอบรับ แต่อยู่ๆพอพวกชมรมบาสเข้ามาพูดอะไรสักอย่าง...ที่จับใจความได้ว่าเพื่อนวาบาดเจ็บ วาก็ผลุนผลันออกไป
ใช่แค่เพื่อนเหรอ...?
ผมอาจกังวลเกินไป แต่สายตาที่วาแสดงออกมาในตอนนั้น มันไม่ใช่สายตาของเพื่อนเป็นห่วงเพื่อน มันเหมือน...มีอะไรมากกว่านั้น
“...วามีคนที่ทิ้งไปไม่ได้อยู่...”
ผมอยากจะลืมๆประโยคนั้นไปเสียจริง เสียแต่ว่า...มันทำไม่ได้นี่สิ...
ตอนจะกลับผมได้เจอวาอีกครั้ง วากลับมาเอารองเท้าที่ห้อง และประโยคที่ผมไม่คาดคิดก็หลุดออกมา
“จะกลับบ้านด้วยกันกับวาไหมครับ?”
ไอ้เรารึก็หลงนึกว่าสองคน ที่ไหนได้...พอลงไปดันเจอก้างชิ้นเบ้อเริ่ม...เด็กชมรมบาสที่คงเป็นคนเดียวกับที่วาลงไปหาตอนนั้น ซึ่ง...สายตาเอาเรื่องใช้ได้(หัวเราะ)
หมอนี่ล่ะก้างชิ้นเอก แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดหมายของผมกลับเป็นน้องม.2 ที่เพิ่งเจอเมื่อเช้า
ตัวเล็ก~!
ตัวเล็ก...ความจริงเขาชื่อตะวันครับ ทำหน้าเหม็นเบื่อมากมายตอนที่ผมเรียกเขาด้วยชื่อที่คิดค้นขึ้นเอง ผมเจอเด็กคนนี้เมื่อเช้าเพราะเขาหนีพวกอันธพาลมาซ่อนอยู่ใต้โต๊ะพวกผม(เป็นเรื่องน่าแปลกที่เมื่อเช้านอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอีกหนึ่งหน่อซ่อนอยู่)
อันที่จริงตัวเล็กก็ดูเป็นรุ่นน้องที่นิสัยดี โอเคคนหนึ่งครับ เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่ดันเชียร์วากับเพื่อน...ที่ดูเหมือนจะชื่อซี...
ตะวันกับทิวา ผมอดคิดไม่ได้ว่าสองชื่อนี้ช่างคล้ายกันเหลือเกิน
ระหว่างทางขากลับบ้านผมกับตัวเล็กนั่งด้วยกัน แอบหมั่นไส้แกมเซ็งหน่อยๆเหมือนกันแหละที่เจ้าซีนั่นลากวาไปนั่งด้วย แต่ก็ไม่เป็นไร...ผมยังมีเวลาให้เผาผลาญไปเรื่อยๆอีกเยอะ เรื่องแค่นี้ผมรอได้ครับ
ผมค่อนข้างจะโอเคกับตัวเล็กนะ ถ้าตัดเรื่องที่ตัวเล็กเชียร์วากับเพื่อน ผมว่าน้องเขาก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ใช่...น่ารัก ใช้คำไม่ผิดหรอก แต่เป็นคนละแบบกับวาเลยครับ วาดูน่ารักแบบซื่อๆ ส่วนตัวเล็กนี่นอกจากท่าทางจะฉลาดเป็นกรดแล้วยังดูหัวดื้อเอาการ คนแบบนี้ผมว่ารับมือยากนะ ถึงผมจะมีน้องสาวหรือชอบคนอายุน้อยกว่า แต่บางทีกับเด็กดื้อๆผมก็ทนไม่ได้เหมือนกัน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบน้องเขาหรอก
เอ่อ...จะว่าไปแล้ว บนรถเมล์มันก็มีเรื่องชวนขวัญผวาด้วยแหละ
ต้องโทษคนขับรถที่ดันเบรกเสียงแรง ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เลยเสียหลักล้มลงไปทับตัวเล็กเต็มๆ ดีนะที่ตั้งตัวได้ก่อนเลยเอามือยันเบาะไว้ได้ทันไม่งั้นตัวเล็กคงโดนผมทับแบนแน่ แต่...ถึงจะยันเบาะพยุงตัวเอาไว้ได้...ใบหน้าของผมมันก็ดันไปก่อนแล้วครับ
ผมล้มไป...แล้วก็จูบตัวเล็กเข้าไปแบบจังๆเลยอ่ะ...
ตัวเล็กอึ้งไปในทันใด ผมเองก็อึ้งเลยรีบผละออกมาแทบไม่ทัน รู้สึกผิดหน่อยๆทั้งกับตัวเอง กับน้องเขา แล้วก็...กับวา...
รู้สึกผิด...เพราะผมดันเผลอปล่อยให้ตัวเองใจเต้นโดยไม่รู้ตัว
ริมฝีปากบางๆสีอมชมพูนั่นแวบแรกที่สัมผัสกลับให้ความรู้สึกหวานประหลาดที่อยากลิ้มลองต่ออย่างไม่รู้จบ ยังดีนะที่ผมมีสติมากพอ ถอยออกมาได้ทันก่อนที่จะเผลอทำอะไรลงไปให้เข้าหน้ากันไม่ติดซะเปล่าๆ
ผมชอบวา...ผมชอบวา...จริงๆนะ...ผมพยายามบอกกับตัวเองเช่นนี้...แต่...เจ้าตัวเล็กที่เข้ามาในชีวิตผม เข้ามาป่วนความคิดผมแบบกะทันหันนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสลัดออกไปได้โดยง่ายเอาเสียเลย
แต่...สำหรับผม...ดวงอาทิตย์น่ะ...มีได้แค่ดวงเดียวเท่านั้นแหละ
ผ่านมานานพอควรแล้วตั้งแต่เรื่องบนรถเมล์ตอนนั้น ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยเจอตัวเล็กอีกเลย ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเพราะตึกม.ต้นกับม.ปลายอยู่คนละที่กัน(แต่ผมว่าใกล้กันนะ แค่มีโรงอาหารคั่นกลางเอง)
“เฮ้ย! ไปกันกานต์!”เป้ตะโกนเรียกหลังจากเรียนพละตอนเย็นเสร็จ พวกเราเอากระเป๋าลงมาจากห้องด้วยเพราะเป็นคาบสุดท้าย จะได้ตรงไปที่วงได้เลย
“ไปกันก่อนเหอะ ขอแวะห้องน้ำแป๊บ”ผมเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำที่หลังโรงอาหาร ที่นี่คนน้อยดีครับ มันอยู่ติดกับสวนพฤกษาของโรงเรียน ค่อนข้างเปลี่ยวเลยไม่ค่อยมีใครใช้
“หืม...?”
ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ กลุ่มเด็กม.ต้นพวกนั้นทำไรอยู่หว่า? ผมเดินเข้าไปดูใกล้ขึ้นอีกนิด ก่อนจะพบว่าคนตรงกลางที่กำลังโดนรุมถึงหกต่อหนึ่งเป็นคนรู้จักผมเอง
“ตัวเล็ก!”ผมเรียก งงน่ะใช่แต่ความปลอดภัยย่อมมาก่อน เด็กม.2 ที่น่าจะเป็นหัวโจกหันขวับมาทางผมแล้วตีหน้ายักษ์ใส่
“มึงเป็นใคร! มาเสือกไรด้วย!?”
อู้หู...หยาบซ้า...นี่กูรุ่นพี่มึงนะไอ้เด็กเปรต...อุ้ย หลุด ไม่ได้ๆ ผมไม่พูดคำหยาบครับ ^^
“มาสเซอร์พงศธร! ผมเจอตราที่มาสเซอร์หาอยู่แล้วน้า!”ผมแกล้งตะโกนชื่อมาสเซอร์ฝ่ายปกครอง พร้อมกับชูเข็มในมือขึ้นโบกสูงๆโดยหันหน้าไปทางข้างหลังเหมือนจะเรียกให้ใครอีกคนมาดู เด็กม.2 พวกนั้นเลยสะดุ้งเฮือก รีบแตกวงทันใด
“เฮ้ย! พงศธรเลยเหรอวะ! เผ่นเร็ว!”ไอ้เด็กหัวโจกวิ่งก่อนใครเพื่อน หึๆ ชื่อมาสเซอร์นี่ขายดิบขายดีเกินคาดแฮะ
ตัวเล็กที่ยืนชิดต้นไม้มองผมสลับกับกลุ่มเด็กอันธพาลที่เพิ่งวิ่งหนีไป “...ไม่มีมาสเซอร์ซะหน่อย”
“ก็ใช่ไง”ผมตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วแบมือชูเข็มที่ถือโบกเมื่อกี้ให้เขาดู “ส่วนนี่ก็เข็มวงโยฯ ไม่ใช่ตรามาสเซอร์ฝ่ายปกครอง”
ตัวเล็กทำหน้าแปลกๆ แล้วชมผมแบบเต็มๆคำ
“รุ่นพี่นี่เจ้าเล่ห์เป็นบ้า - -^”
“แหม ไม่ถึงขนาดนั้นครับน้อง เขาเรียกแก้สถานการณ์”ผมหัวเราะ หกต่อสองถึงฝ่ายนั้นจะเป็นเด็กม.ต้นแต่ผมก็มีสิทธิ์เจ็บตัว เรื่องไรจะเอาหน้าหล่อๆไปเสี่ยงล่ะ “แล้วนี่ไปทำไรให้โดนรุมมาอีกล่ะหือ? เรานี่ชอบหาเรื่องจริง”
ผมพูดตามจริงนะ เจอเด็กนี่ทีไรมีแต่เรื่องกับเรื่อง ไม่รู้ไปวอนตีนด่าใครให้พวกมันมาไล่กระทืบเอา...
“ผมก็อยู่ของผมเฉยๆ แต่พวกมันอ่ะชอบไล่ม่อไล่ไถตังค์”ตัวเล็กตอบ สีหน้าขยะแขยงแบบไม่หน่อย ก่อนจะพูดสั้นๆอีกคำ “เอาง่ายๆ...โรคจิต!”
“ชัดมาก”ผมหัวเราะรับ และเพิ่งสังเกตเห็นหัวเข่าที่ถลอกเลือดไหล แต่เอาเข้าจริงเด็กนี่ก็มีแต่รอยฟกช้ำตามแขนเต็มไปหมด จึงคว้ามือหมับพาเดิน “เยินไปทั้งตัว มา ไปห้องพยาบาลกัน”
“ไม่ต้องลากน่า!”ตัวเล็กสะบัดออกแล้วเดินนำหน้าเสียเอง ผมอมยิ้มขำ...มีหยิ่งแฮะ...
“วิ่งหนีจนเป็นแบบนี้เลยหรือ?”
“ก็พวกมันเล่นทีเผลอ”รุ่นน้องตอบฮึดฮัด “อยู่ๆก็เข้ามาล็อคทางด้านหลัง ผมโดนหมัดไปสองสามปั้กเล่นเอาจุก แถมมันยังบ้าล็อคแขนแน่นจนเคล็ดไปหมด พอวิ่งหนีมาก็ล้มหัวเข่าถลอกอย่างที่เห็นนี่แหละ”
ผมไม่ว่าอะไร พาตัวเล็กไปที่ห้องพยาบาล แต่พอเข้าไป ในห้องกลับไม่มีใครอยู่สักคน
“มิสไปไหนน้า...”ผมเกาหัว แต่ก็เดินไปคุ้ยหาแอลกอฮอล์กับผ้ากอซแล้วก็ยานวดจากในชั้นวางมาได้ “เอาเหอะ ทำเองก็ได้”
“เฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวทำเอง”ตัวเล็กปฏิเสธ พยายามแย่งแอลกอฮอล์มา แต่ผมไวกว่า จี้สำลีชุ่มแอลกอฮอล์ลงไปที่แผลแบบจังๆ สีหน้าของตัวเล็กตอนนี้ตลกมาก มันเหมือนจะเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างแดง ดำ เขียว เหลือง ก่อนจะมาหยุดที่สีหน้าปกติ
“เจ็บ!! รุ่นพี่ใช้มือหรืออะไรทาเนี่ย!! มือหนักเป็นบ้า!!”
“เอาน่า”ผมหัวเราะ ใส่ยาให้แล้วปิดผ้ากอซเป็นอันเสร็จเรียบร้อย และก็หันไปหาเป้าหมายต่อไปซึ่งก็คือยานวด “ยื่นแขนมาสิ”
“ไม่เอา พี่อ่ะมือหนัก - -^”
“คราวนี้จะทำเบาๆน่า ^^”
ตัวเล็กยอมยื่นแขนให้แบบไม่แน่ใจนัก ผมจึงบีบยาออกจากหลอดแล้วค่อยๆชโลมลงบนผิวขาวจัดนั้น ดูแล้วน่าจะเป็นพวกลูกครึ่งล่ะมั้ง? ขาวเหมือนไม่ใช่คนไทย ตัวเล็กนิ่งเงียบ ผมเองก็ไม่ได้ชวนคุย จนทาไปสักพักนั่นแหละฝ่ายนั้นถึงได้เปิดปาก
“วันนี้ไม่ซ้อมเหรอ?”
“อ้อ ซ้อมสิ แต่ไม่ได้ไป”ผมตอบอย่างรวดเร็วจนตัวเล็กอ้าปากค้าง
“ทำไมตอบหน้าตายแบบนั้นล่ะฟะ!”
ฮ่าๆ เราเองก็ทำหน้าได้ฮาอะไรขนาดนี้ ตัวเล็กเอ๊ย...
“ก็แหม...”ผมพึมพำ แต่มือก็ยังเกลี่ยยาไปมาอยู่บนแขนช้ำเป็นจ้ำนั้น “...ใครจะปล่อยไปได้ล่ะ เราน่ะชอบเป็นเป้าให้ใครๆเขารังแกอยู่เรื่อย มีไรวันหลังก็บอกพี่ได้ เดี๋ยวให้อั๋นไปกัด อั๋นมันโหดพออยู่แล้ว”
อ่ะนะ...ไม่อยากจินตนาการสีหน้าอั๋นถ้ารายนั้นมาได้ยินผมพูดถึงเขาแบบนี้...ฮ่าๆ
ตัวเล็กเงียบไปสักพัก ก่อนจะพึมพำขึ้น “...ไม่เห็นต้องทำแบบนี้ รุ่นพี่น่ะชอบพี่วาไม่ใช่รึไง”
ผมหยุดมือที่เกลี่ยยาลง(ไม่ได้นวด นวดแล้วเดี๋ยวยิ่งช้ำ) เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถามราวกับเพิ่งเคยเห็นหน้ากับเป็นครั้งแรก
คำถามของตัวเล็กดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัวผม แต่เหนือสิ่งอื่นใด...ภาพที่ผุดขึ้นมาในความคิดตอนนี้กลับไม่ใช่ภาพของวา...
“...ก็ว่างั้นแหละ”ผมเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าตัวเองพูดอะไรออกไป “...ก็น่าจะชอบวา...”
นั่นสิ...ผมน่าจะชอบวา...แล้วนี่ผมทำอะไรอยู่เนี่ย? โดดซ้อมวงเสี่ยงโดนอั๋นเชือดเพื่อแลกกับการอยู่ทายาทำแผลให้เด็กจอมหาเรื่องคนหนึ่ง?
ให้ตายซี่...ถามอะไรแทงใจดำเป็นบ้า...
ดวงอาทิตย์น่ะ...มีได้แค่ดวงเดียวไม่ใช่รึไงเล่า
แล้วทำไม...ในวินาทีนี้...
‘ตะวัน’ ถึงได้สาดแสงแรงกว่า ‘ทิวา’ ได้ล่ะ?
“รุ่นพี่อย่ามาทำตัวแบบนี้สิ”เสียงของตัวเล็กเปลี่ยนไป มือนั้นผลักมือผมออกพร้อมทั้งถอยห่าง สายตาที่มองมาดูผิดหวังกึ่งซุกซ่อนบางสิ่งอยู่
ทำต่อกัน เหมือนชั้นไม่ดีไม่มีค่าอะไร
เหมือนกับคนไม่มีประโยชน์อะไร
บอกกับชั้นว่าเธอไม่รักก็จบ
เธอไม่อยากจะพบจะผูกจะพันไม่ต้องสงสาร แค่นั้นชั้นก็เข้าใจ
บอกกับชั้นว่าเธอไม่รักก็พอ ไม่ได้ขอให้เธอมาเปลี่ยนใจ
ชั้นเองก็ยอมเจ็บปวดใจ ยิ่งรักเท่าไหร่ยิ่งเจ็บ
(Ost. อุบัติรักข้ามขอบฟ้า กอล์ฟ&ไมค์ : ยิ่งรักยิ่งเจ็บ)
“ผมน่ะ...ไม่ต้องการความหวังลมๆแล้งๆหรอกนะ!”
ผมนิ่งอึ้ง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะโดนตวาดด้วยถ้อยคำเช่นนี้...ไม่อาจยอมรับ...ว่าทุกคำพูดแสนจะเสียดแทงเข้าไปในใจ
ดวงอาทิตย์มีได้แค่ดวงเดียว
นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แล้วผมล่ะ...จะเลือกดวงไหน?
พี่กานต์เริ่มจะ...เอนเอียงตามใจอยากใครหลายๆคน...ฮา~แต่เขาก็ยังยืนยันคำตอบเดิมนะ วา(คงจะ)ยังเป็นที่หนึ่งอยู่<<<ใส่วงเล็บมาเพื่อ - -?
อยากจะสารภาพแหละ...โนว์ไม่มีเวลาตอบเม้นท์เลย = = นี่ก็วิ่งมาลงให้แป๊บๆ เดี๋ยวต้องไปแล้ว ช่วงนี้จะมีกีฬาสีเลยยุ่งโคตรรรรรร ติดไว้ก่อนนะ นะๆๆๆ(ทำตาวิ้งๆ) เดี๋ยวจะตอบให้ครบทุกคนแน่ๆค่ะ แต่....คงไม่ใช่วันนี้ TT^TT
อย่าโกรธโนว์นะ งือ...
นอนฝันถึงหนูตะวันกับพี่กานต์ไปก่อนละกัน ว่าแต่....ไอ้สองคนนั่นยังจูบกันไม่เลิกอีกเรอะ!!! =[]=
/ทิ้งระเบิดแล้ววิ่ง
ความคิดเห็น