ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mera deewana pati... ความลับแห่งหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : การพบกันและการแยกจาก 3

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 58


    "เจ้ารู้เรื่องอนุชาของว่าที่สวามีเจ้าหรือเปล่า"

                    ซาห์ริชเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายทันทีหลังจากที่นั่งพิจารณานิ้วมือที่ตกแต่งด้วยลวดลายจากเฮนน่า[1]ฆ่าเวลาอยู่นาน... นานมากเสียด้วยสิ เธอมั่นใจว่าตัวเองกับพี่ชายมาถึงเรือนพลับพลานี่กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่ายังคงปราศจากวี่แววว่าที่สวามีของเธอจนถึงตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นทหารยามของรวีปุระยังทิ้งให้เธอกับพี่ชายอยู่ด้วยกันตามลำพังโดยไม่มีใครเฝ้าอีก ทำให้เธอคิดได้ว่าหากรวีปุระไม่ติดพันศึกจนวุ่นวายละก็ คนที่เมืองนี้คงไม่คิดจะให้เกียรติเชื้อพระวงศ์จากแคว้นเล็กๆของเธอเลยแม้แต่น้อย

                    แต่จะคิดให้เครียดตอนนี้ก็ใช่ที่ เพราะแค่นี้หญิงสาวก็ประสาทกินจะตายอยู่แล้ว ท้องไส้เธอบิดเป็นเกลียวทันทีที่ได้ยินอิมานพูดถึงท่านรัณวีร์ ว่าที่สวามีของเธอในอนาคต โชคดีที่ซาห์ริชปิดผ้าคลุมหน้าไว้ครึ่งหนึ่งตอนนี้ มิเช่นนั้นเธอคงจะได้แสดงสีหน้าประหลาดใส่พี่ชายอีกเป็นแน่

                    "ข้าทราบแค่ว่าเขา... เอ่อ... มีสติไม่สมประกอบนัก" ซาห์ริชรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องเอ่ยถึงเรื่องแย่ๆของว่าที่สวามี แม้จะเป็นแค่เรื่องน้องชายเขาก็เถอะ ต่อให้ไม่มีใครอื่นเลยนอกจากเธอกับอิมานก็ยังดูไม่ดีอยู่ดีที่เธอจะพูดถึงเรื่องนี้ "ข้าจำชื่อเขาไม่ได้หรอก มันจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องพูดเรื่องเขาตอนนี้"

                    อิมานยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นท่าประจำตัวเขาไปแล้ว พี่ชายของเธอมีรูปร่างสูงเหมือนบิดาของทั้งคู่ แต่ออกจะผอมไปสักหน่อยในความคิดของซาห์ริช อย่างไรก็ตามด้วยผิวสีน้ำตาลอ่อนกับเส้นผมสีดำหยักศกยาวประบ่าของเขาก็ทำให้ผู้หญิงในฆาซนีกว่าครึ่งหลงใหลไปตามๆกัน อิมานเป็นพี่ชายคนโปรดของซาห์ริชเสมอมา และไม่ใช่เพียงเพราะว่าทั้งสองมีมารดาคนเดียวกันด้วย แต่เธอรักความซื่อตรงในแววตาของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ซาอิฟ พี่ชายคนโตของทั้งคู่และพี่ชายคนอื่นๆของเธอไม่เคยมี ณ บัดนี้ก็เช่นกัน นัยน์ตาของอิมานบ่งบอกถึงความกังวลบางอย่างที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับพิธีวิวาห์ของเธอ ทั้งที่ซาอิฟเป็นคนจัดการเรื่องการแต่งงานครั้งนี้แท้ๆ แต่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าอิมานจะเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้มากกว่าใครในครอบครัวเธอเสียอีก เขาถึงกับอาสาเป็นคนมาส่งเธอทั้งที่ตัวเองไม่ชอบออกห่างจากวังด้วยซ้ำไป

                    "ถ้าไม่พูดตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้วละ ข้าคงไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าที่นี่บ่อยนักหรอก" อิมานเอ่ยอย่างเป็นกังวล "เพราะงั้นข้าถึงต้องการแน่ใจว่าน้องสาวของข้าได้ไปอยู่กับครอบครัวใหม่ที่ดีกว่าเดิม อันนี้พูดกันตามจริงเลยนะ ครอบครัวของเราเองก็มีปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน การที่เจ้าแต่งงานออกไปอาจเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้"

                    ซาห์ริชเข้าใจสิ่งที่อิมานต้องการสื่อ เมื่อห้าปีที่แล้วกษัตริย์แห่งฆาซนี... ซึ่งก็คือบิดาของทั้งคู่สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันในการรบกับพวกหูณะที่นาวูร์ ชายแดนทางเหนือของฆาซนี และเนื่องจากพระราชามีโอรสกว่าสิบองค์ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งราชสมบัติกันอย่างห้ามไม่ได้ โชคยังดีที่อิมานที่เป็นองค์ชายที่สี่วางตัวเป็นกลาง ทำให้เมื่อซาอิฟขึ้นมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งฆาซนีเมื่อสองปีที่แล้ว ซาห์ริชและพี่ชายจึงไม่มีปัญหาในการอยู่ในวังต่อไปเหมือนพวกองค์ชายองค์อื่นๆ ทว่าสงครามกลางเมืองในครั้งนั้นทำให้พวกฮั่นถือโอกาสรุกเข้ามาในดินแดนฆาซนีมากขึ้นเรื่อยๆ แคว้นของเธอต้องเสียดินแดนไปกว่า 1 ใน 3 ระหว่างที่เหล่าพี่น้องกำลังทำสงครามกันเอง แล้วการบุกของศัตรูก็คงจะยังไม่ยุติลงในเร็ววันด้วย ด้วยเหตุนี้เองซาอิฟจึงได้ส่งเธอที่เป็นเจ้าหญิงคนเดียวของราชวงศ์มาอภิเษกสมรสกับกษัตริย์ผู้มีอำนาจทางตะวันตกเฉียงเหนือของชมพูทวีปอย่างรัณวีร์ ซึ่งเธอก็ตกลงทันทีโดยไม่ลังเล แม้ว่าจะมีบ่นบ้างอะไรบ้างก็เถอะ แต่เธอก็ไม่ได้คัดค้านการแต่งงานนี้หัวชนฝาเหมือนอิมานนี่

                    "ข้าไม่อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะ ซาราห์ แต่คิดว่าเจ้าควรฟังไว้ก่อน" เสียงทุ้มนุ่มของอิมานทำให้ซาห์ริชหลุดออกจากภวังค์ "จำช่วงที่ข้าไปเรียนที่ตักสิลา[2]ได้ไหม ข้าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังก็จริง แต่ตอนนั้นข้าก็ได้พบปะกับรัณวีร์และริชูอยู่บ้างในบางครั้ง สองคนนั้นน่ะเหมือนกันอย่างกับแกะก็จริง แต่แค่มองแวบเดียวก็แยกออกแล้วว่าใครเป็นใคร"

                    ซาห์ริชเอียงคอมองพี่ชายอย่างสนใจ "ริชูอย่างนั้นหรือ ชื่อพิลึกชอบกลแฮะ"

                    "ริชูไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้านั่นหรอก รู้สึกว่าชื่อจริงๆของเขาจะเป็นริซวานหรืออะไรสักอย่างนั่นแหละ แต่เพื่อนๆเรียกเขาว่าริชูเพราะหมอนั่นน่ะซื่อ[3]จนน่าตกใจเลยละ" อิมานอธิบาย

                    หญิงสาวสั่นกำไลข้อมือพลายโคลงศีรษะ "ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อิมาน ความซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ ดีกว่าการเสแสร้งตั้งเยอะ"

                    "ข้าไม่ได้หมายความว่าซื่อสัตย์ แต่หมายความว่าซื่อบื้อต่างหาก!" ชายหนุ่มสวนกลับอย่างรวดเร็ว "มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นหมอนั่นสาดน้ำใส่ตอนที่เพื่อนกำลังท่องตำราอยู่ สหายของเจ้านั่นจึงบอกว่าอย่าสาดน้ำ แล้วทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น ริชูวิ่งกลับที่พักเพื่อเอาขนมมาให้เพื่อนคนนั้น[4] คนแถวนั้นขำกันกระจายเลยละ!"

                    "ฟังดูเหมือนมุกตลกในนิทานเรื่องสาตวาหน[5]อย่างไรก็ไม่รู้" ซาห์ริชออกความคิดเห็น

                    "ตอนนั้นข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ ว่าบางทีริชูอาจต้องการเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆด้วยมุกจากนิทานก็เป็นได้ แต่เรื่องซื่อบื้อของเจ้านั่นกลับไม่ได้มีแค่นี้เนี่ยสิ" อิมานส่ายหน้าอย่างระอา "เอาเป็นว่าจะให้ข้าจาระไนออกมาให้หมดในหนึ่งสัปดาห์น่ะยังเป็นไปไม่ได้เลย! ข้ารู้หรอกว่าริชูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ไอ้ความซื่อบื้อจนเกินเหตุของเขาก็ทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน อย่างเรื่องที่ริชูพยายามหาทางเชื่อมเข้าสู่โลกบาดาลโดยการลองกระโดดน้ำมันทุกท่าที่เขาพบริมฝั่งแม่น้ำสินธุจนต้องเดือดร้อนรัณวีร์กับเพื่อนๆไปเกลี้ยกล่อมจนเจ้านั่นเชื่อว่าต้องเป็นแม่น้ำคงคาเท่านั้นถึงจะมีทางเชื่อมที่ว่าเพื่อให้ริชูเลิกขัดขวางการสัญจรทางน้ำของชาวบ้านแถบนั้น หรือตอนที่เจ้านั่นคิดว่าหากบูชาพระคเณศมากพอจะทำให้เขาแตกฉานในภาษาสันสกฤตจนไม่ต้องเข้าชั้นเรียนอีก ข้ายอมรับนะว่านั่นเป็นความคิดที่เข้าท่าไม่น้อยสำหรับเด็กวัยอย่างพวกเราตอนนั้น แต่ไม่ใช่ให้ขโมยผลไม้จากสวนของอาจารย์จนหมดเพื่อมาบูชาเทวรูปเสียหน่อย! แล้วยังเรื่องที่เจ้านั่นพยายามพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า..."

                    "พอเถอะ อิมาน ข้าว่าข้าได้ยินมาพอสมควรแล้วละ" ซาห์ริชยกมือขึ้นห้ามก่อนที่พี่ชายจะเล่าอะไรประหลาดออกมาอีก "เท่าที่ข้าพอจะปะติดปะต่อตอนนี้ได้ก็คือ ถึงอนุชาของว่าที่สวามีข้าจะคิดว่าตนไม่แตกฉานภาษาสันสกฤตก็จริง แต่เขาก็ท่องจำวรรณคดีสันสกฤตได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียว ข้าคิดอย่างนี้นะ อิมาน" หญิงสาวนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งเพื่อพร้อมแก่การอธิบาย "ถ้าเขาไม่ใช่คนเขลาอย่างที่พี่ว่ามา เขาก็ต้องเป็นคนที่ฉลาดเสียจนอยู่ร่วมกับคนธรรมดาอย่างพวกท่านไม่ได้นั่นแหละ นักปราชญ์ราชบัณฑิตส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ"

                    "โธ่เอ๋ย ซาราห์ ได้โปรดเชื่อข้าสักครั้งเถอะนะ ข้าอยู่ใกล้ชิดกับสองพี่น้องนี่มาหลายปี และข้าก็รู้มากพอว่าริชูจะทำให้เจ้าหมดความอดทนได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ เจ้าเป็นคนจริงจังกับชีวิตมากนะ น้องรัก ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่นิสัยนั้นดันตรงกันข้ามกับริชูคนละขั้วเลยทีเดียว และเรื่องคงจบไม่สวยแน่ถ้าเจ้าไปโต้เถียงทะเลาะวิวาทกับพระอนุชาของว่าที่สวามีตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ข้าแค่อยากเตือนให้เจ้าญาติดีกับองค์ชายริซวานไว้ก่อน ต่อให้เขาทำอะไรให้เจ้าไม่ชอบใจก็เถอะ เพราะข้าได้ยินว่ารัณ... ท่านรัณวีร์ผู้ยิ่งใหญ่รักและเอ็นดูอนุชาต่างมารดามากตั้งแต่ที่พระสนมมารดาของริซวานทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว..."

                    "อัตวินิบาตกรรม!" ซาห์ริชอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ "พระนางจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน ท่านเป็นถึงพระสนมของกษัตริย์เลยไม่ใช่หรือ"

                    "รู้กันแค่เราสองคนนะ ซาราห์ เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่า..." อิมานอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ข้าได้ยินข่าวลือทำนองนี้มาจากตักสิลานั่นแหละ ที่ว่าความจริงแล้วก่อนหน้านี้น่ะ ริซวานเป็นองค์ชายที่ปราดเปรื่องมาก ถึงขนาดที่กษัตริย์องค์ก่อนเคยดำริว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นยุพราชแห่งรวีปุระทั้งที่ไม่ใช่บุตรของมเหสีเลยละ ทว่า... จู่ๆหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บครั้งหนึ่งระหว่างติดตามพระบิดาในการรบ ริซวานก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนทีเดียว"

                    "บาดเจ็บในการรบหรือ ตอนนั้นเขาน่าจะอายุไม่เกินสิบสี่ปีไม่ใช่หรือไง แล้วเหตุใดราชาองค์ก่อนจึงนำบุตรชายที่เพิ่งจะอายุแค่นั้นไปสนามรบกันเล่า" ซาห์ริชขัดขึ้นอีกครั้ง อิมานจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างเบื่อหน่าย

                    "จะเพราะเหตุใดข้าก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก เข้าใจว่าคงเพราะตอนนั้นริชูเก่งด้านการรบมากพอดู ราชาองค์ก่อนจึงอยากนำเขาไปทัศนาสนามรบในฐานะยุพราชก็เป็นได้ แต่ก็นะ ซาราห์ เรื่องที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ หลังการบาดเจ็บครั้งนั้น ริชูก็เปลี่ยนไป สหายที่ตักสิลาบอกข้าว่า เจ้านั่นได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างหนักจนถึงขั้นฟั่นเฟือนเลยทีเดียว จะจริงเท็จอย่างไรข้าไม่ทราบ แต่เรื่องที่ได้ยินต่อมาก็คือ มารดาของริชูที่เป็นสนมของราชาองค์ก่อนฝันสลายที่สิทธิ์ในการขึ้นเป็นมเหสีเอกจากการได้เป็นมารดาของยุพราชต้องหลุดลอยไป นางเสียใจมากจนกลายเป็นบ้าและฆ่าตัวตายหลังจากนั้นไม่นานอย่างที่ข้าเล่าไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ"

                    "อะไรกัน..." นั่นคือทั้งหมดที่ซาห์ริชพูดออกมาได้หลังจากได้ฟังเรื่องราวภูมิหลังพระอนุชาของว่าที่สวามีที่อิมานเล่าให้ฟัง ซาห์ริชไม่รู้หรอกว่าปัจจุบันองค์ชายริซวานที่ว่าจะไม่ปกติสักเพียงใด แต่ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรเจอเรื่องแบบนี้ การที่ริซวานเปลี่ยนไปหลังการบาดเจ็บนั้นก็นับว่าแย่มากแล้ว ทว่ามารดาของเขาที่ควรจะอยู่คอยเป็นกำลังใจให้บุตรชายกลับมาฆ่าตัวตายไปอีก เรื่องนั้นคงสะเทือนใจริซวานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าความคิดอ่านของเขาจะไม่สู้ดีนักดังที่อิมานว่าไว้ก็เถอะ

                    อย่างไรก็ดี แม้จะไม่เคยได้พบพานองค์ชายผู้โชคร้ายผู้นั้น แต่ซาห์ริชก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ไปกับเรื่องราวของเขาไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายเตรียมออกไปเดินเล่นด้านนอกพลับพลาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ก็แน่ละ ซาห์ริชไม่ใช่ผู้หญิงที่สงมเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่แล้ว การนิ่งเฉยขณะที่จิตใจว้าวุ่นจึงไม่ใช่ทางเลือกของเธอเช่นกัน ซึ่งก็โชคดีที่อิมานไม่ได้ทัดทานอะไรมากนักเนื่องจากเข้าใจนิสัยโดยธรรมชาติของเธอดีมาแต่ไหนแต่ไร หญิงสาวจึงออกไปด้านนอกได้ตามสะดวก

                    ภายนอกกระโจมพลับพลาก็เป็นอย่างที่เธอสังเกตก่อนหน้านี้ คือไม่มียามคอยเฝ้า... ไม่สิ แทบจะไม่มีทหารเดินไปมาให้เห็นเลยต่างหาก หญิงสาวมองไปรอบตัวด้วยความหวั่นใจ เนื่องจากรวีปุระเป็นเมืองบนที่ราบสูงที่มีอากาศหนาวเย็น หมอกจึงลงหนาตลอดวันในบางพื้นที่ รวมถึงชายแดนฝั่งตะวันตกแห่งนี้ด้วย ทำให้บรรยากาศวังเวงจนดูน่ากลัว อย่างไรเสียซาห์ริชก็ยังคงเดิน เดิน และเดินต่อไป แม้จะมองไม่เห็นรอบตัวเกินสิบก้าวก็ตามที

                    ซาห์ริชไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วหลังจากที่พวกตนเดินทางออกมาจากฆาซนี สายหมอกและบรรยากาศรอบกายก็ทำให้ยากที่จะคาดเดายิ่งนักว่าเป็นเวลาใดของวัน หญิงสาวกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกายที่สั่นเทา ซึ่งเธอสงสัยเหลือเกินว่าตนนั้นกำลังสั่นเพราะความหนาวหรือเพราะอะไรกันแน่ เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ช่วยให้ความเครียดของเธอเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ลดลงเลย เธออยากจะเจอรัณวีร์ในที่ที่ดีกว่านี้ เช่นในห้องโถงเล็กๆแต่อบอุ่นในประเทศของเธอ... ซาห์ริชหลับตาพลางจินตนาการเหตุการณ์ที่ว่าอยู่ในใจ การคิดฝันเป็นสิ่งที่คอยช่วยเหลือเธอเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่พี่น้องของเธอต่างพากันวุ่นวายกับการรบราเพื่อแย่งสมบัติ เธอจึงพัฒนาความสามารถดังกล่าวจนทำให้เห็นภาพต่างๆที่ต้องการได้ทุกเวลาที่ปรารถนา

                    เมื่อรัณวีร์มาถึงฆาซนีในฐานะแขกต่างเมืองของเสด็จพ่อ... ซาห์ริชคิด เขาจะรีบรุดมายังพระราชวังหลวงทันทีโดยไม่แม้แต่จะทัศนาบ้านเมืองรอบข้าง เนื่องจากเขาได้ฟังเสียงขับขานของกวีพเนจรมานักต่อนักเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ องค์หญิงแห่งฆาซนีผู้เลอโฉม... ซาห์ริชยอมรับว่าบางครั้งเธอก็จินตนาการหลุดลอยจากความจริงไปสักหน่อย อย่างไรเสียพวกกวีก็ชอบพรรณนาเกินความเป็นจริงอยู่แล้วนี่นา! และเธอที่รู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมาจะบำรุงผิวพรรณด้วยน้ำองุ่นตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ก่อนจะบรรจงประพรมเครื่องหอมราคาแพงจากตะวันตกที่บรรดาสนมของท่านพี่ซาอิฟชอบใช้ อาจเป็นกลิ่นกุหลาบก็ได้ แม่นมของเธอพูดเสมอว่ากลิ่นกุหลาบทำให้หญิงสาวทุกคนดูเป็นผู้ใหญ่และสง่างาม แน่นอนว่าซาห์ริชต้องการสง่างามในสายตาของรัณวีร์ที่รักของเธออยู่แล้ว

                    จากนั้นเธอจะสวมชุดฮาเร็มสีส้มเข้มแบบเสือเบงกอลปักอัญมณีเป็นลวดลายแพรวพราว แปรงผมจนเป็นมันและปล่อยสยายให้ดูมีเสน่ห์ลึกลับ เมื่อรัณวีร์มาถึง เธอจะปล่อยให้เขาสนทนากับเสด็จพ่ออย่างกระวนกระวาย (แน่นอนว่าเป็นเพราะเธอ) ไปสักพัก แล้วเธอจะปรากฏตัวออกมาหลังม่านพร้อมแสดงระบำพื้นเมืองด้วยลีลาจังหวะเร้าใจที่เขาจะไม่ลืมเลือน แล้วหลังจากนั้นเมื่อเธอลับกายไปหลังม่านแล้ว รัณวีร์จะรีบคุกเข่าขอเธอเป็นชายาจากเสด็จพ่อทันที ซึ่งแน่นอนว่าท่านจะต้องตกลง แล้วงานหมั้นก็จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วยามต่อมา (ท่านรัณวีร์ของเธอไม่เชื่อเรื่องโชคลาง ดังนั้นเขาย่อมไม่สนใจจะหาฤกษ์งานแต่งแน่ อย่างน้อยก็เท่าที่เธอได้ยินมานะ) ตอนนั้นแหละที่ซาห์ริชจะได้พบปะกับรัณวีร์อย่างเหมาะสมและได้สนทนากันเสียที ซึ่งแน่นอนว่าคำแรกที่เขาจะเอ่ยกับเธอก็คือ...

                    "โอย..."

                    ซาห์ริชลืมตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงครางเบาๆนั้น ก็แน่ละ ต่อให้จินตนาการของเธอล้ำเลิศสักเพียงใด แต่ท่านรัณวีร์ในฝันของเธอก็คงไม่ร้องโอยครั้งแรกที่พบกับเธอหรอก จะอย่างไรก็เถอะ แม้จะได้ยินเสียงชัดเจนเพียงใด แต่รอบกายของหญิงสาวกลับไม่มีต้นตอของเสียงให้ได้เห็นเลยแม้แต่สิ่งเดียว ซาห์ริชมองเห็นเพียงกระโจมไม่กี่หลัง ต้นไม่ไม่กี่ต้น กองไฟที่มอดแล้วไม่กี่กองและเอ่อ... หมอกจำนวนมากมายมหาศาล

                    "อา..." เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเสียจนเธอสามารถระบุได้ว่าเป็นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษ ซึ่งความจริงก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเมื่อคิดว่าที่นี่อยู่ใกล้กับสนามรบหรอกนะ แต่เนื่องจากซาห์ริชยังไม่เจอทหารสักคนที่บาดเจ็บแล้วส่งเสียงครวญครางอยู่แถวนี้เลย เธอจึงคิดว่ามันผิดปกติอย่างไรชอบกล แล้วระหว่างที่เธอหันรีหันขวางนึกอะไรไม่ออกอยู่นั้นเอง ปลายเท้าของเธอก็เผลอเหยียบโดนอะไรนิ่มๆเข้าจนได้

                    "อ๊าก!"



    [1] สีใช้เขียนตกแต่งตามตัวชนิดหนึ่ง นิยมมากในประเทศอินเดียโดยเฉพาะทางตอนใต้ มักวาดเป็นลวดลายสวนงามต่างๆเช่นลายพันธุ์พฤกษา

    [2] เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน เคยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ในสมัยโบราณ

    [3] ริชู หมายถึงไร้เดียงสา

    [4] เป็นการเล่นคำในภาษาสันสกฤต เมื่อเพื่อนของริชูพูดว่า "อย่าสาดน้ำ (โมทก)" นั้นมาจากการสนธิของคำว่า มา (อย่า) + อุทก (น้ำ) แต่ริชูกลับเข้าใจว่าเพื่อนร้องเรียกขอขนมหวาน (โมทก) แทน

    [5] นิทานเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงมุกตลกเรื่องเดียวกัน แต่คนที่เข้าใจผิดกลับเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แทน พระองค์เสียหน้ามากจึงปรึกษามหามนตรีเพื่อหาทางเรียนภาษาสันสกฤตจนเจนจบได้ในเวลาที่เร็วที่สุด เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วพระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เจนจัดในด้านไวยากรณ์โดยยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×