คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : วันแรก
First Day
[Sorry Sorry Sorry Sorry….]
ริงโทนเพลงฮิตของบอยแบนด์สุดฮอตจากเกาหลีดังเข้าโสตประสาทก่อนนาฬิกาจะปลุก ฟ้ายังไม่ทันจะสาง ใครหน้าไหนกล้าโทรมาในเวลาที่เดาไม่ยากว่าชาวบ้านเขากำลังทำอะไรอยู่กันนะ สาวน้อยแดนอาทิตย์อุทัยต้องตื่นเมื่อแสงแยงตาเท่านั้นนะย้า
[Sorry Sorry Sorry Sorry….]
ที่ต้องขอโทษมันคือคนที่อยู่ปลายสายนี่ต่างหาก!
ฉันคว้ามือถือจากชั้นข้างเตียงขึ้นมา เบอร์ที่โชว์ไม่คุ้นแถมรหัสนำหน้าก็แปลกๆ อีก
“ใครคะ?”
[ฮารุกะ นี่ฉันเอง...]
โคซาโตะ!!!
“นี่นายมีเบอร์ฉันได้ไงอ่ะ”
[เรื่องนั้นช่างก่อนเหอะ มีเรื่องสำคัญกว่าอีก!]
น้ำเสียงที่เขาใช้ ราวกับคุณสามีที่รู้ว่าภรรยากำลังจะคลอดลูกคนแรกยังไงอย่างงั้นแหละ
“โรงเรียนยังไม่เปิดซะหน่อย หรือนายจะกลับโลกอนาคตแล้ว?” ฉันขยี้ตาหนุบหนับ...ง่วงจริงวุ้ย
[ถ้ากลับได้ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอหรอก]
พลังงานความง่วงแปรเป็นพลังงานความหงุดหงิด ก็ไม่ได้อยากจะรู้นักหรอกย่ะ
[สงสัยจะไม่ได้ แม่เธอมาแล้ว! อยู่หน้าบ้านเนี่ย!]
เบ็งเค!!! ตาฉันสว่างพรึ่บยิ่งกว่าสปอร์ตไลท์ในโตเกียวโดม ที่จริงฉันก็ไม่ได้เป็นเด็กดีถึงขนาดต้องออกไปต้อนรับการกลับมาของแม่หรอก แต่วันนี้เพราะอะไรถึงต้องตะลีตะลานถีบตัวออกจากเตียงงั้นเหรอ? ง่ายมาก ก็เพราะผู้ชายที่โทรฯมาเมื่อกี้น่ะสิ มีชายแปลกหน้านอนอยู่ในบ้านกับลูกสาวแค่สองคนคงจะได้ใบประกาศเกียรติคุณจากบุพการีหรอก โดนด่าแน่ เอาไงดีๆ เพราะความมีเมตตาจิตของเธอล้วนๆ เลยฮารุ ช่างก่อน รีบลงไปหาแม่ก่อนดีกว่า โคซาโตะนะโคซาโตะ ถ้าฉันถูกด่าเพราะนาย ฉันจะตามราวีให้ถึงโลกอนาคตเลยคอยดู ย้อนเวลามาทำคนในอดีตปั่นป่วนแท้ๆ
แต่เชื่อสิ ถ้าหากฉันมีพลังพิเศษที่หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ฮารุกะคนนี้จะไม่ตาลีตาเหลือกกระเสือกกระสนยกก้นออกจากเตียงแน่นอน
ปัจจุบัน(ก็ตอนนี้แหละ) 7 นาฬิกา 5 นาที
อาหารเช้าพื้นๆ เช่นไข่ดาว ขนมปังปิ้ง ไส้กรอก เบคอน ได้ถูกจัดวางลงบนจานของพวกเราสามคนในห้องครัว ฉันกลืนค็อกเทลไก่อยู่ข้างหญิงสาวผู้เป็นมารดา ที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรในจานของตัวเองเลย เพราะ She กำลังเจอของที่น่าสนใจกว่าอาหารเช้าแต่ไร้ประโยชน์กว่าเยอะ ซึ่งของสิ่งนั้นนั่งทำหน้าปั้นยากจิบกาแฟเพียงอย่างเดียว
“แม่ ไปจ้องแบบนั้นใครจะไปกินลง” ฉันใช้หัวส้อมสะกิดอยู่หลายจึกกว่าเธอจะรู้สึกตัว
“แหม ฮารุก็...นี่ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าไปหิ้วหนุ่มน้อยผู้นี้มาจากที่แห่งใด”
จะใช้สำนวนชาววังไปเพื่ออะไรคะแม่ขา แล้วถ้าเขาเป็นของที่หิ้วไปไหนมาไหนได้ ป่านนี้หนูคงไม่ให้มานั่งอยู่ตรงนี้ หรอกค่า
แต่อย่างที่เห็น แม่ฉันไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่มีใครไม่รู้มาซุกหัวอยู่ในบ้านสักคำ เธอดูเหมือนจะปลื้ม โอกาวะ โคซาโตะ แบบสุดๆ ประมาณนักช็อปที่ได้ใช้กระเป๋าแบรนด์ดังจากฝรั่งเศสสมใจ
หรือจะบอกไปเลยว่าหมอนี่มาจากโลกอนาคต...แต่เชื่อเหอะ หากฉันพูดอะไรเพ้อเจ้อไปตอนนี้มันจะสะท้อนออกหูขวาของมารดาบังเกิดเกล้าทันทีแบบไม่ผ่านหูซ้าย กลับกัน ถ้าหมอนั่นพูด แม่คงรันเก็บไว้ในส่วนลึกของสมองส่วนการตัดสินใจให้เชื่อทันที ตัวอย่างก็เห็นจากการที่แม่จำชื่อของเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“เพราะงั้นผมถึงได้ใช้ โอกาวะ เหมือนกับลุงโคจิโร่ไงครับ”
หมอนี่ก็เมคเรื่องได้ไวแสนรอบต่อวินาทีเชียวนะ ส่วนแม่ก็พยักหน้าหงึกๆ โดยไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย แถมส่งสายตาหวานเยิ้มเป็นสาวแรกแย้มพบรักไปได้ เดี๋ยวฟ้องพ่อซะเลยดีมั้ง
“บ้าน่าฮารุ ไม่ใช่แล้ว แม่เอ็นดูโคซาโตะคุงเหมือนลูกชายต่างหาก”
ไม่เห็นเคยเรียกหนูที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ว่า ‘ฮารุจัง’ บ้างเลย
“ผมมาเที่ยวแถวนี้เมื่อวันก่อน ขากลับก็อยากจะมาทักทายคุณลุงกับคุณป้า ทีนี้มาแล้วแต่ผมดันทำตั๋วเครื่องบินที่เตรียมมาหาย ต้องขอบคุณฮารุกะครับที่ให้ผมพักที่นี่เพราะยังไงก็ตกเครื่องแล้ว ไม่งั้นแย่แน่”
เอ่อ...มัน ชักจะไกลกับสิ่งที่นายบอกฉันเมื่อคืนเกินไปรึเปล่า แต่ก็เข้าใจเหตุผลที่ต้องโกหกอยู่หรอก นั่นหมายความว่าไม่อยากให้ใครรู้สินะว่าตัวเองมาจากไหน เพราะงั้นฉันก็ได้คำตอบสำหรับเรื่องนี้แล้ว
“แย่จริง...แล้วโคซาโตะคุงจะทำยังไงต่อล่ะจ๊ะ บินกลับอังกฤษไม่ใช่ถูกๆ นะ ให้แม่ติดต่อพ่อให้ไหม?”
ยกสถานะเป็นแม่เฉยเลยเรอะ แม่มีลูกสาวคนเดียวไม่ใช่เหรอค้า
“ไม่ดีกว่าครับ พ่อเลี้ยงผมมาแบบให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ผมก็ต้องรับผิดชอบตัวเองครับ”
“เป็นงั้นไป งั้นแม่ให้ยืมเงินไปก่อนเอาไหม กลับถึงโน่นค่อยโอนมาใช้แม่”
“อันนั้นผมยิ่งไม่เอาเลยครับ เป็นคติประจำตัวเลยว่าชีวิตนี้จะไม่ยืมของๆ ใคร”.
แม่ทำตาเหมือนได้ชื่นชมงานศิลป์ระดับสุดยอด โคซาโตะ นายเก่งมากที่ปั้นเรื่องให้ตัวเองดูดีได้ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเหมือนแก๊งค์มิจฉาชีพที่จะมาหลอกเอาเงินใคร แต่ขอหยุดบทสนทนาที่กำลังจะทำให้หัวฉันเน่าไปทุกทีนี่ดีกว่า
“นี่นาย เราต้องออกเช้าหน่อยนา เพราะต้องไปร้านลุงโอยามะอีก เดี๋ยวฉันจะไปเรียนไม่ทันเอา”
ว่าแล้วฉันก็ลุกจากเก้าอี้ไปหยิบกระเป๋า โคซาโตะตอบรับและลุกออกจากเก้าอี้เช่นกัน เราคงจะออกจากบ้านกันแล้วถ้าแม่ไม่ถามอะไร แต่เธอถามนี่สิ
“จะไปร้านลุงโอยามะทำไมกันพวกเราน่ะ”
“ก็พาเขาไปสมัครพาร์ทไทม์น่ะสิแม่ เขาบอกว่าอยากเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเอง”
โชคดีนะที่ฉันฉลาดตามเรื่องที่ฟังทัน ไม่งั้นเรื่องที่นายมาจากอนาคตคงแดงโร่ไปแล้ว โคซาโตะเองก็ทำหน้าเหมือนอยากจะยกนิ้วโป้งให้กับเรื่องนี้ แต่จ้าวคุณแม่ขมวดคิ้วจนชนกัน
“เงินค่าจ้างวันละแค่นั้นต้องเก็บกี่ปีล่ะกว่าจะได้ตั๋วใบนึง…”
หนูได้มือถือรุ่นท๊อปมาเครื่องเลยนะ...ฉันกำลังจะถามเชียวว่าถ้างั้นจะให้ลูกชายคนใหม่นี้ทำไง แต่แม่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“โคซาโตะคุงอายุ 18 เท่ากับฮารุเลยสินะ ถ้าแม่เดาว่าเราก็กำลังเรียน ม. ปลายเหมือนกัน แม่ถูกมั้ย?”
“ก็เคยครับผม”
ไอ้ ‘เคย’ นี่หมายความว่าอะไรยะ แต่คนที่ต้องการคำตอบดูเหมือนจะมีแต่ฉันคนเดียวนี่แหละ
“ผลการเรียนล่ะ?”
เพราะแม่ข้ามไปคำถามอื่นซะงั้น
“ก็ดีครับ”
ฉันกลายเป็นดาวเคราะห์หลุดวงโคจรที่ชื่อว่าการสนทนาอีกครั้ง แต่บทคุณแม่เธอจะเล่นลากเข้ามาก็ลากซะแถกกับอะไรต่อมิอะไรจนไม่เหลือชิ้นดี อย่างเช่นประโยคที่ท่านกำลังจะได้ชมดังต่อไปนี้
“ดีจัง! เพราะผลการเรียนของลูกสาวแม่มันคาบลูกคาบดอกสุดๆ เอางี้ แม่คิดออกแล้ว โคซาโตะคุงพักอยู่ที่นี่แหละ เป็นครูสอนพิเศษให้กับฮารุ ป้าจะจ่ายเงินเดือนให้จนกว่าจะพอค่าตั๋วเครื่องบิน โอเค้?”
อ้าวเฮ้ย...
“เอ่อ...”
จะพูดอะไรก็พูดไปสิยะ งานจะเข้าฉันแล้วเห็นป่ะนาย! ก็ไม่ได้รังเกียจที่ในบ้านจะมีสมาชิกเพิ่มหรอกนะ แต่ฉันขี้เกียจปรับตัวน่ะสิ ถ้าเป็นผู้หญิงด้วยกันยังไม่เท่าไหร่ ส่วนแม่ก็ไม่คิดจะฟังลูกชายคนใหม่เลยวุ้ย
“ขอบคุณครับแม่ แต่...”
“เยส!!! ยินดีต้อนรับสู่บ้านโอกาวะจ้า”
นี่มันแกล้งไม่ได้ยินชัดๆ เขาพูด ‘แต่’ ต่อท้ายด้วยนะแม่ มีแต่แม่คนเดียวแหละที่ดีใจ ทั้งตัวหนูหรือแม้แต่เขาเองก็ไม่ได้สบายใจเลยแม้แต่น้อย มองหน้าก็รู้ แต่ก็รู้อีกว่าผู้หญิงที่เริ่มต้นกินอาหารในจานตัวเองได้สักที เมื่อได้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้วจะไม่ยอมฟังเหตุผลอย่างอื่นอีก เนี่ยแหละแม่ฉัน
ด้วยเหตุนี้ บ้านของฉันจึงมีสมาชิกชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็นสมาชิกที่ไม่ธรรมดาเพราะเขามาจากโลกอนาคต หัวนอนปลายเท้ารู้แค่ว่าใช้นามสกุลเดียวกัน นอกนั้นเป็นปริศนาที่ต่อให้ตอบถูกก็ไม่มีรางวัลให้ ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะช่วยให้เขากลับบ้านกลับโลกอนาคตไปอย่างเร็วที่สุด
“นี่นาย ถ้าไม่เก่งจริงขนาดมาสอนฉันได้ก็บอกแม่ไปสิ แต่งเรื่องเก่งอยู่แล้วนี่”
“อะไรของเธอ”
“พูดตรงๆ เลยละกัน นายไม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน ฉันไม่ยอมให้แม่จ่ายเงินให้ใครก็ไม่รู้เพื่อมาสอนฉันหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่ได้โง่ขนาดต้องให้คนรุ่นเดียวกันมาสอนด้วย”
โคซาโตะมองหน้าฉันด้วยสายตาหงุดหงิดเล็กน้อยระหว่างทางที่เดินไปโรงเรียน ฉันลากเขาออกมาด้วยกันเองแหละ เพราะบอกตามตรงว่ารับไม่ทันถ้าบ้านจะมีสมาชิกเพิ่มมาอีกคน
“ฉันยังไม่ได้รับเงินมาสักหน่อย อีกอย่าง เธอรู้จักฉันยังไม่ถึงวันก็อย่าเพิ่งมาด่วนสรุปว่าฉันเป็นยังไงหรือมีความสามารถแค่ไหนสิ มันไม่ถูกนะ เป็นคนอย่างนี้ประจำเลยรึเปล่าฮะ”
ทำไมฉันต้องมาฟังคนอายุเท่ากันสั่งสอนด้วยเนี่ย น่าโมโหชะมัด
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะเอาเงินคุณแม่อยู่แล้ว วันนี้ฉันจะลองคุยกับท่านดูว่าขอไปอยู่ที่อื่นได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ ตอนเย็นเธอกลับมาก็คงเห็นฉันนั่งอยู่ในนั้นน่ะแหละ”
อื้มๆ เข้าใจง่ายดีแฮะ
“ฉันไม่อยากวุ่นวายกับเธอให้ปวดหัวต่างหาก จะให้สอนคนเข้าใจอะไรยากก็ไม่ไหวด้วย”
ปึ้ด ซาวด์เอฟเฟคเส้นเลือดรูปกากบาทปูด หมอนี่...เก่งมาจากไหนกันยะ
“ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเก่งรึเปล่า เพราะปริญญาโทของอ๊อกฟอร์ดก็เรียนมาได้แค่เทอมเดียวด้วย”
หา...? ป.โท? ก็หมายความว่าหมอนี่จบ ป.ตรี แล้วสิเนี่ย ที่สำคัญ นั่นมันมหา’ลัยชื่อดังของอังกฤษไม่ใช่เรอะ
“ก็ประมาณนั้นแหละ แม้แต่ในโลกต่อจากนี้อีกหลายปีก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่”
ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ
“หน้าฉันเหมือนคนชอบโกหกรึไง”
จะย้อนทำไมนักหนาเนี่ย หึๆ ก็ได้ ฉันมีวิธีพิสูจน์ว่านายเจ๋งจริงอย่างที่โม้รึเปล่าอยู่แล้ว ว่าแต่...
“จริงสิ แล้วเมื่อเช้านายโทรฯเข้าเครื่องฉันได้ไง อย่าบอกนะว่าเห็นฉันน่ารักแล้วแอบเมมเบอร์ฉันเข้าเครื่องน่ะ”
นายโคซาโตะทำหน้าเหมือนกลั้นหัวเราะก่อนจะตอบ
“ท่าทางฉันเหมือนพิศวาสเธอนักรึไง จะบ้าเหรอ ฉันใส่คอนแทคเลนส์อยู่”
แล้วไงล่ะ นายจะสายตาสั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันสักนิด
“ถ้ามองจากมุมของเธอ คอนแทคที่ฉันใส่อยู่มันก็คืออุปกรณ์จากโลกอนาคตไม่ใช่เหรอ? เธอคิดว่าคอนแทคเลนส์ในโลกอนาคตมันทำอะไรได้มั่งล่ะ”
จากที่เคยดูในหนัง...เฮ้ย อย่าบอกนะ...
“แต่ฉันจะบอก ก็อย่างที่เธอคิด นี่เป็นคอนแทคเลนส์ที่จะบอกข้อมูลของสิ่งที่กำลังมองอยู่...”
หมอนั่นหยุดเดินพร้อมหันมาจ้องฉัน ไม่รู้ตัวเลยว่ามือทั้งสองของเขากำลังจับไหล่ฉันอยู่ ใบหน้าปานเทพบุตรที่ค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้หน้าฉันขึ้นทำเอาเรี่ยวแรงหายไปหมด
“…อย่างเช่นตอนนี้ มันก็กำลังบอกทุกอย่างที่เป็นเธอ โอกาวะ ฮารุกะ อายุ 18 ปี เกิดวันที่ 2 กุมภาฯ สูง 165 น้ำหนัก 43 ขนาดหน้าอก...”
กรี๊ดดด
“พอแล้ว!!!”
ฉันผลักโคซาโตะออกด้วยแรงที่เหลือ เขาหัวเราะเหมือนกับสะใจที่ได้แกล้งแฮมสเตอร์ในกรงล้อสำเร็จ ถูกผู้ชายรู้สัดส่วนเป็นเรื่องน่าอายของผู้หญิงเลยนะยะ!
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอออกจะเซ็กซี่นะฉันว่า”
มันไม่ได้สำนึกเลยแฮะ จะมีใครว่าอะไรบ้างถ้าฉันจะบอกว่าไม่ชอบหมอนี่มากขึ้นอีก 20 เท่า ไอ้อุปกรณ์นั่นมันมีไว้สำหรับละเมิดสิทธิมนุษย์ชนโดยเฉพาะเลยนะนั่น
“ถอดออกมาเดี๋ยวนี้”
“อะไรเล่า”
“ก็ไอ้คอนแทคนายนั่นแหละ ถอดออกมาซะ!”
ตัวฉันเริ่มสั่นด้วยความอายหรือความโมโห หรืออายจนโมโหก็ไม่แน่ใจ แต่แน่ใจว่าต้องเอาไอ้ของพรรค์นั้นออกจากตานายโคซาโตะให้จงได้ หมอนั่นนิ่วหน้าและถอยออกห่างฉันทันที
“เอ้ยได้ไง นี่มันของสำคัญของฉันนะ ใครๆ เขาก็ใส่กันทั้งนั้นแหละ”
“นี่มันปี 2013! ไม่มีใครเขาใส่กันหรอก!”
แม้จะใกล้ถึงโรงเรียนแต่ฉันไม่สน ฉันตะโกนใส่หมอนั่นที่หัวเราะคิกคัก
“จะถอดไหม ถ้าไม่ถอดเดี๋ยวฉันจะถอดให้เอง”
ต้องไม่พูดอย่างเดียว ฉันแสดงหลักฐานให้โคซาโตะเห็นด้วยการยื่นนิ้วเข้าไปที่ดวงตาสีน้ำผึ้ง แต่หมอนั่นก็ไวเหลือเกิน หลบฉากออกไปแถมยังโจมตีกลับด้วยการล็อคข้อมือฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง ฮึ้ยยย ทำไมแรงเยอะขนาดนี้นะ
“จะบ้าเหรอเธอ เดี๋ยวก็ตาบอดพอดี”
“ดี! บอดไปเลย จะได้มองไม่เห็นอะไรอีก!”
“นี่เธอคิดว่าไอ้นี่มันเห็นไปถึงไหน มันไม่ได้มองทะลุเสื้อผ้าสักหน่อย”
เมื่อเห็นว่าปลอดภัย หมอนั่นจึงปล่อยมือฉันก่อนจะเดินห่างไปอีกราว 2 ฟุต ถึงจะว่างั้น แต่มันก็น่าหงุดหงิดอยู่ดี สงสัยจะไม่เคยเจอกับตัวถึงได้ไม่รู้ว่าความรู้สึกของการถูกคนรู้เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้มันเป็นยังไง
“เฮ้ ฮารุ”
เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันกลับไปก็พบกับ ยามานากะ โคนาตะ สาวผมบ็อบสั้นสีดำสนิทแต่เงางาม เธอพาร่างเพรียวราวนางแบบวิ่งเข้ามาด้วยความสดใสไม่แพ้ท้องฟ้า
“นัตจัง คิดถึงจังเลย”
“ก็เพิ่งคุยกันเมื่อคืนไม่ใช่เหรอ ฮิๆ ฮารุเนี่ยน่ารักจังน้า”
ใบหน้าสวยน่ารักจนน่าอิจฉายิ้มหวาน จากนั้นนัตจังก็ดึงฉันเข้าไปกอด เราทำแบบนี้เช้าเย็นมาตั้งแต่เรียน ป.1 มันกลายเป็นความเคยชินที่แบบว่าถ้าวันไหนเราไม่ได้กอดกัน จะทำให้เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง
“เห...แล้วหนุ่มหล่อข้างหลังคือใครเอ่ย ใช่โคซาโตะคุงที่พูดถึงเมื่อคืนรึเปล่าเอ่ย?”
นัตจังถามหลังจากได้ทำกิจวัตรประจำวันของพวกเราเสร็จ ฉันพยักหน้าทีหนึ่งและก็กะจะทำแค่นั้นแล้วชวนเพื่อนเลิฟเข้าไปในโรงเรียน แต่หมอนั่นกลับเสนอหน้าเข้ามาแนะนำตัวซะงั้น
“โอกาวะ โคซาโตะครับ ยินดีที่รู้จัก”
ถ้าไม่ติดว่าฉันไม่ค่อยชอบหน้าหมอนี่ รอยยิ้มจากปากบางๆ ของเขาก็คงทำให้ฉันใจเต้นได้อยู่หรอก ก็ยอมรับอ่ะนะว่านายก็หน้าตาดีใช้ได้
“หวาว...น่ารักจัง ยามานากะ โคนาตะ ค่ะ เรียกว่า นัตจัง จะชอบมากเลย นัตจังขอเรียกคุณว่าโคซาโตะคุงนะคะ”
“ได้สิครับ นัตจัง”
เพื่อนสาวของฉันทำหน้าเหมือนอยากจะกรี๊ดออกมา ตายล่ะ ต้องเตือนว่าอย่าไว้ใจหมอนี่ดีกว่า ไม่รู้ป่านนี้คอนแทคนั่นจะสแกนนัตจังไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เฮอะ นายนั่นไม่เห็นจะมีท่าทางหงุดหงิดเหมือนตอนที่อยู่กับฉันเลยนะ สงสัยคงหลงเสน่ห์นัตจังน่ะสิ แต่ฉันไม่ปล่อยให้นายจีบได้หรอก
“ไปเถอะนัตจัง เดี๋ยวสายนะ”
ฉันคว้ามือเพื่อนเลิฟเพื่อเดินออกไป แต่ดูเหมือนเธอจะไม่อยากวางตาจากหมอนั่นจึงขืนต้วไว้เล็กน้อยและส่งยิ้มหวาน
“โคซาโตะคุง นัตจังไปเรียนก่อนนะคะ”
“ครับผม โชคดีนะ”
หมอนั่นเหล่ตามาที่ฉันแวบหนึ่ง แต่ฉันเชิ่ดใส่และจูงมือนัตจังเข้ารั้วโรงเรียนไป
ก็ไม่อยากจะบอกกับคุณๆ นักหรอก แต่เหล่านักเรียน(โดยเฉพาะสาวๆ)ที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนเหมือนกันกับพวกเรา ต่างก็มองนายโคซาโตะตาเป็นมัน แบบว่าถ้าหันคอได้ 360 องศาก็คงทำไปแล้ว แต่จะไปว่าก็ไม่ได้ เพราะนัตจังก็เป็น 1 ในสาวๆ เหล่านั้นเช่นกัน
“ฮารุ ไม่เคยเห็นบอกนัตจังเลยว่ามีญาติน่ารักๆ แบบโคซาโตะคุงด้วย”
ณ ทางเดินบนอาคารเรียน เพื่อนแสนสวยเอ่ยอย่างสดใสพร้อมแกว่งมือฉันเล่นราวกับคู่รักสุดหวานแหวว อย่าว่าแต่นัตจังเลย ตัวเองก็เพิ่งจะรู้เนี่ยแหละว่ามีญาติอายุเท่ากันอยู่ จะบอกนัตจังว่าอย่าไปปลื้มหมอนั่นจะดีกว่าดีมั้ยนะ เพราะยังไงเขาก็มาจากโลกอนาคต…
ระหว่างที่ตัดสินใจได้แล้วว่าไม่บอกดีกว่า เราก็ได้เลี้ยวเพื่อที่จะเข้าห้อง ขณะนั้นสาวนางหนึ่งก็โผล่ออกมาพอดี
“อ้าว โอกาวะกับยามานากะ เจอตัวสักที”
เธอคือ ลูน่า ออนดะ เพื่อนร่วมชั้นที่อายุเท่ากันแต่กลับมีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่เอามากๆ จนฉันอิจฉานิดหน่อยเลยทีเดียว
“มีอะไรเหรอคุณออนดะ?”
นัตจังถามด้วยน้ำเสียงสดใส ที่เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่เรียกเธอคนนี้ว่า‘คุณ’ สาเหตุก็ได้บอกไปแล้วในบรรทัดข้างบน
“วันนี้นิโนมิยะคุงเรียกประชุมชมรมนะ ช่วงพักกลางวัน เหลือแต่พวกเธอที่ยังไม่รู้”
ฉันและเพื่อนเลิฟข้างๆ ตอบรับ คุณออนดะยิ้มเย็นๆ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่ คนที่เก่งศิลปะนี่มักจะมีบุคลิกอาร์ตอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ
“ฮ้า...บอยเฟรนด์ของฮารุจะทำอะไรน้า ไม่พ้นโปรเจ็คจบแหง”
นัตจังยิ้มสดใสราวพระอาทิตย์บนผืนธงพร้อมส่งแววตาซุกซนมาให้ ฉันรู้สึกว่าหน้าร้อนวูบขึ้นมา
“แหม...นัตจังก็พูดอะไรเนี่ย ไม่ใช่ซะหน่อย”
สาวสวยตรงหน้าหัวเราะร่า จากนั้นพวกเราก็เตรียมตัวเข้าสู่คาบโฮมรูม ที่ดูเหมือนต้องตั้งใจเป็นพิเศษไม่ใช่เพราะความขยัน แต่เป็นเพราะที่นั่งแถวหน้าสุดที่ต้องเผชิญกับอาจารย์ทุกคาบโดยตรง เฮ้อ รู้สึกคิดถึงที่นั่งตอนปี 2 ที่ยังพอแอบหลับได้ขึ้นมาเลยแฮะ
ช่วงพักกลางวัน การประชุมของชมรมวิจัยเทคโนโลยีที่มี นิโนมิยะ เรียว เป็นประธาน ว่าด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น 2 ตัวลงบน 3 ระบบปฏิบัติการใหญ่ของมือถือของโลกในขณะนี้ให้เสร็จก่อนวันปิดภาคเรียน ซึ่งการทำโปรเจ็คใหญ่ๆ แบบนี้ นักเรียนปี 3 ของทุกชมรมจะต้องทำกันทุกปีก่อนเรียนจบไป ซึ่งไม่ต่างกับการโชว์ศักยภาพให้กับอนุชนคนรุ่นหลังได้เห็นกัน(ว่าไปนั่น) แต่ถึงจะพูดงั้น คราวนี้ก็ไม่หมูเลย เพราะเมื่อปีที่แล้วฉันเองได้มีโอกาสช่วยรุ่นพี่ปี 3 สร้างเกม ถึงผลงานจะสุดยอดมากก็จริงแต่โจทย์ก็จำกัดอยู่แค่เกม ส่วนโจทย์ที่เราได้รับในปีนี้คือ ‘แอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฟน’ ที่มีอยู่ทั่วโลกเป็นล้านๆ จะสร้างยังไงให้แตกต่างอย่างน่าสนใจในเวลา 1 ปีก็เป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตก
แต่ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของฉัน ที่พอถึงคราวตัวเองก็ยังมีสุดยอดอัจฉริยะอย่างเรียวคุงเป็นผู้นำ มีนัตจังผู้เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์เป็นรอง กับคุณออนดะที่เป็นฝ่ายศิลป์ระดับท็อป บางทีแค่ 3 คนนี้ก็อาจจะทำให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีฉันเลยก็เป็นได้
“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า ฮารุน่ะ Tester มือโปรเชียวนะ”
แม้เวลาจะล่วงเลยมาสู่หลังเลิกเรียนแล้ว แต่ความสดใสของนัตจังกลับไม่ได้ลดน้อยลงไป เธอพูดกับฉันระหว่างที่เราเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ขาดคนทดลองก็ไม่รู้บั๊กของแอพฯหรอกว่าไหมล่ะ ห้ามคิดงั้นอีกนะที่รัก”
แล้วจิ้มจมูกฉันจนถ้าจะเกิดซาวด์เอฟเฟคดัง จึ๋ง ก็ไม่แปลกอะไร ใบหน้าหวานส่งยิ้มที่เพิ่มความน่ารักขึ้นอีก 155% มาให้กับฉัน
“เรื่องนั้นปล่อยให้เรียวคุงเขาคิดไปเถอะ เราแค่ทำตามกับออกความเห็นนิดหน่อยก็พอ ว่าแต่นี่ ฮารุ วันเสาร์นี้เราไปเที่ยวกันไหม ชวนโคซาโตะคุงไปด้วย”
ชื่อของชายผู้นี้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง ที่จริงฉันเกือบจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ชายผู้เป็นญาติไม่ทราบฝ่ายจากโลกในอนาคต...เสน่ห์แรงจริงนะ ถ้านัตจังจะชอบซะขนาดนี้ก็อยากจะยกให้เลย
“ฉันไม่มีปัญหาหรอก แต่ไม่รู้เขาจะกลับบ้านไปรึยัง ถ้ายังไงไว้ฉันจะชวนเขาให้จ้ะ”
การตอบนัตจังแบบไม่ให้ความหวังมากดูเหมือนจะดีกว่าสำหรับเรื่องนี้ ที่จริงก็หวังข้อแรกอยู่หรอก ไม่มีที่ไหนสบายเหมือนบ้านตัวเองหรอกน่า เพราะงั้นรีบกลับไปซะเหอะ
พวกเราเดินมาถึงสี่แยกถนนใหญ่ใกล้สถานีรถไฟ ท้องฟ้าได้เริ่มสาดแสงสีส้มอ่อน ผู้คนมากมายสัญจรไปมา โดยเฉพาะเหล่านักเรียนจากหลากหลายสถาบัน ทุกวันฉันจะเดินมาส่งนัตจังถึงตรงนี้ ระหว่างที่รอสัญญาณไฟข้ามถนน พวกเราก็กอดกันหนึ่งรอบ การกอดกับนัตจังเช้าหนึ่งครั้งเย็นอีกหนึ่งครั้งเป็นกิจวัตรประจำวันที่มีความสุขและไม่เคยเบื่อเลย ถึงใครจะมองว่าเป็นคู่หญิงรักหญิงก็ไม่สน
“นัตจังก็เหมือนกัน...ฮิๆ พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ”
ไฟสีแดงรูปคนยืนเปลี่ยนเป็นไฟสีเขียวรูปคนเดิน นัตจังเดินถอยหลังพลางโบกมือให้ฉันก่อนจะถูกคลื่นฝูงชนกลืนหายไป เห็นอีกทีแผ่นหลังบางๆ ก็ไปอยู่ข้างไนต์คลับที่รู้มาว่าเป็นของพ่อของอดีตแฟนคุณออนดะ
หลังจากแยกกับนัตจังฉันก็เดินกลับมาทางเส้นทางหลักของตัวเอง ไอ้ความรู้สึกอยากให้ขาหนักจนเดินไม่ไหวนี่มันคืออะไรกันนะ เป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่า ก็ไม่อยากจะเชื่อของพวกนั้นในยุคที่ทุกอย่างควบคุมได้ด้วยคอมพิวเตอร์หรอก แต่เชื่อสิ บางอย่างมันก็อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้
แกร๊ก
ยกตัวอย่างเช่นภาพตรงหน้าของฉัน ใครเก่งบอกหน่อยว่ามันเกิดจากทฤษฎีสัมพันธภาพหรืออะไรกันแน่
มวลสารมีชีวิตนั่งสวมแว่นตาที่เดาได้ว่าเป็นอุปกรณ์ไฮเทคที่ยังไม่มีในยุคนี้
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านโอกาวะ”
จงใจกวนประสาทแน่นอนหากดูจากสีหน้าหรือฟังจากน้ำเสียง หนุ่มน้อยจากอนาคตนาม โคซาโตะ ยังอยู่ค่ะคุณผู้ชม!!!
ความคิดเห็น