คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ลูน่า ออนดะ
ลูน่า ออนดะ
นึกไม่ถึงว่าคนอย่างยัยนี่จะนั่งอยู่ซะหน้าสุด โอกาวะ ฮารุกะ ตอนนี้ทำหน้าคล้ายตอนที่รู้ว่าผมกลับโลกอนาคตไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์เดียวกันรึเปล่า จะยังไงก็ช่าง ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก
“ก็อย่างที่ทุกคนได้ยินแหละนะ โคซาโตะคุงเป็นญาติห่างๆ ของฮารุของเรา ไม่รู้ว่าตระกูลนี้นี่หน้าตาดีทุกคนรึเปล่าเนอะ”
อาจารย์ประจำชั้นที่เดาจากหลายๆ อย่างก็ไม่น่าจะมีอายุเกิน 30 หัวเราะร่า แต่ทั้งห้องโดยรวมมองผมกับฮารุกะสลับกันอย่างสงสัย คนที่ผมรู้จักในห้องนี้มีอยู่ 2 คนที่ทำสีหน้าต่างไปจากนั้น นัตจังที่นั่งอยู่ข้างหลังฮารุกะยิ้มหวานพร้อมยกมือทักทายผมอย่างเงียบๆ ด้านหน้าเธอคือยัยแม่ที่อ้าปากค้างมาได้แล้วกว่า 1 นาที ซึ่งถ้าทำได้ผมก็อยากจะสื่อสารทางจิตกับยัยนี่ว่า ‘ฉันไม่ได้มาแกล้งเธอหรอกน่า หยุดอ้าปากได้แล้ว’ แต่ในเมื่อทำแบบนั้นไม่ได้ก็ไม่รู้ว่ายัยนี่จะเข้าใจเรื่องนั้นผ่านการสื่อสารทางสายตาหรือเปล่า
“เอาล่ะ โคซาโตะคุงหาที่นั่งได้จ้ะ อืม...ตรงไหนดีน้า…”
ที่อธิบายนี่ไม่ใช่เพราะว่าหลงตัวเองหรอกนะ แต่เหล่านักเรียนหญิงในห้องนี้เกือบทุกคนอยากให้ผมไปนั่งเรียนใกล้ๆ กับพวกเธอ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผมค่อนข้างจะชิน แต่ถ้าถามว่าชอบไหมก็เปล่า แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผมสะดุด นักเรียนหญิงผมยาวตรงดำเป็นเงาที่นั่งอยู่ติดริมหน้าต่างหลังห้อง ใช้ดวงตาสีเดียวกันกับเส้นผมหรี่มองผมแปลกๆ ก่อนจะยิ้มที่ระดับความเป็นมิตรสูงออกมา ถ้าไม่มีเหตุผลอะไรผมเองก็อยากจะไปนั่งเรียนให้สบายใจตรงแถวๆ นั้น แต่ผมกลับมี
“อาจารย์ครับ หนังสือเรียนผมจะได้ช่วงบ่าย ผมขอนั่งข้างฮารุกะก็แล้วกันครับ”
“เหรอจ๊ะ ได้จ้ะ งั้นหน้าที่พาชมโรงเรียนช่วงพักก็มอบให้ฮารุด้วยเลยละกัน ฝากทีนะจ๊ะฮารุ ญาติๆ มาเรียนด้วยกันก็ดีอย่างนี้แหละน้า”
ยัยนั่นพยักหน้าหงึกๆ สงสัยจะใบ้รับประทาน ผมขำเล็กๆ กับใบหน้านั้นอยู่ในใจ ก่อนจะไปยกโต๊ะกับเก้าอี้จากหลังห้องมาต่อติดกับโต๊ะฮารุกะเป็นกรณีพิเศษ หลังผ่านไปราวหนึ่งนาที ยัยนั่นคงเพิ่งจะคิดออกเลยทำหน้าเหมือนอยากจะท้วงครู บาอาจารย์แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา จนกระทั่งเริ่มเรียนไปได้สักครู่
“นายมาทำอะไรที่นี่ยะ”
ยัยนี่ก็เริ่มกระซิบกระซาบ ขณะที่อาจารย์หันหลังเขียนแผนผังของยุคเอโดะบนกระดานไม้เขียวแก่ที่ไม่รู้ทำไมเรียกกระดานดำด้วยแท่งแป้งอัดแข็ง
“ฉันมาทำธุระของฉันนั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก”
“กะอีแค่ธุระถึงกับต้องมาสมัครเรียนเลยรึไง อีกอย่างนายก็อยู่ตั้ง ป.โท แล้วไม่ใช่เหรอ อยากเรียนก็ไปมหา’ลัยสินาย”
ก็คนบอกอยู่แหม็บๆ ว่ามาทำธุระ ท่าทางจะไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยสินะ
“เพราะมันไม่เกี่ยวกับเธอ เธอถึงได้ไม่เข้าใจว่าธุระของฉันมันเป็นแบบไหน มันไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เธอคิดหรอก”
“มันจะอะไรกันนักหนา มาแกล้งกันล่ะสิไม่ว่า”
ผมรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยเลยทีเดียวที่ยัยนี่พูดแบบนั้น นั่นเป็นเพราะว่าเหตุผลที่ผมมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ มันไม่ใช่เพื่อตัวเอง
“มันเกี่ยวกับโลกในอนาคต ชัดเจนนะ แล้วไม่ต้องมาถามอะไรฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ฉันเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าที่เธอคิด ไม่ต้องกังวลหรอก”
ยัยนั่นทำตาโตมองผมเมื่อได้ยินแบบนั้น
“อะไร แค่นี้ก็ต้องมาว่ากันด้วย! ก็นายมันเป็นพวกชอบตอบอะไรคลุมเครือ ใครมันจะไปฟังรู้เรื่อง!”
ว่าแล้วก็สะบัดหน้าออกนอกหน้าต่างเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าจบการสนทนาแล้ว ที่จริงเธอยังมีเรื่องที่ควรจะฟังจากฉันอยู่อีกนะ เธอควรรู้ว่าที่ฉันต้องพูดอะไรคลุมเครือก็เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ให้เธอรู้ไม่ได้ อย่างเธอก็รู้สถานะของฉันดีไม่ใช่รึไงว่าฉันไม่ใช่คนยุคนี้ ฉันล่ะอยากให้เธอย้อนอดีตไปเจอพ่อตัวเองจริงๆ อยากรู้นักว่าคนชัดเจนอย่างเธอจะกลายเป็นคนคลุมเครืออย่างที่เธอว่าฉันหรือเปล่า อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือเธอไม่ควรจะตัดสินอะไรๆ จากความคิดตัวเอง การที่มีนิสัยเอาตัวเองเป็นใหญ่แค่ความคิดก็แย่แล้ว แต่นี่เธอก็ดันชอบพูดสิ่งที่ตัวเองตัดสินจากความคิดออกมา ถ้าเปลี่ยนได้ก็ควรจะเปลี่ยน แต่คงยาก เพราะท่าทางนิสัยนี้ของยัยนั่นจะฝังลึกยิ่งกว่ารากต้นสนหมื่นปี ผมพูดได้เพราะผมมาอยู่กับยัยนี่ได้ยังไม่ถึงอาทิตย์ก็โดนตัดสินแบบนั้นไปหลายรอบแล้ว ผมภาวนาว่าขอให้ตัวเองเป็นคนเดียวที่ยัยนี่ทำนิสัยแบบนี้ใส่
มาพูดกันถึงเรื่องของผมบ้าง ที่ผมต้องมาเป็นเด็ก ม.ปลาย ครั้งแรกในชีวิตก็เพราะว่าต้องมาสืบเรื่องของ นิโนมิยะ เรียว ผู้เป็นฆาตกรฆ่าแม่ของผม ก็คาดไว้แล้วล่ะว่าต้องเป็นคนใกล้ตัว แต่คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนเหยื่อที่จะโดนฆาตกรรมในอีกหลายสิบปีข้างหน้าในปัจจุบันคิดกับหมอนั่นเกินกว่านั้น เพราะงั้นผมจึงมานี่ด้วยภารกิจหลายอย่าง พูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลยคือ หากอนาคตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ กลายเป็นว่ายัยนั่นได้แต่งงานกับนายนิโนมิยะ แล้วในอนาคตผมจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ สรุปคือพ่อของผมไม่ใช่หมอนั่น ส่วนเรื่องจิตใจของคนสองคนก็เป็นอะไรที่ไม่แน่นอน
“โคซาโตะคุง นัตจังซื้อเมล่อนปังมาฝาก ฮิๆ”
เมื่อเวลาพักเที่ยงมาถึง สาวสวยผมสั้นตรงหน้ายิ้มพร้อมยื่นก้อนกลมๆ ห่อพลาสติกส่งให้ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อมองผ่านร่างบางไปทางด้านหลัง ก็พบยัยฮารุกะยืนทำหน้ามุ่ยอยู่
“ขอบคุณครับนัตจัง”
“เห...แค่นี้ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย...ว่าแต่โคซาโตะคุงทำอะไรอยู่จ๊ะ”
นัตจังค้อมตัวเพื่อมาดูเอกสารที่ตั้งอยู่เป็นปึกบนโต๊ะของผม
“ใบสมัครเข้าชมรมน่ะครับ อาจารย์เขาเอามาให้เลือก แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะเข้าชมรมไหนดี”
ผมโกหก ผมตั้งใจตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่ายังไงก็ต้องเข้าชมรมวิจัยเทคโนโลยีให้ได้ ซึ่งสมาชิกหลักๆ ที่ผมรุ้ก็มีอยู่ 3 คน นั่นคือยัยฮารุกะ นัตจัง และนิโนมิยะ เรียว แต่ที่ต้องทำเนียนก็เพราะผมรู้จักตัวการแห่งความเรื่องมากคนหนึ่ง ถ้าผมเปิดประตูเข้าไปพร้อมกล่าวทักทาย ยัยคนนั้นจะต้องหาว่ามาแกล้งเธออีกเป็นแน่แท้
โชคดีของผมที่ผมมองคนออก และรู้ว่าเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น คนอย่างนัตจังจะต้องเอ่ยถามในสิ่งที่ผมต้องการ และเพื่อนสนิทของเธอก็จะกล่าวหาผมไม่ได้อีกต่อไป
“โคซาโตะคุงชอบคอมมั้ย ถ้าชอบก็เข้าชมรมของนัตจังก็ได้”
แล้วผมก็ได้บัตรผ่านมาเรียบร้อย ยัยคนข้างหลังทำหน้าเหมือนอยากจะค้านเสียเต็มประดาก่อนจะแง้มปากเล็กๆ เตรียมพูด แต่ผมขอขัดล่ะ อย่าโกรธกันเลย ฉันกำลังทำเพื่อเธออยู่นะจะบอกให้ ถึงจะไม่มีวันบอกเป็นคำพูดก็เหอะ
“เรื่องไอทีนี่ผมชอบมาก ติดตามตลอดเลย ไม่เชื่อลองถามฮารุกะได้”
ผมส่งยิ้มไปยังบุคคลที่เอ่ยชื่อ ยัยนั่นกัดริมฝีปากล่างพร้อมค้อนตาโตๆ ส่งกลับมาให้ผม
“หวาว...งั้นเยี่ยมเลย แต่เย็นนี้ไม่ได้มีกิจกรรมที่ห้องชมรมแล้วล่ะ ไว้อาทิตย์หน้านัตจังจะพาไปที่ห้องชมรมเนอะ ระหว่างนี้กรอกเอกสารเลยจ้ะ แล้วฝากนัตจังไม่ก็ฮารุไว้ เดี๋ยวพวกเราไปยื่นให้เรียวคุงเอง”
ระหว่างโจรกับธนาคารคุณจะฝากเงินไว้กับใคร เรื่องนี้แค่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเฉยๆ นะ เพราะเชื่อว่าถ้าผมฝากใบสมัครเข้าชมรมไว้กับยัยฮารุกะก็มีแววจะโดนฉีกแล้วเผาทิ้งแบบลับหลังแน่ เพราะงั้นกรอกเสร็จก็ฝากไว้กับคนที่เชื่อถือได้อย่างนัตจังดีกว่า
ผมยิ้มตอบเพื่อนร่วมชั้นแสนสวยได้วิฯเดียว ฮารุกะก็ลากแขนเพื่อนสาวไปนอกห้องและหายไปในที่สุด ผมจะไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าเรื่องที่ผมเป็นคนจากโลกอนาคตอาจจะรู้ถึงหูนัตจังแล้ว เพราะคนที่รู้ความลับนี้ของผมเพียงคนเดียวดูจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ นัตจังก็ไม่ได้ดูเหมือนเป็นคนปากสว่างเท่าไหร่นักหรอก
หลังกรอกใบสมัครเสร็จผมก็นำเมล่อนปังที่ได้รับมายัดเข้าปาก ก่อนหมดช่วงพักเที่ยง ผมไปรับยูนิฟอร์มนักเรียนและหนังสือจากสหกรณ์ ช่วงบ่ายจึงไม่ต้องนั่งเรียนติดกับแม่ตัวเองสมัยยังเอ๊าะ จะว่าไปทั้งที่ยัยนั่นได้รับมอบหมายจากครูบาอาจารย์ว่าให้พาผมเดินชมโรงเรียนแต่เธอกลับไม่ทำหน้าที่นั้น ไม่อยากเดาให้เสียสุขภาพจิตหรอกว่าลืมจริงหรือแกล้งลืม ไว้ช่วงเย็นผมเดินดูเองก็ได้ เพราะเทียบกับมหา’ลัยที่ผมเรียนแล้ว ที่นี่เล็กกว่าในอัตรา 1 ต่อ 20 เลยล่ะ
เวลาเลิกเรียนมาถึงเร็วไม่น้อย ยัยฮารุกะชวนนัตจังกลับบ้านโดยไม่ถามผมสักคำว่าจะกลับด้วยกันหรือเปล่า ดูท่าจะงอนที่โดนผมว่าจริงๆ แฮะ แต่ความจริงก็มักโหดร้ายอย่างนี้เสมอแหละ คนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยจะชอบฟังนักไง แต่ถ้าผ่านมันไปได้ก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพนะ เธอน่าจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า คำติติงของคนอื่นเป็นกระจกสำหรับเราใช่ไหม ทำไมเธอไม่คิดว่าฉันเป็นกระจกสำหรับเธอบ้างล่ะ เชื่อฉันสิ ฉันเห็นคนที่เสพย์แต่คำโกหกสวยๆ งามๆ มาเยอะแล้ว พวกนี้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านลับหลังทุกคน
ไม่รู้ว่าหลังจากเลิกเรียนผมใช้เวลาเดินสำรวจโรงเรียนไปนานเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ทั้งอาคาร สนามกีฬา โรงอาหาร ทุกอย่างแทบจะถูกพระอาทิตย์ย้อมเป็นสีแสด ที่สุดท้ายที่ผมกำลังจะไปคือดาดฟ้าของตึกเรียนตัวเอง ไปถึงถ้าไม่มีอะไรก็คงจะดิ่งกลับบ้านเลย
ที่นี่ก็สมกับเป็นดาดฟ้าดี มีแท้งค์น้ำ มีพวกท่อกับสายไฟ แต่พิเศษหน่อยตรงที่มาแล้วเหมือนเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่ขึ้น ซึ่งตอนนี้มันเป็นสีขาวเพราะฟ้ายังไม่ได้ถูกความมืดกลืนกิน ก็ดูสวยไปอีกแบบ...
ระหว่างที่ผมนอนหนุนเป้มองดูพระจันทร์ไปได้เดี๋ยวเดียว เสียงลูกบิดประตูดาดฟ้าก็ดังขึ้น ผมหันคอกลับไปก็พบกับสาวผมดำยาวเจ้าของรอยยิ้มอันเป็นมิตรที่นั่งอยู่หลังห้อง
“อ้าว นักเรียนใหม่...”
เธอทักด้วยเสียงราบเรียบ ไม่รู้ว่ารสนิยมตัวเองแปลกหรือเปล่า แต่การที่เธอเอาเสื้อนอกสีน้ำตาลอ่อนมาผูกที่เอวก็ทำให้เธอดูดีไม่น้อย
“โคซาโตะครับ โอกาวะ โคซาโตะ”
ผมไม่แน่ใจว่าเธอผู้นี้จำชื่อผมตอนแนะนำตัวเมื่อเช้าได้หรือเปล่าถึงได้เรียกว่า’นักเรียนใหม่’ แต่เมื่อแนะนำตัวอีกครั้งก็เป็นมารยาทว่าอีกฝ่ายต้องแนะนำตัวเองตอบ เธอมองผมแปลกๆ ก่อนจะยิ้ม
“แหม...ถามชื่อสาวแล้วกลัวจะเสียฟอร์มรึไง ฮิ ลูน่า ออนดะจ้ะ ยินดีที่รู้จักนะโอกาวะคุง”
รู้ทันอีกแฮะ ถึงผมจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็ประมาณที่เธอว่านั่นแหละ ขณะที่ผมกำลังคิดงั้น ลูน่าก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“หน้าตาเหมือนคนกำลังกลุ้มเลยนี่ เธอน่ะ”
หญิงสาวพูดออกมาแบบนั้น ดวงตาสีดำจ้องไปยังจันทร์ดวงโต ผมมั่นใจว่าหน้าตัวเองแสดงอารมณ์ที่เข้าข่ายกลุ้มใจออกมาในระดับนาโนเลยนะ แต่ถ้าถามว่าจริงไหมก็จริง ต้องบอกหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร
“ถ้าบอกได้ ฉันเดาว่าคนอย่างเธอจะบอกออกมาตรงๆ แค่เดานะ เพราะเราก็เพิ่งรู้จักกัน”
ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นคนอย่างไหน แต่สาวนางนี้ก็เดาถูก
“การที่นักเรียน ม.ปลายที่วัยกำลังคึกคะนองมาดาดฟ้าโรงเรียนตอนเย็นของวันศุกร์ ไม่กำลังกลุ้มก็เป็นพวกโลกส่วนตัวสูงจัด เธอดูไม่เหมือนพวกโลกส่วนตัวสูงจัดนี่”
ผมรู้สึกเหมือนถูกล็อตโต้รางวัลท้ายๆ ที่จะอึ้งไปชั่วขณะ ผู้หญิงคนนี้...แปลกๆ ดี
“แล้วเธอล่ะ กำลังกลุ้มหรือโลกส่วนตัวสูงจัด เธอดูไม่เหมือนคนกำลังกลุ้มใจเลยนะ”
ลูน่า ออนดะ แผ่รัศมีความเป็นมิตรออกมาเต็มเปี่ยมจนขนาดผมไม่ต้องพูดว่า’ครับ’ต่อท้ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เซนส์ของผมบอกว่าเธอน่ะเจ๋ง เป็นบุคคลที่แม้จะคุยด้วยไม่กี่คำก็รู้สึกว่าถูกชะตาได้อย่างง่ายดาย
“ฮิ หมายความว่าฉันดูเหมือนเป็นอย่างหลังเหรอ แต่เสียใจจ้ะ ฉันไม่ได้อยู่ในสองอารมณ์นั้น”
ยิ้มของลูน่าสวยใช้ได้เลยแหละ จะว่าไปถ้าพูดถึงหน้าตาเองก็น่ารักมากทีเดียว แต่พอมองไปนานๆ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนคุยอยู่กับพี่สาวที่อายุห่างกันหลายปีเลยแฮะ
“วันไหนที่มีพระจันทร์เต็มดวงฉันจะอยู่เย็นเพื่อดูมันทุกครั้ง บางทีจนลืมกลับบ้านเลยก็มี”
ลูน่าขำคิกคัก ผมไม่ลืมถามว่าทำไม
“เพราะมันทำให้ฉันนึกถึงคนๆ หนึ่งน่ะ”
เธอตอบแค่นั้นและล้มตัวลงนอน ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนๆ นั้นเป็นใคร ให้เดาแบบกว้างๆ ว่าเป็น พ่อ แม่ หรือแฟนก็เดาไม่ออกหรอก ว่าจะถามต่อแต่ดูจากกิริยาสบายๆ นั่นแล้ว ดูท่าประเด็นนี้คงต้องจบ
คุยกันยังไม่ถึงชั่วโมงแต่ผมก็สามารถนอนหนุนเป้อยู่ข้างๆ ลูน่าอย่างไม่ได้รู้สึกฝืนใจหรือคิดมากราวกับได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาเป็นปีได้ เธอเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน พอคุยไปคุยมาก็ได้รู้ว่าเธอเป็นฝ่ายศิลป์ของชมรมวิจัยเทคโนโลยี นี่สินะ ที่เขาเรียกว่าเรื่องบังเอิญ
“ฮิ จะว่างั้นก็ได้นะ เธอบังเอิญมาเข้าเรียนห้องเดียวกันกับญาติตัวเอง บังเอิญว่าห้องนั้นก็มีฉัน บังเอิญที่เราเจอกันบนนี้ บังเอิญที่ชมรมที่เธอจะเข้ามีฉันเป็นสมาชิกอยู่ บังเอิญกันหลายต่อจนเหมือนเรื่องที่แต่งขึ้นเลยล่ะ”
หลังลูน่าจบประโยคเราก็เงียบกันไปชั่วครู่...
“ฮึๆ”
“ฮิๆๆ”
เรามองหน้ากันก่อนจะระเบิดหัวเราะดังลั่นทั้งคู่ ไม่รู้อะไรเหมือนกันที่ทำให้ผมขำได้มากขนาดนี้ ขนาดเพื่อนที่สนิทๆ กันยังไม่เคยเห็นผมหัวเราะหนักๆ เลย
จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอลูน่าคนนี้ เธอฉลาดทั้งไอคิวและอีคิว เป็นคนที่ทันผมแทบจะทุกเรื่อง เป็นทรัพยากรบุคคลที่แม้แต่ในยุคของผมเองก็หาได้น้อยแล้ว
“นี่ เธออาจจะโกรธก็ได้ แต่ขอพูดเรื่องที่สังเกตหน่อยได้ไหม?”
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พระจันทร์เองก็ส่องสว่างมากขึ้น เดาจากภาษากายที่ลูน่าลุกขึ้นนั่ง เรื่องที่เธอกำลังจะถามน่าจะเป็นหัวข้อท้ายๆ ของการสนทนาของเราแล้ว
“อะไรเหรอ?”
“ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่านะ แต่เท่าที่ดู เธอกับโอกาวะไม่ค่อยจะ...ลงรอยกันเท่าไหร่”
“มองออกขนาดนั้นเชียว?”
ผมยิ้มๆ ในใจก็ทึ่งเล็กน้อยตามความหมายที่ถาม เรื่องนี้ขนาดนัตจังเองก็ยังไม่น่าจะรู้ถ้ายัยฮารุกะไม่บอก
“เธอไม่ค่อยแสดงออกมาหรอก แต่โอกาวะน่ะสิ เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ชอบญาติอย่างเธอเอามากๆ”
โอกาวะ ฮารุกะ ช่างเป็นผู้หญิงที่ถูกคนอื่นมองออกได้ง่ายจริงๆ จะบอกว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียดีล่ะเนี่ย ลูน่ายิ้มเมื่อผมไม่ได้แย้งอะไรก่อนเธอจะยืนขึ้น
“แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหรอกนะ โอกาวะเป็นคนซื่อๆ ใสๆ เป็นคนดีที่ชอบสิ่งดีๆ และไม่ชอบสิ่งที่ไม่ดี เธอคงมีนิสัยเสียบางอย่างที่ไปจี้จุดเขา เขาเลยแสดงออกมากับเธอแบบนั้น ถ้าอยากญาติดีกับโอกาวะซึ่งฉันสนับสนุน ฉันขอแนะนำว่าให้เธอรีบหาข้อเสียนั้นแล้วรีบปรับปรุงจะดีกว่า”
พูดตรงเป็นบ้า แต่ไหงผู้ร้ายดันมากลายเป็นผมซะล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมีนิสัยเสียอะไรเพราะไม่มีใครเคยบอกผม ให้เดาก็เดาไม่ถูกอีก เรื่องนี้เธอพลาดแล้วลูน่า ไม่มีใครเห็นข้อเสียของฉันก็เพราะว่ามันไม่มี ที่ยัยนั่นไม่ชอบฉันก็เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของยัยนั่นเอง ไม่เกี่ยวกับฉันเลยแม้แต่น้อย...
ก็อยากขัดแบบนั้นอยู่หรอก แต่พอคิดว่าลูน่าคงรู้จักฮารุกะดีกว่าผม นานกว่าผม ก็ทำให้ผมพูดไม่ออก
“เริ่มมืดแล้ว ฉันขอตัวดีกว่า”
ลูน่าคลายเสื้อนอกที่ผูกอยู่ที่เอวขึ้นพาดบ่าพร้อมหยิบกระเป๋า ผมเองก็รู้ว่าได้เวลากลับบ้านสักทีจึงลุกขึ้น ก่อนเราจะเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกัน
“ให้ฉันไปส่งไหม?”
ผมเอ่ยเมื่อเราอยู่ที่รั้วหน้าโรงเรียน ลูน่ายิ้มซนๆ เหมือนลูกแมว และปฏิเสธผม
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวแฟนฉันมาเห็นเข้าเธอจะลำบาก”
แฟนเหรอ? ผู้หญิงที่มีแฟนเขาชอบมานั่งคนเดียวบนดาดฟ้าคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วพูดเรื่องความคะนองของเด็ก ม.ปลายงั้นสินะ โกหกไม่เนียนเลย
“ว้า...เธอเป็นคนแรกเลยนะที่ไม่เชื่อ”
“แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”
“ฮิ ไม่รู้สิ เธอว่ายังไงก็ตามนั้นแหละ เจอกันจันทร์หน้าจ้ะ”
หญิงสาวกล่าว ผมตอบรับสั้นๆ ก่อนเราจะแยกกันไปคนละทาง แต่ขณะที่เราห่างกันได้ระยะหนึ่ง ลูน่าก็เรียกผมราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ พร้อมพูดในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดไว้เลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
“ฉันรู้ว่าเธอมีเหตุผล แต่การปกปิดตัวตนมันทำให้เหนื่อยมากเลยนะ”
แล้วเจ้าของเสียงก็หันหลังกลับและเดินหายลับไป เรื่องที่เธอหมายถึงคงจะเป็นตัวตนของผมในห้องเรียนแน่ ผมไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นจุดเด่นอะไรจึงแกล้งตอบคำถามอาจารย์มั่วๆ บ้าง ทำผิดบ้าง ทั้งที่จริงความรู้พวกนั้นสำหรับผมไม่ต่างอะไรกับข้อสอบเด็กประถม 1
แต่ขนาดเรื่องนั้นลูน่ายังดูออกก็นับว่าเธอยอดมาก ฉลาดเป็นกรดเลยผู้หญิงอะไรว้า...
ผมพูดเหมือนชมแต่ความจริงแล้วกำลังแอบกลัวอยู่นิดหนึ่งเหมือนกัน ความรู้สึกเดียวกันกับนักเล่นหมากรุกสมัครเล่นที่ต้องเจอกับเซียนตั้งแต่รอบแรกเลย
พอกลับมาถึงบ้านพร้อมเสียงร้องท้วงของกระเพาะ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยังคงอยู่ในชุดนักเรียน ความจริงคิดว่าพอกลับมาถึงก็อาจจะได้ยินเสียงหงุดหงิดๆ บ่นประมาณว่า ‘นายกลับช้านะ’ แต่กลับไม่มี เหตุผลก็คือสาวน้อยในชุดนักเรียนกำลังหลับอยู่บนโซฟานั่นเอง อยากรู้จริงว่าไปทำอะไรมาถึงได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่การเสียมารยาทอย่างการปลุกคนที่กำลังหลับให้ตื่น ผมจะไม่ทำ
...
ใบหน้าตอนหลับของยัยนี่ตลกจริงๆ ผมล่ะอยากจะขำ แต่เพราะกลั้นไว้เลยแค่ยิ้มออกมา ถ้าไม่ติดว่ายัยนี่มีนิสัยที่ผมไม่ชอบสักโหลข้อ ผมก็คงจะหาโอกาสชมต่อหน้าว่าเธอน่ะน่ารักดีนะ
ระหว่างที่ผมทำนี่ทำนั่น ยัยแม่ฮารุกะก็ยังคงแหวกว่ายอยู่ในห้วงนิทรา ฟังจากเสียงกรนเบาๆ แล้วก็น่าจะอยู่ในห้วงนั้นอีกยาว จะปลุกให้ไปอาบน้ำนอนให้เป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าไหมนะ
...
ถ้านี่เป็นรายการเรียลลิตี้ก็คงเห็น แต่เมื่อมันไม่ใช่ผมก็บอกตรงๆ ละกัน ผมแอบมาดูหน้าฮารุกะหลายรอบแล้ว อาจเป็นเพราะว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะมองหน้ายัยนี่แบบตรงๆ และนานเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันว่าถ้าผมทำแบบนี้เวลาเธอรู้สึกตัวอยู่จะเกิดอะไรขึ้น...แหม่ มันเขี้ยวแฮะ เอาสีเมจิกมาเขียนหน้าซะดีมั้ง แถวนี้มีหรือเปล่าหว่า...
“อือ...”
ตายล่ะ ยัยนี่ตื่นแล้ว
“อ๋า...!!!”
ได้สติก็โวยวายเลยวุ้ย ก็เดาได้อ่ะนะ
ความคิดเห็น