ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mera deewana pati... ความลับแห่งหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #5 : การพบกันและการแยกจาก 5

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 58


    การพบกันครั้งแรกของเธอกับท่านรัณวีร์เป็นไปด้วยดีกว่าที่เธอเคยคิดฝันไว้เสียอีก!

                    ซาห์ริชอยากกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปรอบๆตัวว่าที่สวามีผู้หล่อเหลา สง่างาม และแสนจะสุภาพของเธอ แต่แน่นอนว่าเธอต้องไม่ทำเช่นนั้น... หรือเธออาจจะทำสักวันหลังแต่งงานไปแล้วก็ได้! ซาห์ริชยิ้มอย่างดีใจเมื่อคิดว่าว่าที่สวามีของเธอแสนดียิ่งนักทีไม่มีท่าทีไม่พอใจแม้แต่น้อยเมื่อเธอเริ่มต่อปากต่อคำกับเขา ตรงกันข้าม เขากลับดูจะพอใจเสียอีก พอใจมากๆเสียด้วย รอยยิ้มของเขาที่เธอเห็นดูไม่คุ้นชินแต่ก็จริงใจ เธอคิดว่าเขาอาจยิ้มไม่บ่อยพอในชีวิตนี้ ซึ่งเมื่อคิดถึงการออกศึกของเขาที่บ่อยพอๆกับที่อิมานเปลี่ยนคู่รัก เธอจึงไม่ขอแปลกใจใดๆกับเรื่องที่ว่า

                    ซาห์ริชสัญญากับตัวเองว่าทันทีที่เธอได้เจอท่านพี่ซาอิฟครั้งหน้า เธอจะคุกเข่าขอบคุณเขาซ้ำๆไม่ต่ำกว่าพันครั้งที่ดำเนินการหมั้นหมายนี้ขึ้นมา เธอตกหลุมรักรัณวีร์ทันทีที่ได้สนทนากับเขา แม้ว่าตอนนั้นเธอจะไม่ทราบว่าเขาคือรัณวีร์ก็เถอะ แต่ยอมรับว่าเธอตกใจสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปแทบจะทันทีที่เธอเอ่ยชื่อตัวเองออกมา บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่คาดว่าจะเจอคู่หมั้นในที่แบบนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม การที่เขากลับมาทำท่าทีสุภาพในทันใดก็ทำให้เธอโล่งใจมิใช่น้อย แม้ว่าจะเป็นท่าทีสุภาพที่ห่างเหินกว่าเก่าก็เถอะ

                    นั่นต้องเป็นเพราะเขาแปลกใจที่รู้ว่าฉันเป็นเจ้าหญิง ซาห์ริชคิดอย่างกระตือรือร้น แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีเวลามากมายทั้งชีวิตที่จะลบท่าทีห่างเหินนั้นออกจากตัวเขา บางทีอาจสำเร็จตั้งแต่คืนแต่งงานก็ได้!

                    โชคดีที่รัณวีร์ไม่รับรู้ถึงความคิดนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงทำอย่างที่มารดาของเธอเคยคาดไว้เมื่อนานมาแล้ว นั่นคือการวิ่งหนีเธอก่อนถึงพิธีแต่งงานนั่นเอง

                    "ข้าคิดว่ายังไม่ต้องการให้ท่านรับใช้อะไรหรอกค่ะ ท่านรัณวีร์" ซาห์ริชเอ่ยเสียงสดใสเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป "ข้าคงต้องพูดว่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน เพราะข้าได้ยินว่ามีผู้หญิงน้อยมากในอารยวรรต[1]ที่ได้พบว่าที่สวามีของตนก่อนเข้าพิธีวิวาห์ เป็นอะไรที่ชาวต่างชาติอย่างข้าไม่อาจเข้าใจได้เลย"

                    "รวีปุระเป็นดินแดนแรกที่ชาวต่างชาติเข้ามาบุกเบิกหรือบุกรุกก่อนใครเสมอในอารยวรรต ดังนั้นที่นี่จึงไม่เคร่งครัดกับกฎดังกล่าวนัก" ซาห์ริชอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดชายหนุ่มที่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนหน้านี้จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นเย็นชาขนาดนี้ได้ บางทีความไม่เข้าใจของเธออาจแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป เพราะเขารีบพูดเสริมว่า "แต่อย่าเข้าใจผิดไป องค์หญิงซาห์ริช ข้าเองก็ดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านในเวลาและสถานที่ที่ไม่เหมาะไม่ควรนี้เช่นกัน"

                    "มันอาจไม่ใช่เวลาและสถานที่ที่ควรนัก แต่ข้าเชื่อว่าข้าจะจดจำวันนี้และการพบกันครั้งนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของข้า" คำพูดตรงๆที่ออกมาจากใจของเธอนั้นอาจทำให้เสด็จแม่เป็นลมเมื่อมาได้ยินเข้า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซาห์ริชรู้สึกว่าเธอควรพูดมันออกไปให้เขาได้รับรู้

                    "ข้าเองก็เช่นกัน ข้าจะจดจำเหตุการณ์วันนี้ไปตลอดชีวิตของข้า" รัณวีร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน นัยน์ตาฟ้าเหลือบเงินที่กำลังมองตรงมายังเธอของเขาฉายแววบางอย่างที่เธอไม่อาจระบุได้ แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกว่างโหวงข้างในแปลกๆอย่างไรพิกล "ทุกๆเช้าที่ข้าตื่นขึ้นมา องค์หญิงซาห์ริช ข้าจะจดจำเรื่องนี้ไว้ตลอดไป ข้าสัญญา"

                    "บางทีการปลุกที่ไม่เหมือนใครของข้าคงประทับอยู่ในใจท่านไม่รู้ลืมกระมัง จึงทำให้ท่านนึกถึงข้าทุกครั้งที่ตื่นนอน" ซาห์ริชพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างไม่แน่ใจ เธออยากให้รัณวีร์ยิ้มให้เธออีกครั้งเพื่อเป็นการสัญญาโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดว่าเธอกับเขาจะมีความสุขในชีวิตแต่งงานไปจนแก่เฒ่า แต่เขาก็ไม่ได้ทำ ซาห์ริชรู้สึกราวกับว่าชายหนุ่มผู้ร่าเริงที่แสดงออกชัดเจนว่าตกหลุมรักเธอเข้าเต็มเปาเมื่อครู่กำลังห่างไกลออกไปทุกขณะ ดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือออกไปจับแขนเขาไว้ เพื่อไม่ให้เขาห่างเธอไปยิ่งกว่านี้ เช่นเดียวกับที่เขาคว้าแขนเธอในทันทีที่เขาลืมตาตื่นเมื่อครู่

                    "ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านตกใจก่อนหน้านี้ค่ะ ท่านรัณวีร์" เธอรีบขอโทษทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่อิมานพูดเสมอว่าการขอโทษเป็นสิ่งที่ดีที่เธอควรทำให้บ่อยกว่านี้ ดังนั้นเธอจึงพูดมันออกไปกับชายที่เธอรัก "หากทำให้ท่านสบายใจได้ละก็ ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะไม่มีวันปลุกท่านด้วยปลายเท้าแบบนั้นอีก มันจะไม่เกิดขึ้นแน่ค่ะในทุกเช้าที่เราตื่นมาด้วยกัน"

                    ซาห์ริชโล่งใจเป็นอย่างมากเมื่อในที่สุดเธอก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง แม้จะเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เธอไม่เข้าใจก็เถอะ "ข้ายินดีให้เจ้าปลุกด้วยปลายเท้าเล็กที่น่ารักของเจ้าทุกวัน หากเราทั้งคู่มีโอกาสตื่นนอนด้วยกันทุกเช้าจริงๆ"

                    หญิงสาวจับแขนเขาแน่นขึ้นด้วยความตกใจ "ท่านหมายความว่าอย่างไรคะกับคำพูดเมื่อครู่! ท่านกำลังบอกข้าใช่ไหมว่าเราจะไม่มีอนาคตด้วยกัน หรือว่าข้าทำอะไรที่ท่านไม่พอใจ..."

                    "เจ้าไม่ได้ทำอะไรที่ข้าไม่พอใจแม้แต่น้อย ซาห์ริช" รัณวีร์เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนพลางกุมมือเย็นเฉียบทั้งสองข้างของเธอ "ข้าหมายความว่า ข้าต้อง... ทำสงครามอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีพวกฮั่นคนใดเข้ามาทำร้ายประชาชนของข้าอีก และข้าจะนำทัพไปช่วยเหลือประเทศของเจ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าที่เจ้าคาดไว้"

                    "ท่านจะช่วยเหลือฆาซนีจริงๆเหรอคะ!" ซาห์ริชถามด้วยความตื่นเต้น หากรัณวีร์รับปากเช่นนี้ก็เท่ากับว่า หน้าที่ที่เธอมีต่อท่านพี่ซาอิฟและประเทศชาติสำเร็จลุล่วงเสียก่อนที่เธอจะเข้าพิธีวิวาห์เสียอีก

                    "ก็นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าและราชาคนปัจจุบันต้องการ จึงได้จัดงานแต่งงานครั้งนี้ขึ้นไม่ใช่หรือ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบจนซาห์ริชรู้สึกใจคอไม่ดี

                    "ไม่ใช่เสียทีเดียวค่ะ! ข้าหมายถึง... นั่นเป็นความคิดของท่านพี่ซาอิฟจริงๆ แต่ไม่ใช่ค่ะสำหรับข้า... แต่ข้าเองก็อยากช่วยประเทศเท่าที่ทำได้เหมือนกัน" หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบไม่เป็นภาษา "แต่ไม่ใช่แค่เพราะอย่างนั้นหรอกค่ะ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมามากมายก่อนที่ข้าจะได้พบท่านจริงๆเสียอีก ข้าชื่นชมท่านมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่ท่านปราบปรามจลาจลทั้งในประเทศและนอกประเทศได้หมดทันทีที่ราชาองค์ก่อนสิ้น และสถาปนารวีปุระ ดินแดนที่รวมเอาดินแดนทั้งหลายของแม่น้ำทั้งห้าเข้าด้วยกัน สำหรับข้าท่านคือวีรบุรุษที่มีลมหายใจค่ะ แล้วยิ่งตอนที่ท่านเป็นพันธมิตรคนแรกที่อาสาเข้าช่วยกองทัพของพระเจ้าหรรษะนั้นก็ยิ่งทำให้ข้าชื่นชอบท่านมากยิ่งกว่าเดิม ท่านเป็นราชาที่แตกต่างจากท่านพี่ซาอิฟของข้าค่ะ มันน่าละอายที่จะพูด แต่ข้าคงต้องยอมรับว่าท่านพี่ซาอิฟเป็นห่วงแต่ราชบัลลังก์ของตนเองเท่านั้น เขาไม่ได้คิดถึงประชาชนและประเทศชาติของตนเองเลย ดังนั้นท่านจึงเป็นวีรบุรุษในดวงใจของข้ามาตลอด และข้าก็ตกลงอย่างไม่ลังเลทันทีที่ท่านพี่ซาอิฟเอ่ยถึงการหมั้นหมายเพราะอยากพบกับท่านสักครั้งค่ะ"

                    "เมื่อพบแล้วเป็นอย่างไรละ" รัณวีร์ผายมือทั้งสองข้างออกข้างลำตัว "ข้าเป็นวีรบุรุษอย่างที่เจ้าคาดไว้ไหม"

                    "ท่านเป็นยิ่งกว่านั้นค่ะ" ซาห์ริชยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกทั้งหมดของเธอ ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจของเธอที่มีให้เขามานานแสนนาน "สำหรับข้า แม้จะยังไม่มีพิธีวิวาห์ แต่ว่าท่านก็เป็นสวามีของข้าแล้วค่ะตอนนี้ ข้าไม่มีวันมอบความรักให้คนอื่นได้อีกทันทีที่ข้าได้สนทนากับท่านเมื่อครู่นี้แล้วค่ะ"

                    ทันใดนั้นเขาก็ทำสิ่งสุดท้ายที่เธอคิดว่าจะได้รับจากสวามีแสนสุภาพผู้นี้ เขารั้งตัวเธอมากอดแนบสนิทกับกายเขาราวกับเป็นคนๆเดียวกัน ร่างสูงแข็งแรงของเขาให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนกับอยู่ที่บ้านตอนที่เสด็จพ่อยังอยู่อย่างไรอย่างนั้น ซาห์ริชซุกใบหน้าเข้ากับชุดสีกรมท่าที่ปกปิดแผ่นอกกำยำของเขามากยิ่งขึ้นเพื่อสูดเอากลิ่นสดชื่นของต้นสน กลิ่นอับๆของควันไฟ และกลิ่นสาบน้อยๆของม้าที่ผสมกันออกมาเป็นกลิ่นของราชานักรบ กลิ่นของรัณวีร์... สวามีที่รักในใจเธอ แม้จะไม่ได้หอมชื่นใจเหมือนกลิ่นเครื่องหอมนานาชนิดที่เธอชื่นชอบ แต่ซาห์ริชก็แน่ใจว่านี่จะเป็นกลิ่นที่เธอโปรดปรานที่สุดนับจากนี้เป็นต้นไป เธอยิ้มกว้างเมื่อเขากอดแน่นขึ้น ในเวลานี้ซาห์ริชสาบานว่าเธอมองเห็นอนาคตต่างๆมากมายที่เธอจะมีร่วมกับเขาอยู่เบื้องหน้า เธอมองเห็นลูกชายที่มีนัยน์ตาสีอำพันเหมือนเธอ และลูกสาวที่มีนัยน์ตาสีธารน้ำแข็งเหมือนเขา ซึ่งเธอจะบอกสิ่งที่เธอเห็นนี้กับเขาทันทีที่ทั้งคู่แต่งงานกัน เพื่อขอความร่วมมือจากเขาในการสร้างสรรค์เด็กน้อยผู้งดงามเหล่านั้นออกมา

                    ซาห์ริชรู้สึกถึงความเปียกชื้นบนหน้าผากของเธอที่ซบกับอกเขา เธอคิดว่าน่าจะเป็นน้ำค้างที่เกิดจากหมอกทั่วบริเวณนี้มากกว่า เนื่องจากเธอรู้ดีเกินกว่าที่จะคิดว่าเป็นน้ำตาของชายหนุ่มผู้นี้ รัณวีร์ที่เธอเคยได้ยินมาเป็นคนแข็งแกร่งเกินกว่าจะร้องไห้ต่อหน้าใครๆ ดังนั้นเธอจึงยืนกอดกับเขาอย่างสงบใจต่อไปอีกนาน ทว่าก็ไม่นานอย่างที่เธออยากให้เป็น เมื่อจู่ๆก็มีเสียงคนวิ่งและตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งร้อน

                    "ท่านรัณวีร์! ข้าขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาส่วนตัวเช่นนี้ แต่ทหารกองโจรของพวกหูณะโจมตีเราอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อสักครู่ พวกเราต้องการให้ท่านบัญชาการเดี๋ยวนี้!"

                    รัณวีร์คลายอ้อมแขนที่กอดรัดเธออย่างไม่เต็มใจ ทำให้ซาห์ริชมองเห็นผู้เข้ามาขัดช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอกับเขาอย่างเต็มตา เขาเป็นผู้ชายผิวเข้มที่มีรูปร่างและส่วนสูงพอๆกันกับรัณวีร์ แต่นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีอะไรเหมือนกันอีก ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าที่ควรเรียกว่างดงามมากกว่าหล่อเหลา อย่างไรก็ดีใบหน้าที่งดงามนั้นบัดนี้กลับบิดเบี้ยวด้วยความกังวลระคนเจ็บปวด เธอสังเกตว่ามีเลือดออกอยู่หลายจุดบนเสื้อผ้าของเขา ซึ่งเมื่อเธอสังเกตว่าที่สวามีของเธอดูดีๆ เธอก็เห็นร่องรอยแบบนั้นบนเสื้อผ้าสีเข้มของเขาเช่นเดียวกัน นั่นทำให้เธอเย็นวาบไปทั้งตัวด้วยความกังวลว่า รัณวีร์จะได้รับบาดแผลแบบนี้อีกเท่าไหร่หากเขาออกไปนำทัพอีกตอนนี้

                    "ดาส! พานางไปยังที่ปลอดภัย ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้" รัณวีร์สั่งการชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเฉียบขาด แล้วหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ไปกับเขา แล้วข้าจะไปพบเจ้าหลังจากนี้"

                    ซาห์ริชรู้ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าจะมาเป็นชายาของเขาว่าเธอต้องทำใจรับกับเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงพยายามฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเต็มที่ ก่อนจะห้ามตัวเองไม่ให้ลงคุกเข่าอ้อนวอนขออย่าให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น ตรงกันข้าม เธอกลับส่งยิ้มให้เขาด้วยความพยายามทั้งหมดทีมีแล้วเอ่ยว่า "ต้องกลับมาให้ได้นะคะท่านรัณวีร์ ข้าคอยที่จะเป็นชายาของท่านโดยเร็วที่สุดค่ะ"

                    "ข้าจะกลับมา ซาห์ริช" เขาตะโกนไล่หลังขณะที่ชายหนุ่มผิวเข้มที่เขาเรียกว่าดาสกำลังรุนหลังให้เธอวิ่ง "ข้าเองก็หวังที่จะเป็นสวามีของเจ้าเช่นกัน!"

                    ซาห์ริชยิ้มกว้างตลอดทางเมื่อนึกถึงคำพูดนั้นของรัณวีร์ขณะที่ดาสพาเธอตรงกลับมายังพลับพลาที่พัก อิมานที่ได้ยินเสียงการสู้รบข้างนอกมาพักใหญ่รีบสวมกอดเธออย่างโล่งอกเมื่อเธอกลับมาถึงอย่างปลอดภัย ตลอดเวลานั้นดาสไม่พูดอะไรเลย มีเพียงสายตาหวาดระแวงของเขาที่ลอบมองมายังเธอและเบนไปมองประตูทางออกเป็นพักๆ เธอไม่อยากจะด่วนสรุปเอาเอง แต่ดูเหมือนว่าทหารนายนี้จะไม่ชอบเธอเอาเสียเลย ซาห์ริชคิดอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะเปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องที่ชวนให้สบายใจมากกว่า เรื่องพิธีวิวาห์ของเธอนั่นเอง

                    ที่จริงแล้วเธอเองก็กังวลนิดหน่อยที่รัณวีร์กลับไปยังสนามรบอีกครั้ง พูดให้ถูกคือเธอกังวลมาก แต่จากผลงานการรบของเขาก่อนหน้านี้ เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถเอาตัวรอดจากสงครามที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวกว่านี้มานักต่อนัก ดังนั้นเธอจึงควรปล่อยความกังวลให้ผ่านไปแล้วคิดว่าจะแต่งตัวอย่างไรเพื่อต้อนรับเขา หรือจะพูดอะไรเป็นคำแรกเมื่อเขากลับมาดีกว่า เธอรู้โดยที่เขาไม่ต้องบอกว่าเขาชอบการต่อล้อต่อเถียงกับเธอ นั่นทำให้เธอสบายใจเวลาที่ได้อยู่กับเขา เธอไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิเหมือนที่เธอจะโดนหากเธอทำแบบเดียวกันที่ฆาซนี เธอรู้ว่ารัณวีร์เข้าใจเธอและรักเธออย่างที่เธอเป็น ดังนั้นเธอจึงควรที่จะเข้าใจและรักเขาอย่างที่เขาเป็นเช่นกัน เธอควรทำใจให้ชินกับการเรียกตัวเข้าสู่สนามรบของเขาที่จะเกิดขึ้นอยู่ร่ำไปในชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ เธอไม่ควรทำตัวงี่เง่าเคล้าน้ำตาเหมือนภริยาทหารสามัญทั่วไป เมื่อเธอแต่งงานกับเขาเธอจะกลายเป็นราชินีแห่งรวีปุระ ดังนั้นเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้สักหนึ่งส่วนสิบของเขาก็ยังดี และผลลัพธ์ที่เธอได้ก็จะมีค่าอย่างยิ่ง ทันทีที่เขากลับมาหาเธอพร้อมกับชัยชนะจากสนามรบ เขาจะสวมกอดเธอแนบแน่นแบบเดียวกับที่เขาทำเมื่อสักครู่ เธอจะพร่ำบอกเขาว่าเธอรักเขามากแค่ไหน แล้วจากนั้นเธอและเขาจะ...

                    "องครักษ์เดวดาส! เกิดเรื่องแล้วขอรับ! ท่าน... ท่าน..." เสียงตะโกนไม่เป็นภาษาของทหารหน้าตามอมแมมที่พรวดพราดเข้ามาในกระโจมทำให้ซาห์ริชหลุดออกจากภวังค์ทันที เธอลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินไปฟังสิ่งที่ทหารผู้นั้นพูดให้ชัดเจนขึ้น ทว่าเดวดาสกลับรุนหลังทหารผู้นั้นให้ออกไปนอกกระโจมกับเขาทันทีโดยไม่ให้โอกาสซาห์ริชเอ่ยอะไรออกมา เธอจึงยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างหงุดหงิดแบบที่เธอทำบ่อยครั้งเมื่อมีอะไรไม่ได้ดังใจ บางทีเมื่อรัณวีร์กลับมา เธอควรบอกเขาเรื่องพฤติกรรมของดาส บางทีเขาอาจจัดการ...

                    ตึง ตึง ตึง

                    เสียงกลองศึกที่ดังขึ้นเป็นจังหวะทำให้อิมานผุดลุกขึ้นมาแทบจะทันที นั่นเป็นสัญญาณทางการทหารอะไรสักอย่างหนึ่งที่ซาห์ริชไม่เข้าใจ เธอจึงรีบตรงไปหาพี่ชายที่เดินออกไปนอกกระโจมเรียบร้อยแล้ว

                    ภายนอกกระโจมเป็นอย่างที่เธอคิดไว้เมื่อมายังสนามรบ หมอกหนาหายไปแล้ว เผยให้เห็นภาพของเลือดและเขม่าควันมากมายบนร่างกายของทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตที่นอนระเกะระกะอยู่เบื้องหน้า ซาห์ริชถึงกับผงะเมื่อเห็นเปลที่หามทหารคนหนึ่งซึ่งร้องโอดครวญไม่หยุดผ่านไปตรงหน้า ทหารคนดังกล่าวไม่มีแขนและขาซ้ายเหลือแล้ว เธอคิดได้ทันทีเมื่อเห็นเลือดมากมายกว่าที่เธอเคยจินตนาการถึงไหลพลั่กๆออกจากแผลฉกรรจ์เหล่านั้นว่าเขาคงไม่รอดเกินหนึ่งชั่วยามนี้ และนั่นก็ทำให้เธอนึกถึงสิ่งที่สำคัญกว่าขึ้นมาได้

                    รัณวีร์ละ! สวามีของข้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมทหารทุกคนจึงดูกระวนกระวายเช่นเดียวกับอิมานเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงกลองที่ว่ากันละ!

                    "อิมาน! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!" ซาห์ริชตะคอกถามพี่ชายอย่างรวดเร็วทันทีที่เธอคว้าตัวเขาได้ พี่ชายที่รักของเธอไม่ยอมพูดอะไรแม้ว่าเธอจะเค้นถามเขามากแค่ไหน แต่สีหน้าว่างเปล่าเจ็บปวดของเขาบ่งบอกสิ่งที่เขาคิดได้เป็นอย่างดี

                    ไม่นะ! ต้องไม่ใช่แบบนี้!

                    ซาห์ริชภาวนาต่อเทพเจ้าทั้งหลายในสากลโลกทั้งที่เธอรู้จักและไม่รู้จักเพื่อขอให้เทพองค์ใดสักองค์ในจำนวนนั้นช่วยเหลือรัณวีร์ให้รอดปลอดภัยกลับมาหาเธอ ทว่าก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรนอกจากนั้น เสียงประกาศของดาสก็ดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณนั้น เสียงประกาศที่ทำให้หัวใจของซาห์ริชแทบหยุดเต้น...

                    "ทหารกองโจรหูณะที่ลอบเข้ามาโจมตีล่าถอยไปหมดแล้ว และคงไม่มีการบุกของพวกหูณะสารเลวไปอีกนาน แต่ทว่า..." เขาเว้นวรรคไปครู่หนึ่งราวกับต้องการเวลาทำใจเพื่อเอ่ยข้อความต่อไปออกมา "เราได้สูญเสียผู้นำคนสำคัญที่คอยนำทางพวกเรามานานกว่าสิบปีไป ผู้นำที่เป็นทั้งผู้ปกครองและนักรบผู้เก่งกาจที่ทำให้รวีปุระเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าสมัยใดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้นำที่คอยปกป้องเราจากการรุกรานครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจากภายในและภายนอกชมพูทวีปนี้ ผู้นำที่เป็นดังภูผาอันแข็งแกร่งของที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำทั้งห้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเรามาหลายพันปี..."

                    ได้โปรดเถอะพระผู้เป็นเจ้า ขออย่าให้เรื่องของเรากลายเป็นแบบนี้!

                    "รัณวีร์ สิทธารถ์ ศรมา มหาราชองค์ที่ 8 แห่งรวีปุระ สัตลุชนครา วิปาสาคฤหะ เจนพธานินทร์ และเฌลมประเทศได้สิ้นพระชนม์ในการรบที่สมรภูมิโภปร ในวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 5 นี้... ณ บัดนี้ดินแดนแม่น้ำทั้งห้าและดินแดนประเทศราชทั้งหลายตกเป็นขององค์ชายริซวาน อับบาส ศรมา มหาราชองค์ที่ 9 แห่งรวีปุระ ขอจงทรงพระเจริญ!"

                    มันคงเป็นเหตุการณ์ที่น่าหัวเราะและน่าหดหู่น่าดูเมื่อไม่มีทหารคนใดตะโกนสรรเสริญกษัตริย์องค์ใหม่ของรวีปุระแม้แต่คนเดียวหากซาห์ริชไม่ได้ตกอยู่ในอารมณ์แบบนี้ ความรู้สึกที่เหมือนกับโดนเอามีดคว้านหัวใจออกสดๆแล้ววางกองอยู่เบื้องหน้าให้ใครสักคนมาเหยียบย่ำ

                    ข้าไม่มีเวลาทั้งชีวิตที่จะลบรอยห่างเหินในนัยน์ตาสีธารน้ำแข็งของเขา... ข้าจะมีเวลายาวนานทั้งชีวิตโดยปราศจากเขาเช่นนั้นหรือ...

                    เมื่อครู่เองมิใช่หรือที่เธอคิดจะมีอนาคตร่วมกันกับเขา... เมื่อครู่เองมิใช่หรือที่เธอมองเห็นลูกชายลูกสาวที่เธอกับเขาจะมีด้วยกันสักวัน... เมื่อครู่เองมิใช่หรือที่เขาบอกว่าจะยอมให้เธอใช้ปลายเท้าปลุกให้ตื่นในทุกๆเช้า... แต่บัดนี้อนาคตเหล่านั้นจะไม่มีแล้ว! ภาพแห่งความสุขเหล่านั้นจะไม่มีวันได้เกิดขึ้น ซาห์ริชรู้สึกเหมือนตัวเองแก่ลงไปหลายสิบปีทันที

                    เธอเตรียมใจไว้แล้วหากเขาจะบาดเจ็บกลับมา เธอเตรียมใจไว้แล้วหากเขาจะต้องรีบรุดออกไปแบบนี้ในทุกๆวันของชีวิตของเธอ แต่เธอไม่ได้เตรียมใจที่จะสูญเสียเขาไปเร็วขนาดนี้ เธอสูญเสียเขาทั้งที่ยังไม่เคยเป็นของเขาอย่างแท้จริงด้วยซ้ำไป คงจะมีแต่เทพีสตีที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ ณ ขณะนี้ เพราะซาห์ริชรู้สึกอยากกระโจนเข้ากองเพลิงที่เผาศพของสวามีในดวงใจเธอเสียให้รู้แล้วรู้รอด ซึ่งเธอก็ตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้นทันทีที่ถึงพิธีศพของรัณวีร์ที่คงจะมีขึ้นในไม่ช้า เพราะหากเธอพยายามฆ่าตัวตายในตอนนี้ละก็ อิมานจะต้องหยุดยั้งเธอทุกวิถีทางแน่

                    ทว่าโชคร้ายที่ดูเหมือนว่าอิมานจะอ่านใจเธอออก เขารีบจูงข้อศอกเพื่อลากเธอออกจากกลุ่มคนที่กำลังกระวนกระวาย และทันทีที่เขานำตัวเธอมายังกระโจมว่างเปล่ากระโจมหนึ่งสำเร็จเขาก็จับบ่าเธอด้วยมือทั้งสอง พลางเชยคางเธอให้นัยน์ตาสีอำพันว่างเปล่าสบนัยน์ตาเคร่งเครียดของเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ยบางอย่างขึ้นมา บางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตและโชคชะตาของซาห์ริชไปตลอดกาล...

                    "ซาราห์ พี่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ถูกต้อง แต่..." อิมานบีบบ่าบอบบางของเธอแน่นจนเจ็บ แต่จิตใจที่ด้านชากลับไม่ยอมให้เธอส่งเสียงประท้วงใดๆออกมา "เรามีเรื่องต้องคุยกัน ถึงหน้าที่ของน้องในดินแดนนี้..."



    [1] ชื่อหนึ่งของชมพูทวีปในอดีต


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×