ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Generation Next รักนาย...ลูกชายจากโลกอนาคต

    ลำดับตอนที่ #3 : ความอบอุ่นที่ส่งผ่าน

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 56


     

    ความอบอุ่นที่ส่งผ่าน

     

    สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการกลับโลกอนาคตไม่ได้ คือการที่ผมมีโอกาสสูงที่จะต้องขออาศัยชายคาบ้านหลังนี้อยู่ ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไม ก็เพราะที่นี่มีหนึ่งในสมาชิกที่ผมอยากหลีกเลี่ยงมากที่สุดอยู่น่ะสิ ไม่ต้องบอกก็รู้สินะว่าใคร โอกาวะ ฮารุกะ สมัยเรียน ม.ปลาย หรือก็คือแม่ผมเอง บอกตามตรงว่าตลกร้ายชัดๆ ซึ่งตอนนี้เธอยืนเหวออยู่ตรงหน้าผมนี่แหละ

    "ทะ..ทำไมถึงกลับไม่ได้อ่ะ หรือว่าอุปกรณ์ของนายมันจะพังตอนโดนไม้กวาดตี"

    แม่...ไม่อยากเรียกเลยแฮะ ยัยนั่นละกัน ยัยนั่นตั้งท่าเหมือนกับพร้อมจะกระโดดกลับหลังได้ทันทีหากมีการเคลื่อนไหวใดๆจากผม

    "ไม่หรอก ถ้าพังมันก็ไม่น่าจะพาร่างหายไปได้ แต่นี่เธอก็เห็นว่าฉันหายไปใช่ไหม ฉันคิดว่าคงมีใครปิดมิติ ฉันเลยถูกผลักกลับมา"

    ว่ากันว่าคนเราต้องมีครั้งแรกเสมอ แต่การย้อนเวลาครั้งแรกของผมก็ดันเจอปัญหาซะได้ นี่เป็นปัญหาของผู้ที่ท่องมิติเวลาจะต้องเจอรึเปล่าผมก็ไม่รู้ การคิดวนเวียนกับเรื่องที่ไม่รู้ก็ไม่ใช่นิสัยซะด้วยสิ

    "นายดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไหร่เลยนี่"

    เสียงเล็กๆ เด็กๆ ดังขึ้นแทรกโสตประสาทที่กำลังใช้ความคิด สมาธิของผมแตกกระเจิงราวกับโยนหินลงไปในฝูงนกพิราบ

    "ออกแอ็คติ้งเป็นคนวุ่นวายมันจะช่วยแก้ปัญหาได้รึไง นี่ไม่ใช่ละคร ไม่ต้องสื่อภาพให้คนดูเข้าใจแบบนั้นหรอก"

    ผมพูดไปแบบนั้นและเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเดิมที่นั่งทายาเมื่อไม่กี่นาทีนี้ ยัยเจ้าของบ้านยื่นทื่อแต่กลับมองตามผมทุกฝีก้าว ปฏิกิริยารูม่านตาขยายเข้าออกอย่างกับกำลังเห็นผี ถ้าเป็นเรื่องนั้นใครว่าผมน่าจะเป็นคนออกอาการมากกว่าก็ขอเสียงหน่อย

    "ที่ฉันถามก็เพราะเป็นห่วง ทำไมนายต้องย้อนด้วยเล่า"

    ตัวป่วนเดินได้นามฮารุกะเปลี่ยนท่าทีเป็นปกติก่อนคุณเธอจะกระแอมไออย่างไว้ฟอร์มเพราะนึกขึ้นได้ว่าทำท่าหลุดรั่วอยู่ ที่จริงก็อยากจะบอกว่าที่ฉันย้อนนี่ก็เพราะเป็นห่วงเธอเหมือนกัน แต่ถ้าพูดไปคนฟังไม่เข้าใจเขาจะหาว่าเถียงอีก ผมจึงเงียบและหาทางออกของปัญหาที่กำลังประสบ ซึ่งอาจจะมี แต่เล็กเท่ารูเข็ม

    ความจริงปัญหานี้จะเล็กนิดเดียว ถ้าผมขออาศัยอยู่ที่นี่สักสองสามอาทิตย์ หากถึงเวลาแล้วผมยังไม่กลับไป พ่อคงสังเกตเห็นความผิดปกติและคงส่งคนมาช่วยเอง แต่ปัญหาใหญ่คือผมจะทนอยู่กับยัยนี่ได้นานขนาดนั้นหรือเปล่า เพราะแค่วันแรกที่เจอกันก็โดนรับน้องซะจนแขนปวดไปหมด ซึ่งบอกตามตรงว่านั่นเป็นลักษณะนิสัยของบุคคลที่ผมมักจะไม่ค่อยถูกชะตา

    แม้จะโชคดีที่ตัวเองเกิดมาในตระกูลร่ำรวยจนใครๆ จะเรียกผมว่าคุณชายก็คงไม่แปร่งปากนัก แต่ผมโชคดีกว่านั้นตรงที่ตัวเองไม่ใช่คนเรื่องมากเหมือนอิมเมจลูกท่านหลานเธอดาษๆ ตามนิยายหรือการ์ตูน ผมจึงเอ่ยปากกับผู้หญิงที่รู้ว่ามีดีอย่างเดียวคือหน้าตาน่ารัก ว่าขอพักที่นี่สักคืน แล้วพรุ่งนี้จะออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อหาเงินเยนของยุคนี้ไปหาห้องอยู่ต่างหาก

    "นี่ก็มืดแล้ว ถ้าแค่คืนเดียวก็โอเคอยู่หรอก แต่ที่ว่าจะไปหางานทำน่ะ รู้รึเปล่าว่าเขาทำอะไรกันยังไง คนยุคนี้น่ะ"

    นั่นสิ เป็นคำพูดที่มีเหตุผลอย่างผิดคาดของยัยนี่เลย จะว่าไปตัวเองก็ไม่เคยต้องออกไปหาเงินใช้อะไรแบบนั้น และงานพาร์ทไทม์ในยุคของผมก็คงจะต่างกับยุคนี้มากโขอยู่ ประมาทไปหน่อยที่ไม่ได้พกเงินเยนของสมัยนี้มา ว่าแล้วก็อยากจะกระชากไอ้ 'ความรอบคอบ' ของตัวเองออกมากระทืบแล้วยัดกลับเข้าไปใหม่จริงๆ แต่ก็เพราะมันนี่แหละที่ทำให้ผมพก 'แคปซูลอิ่มท้อง' สำหรับ 1 เดือนมาด้วย ผมมองหน้ายัยนั่นซึ่งเธอก็มองหน้าผมตอบ หัวคิ้วเล็กๆ บนหน้าขาวๆ ชนกันก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆ ออกมา

    "น่าอิจฉาพวกลูกคุณหนูจริงน้า"

    ยัยนั่นว่างั้นและเดินไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวตรงขวามือของตัวที่ผมนั่ง ลูกคุณหนูที่เธอว่าก็ลูกเธอนั่นแหละ

    "มีร้านฟาสฟูดส์ที่ฉันรู้จักกับเจ้าของร้านอยู่ร้านหนึ่ง เขามีงานให้นายทำแน่ ฉันเพิ่งลาออกมาจากที่นั่นก่อนเปิดเทอมน่าจะยังต้องการคนอยู่ ว่าไง จะไปรึเปล่า"

    "เอาสิ" ผมเอ่ยแค่สั้นๆ ก่อนจะเงียบไปสามวินาที เพื่อถามคำถามที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ "ว่าแต่เธอไปทำอะไรที่นั่นล่ะ บ้านก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ"

    "ก็ฉันอยากได้มือถือใหม่นี่ ไม่อยากแบมือขอแต่แม่ก็ต้องลำบากหน่อย โตๆ กันแล้วนะ ว่าไหม"

    ออ...อย่างนี้เอง ที่ถามก็ไม่ใช่อะไร แค่สงสัยในความสามารถของยัยนี่ นึกว่ากระโดดโหยงๆ ป่วนชาวบ้านไปวันๆ ซะอีก นี่สินะที่พ่อมักจะพูดเสมอว่าคนเรามีทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัว ว่าแต่ ประโยคคำถามสองพยางค์สุดท้าย ยัยนี่จงใจกระแทกผมรึเปล่า?

    "เลิกเรียกฉันว่า 'ยัยนี่ ยัยนั่น' ซะที นี่นาย ถึงฉันจะซุ่มซ่ามไปนิดตามสไตล์โมเอะเจแปนนิสเกิร์ล แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างความเดือดร้อนให้ใครเขาขนาดนั้นหรอกย่ะ"

    โมเอะนี่มันเป็นคำของยุคนี้ใช่ป่ะเนี่ย ก่อนพ่นอะไรออกมาช่วยเปิดซับไตเติ้ลให้ด้วยก็จะดีมาก แต่คอนแทคช่วยผมได้เยอะแม้แต่เรื่องไร้สาระเช่นการหาความหมายของคำ ซึ่งไม่พ้นเป็นการชมตัวเอง ถ้าพระเจ้ามีจริงก็บอกผมหน่อยว่านี่เหรอ คนที่จะเป็นแม่ผมในอนาคต หาผู้เชี่ยวชาญมาจับผิดหน่อยดิ๊ว่าผมมีส่วนไหนคล้ายเธอบ้าง ถ้าเจอจะตบรางวัลให้อย่างงามเลย ส่วนไอ้เรื่องชอบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นรึเปล่าผมไม่รู้ แต่ถ้าแขนผมมีปากมันอาจจะบอกว่ารู้ก็ได้

    "ตกลงเอางานที่ร้านนั้นนะ ฉันจะได้โทรฯไปบอกลุงเขา"

    "อืม"

    ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรผมจึงตอบรับแค่สั้นๆ ยัย...ฮารุกะทำปากจู๋ก่อนจะลุกขึ้นยืนและสะบัดร่างเดินออกไป ปลายผมยาวหนาสีโคล่าสะบัดเป็นคลื่นสวยดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก

    "นี่ ฮารุกะ"

    ที่เรียกนี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเหมือนกัน ที่จริงเป็นความรู้สึกธรรมดาๆ ของคนทั่วไปด้วยซ้ำ สาวร่างบางหันมาด้วยความหงุดหงิด...รึเปล่าไม่แน่ใจ

    "อะไร โคซาโตะ"

    แน่นอนว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษที่จะพูดคำธรรมดาๆ นี้

    "ขอบใจนะ"

    มีแต่คนไร้สามัญสำนึกเท่านั้นแหละที่จะไม่พูดแบบนี้เวลามีคนช่วยเหลือ ผมโค้งหัวให้ฮารุกะนิดหนึ่งและทำเป็นวุ่นวายกับการเช็คของในเป้ เธอทำหน้ายังไงไม่รู้ แต่เธอก็ตอบรับด้วยการส่งเสียงในลำคอ และเดินขึ้นบันไดไปพร้อมบอกว่าเดี๋ยวจะเอาผ้าห่มลงมาให้

    พอฮารุกะขึ้นไป ผมถอดเสื้อนอกพาดไว้กับโซฟาพลางยกไทม์เกียร์ขึ้นดูอย่างสงสัย หรือว่าบางทีอาจจะมีใครต้องการให้ผมอยู่ในช่วงเวลานี้เพื่อทำอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเหตุผลนั้นจริง คนร้ายคนเดียวที่พอจะนึกออกคือพ่อผมเองแหละ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงการเดาสุ่มของผู้ที่ยังหาความจริงไม่เจอ คอนแทคที่ใส่อยู่หรืออุปกรณ์ในเป้ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่บอกคำใบ้

    ในที่สุด การกังวลและคิดมากก็ไม่ทำให้ผมหาทางออกได้ จึงบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นหมุนไปหมุนมากับที่เพื่อสำรวจบริเวณบ้าน

    ที่นี่สร้างแบบฝรั่งแต่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นได้ค่อนข้างลงตัว ด้านหน้าของโซฟาตัวยาวที่ผมจะใช้เป็นที่นอนมีโต๊ะที่วางพวกนิตยสารอยู่เล่ม สองเล่ม เดาว่าช่วงหน้าหนาวคงจะใช้โต๊ะนี้ทำเป็นโต๊ะอุ่นขา ถัดไปข้างหน้าอีกหน่อยก็เป็นโทรทัศน์จอใหญ่ราวสี่สิบนิ้วตั้งอยู่ ถัดจากโทรทัศน์ไปทางขวามือเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นระเบียงสำหรับนั่งเล่นกับสนามหญ้า ห้องครัวอยู่ด้านหลังโซฟาเดี่ยวตัวที่ฮารุกะนั่ง และประตูเข้าห้องจะอยู่ตรงหัวพอดีหากผมนอนลง ถัดจากห้องครัวน่าจะเป็นทางสำหรับไปหลังบ้านซึ่งห้องน้ำก็อยู่ขวามืออีกเช่นกัน แต่ผมกลับดิ่งไปที่ตู้โชว์ที่อยู่ข้างบันไดขึ้นชั้นสองก่อนเป็นอันดับแรก คงไม่มีใครแปลกใจแน่ ถ้าหากบอกว่าที่นั่นมีกรอบรูปขนาดต่างๆ วางอยู่เกลื่อน

    ผมหยิบกรอบรูปลายแมวกุ๊กกิ๊กขึ้น คอนแทคในตาทำงานอย่างรู้หน้าที่ รูปถ่ายคนสองคนอุ้มเด็กผู้หญิงตรงกลาง ไล่จากซ้ายคือ โอกาวะ มิซากิ ในยุคนี้ผมต้องเรียกว่าคุณป้าทั้งที่จริงคือคุณยาย เด็กผู้หญิงกลางรูปไม่น่าจะมีอายุเกินเจ็ดขวบ...แล้วก็จริง โอกาวะ ฮารุกะ อายุห้าขวบยิ้มร่าฟันหลอ ส่วนคนสุดท้ายไม่ต้องพึ่งคอนแทคก็พอรู้ โอกาวะ โคจิโร่ คุณตาที่จะต้องเรียกว่าคุณลุง นอกจากกรอบรูปนี้แล้วยังมีพวกอัลบั้มภาพจัดซ้อนๆ กันจนสูง แล้วก็พวกกรอบรูปอื่นๆ ภาพในนั้นโดยส่วนใหญ่จะมีสมาชิกไม่ต่ำกว่าสามคนอยู่ในเฟรม ทุกรูปแม่จะยิ้มกว้าง ซึ่งนั่นทำให้ผมพอจะเข้าใจพื้นฐานของครอบครัวนี้ และเมื่อเข้าใจแล้วก็เกิดอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย เพราะที่จริงผมก็ควรจะมีรูปถ่ายสามคนแบบพร้อมหน้าบ้าง แต่สุดท้ายมันก็เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้อยู่ดี

    "คนจากโลกอนาคตนี่อยู่ไม่สุขจริงๆ"

    เสียงที่คิดว่าไม่ได้โตไปตามอายุมากนักดังขึ้นเหนือหัว แม้จะชมว่าตัวเองน่ารักงั้นงี้ แต่ก็ไม่เห็นห่วงสวยเท่าไหร่ ฮารุกะสวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มสีตุ่นๆ ผ้าห่มหนาที่เธอหอบมายังมีสีสันสดใสกว่าเลย

    "ฉันจะกินข้าว นายจะกินด้วยกันไหม"

    ฮารุกะถามหลังจากที่ยื่นผ้าห่มให้ จะว่าไปผมก็กินแค่เค้กวันเกิดมา แต่ก็ไม่ได้หิวอะไรเท่าไหร่ สงสัยความเหนื่อยปนหน่ายจะเป็นผู้ชนะในศึกของร่างกาย

    "วันนี้วันเกิดนายเหรอ?"

    "ใช่ ขอบใจที่ชวนนะ แต่ฉันขอนอนดีกว่า"

    ฮารุกะทำหน้าเหมือนกำลังจะพูดอะไร แต่ก็หุบปากที่อ้าแล้วหายไปในครัวอันสว่างโร่ ขณะที่ผมล้มตัวนอนลงบนที่นอนชั่วคราว ยัยนั่นโผล่แค่หน้าออกมา

    "แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ ส่วนของขวัญไม่มีหรอก"

    อึ้งไป 0.2 วิฯ

    "ไม่เป็นไร..."

    ถ้าเธอเป็นอย่างที่ฉันเคยวาดฝันไว้ การได้เจอกับเธอก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วล่ะ แต่เมื่อมันพลิกล๊อคเกินคาด ก็ยอมรับว่าการที่เธอมาแฮปปี้เบิร์ธเดย์ฉัน เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ไม่น้อย

    หลังจากว่างั้น ยัยนั่นก็หายเข้าไปในครัวอีกรอบ ส่วนผมก็ได้สัมผัสความนุ่มนิ่มของหมอน ได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ จากการทำอาหารนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก

    .........

    ......

    ...

    .

    "นาย...ฝันร้ายรึเปล่า?"

    "ห๊ะ?"

    การที่ตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นเรื่องที่แทบจะชินกับมันไปแล้ว สาเหตุก็มาจากหลายอย่าง ฝันร้ายก็เป็นหนึ่งในนั้น

    วันนี้ผมตื่นมาหลังจากฝันร้ายที่จำไม่ได้ว่าภาพเป็นไง ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ในสถานที่ที่คุ้นชินเช่นในห้องนอนตัวเอง ผมก็คงนอนลืมตาอยู่พักใหญ่ก่อนจะหลับไปอีกโดยไม่ได้คิดติดใจว่ามันเป็นลางร้ายอะไร แต่วันนี้มันไม่ใช่เนี่ยสิ เพิ่งเคยนอนบนโซฟาครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันพิสดารอะไร ที่แปลกใจจริงๆ เป็นของนิ่มๆ อุ่นๆ บนมือมากกว่า แสงสลัวๆ ทำให้เห็นฮารุกะทำหน้าคล้ายกำลังจะพาแมวจรจัดไปหาสัตวแพทย์ ระยะห่างอันน้อยนิดของผมกับเธอทำให้ผมรู้ว่าของนุ่มนิ่มมีอุณหภูมิไม่เกินสี่สิบองศาที่อยู่ในมือตัวเอง คือมือของฮารุกะ

    "ฉัน...เห็นนายพลิกไปพลิกมาและก็ร้องอื้มๆ อะไรไม่รู้ พอเข้ามาดูนายก็...นายก็คว้ามือฉันไปแล้วก็กำซะแน่น...เอ่อ..ฉันไม่รู้ว่าจะทำไงก็รอนายตื่นนี่แหละ"

    ฮารุกะพูดกับผมแต่หันหน้าไปทางโทรทัศน์ซึ่งไม่ได้เปิดไว้แต่อย่างใด ผมจึงปล่อยมือเธอเมื่อรู้สาเหตุ

    "...ขอโทษนะ"

    ผมเกาหลังคอทั้งที่ไม่ได้คัน ฮารุกะเองก็เกาแก้ม ส่วนสายตาก็ยังคงถูกสะกดอยู่บนโทรทัศน์จอมืด

    "อ๋อ..ฮ่ะๆ ไม่เป็นไรหรอก..เอ่อ...นายคงแปลกที่มั้ง เนอะ เข้าใจๆ นายโอเคแล้วใช่ไหม"

    เราต่างคนต่างก็ไม่ได้มองหน้ากัน ผมผงกหัวให้คำถามนั่น

    "งั้นเหรอ...อืม ดีแล้ว..งั้น...ราตรีสวัสดิ์นะ"

    "เช่นกัน..."

    ผมที่ควบคุมความไม่ปกติได้เร็วกว่าเอนหลังพิงโซฟา ฮารุกะลุกขึ้นหันซ้ายหันขวาทั้งที่ไม่ต้องหาอะไร ก่อนจะเดินด้วยจังหวะก้าว พิลึกๆ ขึ้นไปบนชั้นสอง ผมมองส่งโดยที่ยัยนั่นไม่รู้ตัว และผมเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่ายัยนั่นจะเหลียวหลังกลับมา

    เราทั้งคู่ทำเป็นหันหลังกลับทันที ให้ตายเหอะ ฉันชอบผมเธอต่างหาก จะหันหน้ามาทำไมก็ไม่รู้

    "เฮ้อออ"

    น่าแปลกเหมือนกัน แต่ผมก็ถูกความง่วงครอบงำอย่างรวดเร็ว มือขวายังอุ่นๆ อยู่นิดหน่อย บางทีเส้นประสาทจากมือคงจะเชื่อมต่อกับต่อมอะไรสักอย่างของสมอง ทำให้มุมปากผมยกขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ผมอาจกำลังมีความสุขอยู่ก็ได้ถึงยิ้มออกมา ซึ่งอยากจะบอกพวกคุณที่กำลังยิ้มอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกมหัศจรรย์อะไร ก็ผมเป็นลูกยัยนั่นนี่ ถึงเธอจะไม่รู้ตัว แต่ผมกับเธอตอนนี้บางทีอาจจะมีเส้นใยบางๆ อะไรสักอย่างที่เชื่อมถึงกันอยู่...พอดีกว่าผมง่วงแล้ว ขอนอนก่อนนะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×