เลาะรั้วขอบวัง ตอนคำพิพากษาคดีพญาระกา - เลาะรั้วขอบวัง ตอนคำพิพากษาคดีพญาระกา นิยาย เลาะรั้วขอบวัง ตอนคำพิพากษาคดีพญาระกา : Dek-D.com - Writer

    เลาะรั้วขอบวัง ตอนคำพิพากษาคดีพญาระกา

    โดย Jinrawee

    สืบเนื่องจากคดีพญาระกา จากน้ำผึ้งหยดเดียวลุกลามบานปลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก่อนจะมีคำพิพากษาศาลรับสั่งพิเศษออกมาในที่สุด

    ผู้เข้าชมรวม

    724

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    724

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 เม.ย. 54 / 16:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน มีรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ๑ เข้าไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทพร้อมกันแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมให้เจ้าพระยายมราชนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ในวันที่ ๑ มิถุนายนนั้นว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แต่งบทละครเรื่องหนึ่ง เรียกชื่อว่า ปักษีปกรณัม ว่ากล่าวเปรียบเทียบหมิ่นประมาทให้เสียพระนามและพระเกียรติยศ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และเจ้าพยายมราชนำบทละครซึ่งเป็นเหตุแห่งคดีอันนี้ทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า คดีเรื่องนี้จะต้องพิจารณาให้ได้ความจริง และจะต้องวินิจฉัยให้เห็นผิดชอบเด็ดขาด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ๑ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ ๑ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ๑ พร้อมกันเป็นผู้พิพากษาศาลรับสั่ง เรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาสอบถามและพิจารณาเอาความจริงขึ้นกราบบังคมทูลพร้อมด้วยเนื้อเห็นของทั้ง ๓ พระองค์ในความผิดชอบแห่งคดีเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คำพิพากษาศาลรับสั่งพิเศษ

      กระทรวงวัง

      ณ วันพุธที่ ๑ มิถุนายน ร.ศ.๑๒๙ (พ.ศ. ๒๔๕๓) เวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน มีรับสั่งให้หาพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เสนาบดีกระทรวงวัง ๑ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ๑ เข้าไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทพร้อมกันแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมให้เจ้าพระยายมราชนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ในวันที่ ๑ มิถุนายนนั้นว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แต่งบทละครเรื่องหนึ่ง เรียกชื่อว่า ปักษีปกรณัม ว่ากล่าวเปรียบเทียบหมิ่นประมาทให้เสียพระนามและพระเกียรติยศ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ และเจ้าพยายมราชนำบทละครซึ่งเป็นเหตุแห่งคดีอันนี้ทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า คดีเรื่องนี้จะต้องพิจารณาให้ได้ความจริง และจะต้องวินิจฉัยให้เห็นผิดชอบเด็ดขาด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้ากรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ๑ กรมหลวงเทววงษ์วโรปการ ๑ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ๑ พร้อมกันเป็นผู้พิพากษาศาลรับสั่ง เรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาสอบถามและพิจารณาเอาความจริงขึ้นกราบบังคมทูลพร้อมด้วยเนื้อเห็นของข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ในความผิดชอบแห่งคดีเรื่องนี้

      ข้าพระพุทธเจ้าได้มีหมายเรียกกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้มาแก้คดี และให้ทำบรรดาหนังสือปักษีกรณัมเรื่องที่เกิดคดีอันนี้ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีอยู่มาส่ง ณ ที่ว่าการกระทรวงวัง ณ วันที่ ๒ มิถุนายน

      ครั้น ณ วันที่ ๒ มิถุนายน เวลาบ่าย ๔ โมง ข้าพระพุทธเจ้าได้ประชุมพร้อมกัน ณ ที่ว่าการกระทรวงวังที่พระราชวังสวนดุสิต กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ได้นำต้นร่างบทละครเรื่องปักษีปกรณัม ๒ ฉบับ กับสมุดพิมพ์บทละครเรื่องนี้ ๔๙๙ ฉบับมาส่ง ว่าได้สัญญาแก่ช่างพิมพ์ให้พิมพ์ ๕๐๐ ฉบับ อีกหนึ่งได้ทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม เหลืออยู่ ๔๙๙ ฉบับ ไม่ได้จำหน่ายให้ปันแก่ผู้ใด ได้นำมาส่งตามหมายโดยสิ้นเชิง ถ้าแลผู้ใดจะมีหนังสือนี้อยู่ ก็คงจะได้ไปจากผู้พิมพ์ โดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้ทราบ และมิได้อนุญาต

      เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไต่ถามกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ถึงเรื่องหนังสืปักษีกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์รับว่าได้แต่งเอาจริง ได้ดูตามเค้าเรื่องละครฝรั่งเศสเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ชองติแคล” ซึ่งได้อ่านเนื้อเรื่องหนังสือพิมพ์อังกฤษเรียกว่า อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ แต่เรื่องปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้เอาแต่เค้าเรื่องละครของฝรั่งเศสไม่ได้แต่งตรงตามเรื่องละครของฝรั่งเศส เพราะเห็นว่าควรจะต้องแก้ไขให้คนดูในเมืองนี้เป็นที่ชอบใจเป็นสำคัญของการเล่นละคร แต่เรื่องปักษรปกรณัมที่แต่งนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะได้ตั้งพระไทยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครที่หลบหนีมาเป็นท้องเรื่อง ดังที่กรมหม่อมราชบุรีดำฤทธิ์หาว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นหามิได้

      เมื่อได้ความปฏิเสธของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า คดีเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลผู้ใดมาเป็นพยาน เพราะหนังสือที่เกี่ยวแก่คดี เรื่องนี้มีอยู่ทุกอย่าง จึงพร้อมกัน ตรวจหนังสืออันเกี่ยวข้องเป็นหลักฐานควรพิจารณาในคดีเรื่องนี้ ได้ความดังจะกราบทูลต่อไปนี้ คือ

      ๑. ในหนังสือพิมพ์อิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์ ออกเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ (พ.ศ. ๒๔๕๒) ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ประมาณว่า ราววันที่ ๑๒ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๘ มีข้อความบอกเนื้อเรื่องละคร ชองติแคลโดยย่ออยู่ในหน้า ๒๓๕ ว่า ละครเรื่องนี้ตามบทของฝรั่งเศสแบ่งเป็น ๔ ตอนๆ ที่ ๑ กล่าวว่าไก่ผู้ตัวหนึ่งชื่อชองติแคลเป็นใหญ่อยู่ในฝูงไก่ และสัตว์เลี้ยงที่สวนโรงนาแห่งหนึ่ง ชองติแคลเชื่อว่าตัวมีฤทธิและเกิดมาสำหรับขันเรียกให้พระอาทิตย์ขึ้น อยู่มาวันหนึ่งชองติแคลกำลังอยู่ในฝูงบริวารของตน มีนางไก่ฟ้าตัวหนึ่งถูกสุนัขไล่ หนีเข้ามาอาศัยในฝูงบริวารของชองติแคล ๆ มีใจรักใคร่ประดิพัทธ์ต่อนางไก่ฟ้านั้น ตอนที่สองเล่นเป็นเวลากลางคืนมีพวกสัตว์ซึ่งหากินในเวลากลางคืนคือนกเค้าแมวเป็นต้นประชุมกัน สัตว์พวกนี้เชื่อว่าชองติแคลเป็นผู้ทำให้เกิดแสงสว่างเป็นกลางวัน อันเสียประโยชน์การหาเลี้ยงชีพของตน จึงคบคิดกันจะฆ่าชองติแคล โดยคิดอ่านให้ไก่ชนตัวหนึ่งไปตีชองติแคลเสียให้ตาย ในขณะเมื่อประชุมกันอยู่นั้น พอได้ยินเสียงชองติแคล แสงอรุณและดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมา พวกสัตว์กลางคืนต่างก็ต้องแยกไปและชองติแคลกับนางไก่ฟ้าก็ออกมา ตอนที่ ๓ ไก่ต๊อกตัวหนึ่งมีการประชุมนอตโฮมในสวนโรงนา ในเวลาประชุมนั้น ชองติแคลกับไก่ชนเกิดตีกันขึ้น ชองติแคลเกือบจะตาย แต่บังเอิญลงปลายชนะไก่ชน ในขณะนั้นมีเงาเหยี่ยวบินร่อนมา พวกไก่ทั้งหลายพากันกลัว เหยี่ยววิ่งเข้าอาศัยอยู่ในซุ่มปีกชองติแคล ๆ ขันท้าเหยี่ยวหากกลัวไม่ ถึงตอนที่ ๔ เป็นเวลากลางคืนชองติแคลพานางไก่ฟ้าออกไปเที่ยวอยู่ในป่า นางไก่ฟ้ามีความริศยาว่าชองติแคลไปหลงในธุระที่จะเรียกแสงสว่าง จึงทำกลอุบายให้ชองติแคลนอนหลับอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงบอกชองติแคลให้เห็นว่าไปหลงเชื่อว่าตัวมีฤทธิ์เรียกพระอาทิตย์ได้นั้นเปล่า ๆ ชองติแคลโกรธจึงทิ้งนางไก่ฟ้าเสีย กลับไปอยู่ที่สวนโรงนาตามเดิม ส่วนนางไก่ฟ้าถูกทิ้งไม่ช้าก็ติดแร้วของนายพราน ถูกจับไปปล่อยไว้ในโรงนา จึงละพยศยอมอยู่ในความปกครองของชองติแคลต่อไป เนื้อเรื่องละครชองติแคลที่ปรากฏในหนังสืออิลลัสเตรเตดลอนดอนนิวส์เป็นดังนี้

      เรื่องภักตร์หม่อมละครของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่หนีไปนั้น ได้ความตามหนังสือกระทรวงนครบาลกราบบังคมทูล เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๘ ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑ มีใจความว่า ภักตร์ได้อยู่ในวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มาตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ได้ฝึกหัดเป็นละคร โตขึ้นได้เป็นหม่อมกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และได้เล่นละครนฤมิตร อยู่มาจนเดือนพฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๘ เหตุเกิดขึ้นด้วยเรื่องว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ตบตี ภักตร์มีความโกรธ จึงหนีจากวังกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๘ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เที่ยวติดตามภักตร์ จนมีพวกเจ้าของบ้าน ๑๘ ราย มีอำแดงพุดมารดาของภักตร์เป็นต้นไป ร้องต่อกระทรวงนครบาลว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คุมข้าไทยเที่ยวค้นบ้านเรือนของคนเหล่านั้นได้ความเดือดร้อน กระทรวงนครบาลได้บอกคนที่มาร้องทุกข์ให้ไปฟ้องร้องว่ากล่าวยังโรงศาลตามกระบิลเมือง ต่อมาปรากฏว่าภักตร์อาศัยอยู่ฟากข้างโน้น มีผู้บรรดาศักดิ์ได้รับธุระป้องกันภักตร์ คือ เจ้าพระยาภาสกรวงษ์แลเท่านผู้หญิงเปลี่ยน เป็นต้น ครั้นถึงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๘ เวลาบ่าย อำแดงพุดพาภักตร์ไปที่โรงพักพลตระเวนวัดบุบผาราม ร้องขออารักขาเพื่อป้องกันอย่างให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จับกุมไปได้ ภักตร์จะขออยู่โรงพักพลตระเวนจนกว่าจะฟ้องร้องเสร็จคดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่โงศาลกองตระเวน จึงมาแจ้งความต่อเจ้าพระยายมราช ๆ ได้สั่งให้กองตะเวนให้ความอารักขาแก่ภักตร์จนกว่าจะได้มีคำสั่งต่อไปประการใด

      ครั้น ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๘ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เสด็จไปหาเจ้าพระยายมราชที่กระทรวงนครบาล ขออนุญาตที่จะไปพบกับภักตร์ที่โรงพักพลตระเวน เจ้าพระยายมราชได้ทูลว่า ภักตร์นั้นเจ้าพระยายมราชได้สั่งให้ระวังรักษาอย่างหม่อมของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แลตั้งใจเป็นกลางจริง ๆ และข้อที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์จะขอเสด็จไปพบภักตร์นั้น เจ้าพระยายมราชจะอนุญาตไม่ได้ ที่เจ้าพระยายมราชไม่อนุญาตเช่นนี้ ตามจดหมายที่กราบบังคมทูลชี้แจง เจ้าพระยายมราชเห็นว่าในวันนั้นโทษะกำลังมีด้วยกันทั้งฝ่ายกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์และฝ่ายภักตร์ ถ้าให้ไปพบกันไม่ประนีประนอมกันได้ไปเกิดเหตุวิวาทกันขึ้นในโรงพักพลตระเวนก็จะเป็นที่เสื่อมเสีย จะให้ผู้คนครหานินทาเกรียวกราวมากขึ้น ด้วยเรื่องนี้เจ้าพระยายมราชทราบอยู่ว่ามีผู้ถือท้ายพายหัวข้างภักตร์อยู่มาก ความคิดของเจ้าพระยายมราชคิดจะเกลี้ยกล่อมชวนภักตร์ให้ไปอาศัยอยู่ในบ้านพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพหรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ให้พ้นจากโรงพักลาดตระเวนและให้ห่างจากพวกที่ถือท้ายพายหัว จะให้พ้นเป็นความกันเสียชั้นหนึ่งแล้วจะได้ว่ากล่าวเกลี่ยไกล่ให้ทั้งสองฝ่ายตกลงโดยเรียบร้อย เจ้าพระยายมราชได้ทูลความทั้งนี้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ให้ทรงทราบแล้วได้มาหารือข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงเดชานุภาพและกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ถึงเรื่องที่จะฝากภักตร์ไว้ ก็ยอมรับโดยไม่รังเกียจ แต่ข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงเดชานุภาพเห็นว่า ถ้าไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จะดี เพราะกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

      ครั้นวันที่ ๑ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๘ เจ้าพระยายมราชได้ข้ามฝากไปที่โรงพักพลตระเวนบุบผารามเองได้และเรียกภักตร์มาพูดต่อหน้ามารดาและป้าของภักตร์ แนะนำให้กลับไปอยู่คืนดีกับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ โทษทัณฑ์ประการใด เจ้าพระยายมราชรับจะทูลขอมิให้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ทำโทษ ภักตร์ไม่ยอมไปจะขอฟ้องร้องกล่าวให้เด็ดขาด เจ้าพยายมราชจึงว่าที่ภักตร์จะอยู่โรงพักพลตระเวน จะอยู่ได้เพียง ๗ วัน ๑๕ วันเป็นอย่างมาก จะรับเอาไว้นานกว่านั้นไม่ได้ ถ้าภักตร์ไม่กลับไปอยู่กับกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เจ้าพระยายมราชแนะนำให้เลือกไปอยู่อาศัยในที่สองแห่ง คือ บ้านข้าพระพุทธเจ้ากรมหลวงดำรงราชานุภาพแห่งหนึ่ง หรือวังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์แห่งหนึ่ง ข้างภักตร์และมารดาสมัครไปอยู่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เจ้าพระยายมราชจึงพาตัวไปฝากไว้ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์

      ต่อนี้มาไม่ปรากฏว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ติดตามว่ากล่าวแต่ประการใด ภักตร์อยู่ที่วังกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์จนราวเดือน มีนาคม ร.ศ. ๑๒๘ แล้วก็ลาไป จะไปอยู่ที่ใดต่อไปก็หาปรากฏไม่ ความปรากฏในเรื่องของภักตร์ดังนี้

      บทละครเรื่องปักษีนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งลงพิมพ์ที่ที่โรงพิมพ์ศุภการจำรูญในศก ๑๒๙ แต่งเป็น ๔ ตอน ตอนที่ ๑ เรียกว่า ตอนพิศมาตุคาม ตอนที่ ๒ เรียกว่า ตอนสงครามนกเค้าแมว ตอนที่ ๓ เรียกว่า แกล้วเกินหน้า ตอนที่ ๔ เรียกว่า ตอนพิพากษาสมสมัค

      ตอนพิศมาตุคามนั้น ใจความว่า มีไก่ใหญ่ตัวหนึ่งชื่อพญาระกาเป็นไก่กล้ามีบริวารอยู่มากในท้องนา เชื่ออำนาจว่าอาจจะเรียกดวงอาทิตย์ให้ขึ้นตามประสงค์ได้ พระยาระกาพาบริวารหากินอยู่ในท้องนา นางไก่ยี่ปุ่นซึ่งเป็นภรรยาพญาระกาตัวหนึ่ง ไม่ได้ความถึงใจจากพญาระกา จึงหลีกฝูงไปเที่ยวหาไก่หนุ่ม ๆ ไปพบไก่ชนตัวหนึ่งได้ร่วมสมัครสังวาศกับไก่ชนตัวนั้น มีนกเอี้ยงตัวหนึ่งแลเห็นจึงบอกพญาระกาๆ โมโหออกไล่ ไก่ชนและนางไก่ยี่ปุ่นจึงหนีไป นางไก่ยี่ปุ่นหนีไปถึงบึงน้ำขังพบนกกะทุงแก่ตัวหนึ่ง ไปอาศัยอยู่กับนกกะทุง ยายเมียนกกะทุงหึง นกกะทุงเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วจึงรับเอาไว้ ได้มีห่านตัวหนึ่งได้ข่าวว่าพญาระกาโกรธเตรียมทหารจะมาทำร้ายนกกะทุง จึงไปบอกนกกะทุง นกกะทุงจึงพานางไก่ญี่ปุ่นไปฝากไว้ยังรังของพวกเหยี่ยว พญาเหยี่ยวรับป้องกันสรรพไภยให้พ้นพญาระกา และจะไปรักษาสุจริตยุติธรรม แต่กลับพานางไก่ยี่ปุ่นไปฝากพญานกเค้าแมวๆ มีความรักใคร่กระทำชู้แก่นางไก่ญี่ปุ่น จนภรรยานกเค้าแมวหึง ฝ่ายพญาระกาได้ทราบเรื่องนางไก่ญี่ปุ่นไปอยู่กับพญานกเค้าแมว ได้แต่คลุ้มคลั่ง ครั้นจะทำร้านนกกะทุนแล่ห่าน ก็หวาดเสียงและละอายลงปลายต้องเดินเซื่อง ๆ กลับไปรัง

      ตอนสงครามนกเค้าแมว กล่าวถึงไก่ชนเมื่อหนีมาพ้นพญาระกาจึงคิดจะยุยงให้นกพวกหากินกลางคืนกับพวกกบเขียดเข้ากันไปรบพญาระกา จึงไปยุพญานกเค้าแมว ตกลงให้เกลี้ยกล่อมพวกค้างคาวเข้าด้วยอีกพวกหนึ่ง เอาพวกค้างคาวเป็นทัพฟ้า พวกเขียดเป็นทัพเรือ ตอนนี้กล่าวถึงนกยาง ซึ่งอุบายทำตัวเป็นฤาษีรักษาศีล ลอบกินกบเขียดที่เลื่อยล้า จนพวกกบเขียดรู้ เค้าแมว พญาค้างคาว พวกกบเขียดพร้อมกันแล้ว จึงให้ไก่ชนทางยกไป เพื่อจะรบพญาระกา พวกหนูรู้ข่าวรีบไปบอกพญาระกาให้รู้ว่าเขายกมารบ พญาระกาจึงเรียกนกยาง พวกกา พวกนกพร้อมกันมารบพวกนกเค้าแมว พญาระกาขันเรียกพระอาทิตย์แสงอรุณขึ้น พวกนกเค้าแมวก็พากันตามืดหลบหนีไป พวกนกยางกับไก่กาแมวก็ไล่ทำอัตราแก่พวกนกเค้าแมวล้มตายแตกพ่ายไป

      ตอนแกล้วเกินหน้า ใจความว่า มีนางเป็ดตัวหนึ่งรักพญาระกาไป ล่อพระยาระกาจนติด พวกนางไก่พากันหึงเกิดวิวาทขึ้นกับนางเป็ด ขณะนั้นมีสุนัขชื่อพญาจอเข้ามาไล่กัดฝูงไก่ตายหลายตัว พญาระกาเสียใจ นางเป็ดเลยยุส่งว่า ทั้งนั้นทั้งนี้ เพราะพวกนางไก่มาก่อการวิวาทขึ้น พญาระกาเชื่อนางเป็ดจึงตีไล่พวกไก่หนีไป นางเป็ดปลอบพญาระกาอย่างเสียใจ จะเป็นแม่สื่อให้ชักนำไก่ฟ้ามาให้ ครั้นไปพบนางไก่ฟ้าในเวลากลางคืน เกี้ยวพานางไก่ฟ้าก็รัก นางไก่ฟ้าว่าพญาจอบิดาไก่ฟ้าได้บอกไว้ว่า พญาระกามีฤทธิ์ขันเรียกพระอาทิตย์ให้ขึ้นได้ ขอเห็นฤทธิ์ก่อน พญาระกาก็ฮึกเหิมขันเรียกพระอาทิตย์จนเหนื่อย พระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น นางไก่ฟ้าเห็นไม่จริงก็หนี ไปได้นกยูงเป็นสามี พญาระกาได้เห็นนางไก่ฟ้าได้นกยูงเป็นสามีก็เสียใจ นางเป็ดรับอาสาจะหาให้ใหม่ ไปหานางไก่งวง นางไก่ต๊อก มาให้ก็ไม่ชอบใจ จึงกลับมายังฝูงไก่อย่างเดิม มาเห็นไก่ชนเป็นเจ้าของฝูง แลไก่ชนได้แบ่งนางไก่ให้แก่ไก่หนุ่มๆ ฝูงไก่เหล่านั้นไม่ยอมให้พญาระกาเป็นใหญ่ต่อไป พญาระกาเสียใจจึงไปหาพญาแร้ง ด้วยเห็นว่าพญาแร้งทรงศีลธรรมไม่กินสัตว์เป็น

      ตอนพิพากษาสมสมัคว่า พญาระกาไปเล่าความทุกข์ร้อนทั้งปวงถวายพญาแร้งๆ จึงให้กากับนกปูดไปเรียกฝูงไก่กับค้างคาว นกเคาแมว หนู นกยาง มาประชุม พญาแร้งสำแดงธรรมพิจารณาพิพากษาตามสัตย์สุจริตไม่ลำเอียง โจทก์จำเลยทุกฝ่ายต่างยินยอมตามคำพญาแร้งจบความเรื่องปักษีปรกณัมเท่านี้


      ข้อวินิจฉัยข้อต้นว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่งเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามนั้น ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความหรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ตั้งพระทัยเอาเรื่องภักตร์หม่อมละครมาแต่งเป็นโครงความตอนนี้ โดยเหตุผลหลายอย่าง คือ

      ข้อ ๑ เรื่องชองติแคลนี้ มีขึ้นทีหลังเหตุเรื่องภักตร์หนี เพราะฉะนั้นเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ต้องแต่งทีหลังเมื่อเกิดเหตุเรื่องภักตร์หนีแล้ว จะเป็นเรื่องที่แต่งไว้แต่เดิม แต่บังเอิญความไปต้องกันเข้ากับเรื่องภักตร์หนีนั้นไม่ได้

      ข้อ ๒ แม้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ว่า เอาเรื่องชองติแคลเป็นแบบแต่งเรื่องปักษีปกรณัมนี้ เนื้อเรื่อชองติแคลกับเรื่องปักษีปกรณัมเหมือนกันแต่เพียงตัวละครแต่งเป็นสัตว์เดียรฉานกับมีสัตว์เดียรฉานอย่างเดียวกันทั้ง ๒ เรื่องอยู่บ้าง นอกจากนี้ความ ๒ เรื่องผิดกันมาก กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ก็ได้รับเองว่าได้แก้ไข ไม่ได้เอาเรื่องชองติแคลแท้

      ข้อ ๓ เมื่อเอาโคลงความเรื่องภักตร์หม่อมละครเป็นเรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคามเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าโคลงความตรงกันทั้ง ๒ เรื่อง ข้อนี้กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ชี้แจงว่าการแต่งบทละครหรือหนังสือเรื่องใดๆ ยากที่จะป้องกันความเข้าใจแลถือใจของบุคคลได้ทั่วไป ไม่ว่าเรื่องที่แต่งมาแต่โบราณหรือเรื่องแต่งใหม่ อาจจะมีผู้เห็นว่าใส่ร้ายตนได้ตามความเข้าใจของคนนั้น ๆ และเรื่องปักษีปกรณัมที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ ก็มีที่ผิดเพี้ยน อันอาจจะแลเห็นได้ว่าไม่ตรงกับเรื่องที่ภักตร์หนีอยู่หลายแห่ง ยกตัวอย่างดังที่ว่าพญานกเค้าแมว มีนางละครระบำในตอนสงครามนกเค้าแมวนั้น กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ก็ไม่มีละเม็งละครแลนางระบำอะไร และไม่ได้ประชุมกับผู้ใด ซึ่งจะตรงกับพวกกบ เขียด ค้างคาว จะว่าแต่งเรื่องนี้เปรียบเทียบกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์อย่างไร การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์คัดค้านดังนี้ ก็เพื่อประโยชน์ในการแก้คดีของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ แต่ความจริงข้อที่จะเป็นว่าผู้ใดหรือไม่นั้นในหน้าที่ของตุลาการที่จะพิจารณาจะพิเคราะห์ลงเนื้อเห็นต่างหาก ผู้ที่รู้สึกว่าหมิ่นประมาท หามีอำนาจที่จะชี้ขาดโดยลำพังตนไม่ อีกประการหนึ่งที่จะแก้ว่าในหนังสือเรื่องเดียวกัน ถ้าในตอนหนึ่งเรื่องไม่ได้เทียบเรื่องด้วยภักตร์หนีแล้ว ตอนอื่นก็ไม่ได้เทียบด้วยฉะนี้ ไม่เป็นข้อความที่ควรจะฟังได้ แท้จริงในเรื่องที่ภักตร์หม่อมละครหนีนั้นความเคืองแค้นของกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ที่ไม่สามารถจะเอาตัวภักตร์กลับคืนมาไว้ในอำนาจได้ดังพยายาม ก็พอจะแลเห็นกรณีเหตุเจตนาในการแต่งละครตอนพิศมาตุคามอยู่ชั้นหนึ่ง ความในบทละครพิศมาตุคามนั้น แม้ผู้ใดอ่าน ถ้าเป็นผู้ที่รู้เรื่องภักตร์หนี โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจศัพท์ซึ่งใช้แลซึ่งเข้าใจกันอยู่ในมณฑลที่สูงแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าจะเข้าใจไปอย่างอื่น นอกจากเข้าใจว่าเอาเรื่องภักตร์หนีมาเป็นโคลงไม่ได้เลยทีเดียว

      ข้อวินิจฉัยข้อ ๒ ว่า หนังสือเรื่องปักษีปรกณัมซึ่งกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่งนี้ชื่อมีแต่ชื่อสัตว์เดียรฉานไม่มีชื่อบุคคลจะหมิ่นประมาทบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้หรือไม่ ข้อนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า การที่จะออกชื่อผู้ใดหรือไม่ออกชื่อผู้ใดนั้นไม่สำคัญในความเสียหาย ข้อสำคัญอยู่ในว่า ถ้าความที่กล่าวนั้นเป็นความหมิ่นประมาท และผู้ที่ทราบความนั้น ทราบได้ว่าหมิ่นประมาท ผู้นั้นๆ ก็เป็นการหมิ่นประมาทเหมือนกันออกชื่อเหมือนกัน

      ข้อวินิจฉัยข้อ ๓ ว่า ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ เอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่งเป็นเรื่องละครตอนพิศมาตุคามอย่างนี้ เป็นการหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์หรือไม่

      ลักษณะหมิ่นประมาทตามความในประมวลกฎหมายอาญา ส่วนที่ ๘ หมวดที่ ๓ มาตรา ๒๘๒ ว่า ผู้ใดใส่ความเอาผู้อื่นซึ่งอาจจะให้เขาเสียชื่อเสียง หรืออาจจะให้คนทั้งหลายดูหมิ่นหรือเกลียดชังเขา ถ้ามันกล่าวต่อหน้าคนแต่ ๒ คนไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ ๒ คนขึ้นไปก็ดี ท่านว่ามันมีความผิดฐานหมิ่นประมาทเขา มันต้องระวางโทษานุโทษเป็น ๓ สถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำทั้งปรับด้วย โดยกำหนดทีว่ามาแล้ว ถ้าแลมันใส่ความเขาด้วยมันโฆษณาในสมุดหรือหรือหนังสื่อที่มีคราวกำหนดโฆษณาหรือในหนังสือพิมพ์บอกข่าวหรือโฆษณาในแบบอย่าง และในจดหมายอย่างใด ๆ โทษของมันผู้กระทำผิดหนักขึ้นทั้งสามสถาน คือ สถานหนึ่งให้จำคุกไม่เกินปีหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งทั้งจำคุกและปรับด้วย โดยกำหนดที่ว่ามานี้ ดังนี้

      เรื่องปักษีปกรณัมตอนพิศมาตุคาม เป็นความว่าเปรียบอันเห็นได้ชัดดุจบุคคลเอาวัตถุอันใดซ่อนไว้ในถุงผ้าโปร่งว่าง นางไก่ยี่ปุ่นนั้นหมายถึงตัวภักตร์หม่อมละคร พญาเหยี่ยวหมายตัวว่าเจ้าพยายมราช และพญานกเค้าแมวหมายตัวว่า กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ตามเรื่องที่กล่าวว่า พญานกเค้าแมวรับไก่ยี่ปุ่นไว้แล้ว และกระทำชู้กับนางไก่ญี่ปุ่นนั้น เป็นการใส่ความซึ่งอาจจะให้เสียชื่อเสียง ใช่แต่เท่านั้น ความที่กล่าวถึงพญาเหยี่ยวว่า เป็นเจ้าอุบายมารยาก็เป็นการหมิ่นประมาท เจ้าพระยายมราชด้วยอีกคนหนึ่ง แต่เพราะความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ ว่าการฟ้องร้องเอาโทษแก่ผู้กระทำความผิดหมิ่นประมาทนั้น ท่านให้ถือว่าต่อผู้ที่ได้รับความเสียงหานมาร้องทุกข์ จึงให้เจ้าพนักงานเอาคดีนั้นขึ้นว่ากล่าวดังนี้ ตามจดหมายที่เจ้าพระยายมราชทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นแต่นำความทุกข์ร้อนในส่วนตัวเจ้าพยายมราชด้วยไม่ จึงควรสันนิฐานแต่ในส่วนที่หมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์พระองค์เดียว

      ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ ลักษณะที่จะเป็นหมิ่นประมาทกล่าวไว้ในกฎหมายว่า ผู้ที่กล่าวต้องกล่าวต่อหน้าบุคคล ๒ คนขึ้นไป หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่ ๒ คนขึ้นไปอันนับว่าเป็นอย่างโทษเบาประการหนึ่ง ถ้าโฆษณาในสมุดหรือในหนังสือที่มีกำหนดคราวโฆษณา หรือโฆษณาในแบบอย่างและในจดหมายอย่างใดๆ นับว่าเป็นโทษหนักประการหนึ่ง

      กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ชี้แจงว่า เรื่องปักษีปรกรัมนี้ไม่ได้บอกแก่ผู้ใด ๒ คนพร้อมกัน หรือไม่ได้ส่งหนังสือไปให้แก่ผู้ใดพิมพ์สองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใดสองคนพร้อมกัน และพิมพ์แล้วก็ไม่ได้จำหน่ายดังอธิบายไว้ในประมวลอาญาราชบุรีดังนี้ หนังสือประมวลอาญาราชบุรีเป็นหนังสือแต่งขึ้นโดยความเห็นเฉพาะพระองค์กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย แม้จะว่าประการใด ข้าพระพุทธเจ้าหาได้เอามาเป็นหลักในทางวินิจฉัยในคดีเรื่องนี้ไม่ เพราะตัวบทกฎหมาย มาตรา ๒๘๒ มีอยู่ชัดว่า ถ้ากล่าวต่อหน้าคนแต่สองคนขึ้นไปก็ดี หรือกล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปก็ดี กฎหมายว่าเป็นฐานหมิ่นประมาทความที่กล่าวแก่บุคคลนับแต่สองคนขึ้นไปนี้ หมายความชัดเจนว่า แม้กล่าวแก่แต่ทีละคน ถ้าจำนวนที่ได้ฟังแต่สองคนขึ้นไป เป็นฐานหมิ่นประมาท มรส่วนโฆษณานั้น คำว่า โฆษณานี้คนมักเข้าใจว่าต่อประกาศแผ่เผยดังพิมพ์หนังสือขายหรือเขียนประกาศปิดให้ใคร ๆ รู้ได้ทั่วไปจึงจะเป็นโฆษณาแต่คำว่าโฆษณาในกฎหมายมาตรานี้ ไม่ได้หมายความเช่นนั้นและไม่ได้หมายเฉพาะแต่ต้องพิมพ์ เพราะกฎหมายในมาตรานี้ได้กล่าวความจำแนกไว้ชัดว่า โฆษณาในหนังสือพิมพ์อย่างนั้นๆ ก็ดีในแบบอย่างก็ดี ในจดหมายอย่างใดๆ ก็ดี เพราะฉะนั้นแม้แต่เขียนจดหมาย อันเป็นความหมิ่นประมาทด้วยลายมือ ส่งไปให้ผู้อื่นได้อ่านรู้ความจดหมายนั้นแต่สองคนขึ้นไป ต้องเป็นโฆษณาตามความในกฎหมายมาตรานี้ ไม่จำจะต้องรอไว้จนถึงหนังสือนั้นได้ออกจำหน่ายจึงจะเป็นโฆษณา การที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้ส่งหนังสือเรื่องปักษีปรกณัมไปให้โรงพิมพ์ตีพิมพ์นั้น พออยู่แล้วที่จะถือว่าเป็นจดหมาย และในการพิมพ์ต้องมีผู้ได้รู้เห็นอ่านกว่าสองคนขึ้นไป ใช่แต่เท่านั้นยังมีความปรากฏว่าหนังสือเรื่องนี้ได้มีผู้อื่นได้ไปอ่านอีกถึงกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้ว่า เจ้าของโรงพิมพ์หากให้ไปโดยกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ไม่ได้อนุญาต เหมือนอย่างผู้ร้ายลักไป ถ้าจะยอมข้อความอย่างที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แก้นี้เป็นข้อแก้ตัวก็จะต้องยอมถึงหากว่าผู้ใด ๆ เขียนข้อความอันเป็นข้อหมิ่นประมาทแล้วเที่ยงจงใจหรือละเลยวางทิ้งไว้ มีผู้อื่นไปพบเห็นรู้ความโดยผู้เขียนไม่ได้อนุญาต จะไม่เป็นหมิ่นประมาทด้วยความผิดที่สำคัญอย่ในชั้นที่กล่าวหรือเขียนคำอันหมิ่นประมาทผู้อื่น ถ้าผู้ที่ไม่อยากปิดแล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าว หรือไม่ควรจะเขียนทีเดียว ถ้าได้กล่าวหรือได้เขียนไปแล้วความผิด ๆ กันแต่เพียงมากและน้อยหาเป็นเหตุที่จะลบล้างเพราะผู้อื่นรู้โดยได้รับอนุญาตหรือไม่ได้รับอนุญาตไม่ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่า กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์มีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยโฆษณาด้วยจดหมาย

      ในกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๓ ในหมวด ๓ มีข้อยกเว้นไม่เอาโทษแก่ผู้แสดงความคิดเห็นของตน ซึ่งคิดเห็นโดยสุจริตในลักษณะต่าง ๆ ๔ ประการ คือ

      ๑. ในการที่จะแสดงความชอบธรรมของตน หรือในการที่จะต้องต่อสู้ป้องกันตนหรือในการป้องกันประโยชน์ อันชอบด้วยกฎหมายประการหนึ่ง

      ๒. เจ้าพนักงานกล่าวความในรายงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตนประการ ๑

      ๓. การที่กล่าวสรรเสริญและติเตียนบุคคลหรือสิ่งใด ๆ โดยสุภาพ อันเป็นวิสัยธรรมดาสาธารณชนย่อมกล่าวกันประการ ๑

      ๔. การที่โฆษณาหรือกล่าวถึงการที่ดำเนินอยู่ในโรงศาลใด ๆ หรือในที่ประชุมใดๆ และกล่าวแต่โดยสุภาพประการหนึ่ง

      ลักษณะที่แสดงความคิดเห็น ๔ ประการนี้ กฎหมายว่า ไม่มีโทษฐานหมิ่นประมาท

      กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ได้แก้คดีเรื่องนี้ว่า ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะเอาเรื่องภักตร์หนีมาแต่เป็นโคลงบทละครเรื่องปักษีปกรณัม เป็นการปฏิเสธข้อหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่เข้าในข้อยกเว้นประการใดในกฎหมายมาตรานี้

      ฐานโทษการหมิ่นประมาทด้วยการเขียนจดหมาย ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๒ มีโทษสามสถาน คือ สถานที่หนึ่งให้จำคุกไม่เกินปรับหนึ่ง หรือสถานหนึ่งให้ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือสถานหนึ่งให้จำคุกและปรับด้วยโดยกำหนดที่ว่ามาทั้งสองสถานกฎหมายว่าได้ดังนี้ทางพิจารณาเรื่องนี้ได้ความว่า เจ้าพระยายมราชเป็นผู้ขอร้องให้กรมหมื่นราชบุริดิเรกฤทธิ์ช่วยรับภักตร์ไว้ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ให้อารักขาแก้ภักตร์โดยถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพื่อจะป้องกันความเสียหาย อันอาจจะเกิดขึ้นแม้แก่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์เอง กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์กลับหมิ่นประมาทกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ด้วยแกล้งแต่งบทละครใส่ความให้เสียพระนามและเกียรติยศดังนี้ เป็นความผิดหนักอีกชั้นหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันว่ากรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์ ควรรับพระราชอาญาจำขังไว้มีกำหนดปีหนึ่งตามกฎหมาย ส่วนหนังสือ ปักษีปกรณัม ที่กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงษ์แต่ง ซึ่งเป็นต้นฉบับก็ดี หรือที่โรงพิมพ์ก็ดี ควรให้เผาไฟเสียให้สิ้นเชิง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ พร้อมกันดังนี้

      ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ

      กรมขุนสรรพสิทธิ์

      เทววงษ์วโรปการ

      ดำรงราชานุภาพ

      ณ วันที่ ๖ มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๙



      ขอบคุณที่มาของบทความ: คุณ เพ็ญชมพู เว็บไซต์ pantip.com และสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก: http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/08/K8266277/K8266277.html

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×