ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BEAST . SHORTFICTIONS [ 2JUN ]

    ลำดับตอนที่ #2 : 2nd story . I hate clssical music

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 806
      3
      6 ก.ย. 54

    title : I hate classical music
    status : ficlet
    fandom : beast
    pairing : 2jun
    author : electrica-b
    genre : romantic
    theme : FARRY' 25

    2nd STORY

    I  hate

    CLASSICAL
    MUSIC



                สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ “ความฝัน”

     

                แต่จงดูให้ดี ... ว่าความฝันของคุณนั้น กำลังทำร้ายใครบางคนอยู่หรือเปล่า ?

     

                .

     

                .

     

                .

     

                ฉันจะไปนิวยอร์ค สองปีหน้าเดี๋ยวกลับ ดูแลบ้านดีๆด้วยนะ

     

                                                                                        ยุนดูจุน

     

     

                ข้อความเดิมๆ ... บนแผ่นกระดาษเก่าๆแผ่นเดิมที่ยังคงแปะอยู่บนตู้เย็นเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน ... พอเข้ามาในห้องครัวทีไรก็มักจะสะดุดตาและหยุดอ่านมันให้ได้เสียทุกครั้ง ถึงแม้กี่ร้อยกี่พันครั้งที่ได้อ่านลายมือห่วยๆทุเรศๆบนกระดาษโน้ตแผ่นนั้นจะทำให้รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทุกทีก็ตาม ...

     

                สองปีของนาย ... นี่มันปีที่สี่แล้วนะไอ้ทุเรศ ... ยุนดูจุน

     

                แต่ต่อให้ข้อความในกระดาษโน้ตแผ่นนั้นจะโง่งี่เง่าพาลให้หัวเสียขนาดไหน เพียงแค่เห็นลายมือทุเรศๆเหมือนหนังหน้าของคนเขียนก็มักจะทำให้เขาใจอ่อนได้เสียทุกที ถึงจะใช้ความพยายามกำจัดมันออกไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ... ขยำก็แล้ว ... กระทืบก็แล้ว ... เขวี้ยงใส่ถังขยะก็แล้ว ... แต่สุดท้ายมันก็กลับมาติดอยู่บนตู้เย็นเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะแบบนั้นไงสภาพถึงได้ยับเยินอย่างที่เห็น

     

                ถึงอย่างนั้น ... ต่อให้โดนกระทำทารุณซักแค่ไหนกระดาษโน้ตแผ่นนี้ก็ยังไม่เคยมีรอยถูกฉีก ...

     

                ทำไมล่ะ? ก็แค่สาเหตุที่ว่า ยงจุนฮยอง ผู้ชายอินดี้คนนี้ยังลืมลายมือห่วยๆของ ยุนดูจุน คนเห็นแก่ตัวคนนั้นไม่ลงก็เท่านั้นเอง

     

                ยุนดูจุนเป็นผู้ชายที่มีความฝัน ... จนบางทีก็อาจเล็งแลเห็นว่าฝันเฟื่องเสียจนเกินไป เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่คำว่า “อยากเป็นนักดนตรีเพลงคลาสสิค” หลุดออกมาจากปากของผู้ชายคนนั้น ส่วนยงจุนฮยองก็เป็นแค่ผู้ชายอินดี้ ขี้บ่น ไร้สาระ ที่คอยแต่จะขัดขวางทุกความฝันของยุนดูจุน แต่สุดท้ายแล้วที่เขาโดนตอกหน้าซะหงาย ... สาเหตุก็เพราะความฝันของคนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้นเองนั่นแหล่ะ

     

                ผิดเหรอ? ที่ยงจุนฮยองไม่อยากให้ยุนดูจุนไปเรียนดนตรีที่ต่างประเทศ ...

     

                ในประเทศเองก็มีโรงเรียนสอนดนตรีให้เกลื่อนแต่ดันไม่คิดจะเลือกเลยซักที่ ... บอกแต่ว่ามันไม่ได้ฟีลล์อยู่นั่นแหล่ะ สุดท้ายยุนดูจุนก็ตัดสินใจเดินทางไปนิวยอร์คโดยไม่มีแม้แต่จะบอกลา ... ทิ้งไว้เพียงแค่ข้อความจากลายมือทุเรศๆบนกระดาษโน้ตที่เจ้าตัวติดอยู่บนตู้เย็นอย่างจงใจให้เห็นเท่านั้น ...

     

                นี่เหรอสิ่งที่ คนรัก ควรจะทำให้กันน่ะ?

     

                เกือบสี่ปีเต็มแล้วที่ยงจุนฮยองได้แต่เฝ้ารออย่างไม่มีจุดหมาย ... ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่เพียงแค่คิดว่า ... ถ้าหมอนั่นกลับมา เขาจะตีซักผัวะสองผัวะให้ไหล่หลุดกันไปข้าง ก่อนที่จะกอดร่างสูงนั่นแน่นๆให้หายคิดถึงซะหน่อย ...

     

                ต่อให้ผ่านไปห้าปี ... หกปี ... เจ็ดปี ... แปดปี ... เก้าปี ... หรือจะอีกกี่สิบปีก็ตามที ... ยงจุนฮยองก็คงทำได้เพียงแค่ รอ

     

                รอคนเห็นแก่ตัวคนนั้นกลับมาปรากฏตัวพร้อมมาดนักดนตรีคลาสสิคสมบูรณ์แบบ ... อย่างที่เจ้าตัวชอบโม้ให้ฟังอยู่เรื่อยๆเมื่อสี่ปีก่อน

     

                เพียงแค่ได้เห็นว่าเป็นแบบนั้น ... ผู้ชายอินดี้คนนี้ก็คงจะดีใจ

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “นายรู้จัก Beethoven มั้ย? คนที่แต่งเพลง Moonlight Sonata น่ะ”

     

                “บ๊ะ ! มีใครมั่งล่ะวะที่ไม่รู้จัก? นี่ฉันไม่ได้โง่นะยุนดูจุน ... แล้วไอ้มูนๆที่นายว่านั่นมันคืออะไร?”

     

                “เอ้า ... นายไม่เคยฟังเหรอ? เป็นเพลงคลาสสิคที่โคตรเพราะเพลงนึงเลยนะ”

     

                “เหรอ? ฉันไม่รู้หรอก ...”

     

                “ฉันอยากเป็นนักดนตรีเพลงคลาสสิค นายว่าไง?”

     

                “ก็เป็นสิ ... ถามทำไมเนี่ย?”

     

                “นายแน่ใจเหรอว่าอยากให้ฉันเป็น?”

     

                “แล้วทำไมฉันต้องแน่ใจด้วยวะ? ก็นายอยากเป็นหนิ”

     

                “แต่ฉันอาจจะ ...”

     

                “อะไร?”

     

                “อาจจะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ ...”

     

                “งั้นเหรอ?”

     

                “แล้วนาย ...”

     

                “ฉันไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้น ชัดมั้ยยุนดูจุน? ถ้าอยากเรียนดนตรีนักก็หาเรียนในประเทศสิ ง่ายกว่า ... ถูกกว่าตั้งเยอะ”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                ผ่านมาห้าปีแล้วแท้ๆ ... แต่บทสนทนานั้นก็ยังคงดังก้องอยู่ในหูของยงจุนฮยองจนถึงบัดนี้ นั่นอาจจะเป็นเพราะเขากำลังหงุดหงิดและอารมณ์เสียหลังจากได้อ่านข้อความบนกระดาษโน้ตแผ่นนั้น ... หรือไม่ก็บางที ... อาจเป็นเพราะเขาคิดถึงยุนดูจุนมากเกินไป

     

                แล้วนักดนตรีเพลงคลาสสิคคนนั้นล่ะ? จะคิดถึงเขาบ้างไหม?

     

                ยงจุนฮยองก็แค่ผู้ชายอินดี้ ขี้บ่น ไร้สาระ ที่โดยส่วนตัวแล้วชอบเพลงฮิปฮอปมากกว่าเพลงคลาสสิค ถ้าหากยุนดูจุนจะสนใจในแนวทางของเขาซักนิด ... แทนที่จะเป็นนักดนตรีเพลงคลาสสิคแต่เปลี่ยนไปเป็นศิลปินฮิปฮอปร้องแร๊พโย่ว์ไปตามประสาแทน ยงจุนฮยองอาจจะสนับสนุนก็ได้ไม่แน่

     

                เพราะอย่างน้อย ... กะอีแค่ฮิปฮอปก็ไม่น่าจะไปเรียนไกลถึงนิวยอร์ค

     

                สาเหตุที่คนอินดี้อย่างเขาเกลียดเพลงคลาสสิคเข้าไส้ ก็เพราะว่ามันช้า ... แล้วเสียงเครื่องดนตรีก็กรีดแทงหูมากเสียจนเกินไป ... ไม่มีแม้กระทั่งเนื้อร้องให้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกรื่นหูเลยซักนิด เพราะอย่างงั้นเขาเลยค่อนข้างจะสันทัดไปทางแนวร็อกหรือฮิปฮอปอะไรเทือกนั้นเสียมากกว่า ถึงมันจะฟังแล้วดูรุนแรง ... แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหงา

     

                และอีกสาเหตุ ... เพราะมันแย่งยุนดูจุนไปจากเขา

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “ย่าห์ ยุนดูจุน นายฟังเพลงคลาสสิคอีกแล้ว”

     

                “ก็มันเพราะดีนี่หว่า มาฟังด้วยกันสิ นี่เพลงของ Mozard เลยนะ”

     

                “ไม่เอา ... ฉันจะฟัง BEP, Flo-rida, T-Pain หรืออะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่เพลงคลาสสิคยานคางเทือกนั้น นายอ่ะหลบไปเลย”

     

                “โอเคๆ โฮ้ย นายเนี่ยจะรุนแรงไปถึงไหนวะยงจุนฮยอง?”

     

                “ฉันก็แค่เป็นผู้ชายอินดี้ ที่อยากให้แฟนหันมาสนใจตัวเองบ้างก็แค่นั้นไม่ได้รึไง?”

     

                “เออๆ ... โธ่ไอ้คนอินดี้ ไอ้คนขี้บ่น ไอ้คนขี้โวยวาย เอะอะก็จะเอาแต่ตีๆๆ จนไหล่แฟนแม่งจะหลุดอยู่แล้วเนี่ย”

     

                “เอาซีดีนายไปเก็บเลยไป ...”

     

                “จุนฮยอง”

     

                “อะไร?”

     

                “ฉันอยากไปนิวยอร์ค ...”

     

                “ไปทำไม?”

     

                “อยากไปเรียนดนตรี ... ที่นั่นเขาเด่นเรื่องดนตรีคลาสสิคมากๆเลยนะ”

     

                “ฉันไม่ให้นายไป ...”

     

                “โธ่ ... ยงจุนฮยอง ... แค่แปปเดียวเองน่า”

     

                “ก็บอกว่าไม่ให้ไปไง! ถ้าคิดจะเรียนก็เรียนที่นี่สิ! ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเรียนถึงนิวยอร์คตรงไหนเลย! นายอยากทำให้ฉันกลายเป็นบ้ารึไงน่ะฮะ?!

     

                .

     

                .

     

                .

     

                บางทียงจุนฮยองก็รู้สึกเกลียดตัวเอง ... ว่าไปทำตัวงี่เง่าขัดขวางความฝันของคนอื่นเขาทำไม?

     

                .

     

                .

     

                .

     

                วันนี้เป็นอีกวันที่ยงจุนฮยองต้องออกมาทำงานพิเศษนอกบ้าน ร้านเบเกอรี่ตรงข้ามกับบริษัทมักจะเป็นสถานที่ๆดูอบอุ่นอยู่เสมอๆในสายตาของเขาไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตามที เจ้าของร้านก็เป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของเขาเอง ซึ่งก็คือจางฮยอนซึง ปาร์ติชิเย่หนุ่มหน้าสวยชื่อดังที่ไปสำเร็จการศึกษาด้านการทำขนมไกลถึงฝรั่งเศษ และทำตามความฝันในวัยเด็กด้วยการกลับมาเปิดร้านขายเบเกอรี่เล็กๆแห่งหนึ่งขึ้นที่กรุงโซล ซึ่งก็คือร้านแห่งนี้ที่เขามักจะมานั่งซึบซับบรรยากาศสบายๆพร้อมทานเค้กอร่อยๆทุกๆวันศุกร์นั่นเอง

     

                คนที่มุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองอย่างไม่ลดละแบบนี้ ... ทำให้เขาคิดถึงนักดนตรีเพลงคลาสสิคคนนั้น ...

     

                “เอ้า กินนี่ซะยงจุนฮยอง จะได้หายเครียดซะที”

     

                น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงอยู่เป็นนัยๆของเจ้าของร้านดังขึ้นก่อนที่เค้กช็อกโกแลตรูปร่างสามเหลี่ยมหน้าจั่วขนาดพอเหมาะพอคำบนจานกระเบื้องสีสดใสจะถูกวางลงตรงหน้าของเขา ตามด้วยส้อมเงินเล็กๆคันหนึ่งที่ถูกวางลงบนบริเวณข้างๆกับจานเค้ก ยงจุนฮยองเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ลงทุนเดินมาเสิร์ฟเค้กให้เองด้วยสีหน้าซังกะตายหน่ายโลก ส่วนจางฮยอนซึงก็แค่ยักไหล่เป็นการตอบรับท่าทางที่เจอบ่อยเสียจนชินนั้นก่อนที่จะพะยักเพยิดให้ยงจุนฮยองหยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กกินซะที

     

                “เป็นไง?” ปาร์ติชิเย่เจ้าของร้านกล่าวถามขึ้นด้วยแววตาที่สั่นระริกเหมือนเด็กนักเรียนที่ลุ้นกับผลสอบ ... เป็นแบบนี้ให้ได้ทุกทีเวลาเห็นใครกำลังกินเค้กของตัวเอง

     

                “ก็อร่อยดีเหมือนเดิมมั้ง” ถึงเค้กจะอร่อยแค่ไหนอย่างที่ปากว่า ... แต่สีหน้าของยงจุนฮยองก็ยังคงแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษนะฮยอนซึง ... แต่วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์เลยว่ะ”

     

                “รู้แล้ว ... ก็เห็นนายเป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์นั่นแหล่ะ” จางฮยอนซึงพยักหน้าหงึกหงักรับด้วยท่าทางเหมือนรู้ดีอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “ถึงจะผ่านไปสี่ปีแล้วก็เหอะ ... แต่จนป่านนี้ฉันก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่เลยแฮะ”

     

                “อะไร?”

     

                “ว่าดูจุนมันจะหนีนายไปนิวยอร์คจริงๆ ...”

     

                “...”

     

                “นายคิดถึงหมอนั่นใช่มั้ย?”

     

                “ฉันน่าจะถามว่าหมอนั่นจะคิดถึงฉันมั้ยมากกว่า”

     

                ยงจุนฮยองกล่าวขึ้นพร้อมถอนหายใจแรง ... ฉับพลันความเงียบก็เข้าปกคลุมบรรยากาศรอบกายของทั้งสองเมื่อบทสนทนาไม่มีการต่อยอดอะไรออกไปอีก ... ฮยอนซึงเท้าคางมองสีหน้าติดจะโมโหอยู่ไม่น้อยของเพื่อนที่นั่งไม่พูดไม่จาเอาแต่ตักเค้กเข้าปากลูกเดียวด้วยความเหนื่อยหน่าย

     

                “ผ่านไปตั้งสี่ปีแล้ว ... ป่านนี้หมอนั่นคงจะได้ดิบได้ดีไปแล้วมั้ง?”

     

                “แบบนั้นก็ดี อยากเป็นนักนี่ไอ้นักดนตรีเพลงคลาสสิคอะไรนั่นน่ะ ...”

     

                “แล้วนายไม่เหงารึไง? อยู่คนเดียวมาตั้งสี่ปี”

     

                “...”

     

                ถามว่า เหงา รึเปล่าน่ะเหรอ?

     

                ...

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ต้องนอนคนเดียว

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ต้องนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ไม่ได้จับมือถือแขนกับใครเวลาไปเที่ยวที่ไหน

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ไม่มีใครให้ระบายอารมณ์เวลาโมโห

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ไม่มีใครคอยกอดปลอบเวลาเสียใจ

     

                ก็แค่สี่ปี ... ที่ไม่ได้ยินเสียงเพลงคลาสสิคจากวิทยุ

     

                ก็แค่สี่ปี..........

     

                ... ที่ไม่ได้ยินเสียงไวโอลินของใครบางคนที่ชอบเล่นให้ฟัง ...

     

                ...

     

                จะไม่ให้เหงาได้ยังไง ...

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “ดูจุน นายเลิกเล่นไวโอลินเลยนะ มันหนวกหู”

     

                “ย่าห์ ก็พอๆกับตอนที่นายเปิดเพลงฮิปฮอปกรอกหูฉันทั้งวันทั้งคืนนั่นแหล่ะ”

     

                “แต่ฉันจะนอน”

     

                “หัดเปิดใจรับฟังเพลงคลาสสิคซะมั่งสิ บางทีนายอาจจะชอบก็ได้”

     

                “ชาติหน้าตอนบ่ายๆนั่นแหล่ะ”

     

                “เฮ้ ยงจุนฮยอง ฉันก็แค่อยากให้นายเข้าใจฉันบ้างไม่รู้รึไง?”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                เขาเกลียดเพลงคลาสสิค ... เกลียดและไม่เคยคิดอยากที่จะฟัง ... เพราะมันช้า ... และเสียงเครื่องดนตรีก็กรีดแทงหู ...

     

                เพราะฉะนั้น ... เขาเลยไม่เข้าใจยุนดูจุน

     

                แต่ ...

     

                ยุนดูจุนเองก็ไม่เคยเข้าใจเขาเหมือนกัน ...

     

                ยงจุนฮยองก็แค่ผู้ชายอินดี้ ขี้บ่น ไร้สาระ ที่โดยส่วนตัวแล้วชอบเพลงฮิปฮอปมากกว่าเพลงคลาสสิค มักจะคอยทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางความสุขของยุนดูจุนเวลาฟังเพลงคลาสสิคหรือสีไวโอลินอยู่เสมอๆ เพราะบางที ... ยุนดูจุน อาจจะไม่หลงใหลมันมาก จนเพลงคลาสสิคพรากผู้ชายคนนี้ไปจากเขา เหมือนอย่างตอนนี้ก็ได้ ...

     

                ยุนดูจุนไม่เคยเข้าใจเขาเลย ...

     

                .

     

                .

     

                .

     

                เสียงไวโอลินดังอี่แอ่ๆมาตามลม ... ทำให้ยงจุนฮยองถึงกับสะดุ้งเฮือก ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนสีไวโอลินอยู่หน้าทีวีเมื่อกว่าห้าปีก่อนปรากฏขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง ภาพที่เขาเคยคิดว่าเกลียดนักเกลียดหนา ... แต่มันก็ทำให้เขาคิดถึง ... ผู้ชายคนนั้นที่บ้าเพลงคลาสสิคยิ่งกว่าอะไรขึ้นมาได้ทุกที

     

                “นายฟังวิทยุช่องอะไรอยู่เนี่ยฮยอนซึง?”

     

                “อ้อ โทษที ลืมไปเลยว่านายไม่ชอบเพลงคลาสสิค พอดีมันเข้ากับบรรยากาศร้านน่ะ”

     

                “อย่าเปลี่ยนนะ ...”

     

                “ห๊ะ?”

     

                “ก็บอกว่าอย่าเปลี่ยนไงเล่า!

     

                “เอ่อ ... ก็ได้ ... ไหงเกิดประสาทกลับขึ้นมาตอนนี้”

     

                เขาเกลียดเพลงคลาสสิค ... เพราะมันช้า ... และเสียงเครื่องดนตรีก็กรีดแทงหู ...

     

                แต่เขาก็ไม่เคยลืม ... เสียงไวโอลินที่ยุนดูจุนสีให้เขาฟัง

     

                “เพลงนั้น ...”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “นายเขียนอะไรอยู่น่ะดูจุน?”

     

                “อ๋อ ... เอ่อ เขียนโน้ตเพลงน่ะ”

     

                “แต่งเองเหรอ?”

     

                “อืม ... ก็ประมาณนั้น”

     

                “ไหนเล่นให้ฟังหน่อยสิ”

     

                “หืม? ไหนบอกว่าไม่ชอบเพลงคลาสสิคไงครับคุณผู้ชายอินดี้?”

     

                “หุบปากไปเลย ... ฉันบอกให้เล่นก็เล่นไปสิ”

     

                “ก็ได้ๆ แต่มันยังไม่สมบูรณ์นะ”

     

                “ถึงจะแค่ท่อนเดียวก็เล่นมาเหอะ”

     

                “จ้าๆ เล่นให้ฟังแล้วก็อย่าบ่นแล้วกันนะไอ้คนอินดี้”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                ยุนดูจุนแต่งเพลงๆนั้นเอง ... เมื่อห้าปีก่อน

     

                แปลว่า ...

     

                เสียงของนักดนตรีที่กำลังสีไวโอลินอยู่ในวิทยุ ...

     

                คือคนเห็นแก่ตัวคนนั้นที่เขาคอยเฝ้ารอมาตลอดทั้งสี่ปีงั้นเหรอ?

     

                “ยงจุนฮยอง นายฟังสิ ...”

     

                “ห๊ะ?”

     

                “ลองฟังดูสิ ... เร็วเข้า เดี๋ยวจะสัมภาษณ์จบซะก่อน”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “และในตอนนี้เราก็ได้มาอยู่กับนักดนตรีเพลงคลาสสิคระดับอัจฉริยะผู้ซึ่งประพันธ์บทเพลงสุดวิเศษนี้ขึ้นแล้วนะคะ ซึ่งก็คือ ... ท่านผู้นี้ที่นั่งอยู่ข้างๆดิฉันนี่เองค่ะ”

     

                “สวัสดีครับ ... ผมยุนดูจุน จบการศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย Juliard เอกเครื่องสายสากล และขณะนี้กำลังเข้าร่วมกับวง American Classical Orchestra อยู่ที่นิวยอร์คครับ”

     

                เสียงนุ่มทุ้มแสนคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากในวิทยุทำให้ยงจุนฮยองถึงกับขนลุกเกรียว ... ถึงจะไม่ได้เห็นแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าของคนพูดก็ตาม แต่หัวใจของเขากลับเต้นตึกตักแรงขึ้นและแรงขึ้นผิดไปจากจังหวะปกติทันทีอย่างเห็นได้ชัด ... หลังจากที่ได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้นกระทบกับใบหู ...

     

                เสียงที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลาถึงสี่ปี ...

     

                “ไม่ทราบว่าคุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหนหรือคะ? ทำไมถึงแต่งเพลงได้กินใจผู้ฟังขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่เนื้อร้อง?”

     

                “คือ ...”

     

                “คะ?”

     

                “เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งไว้เมื่อห้าปีที่แล้ว ... ก่อนที่จะมาเรียนที่ Juliard น่ะครับ”

     

                “โห ... สุดยอดเลยนะคะ แต่งเพลงได้เองก่อนที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนทางสายนี้อย่างจริงๆจังเสียอีก”

     

                “มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ... แต่ผมแค่แต่งเพลงนี้ ... เพื่อคนๆหนึ่งที่ผมรัก”

     

                “โรแมนติคจังนะคะ”

     

                คำตอบรับที่ดูจะถูกใจใครหลายๆคนของพิธีกรสาวเรียกเสียงกลั้วหัวเราะจากนักดนตรีหนุ่มได้อย่างพอเป็นพิธี ... แต่กระนั้นยงจุนฮยองกลับนิ่งเงียบ เฝ้ารอแต่คำพูดต่อๆไปที่กำลังจะเผยออกมาจากปากของยุนดูจุนจากในวิทยุ

     

                “แฟนผม ... เขาไม่ค่อยชอบเพลงคลาสสิคครับ เขาเลยมักจะชอบถกเถียงกับผมอยู่บ่อยๆ แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมเขาทุกที เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแหล่ะครับ”

     

                “แล้วคุณทำอย่างไรคะ?”

     

                “ผมก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ ... อันที่จริง ผมทำไปหมดทุกวิถีทางแล้วต่างหาก แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ยอมเปิดใจรับเพลงคลาสสิคซักที ผมก็เลยคิดว่า ... บางทีที่เขาไม่ชอบมัน อาจจะเกิดขึ้นเพราะผมเคยบอกกับเขาว่าอยากจะไปเรียนที่นิวยอร์คก็ได้”

     

                “ดูท่าทางเหมือนเรื่องราวจะซับซ้อนพอสมควรเลยนะคะนี่ ... แล้วสุดท้ายเขายอมให้คุณมาเรียนที่นี่มั้ยคะ?”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “เขาไม่ยอมหรอกครับ ...”

     

                “...”

     

                “ผมก็เลยหนีมา โดยที่ยังไม่ได้แม้แต่จะบอกลากับเขาเลยซักคำด้วยซ้ำ ... แค่เขียนข้อความติดไว้บนตู้เย็นเพื่อให้เขาได้รับรู้ว่าผมไม่อยู่แล้วก็แค่นั้นเอง”

     

                “บางทีตอนนี้เขาอาจจะฟังรายการของเราอยู่ก็ได้นะคะ ... คุณอยากจะบอกอะไรกับเขาสักหน่อยหรือเปล่า?”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “ครับ ...”

     

                ยงจุนฮยองขบกรามแน่น ... บางทีตอนนี้เขาอาจจะยังไม่พร้อม ... ไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจากปากของยุนดูจุนทั้งนั้น ...

     

                แต่ระยะเวลาสี่ปี ... มันก็ เนิ่นนาน จนเกินไป

     

                “ผมอยากจะบอกกับเขาว่า ... ครั้งนี้ ... ผมอยากให้เขาลองฟังเพลงนี้ของผมดู”

     

                “เพลงนี้ผมแต่งมาเพื่อเขา ... ถึงเขาอาจจะไม่เคยยอมรับฟังมันเลยซักครั้ง ...”

     

                “แต่ความรู้สึกทั้งหมดของผม ... บรรจุอยู่ในโน้ตเพลงพวกนั้น”

     

                “ได้โปรดรับฟังมัน ... แล้วเข้าใจผมด้วย”

     

                “วันนี้เดี๋ยวกลับไปกินข้าวด้วยกันนะ ...”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                น้ำตาหยดแรกรินไหลลงมาจากดวงตาเรียวเล็กทันทีที่เสียงไวโอลินนั้นเริ่มบรรเลงขึ้น ... ท่วงทำนองที่แสนนุ่มนวลและคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดดังกระทบหูของเขาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อก่อนที่เคยคิดว่ามันน่าร่ารำคาญ ... เมื่อก่อนที่เคยคิดว่ามันหนวกหูเสียจนตวาดให้หยุดเล่น ... แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ... ว่าการที่ขาดมันไปถึงสี่ปี ... แล้วได้มายินอีกครั้งเมื่อกาลเวลาผันผ่านไปพอสมควรแล้ว ... มันจะทำให้รู้สึกเศร้าและเสียใจมากได้ถึงขนาดนี้ ...

     

                ถึงจะเกลียดเพลงคลาสสิคแค่ไหน ...

     

                ยงจุนฮยองก็ไม่เคยเกลียดเสียงไวโอลินของยุนดูจุน ...

     

                ชั่วชีวิตนี้ยงจุนฮยองไม่เคยคิด ... และไม่เคยพยายามที่จะขัดขวางความฝันของยุนดูจุนที่ว่า “อยากจะเป็นนักดนตรี” เลยซักครั้ง จำได้มั้ยว่าเขาไม่เคยแม้แต่ที่จะออกปากห้าม? เขาก็แค่ไม่อยากให้ยุนดูจุนต้องจากไปไกลแสนไกล ... กะอีแค่ดนตรีจะหาเรียนในประเทศหรือต่างประเทศมันก็คงจะไม่ต่างกันมากนักหรอกจริงมั้ย? ถ้ายุนดูจุนจะหัดคิดอะไรฉลาดๆและเลิกยึดมั่นถือมั่นในหลักการได้ฟีลล์ไม่ได้ฟีลล์งี่เง่าไร้สาระพวกนั้นเหมือนอย่างเขาซะบ้าง ... อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็อาจจะยังคงได้อยู่ด้วยกันที่นี่ ... เวลานี้ ... และวินาทีนี้

     

                บอกให้เขาเข้าใจ ... แล้วตัวเองล่ะ? ... เคยเข้าใจเขาบ้างไหม?

     

                เคยเข้าใจเขาบ้างไหมยุนดูจุน?

     

                .

     

                .

     

                .

     

                ยุนดูจุนเป็นผู้ชายที่มีความฝัน ... จนบางทีก็อาจเล็งแลเห็นว่าฝันเฟื่องเกินไปเสียจนกลายเป็นความ เห็นแก่ตัว

     

                ส่วนยงจุนฮยองก็เป็นแค่ผู้ชายอินดี้ ขี้บ่น ไร้สาระ และ เห็นแก่ตัวไม่แพ้กัน

     

                .

     

                .

     

                .

     

                ยงจุนฮยองเดินกลับบ้านพร้อมคราบน้ำตาเต็มใบหน้าและหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วยอยู่ที่เบ้าตา ขอบอกตามตรงเลยว่าเขาอายต่อสายตาของผู้คนที่เขาเดินผ่านแล้วชายตามองตามกันเป็นแถบๆจะแย่อยู่แล้ว เพราะอย่างงั้นไงเขาเลยรีบเดินกระแทกส้นกลับมาที่บ้านให้เร็วที่สุด ...

     

                หรืออีกสาเหตุ ... เป็นเพราะเขาอยากจะลองเดิมพันกับตัวเองดู ... ว่าถ้ากลับไปแล้ว ... จะได้เจอกับยุนดูจุนเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี ... หรือจะพบแต่ความว่างเปล่าเหมือนอย่างที่แล้วๆมากันแน่ ...

     

                ซึ่งแน่นอน ... ว่ามันเป็นอย่างหลัง ...

     

                ภายในอพาร์ทเม้นต์ของเขายังคงว่างเปล่า ไฟทุกดวงก็ถูกปิดมืดสนิทเหมือนกับบรรยากาศตอนที่ออกไปเมื่อแปดโมงเช้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ... แต่เขาก็ยังคงพยายามที่จะกวาดสายตามองไปให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของห้องเมื่อเปิดแสงไฟนีออนให้สว่างโล่ขึ้นมาแทบจะหมดทุกดวงแล้ว เพราะบางทียุนดูจุนอาจจะกำลังแอบซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาแล้วมองเห็นทันทีก็เป็นได้ ... มันอาจจะไม่เซอร์ไพรส์

     

                บ้าชะมัด ... ก็แค่ความหวังลมๆแล้งๆ ...

     

                “นายจะไม่มาจริงๆเหรอยุนดูจุน?”

     

                พลาดไป ... นายพลาดไปเต็มๆ ... นายเหวี่ยงโอกาสสุดท้ายทิ้งไปแล้วยุนดูจุน ...

     

                ถ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะรออีกล่ะก็ ... มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว

     

                ไหนบอกว่า ...

     

                ไหนบอกว่า ... จะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกัน ไง ...

     

                ยุนดูจุน ... นายมันคนเห็นแก่ตัว ...

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “ยังไม่ได้เตรียมข้าวเย็นให้ฉันอีกเหรอ?”

     

                ยงจุนฮยองเบิกตากว้าง ... เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นใกล้ใบหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน กับแขนแกร่งของใครบางคนที่เอื้อมโอบมาจากด้านหลัง ... นั่น เขา ใช่ไหม?

     

                ยุนดูจุน ...

     

                “ขอโทษที่กลับมาช้า พอดีติดงานสัมภาษณ์อยู่น่ะ” ยุนดูจุนยังคงไม่หยุดที่จะเปล่งเสียงพูดเฉียดใบหูของคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา ซ้ำยังกระชับวงแขนให้แน่นมากขึ้นไปอีก ถึงตอนนี้อีกฝ่ายจะไม่ได้หันกลับมาให้เขาเห็นแม้แต่ใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ... แต่เพียงแค่ได้กอดให้หายคิดถึงแบบนี้ ... เขาก็ดีใจมากจนเกินพอแล้ว

     

                “คิดถึงฉันมั้ย?”

     

                “...”

     

                “อยู่คนเดียวน่ะเหงารึเปล่า?”

     

                “...”

     

                “สี่ปีก่อนฉันพยายามโทรไปตั้งหลายสายแต่นายก็ไม่ยอมรับ ... แบบนี้มันเปลืองค่าโทรโดยใช่เหตุนะรู้มั้ย?”

     

                “...”

     

                “แล้วยังจะมาเปลี่ยนเบอร์หนีอีก ... นายเนี่ยมันอินดี้จริงๆด้วยยงจุนฮยอง”

     

                “...”

     

                “ฉันกลับมาแล้วนะ ... ไม่คิดจะพูดอะไรซักหน่อยเหรอ?”

     

                แผ่นหลังบางที่เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงทำให้ยุนดูจุนถึงกับใจหายว่าบ ... เขารีบปล่อยวงแขนออกจากร่างของยงจุนฮยองทันทีก่อนที่จะดึงให้อีกฝ่ายหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยความเป็นห่วง แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาแทบจะในทันทีหลังจากนั้นก็มีเพียงแต่ ... รอยแดงจากฝ่ามือที่ตบเพียะเข้าที่ใบหน้าของเขาฉาดใหญ่เท่านั้น ...

     

                “จุนฮยอง ...”

     

                “สี่ปีที่นายหายหัวไป ... สี่ปีที่ฉันได้แต่เฝ้ารอคอยมาตลอดว่าซักวันนึงนายจะกลับมา ...” ยงจุนฮยองกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นพร้อมหยดน้ำตาเม็ดแรกที่ร่วงเผาะไหลลงมาตามโหนกแก้ม ... หมัดที่กำแน่น และร่างกายที่สั่นสะท้านของเขานั้นไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกเสียใจ ... หรือว่าโมโหจนฉุดไว้ไม่อยู่กันแน่ ...

     

                “แต่คำทักทายคำแรกในรอบสีปี่ ... คือคำว่า ยังไม่ได้เตรียมข้าวเย็นให้ฉันอีกเหรอ?เนี่ยนะ?! โธ่เว้ย! นายมันทุเรศที่สุดเลยยุนดูจุน!

     

                หลังจากที่ส่งเสียงแหวลั่นระบายความโมโหใส่อีกฝ่ายซะจนเสร็จสรรพผู้ชายอินดี้อย่างยงจุนฮยองก็พุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือฟาดเข้าที่หัวไหล่ของยุนดูจุนไม่ยั้ง ... ทำแบบนั้นไปทั้งๆที่น้ำตายังคงเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ความคิดถึงที่เขามีให้ต่อยุนดูจุนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าความโมโหที่สั่งสมมาเป็นถึงเวลาสี่ปีเลยซักนิด ...

     

                แต่การกระทำที่เกรี้ยวกราดทั้งหมดก็จำต้องหยุดชะงักเสียกลางคันเมื่อร่างยงจุนฮยองถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของยุนดูจุนอีกครั้ง ... มือทั้งสองข้างพยายามที่จะดันแผ่นอกกว้างให้ผละออกไปไกลๆจากตัวเองแต่สุดท้ายความพยายามทั้งหมดก็ดูเหมือนจะเสียเปล่า ในที่สุดก็ต้องยินยอมให้ใบหน้าหล่อเข้มนั้นเกยอยู่บนไหล่ของตัวเองจนได้ ...

     

                “อยากจะบอกว่าคิดถึง ... คิดถึงมากจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดยังไงดี”

     

                “...”

     

                “สี่ปีที่ไม่มีนาย ... ไม่ได้ยินเสียงบ่นจากผู้ชายอินดี้อย่างยงจุนฮยอง ... มันเงียบเหงา ... และอ้างว้างมากจริงๆ ...”

     

                “...”

     

                “ฉันแทบจะไม่รู้ด้วยเลยซ้ำ ... ว่าตอนอยู่ที่นิวยอร์คฉันจะสีไวโอลินไปเพื่อใคร”

     

                “...”

     

                “... ถ้าไม่ใช่นาย ... ฉันก็ไม่รู้แล้วจริงๆ”

     

                “ดูจุน ...” มือทั้งสองข้างของเขาเกาะแผ่นหลังกว้างของยุนดูจุนแน่น จนเล็บแทบจะจิกลงไปบนเสื้อสูทสีดำได้อยู่แล้ว สี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดนักดนตรีคนนี้ให้แน่นๆ ... แล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความโหยหา ... สีปีที่ว่ามันช่างยาวนานจริงๆ

     

                แต่เขาก็กลับมาแล้ว ... แค่นั้นก็พอ ... ผู้ชายอินดี้ ขี้บ่น ไร้สาระคนนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีก ...

     

                ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากนักดนตรีเพลงคลาสสิคที่ชื่อว่า ยุนดูจุน ...

     

                “ถ้านายหนีฉันไปอีก ... คราวนี้ฉันจะฆ่านายจริงๆด้วย”

     

                ยงจุนฮยองกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ... และสายตาจิกกัดที่บ่งบอกเป็นเชิงว่าคราวนี้ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆด้วย ส่วนยุนดูจุนก็ได้แต่ส่งเสียงกลั้วหัวเราะด้วยความไม่รู้ไม่ชี้ ... ถึงจะผ่านไปเกือบสี่ปีแล้วแต่ทฤษฎีความอินดี้ไม่ได้เข้าใครออกใครก็ยังคงใช้ได้ดีอยู่เหมือนเดิม

     

                เอาเถอะ ... แต่คราวนี้ ... นักดนตรีเพลงคลาสสิคจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากผู้ชายอินดี้คนนี้อีกต่อไปแล้ว ...

     

                จะไม่มีวันปล่อยมือไปจากผู้ชายอินดี้ที่ชื่อว่า ยงจุนฮยอง ...

     

                “นี่ จุนฮยอง”

     

                “อะไร ...”

     

                “ฉันน่ะ ... จะไม่พูดอะไรเลี่ยนๆให้นายฟังหรอกนะ ...”

     

                “เหอะ ... ก็ไม่ได้อยากฟังอยู่แล้ว ...”

     

                “แต่ฉัน ... อยากจะให้นายได้รับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันมีให้นาย ...”

     

                “...”

     

                “ผ่านบทเพลงๆนี้ที่ฉันตั้งใจมาตลอดว่าจะเล่นให้นายฟังซักวันหนึ่ง ...”

     

                “...”

     

                “พร้อมจะฟังรึยัง?”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                เขาเกลียดเพลงคลาสสิค ... เพราะมันช้า ... และเสียงเครื่องดนตรีก็กรีดแทงหู ...

     

                แต่เขาก็ไม่เคยลืม ...

     

                และไม่เคยเกลียด ... เสียงไวโอลินที่ยุนดูจุนสีให้เขาฟัง ...

     

                .

     

                .

     

                .

     

                “อืม ... พร้อมแล้ว ...”

     

                .

     

                .

     

                .

     

                สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ “ความฝัน”

     

                แต่จงดูให้ดี ... ว่าความฝันของคุณนั้น กำลังทำร้ายใครบางคนอยู่หรือเปล่า ?



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×