NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่สอง : ยายเฒ่าเฉิง

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 66


    เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย

    แต่งโดย เดือนสีนวล

    *

    ตอนที่สอง : ยายเฒ่าเฉิง

    *

    ยังไม่ตรวจคำผิด

    ยังไม่ตรวจคำผิด

    ยังไม่ตรวจคำผิด

     


     

    เสวี่ยหนิงเซียนได้เรียนรู้อะไรมามากมายหลังจากอาศัยอยู่กับยายเฒ่าเฉิงนับสิบปี หนึ่งคือดวงวิญญาณเมื่ออยู่ภพมนุษย์ครบสามปีจะค่อยๆ สลายหายไป ทว่าตัวนางและหญิงชรากลับไม่เป็นอะไร สองคือยายเฒ่าผู้นี้มีแนวคิดแปลกใหม่ หากตอนมีชีวิตแล้วไปอยู่เมืองหลวงคงได้กลายเป็นยายเฒ่าวิปลาส และสามยายเฒ่าเฉิงมีความรู้ความสามารถมากมาย นางเป็นหมอรักษาคนในหมู่บ้าน ทั้งยังมีความรู้แทบทุกแขนงที่เสวี่ยหนิงเซียนเพิ่งจะเคยได้ยินมาก่อน

    และความรู้ทั้งหมดทั้งมวลของยายเฒ่าเฉิงกำลังถูกส่งต่อมาให้เสวี่ยหนิงเซียนจนเกือบครบ ซึ่งนางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดยายเฒ่าเฉิงจึงต้องสั่งสอนและมอบความรู้เหล่านั้นให้นางด้วย ในเมื่อนางเป็นวิญญาณคนตาย ต่อให้มีความสามารถมากมายเพียงใดก็ไม่อาจนำมันมาใช้ประโยชน์ได้อยู่ดี

    “เซียนเอ๋อร์ ยายบอกเจ้าแล้วไม่ใช่รึ ว่าให้ระวัง” ยายเฒ่าเฉิงเอ็ดอดีตไทเฮาด้วยใบหน้าจริงจัง

    เสวี่ยหนิงเซียนกำลังกวนสบู่อยู่ ใช่ มันคือสบู่ แรกๆ นางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอยายเฒ่าบอกวิธีใช้นางจึงได้รู้ว่ามันเป็นเครื่องหอมที่เอาไว้ขัดผิวกายยามอาบน้ำ มีกลิ่นหอมและขจัดคราบสกปรก เชื้อพระวงศ์อย่างมากก็อาบได้แค่น้ำอุ่นผสมกลีบดอกไม้ ทว่าของสิ่งนี้กลับทำได้มากกว่านั้น หากสบู่กลายเป็นที่รู้จักของชาวเมือง คงได้กลายเป็นสินค้าที่ผู้คนต้องการมหาศาลอย่างแน่นอน แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดยายเฒ่าต้องสั่งสอนวิธีสร้างสิ่งของต่างๆ ให้ตัวนางด้วยเล่า

    “ท่ายยาย ข้าเป็นผีนะเจ้าคะ ต่อให้สบู่ที่กวนอยู่จะโดนตัวข้า ข้าก็ไม่เป็นอันตรายหรอก” นางเอ่ยเสียงเบา

    “หากข้ารู้ว่าเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังอาจารย์ ข้าคงไม่รับผีเช่นเจ้ามาเลี้ยงดูหรอก” ยายเฒ่าเฉิงกล่าวพลางส่ายศีรษะ

    “ข้าไม่ต้องกินดื่ม ไม่รู้สึกเหนื่อย ท่านยายเลยให้ข้ามาเป็นลูกมือเพื่อใช้งานต่างหาก” เสวี่ยหนิงเซียนเอ่ยท้วง ที่ผ่านมานางถูกใช้งานอย่างหนักหน่วง จึงอดที่จะคาดโทษหญิงชราผู้นี้ไม่ได้ ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกซาบซึ้งที่ยายเฒ่าเฉิงยินยอมให้นางมาอาศัยอยู่ด้วย ในช่วงที่หนิงเซียนเป็นวิญญาณเร่ร่อน ตนเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้จะไปที่ไหน ท่ามกลางความหนาวเย็นและหิมะที่ขาวโพลน กลับมียายแก่ผู้หนึ่งส่งถานกลางหิมะให้นาง

    “เดี๋ยวนี้รู้จักเถียงข้าแล้วรึ” ยายเฒ่าเฉิงกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก

    “เด็กอย่างข้าจะเถียงท่านได้อย่างไร” หนิงเซียนกล่าวพลางลุกขึ้นยืน หลังนางนำไม้พายมาตวัดตกแต่งสบู่ที่ใส่แม่พิมพ์เสร็จ ตนจึงนำของทุกอย่างไปเก็บไว้ในกระท่อม ภายในมีสมุนไพรมากมาย มีทั้งยาและของใช้หลายชิ้นที่ยายเฒ่าเฉิงและหนิงเซียนช่วยกันรังสรรค์ขึ้นมา

    เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ยายเฒ่าเฉิงจึงค่อยๆ ก้าวเข้ามาพร้อมไม้เท้าประจำตัว หญิงชราไอค่อกแค่กเล็กน้อย เสวี่ยหนิงเซียนเห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะกล่าวไม่ได้ “ท่านยาย ท่านเป็นผีจริงหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงเจ็บป่วยได้ แถมชาวบ้านยังมองเห็นท่านอีก”

    “ข้าเคยบอกเจ้าว่าข้าเป็นผีด้วยหรือ” ยายเฒ่าเฉิงมุ่นคิ้วขาว ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้โดยมีเสวี่ยหนิงเซียนช่วยประครอง

    นางเบิกตากว้างด้วยความงุนงง หลังประครองหญิงชราเสร็จตนจึงกล่าวเสียงสั่น “มะ…หมายความว่ายังไงเจ้าคะ ก็ตอนนั้นท่านยายบอกหนิงเซียนว่า ท่านก็เหมือนข้า….”

    “โอ้ ข้าลืมบอกเจ้าเรื่องนี้สินะ” ยายเฒ่าเฉิงกล่าวด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ สุดท้ายก็หัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง

    “ท่านยาย” นางอดไม่ได้ที่จะเรียกผู้อาวุโส สิบปีที่ผ่านมานางเข้าใจผิดมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ

    “เจ้าอย่างถือสาคนแก่อย่างข้าเลย บางทีข้าก็ลืมว่าตนเองวางไม้เท้าไว้ตรงไหนเสียด้วยซ้ำ”

    “ข้าไม่ได้ติดใจตรงนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า..หากท่านไม่ใช่ผี แล้วท่านเป็นอะไรเล่า และเหตุใดวิญญาณของข้าจึงไม่สลายไปเมื่อครบสามปี เฉกเช่นวิญญาณตนอื่นเล่า” เสวี่ยหนิงเซียนเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยมาเนิ่นนาน เพราะนางเข้าใจว่าหญิงชราตรงหน้าเป็นผีเหมือนตน จึงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ เพราะคิดว่ายายเฒ่าเองก็คงจะไม่รู้ ที่ไหนได้…

    “เซียนเอ๋อร์”

    “เจ้าคะ”

    ยายเฒ่าเฉิงยิ้มบางอย่างหาได้ยาก สิบปีที่ผ่านมาเสวี่ยหนิงเซียนมักจะเห็นหญิงชราผู้นี้มีใบหน้าเรียบเฉย แม้จะกวนไปบ้างแต่รอยยิ้มจริงใจเช่นนี้ไม่ได้เห็นได้ง่ายๆ “ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

    “…” นางยืนนิ่งด้วยความมึนงง หมายความว่าอย่างไรกัน ยายเฒ่าเฉิงจะหายไปอย่างนั้นหรือ

    “หมื่นปีก่อนข้าได้สร้างความวุ่นวายให้เบื้องบน สร้างรอยแตกระหว่างมิติเพื่อไปเที่ยวเล่นในแดนอื่น ข้าได้เห็นอนาคตนับหลายพันหลายหมื่นปีข้างหน้า มนุษย์ได้สร้างวัฒนธรรมอันหลากหลาย วิทยาการล้ำหน้า สามารถบินข้ามแดนได้ราวกับนก ความรู้เกือบทั้งหมดที่ข้าสั่งสอนเจ้า ล้วนเป็นความรู้ที่ข้าได้ศึกษาด้วยตนเองจากดินแดนนั้น…” หญิงเฒ่ากล่าวก่อนจะนำมาไม้เท้ามาขีดเขียนบนดิน เป็นรูปลักษณ์คล้ายนก แต่ก็ไม่เหมือนนก “สิ่งนี้เรียกว่าเครื่องบิน มันสามารถบรรจุมนุษย์หลายคน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางถึงแคว้นข้างเคียงแล้ว”

    “…” นางกำลังงุนงงว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอันใดกับคำถามของตน ถึงกระนั้นเสวี่ยหนิงเซียนก็ยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ยายเฒ่าเฉิงเล่า หนิงเซียนเชื่อถือทุกคำพูดของหญิงชราผู้นี้ เพราะความรู้ที่ยายเฒ่าสอนตน ล้วนเป็นความรู้แปลกใหม่ สามารถรังสรรค์ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมาได้จริง แม้คำพูดจะเกินจริงจนไม่น่าเชื่อถือ ตนก็เลือกที่จะเชื่อใจผู้มีพระคุณ

    “ข้าเสียดายที่ไม่สามารถหาวิธีสร้างเครื่องบินมาได้ วิทยาการมันล้ำหน้าจนเกินไป แต่ถึงสร้างได้ก็คงจะเป็นที่เตะตาของชาวบ้าน ดีแล้วล่ะที่ข้าไม่รู้” ยายเฒ่าเฉิงบ่นกับตัวเองเสียงเบา ก่อนจะกล่าวต่ออย่างจริงจัง “ข้าเที่ยวเล่นอยู่ในดินแดนนั้นนับร้อยปี ได้เรียนรู้แทบทุกศาสตร์ ยามกลับมาข้าถูกสหายต่อว่าอย่างหนักหน่วง ภพมนุษย์เมื่อหมื่นปีก่อนถูกชะโลมด้วยทะเลเลือด รอยแยกจากมิติที่ข้าแหวกเพื่อเที่ยวเล่นสร้างอัสนีหลายหมื่นครั้ง มันปะทุไปทั่วภพ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตมากมายล้มตาย ท้ายที่สุดสหายของข้าก็สามารถยับยั้งอสนีบาตนับหมื่นนั้นได้ แต่ก็ต้องแลกกับตบะที่แตกสลาย”

    “…” เมื่อได้ยินเช่นนี้เสวี่ยหนิงเซียนเริ่มเข้าใจแล้วว่ายายเฒ่าตรงหน้าเป็นอะไร นางไม่ใช่ผีจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ ยายเฒ่าเฉิงเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ!

    “สหายของข้าได้จากไป ข้ามีความผิดและบาปหลายประการ จึงถูกเนรเทศให้ทำงานหนักในนรก ครบห้าพันปีก็ต้องชดใช้กรรมที่ภพมนุษย์ต่อ ข้าต้องช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนที่สามารถช่วยได้ และหนึ่งในนั้นคือเจ้า” ยายเฒ่าเฉิงยิ้มบางเบา “เจ้ามีชะตากรรมต่างจากมนุษย์ผู้อื่น รู้ตัวหรือไม่”

    “…” เสวี่ยหนิงเซียนหลุบตาต่ำ ก็คงจะต่างจริงๆ จะมีผู้ใดถูกพรากบุตร และถูกบุตรชายสั่งสังหารเช่นนางเล่า

    “เซียนเอ๋อร์ ข้าชดใช้บาปของตนมาอย่างยาวนาน ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกชิงชังมนุษย์ เหตุใดข้าถึงถูกลงโทษเพียงเพราะมนุษย์เหล่านั้นด้วย ข้าเคยคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจ มีแต่ความริษยา ละโมบ และตัณหา ทว่ายามอยู่ภพมนุษย์มายาวนาน ข้าจึงได้รู้ว่ามีมนุษย์ที่ไม่เลวร้ายอยู่มากมาย และมนุษย์ข้าประทับใจมากที่สุดก็คือเจ้า”

    “เจ้าถูกบุตรชายสั่งประหาร ถึงกระนั้นดวงวิญญาณกลับไม่มีความแค้นเคืองต่อบุตรชายเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หากเป็นผู้อื่น หรือเป็นข้า ก็คงจะแค้นบุตรของตนไม่น้อย” ยายเฒ่าเฉิงแย้มยิ้ม

    เสวี่ยหนิงเซียนไม่เคยเล่าเรื่องของตนให้หญิงชราฟังสักครั้ง แม้จะอยู่ด้วยกันมานับสิบปี เพราะเรื่องราวพวกนี้เป็นเรื่องที่นางไม่อยากนึกถึงมากที่สุด การที่ยายเฒ่ารู้นั้นย่อมหมายความว่าสตรีตรงหน้าเป็นเซียนมาก่อนจริงๆ

    “ข้าเพียงไม่รู้จะแค้นเคืองไปเพื่ออันใด เขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างผิดๆ ให้เกลียดชังมารดาเช่นข้า ที่ผ่านมาคงเข้าใจว่าข้าร้ายกาจมากมาย อย่างไรข้าก็ตายไปแล้ว เหตุใดข้ายังต้องสร้างบาปให้ตนเองด้วยการกลายเป็นวิญญาณร้ายด้วยเล่า” นางเอ่ยขณะมองท้องฟ้าที่โปร่งใส ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ แม้จะไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกได้ แต่อากาศก็คงจะเย็นสบายดี ที่ผ่านมานับสิบปีเสวี่ยหนิงเซียนเคยเห็นวิญญาณร้ายมากมาย วิญญาณเหล่านั้นจมปรักอยู่กับความเสียใจ ความแค้น ท้ายที่สุดก็สร้างบาปกรรมให้ตนเอง พยายามทำร้ายมนุษย์ทุกคนที่พบเห็น จุดจบของวิญญาณร้ายทุกตนคือถูกนักพรตฝีมือดีปราบจนวิญญาณแตกสลาย

    “เพราะเซียนเอ๋อร์เป็นแบบนี้อย่างไรเล่า ตาแก่นั่นถึงได้เอ็นดูเจ้ามาก” ยายเฒ่าเอ่ยเสียงเบาหวิว เสวี่ยหนิงเซียนมุ่นคิ้วเพราะไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่นัก “ห้าพันปีที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในภพมนุษย์ ข้าต้องแบกรับโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ที่เจ้าเห็นข้าเจ็บออดๆ แอดๆ ก็ล้วนเป็นผลกรรมที่ข้าต้องแบกรับไว้”

    “…”

    “ยามนี้บาปที่ข้าต้องชดใช้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ข้ากำลังจะสลายหายไป เซียนเอ๋อร์จงใช้ความรู้ที่ข้าสั่งสอนให้เป็นประโยชน์ เข้าใจหรือไม่” ยายเฒ่าเฉิงยืนขึ้นด้วยกำลังของตน ร่างของนางค่อยๆ โปร่งแสงและสลายไปทีละเล็กทีละน้อย เสวี่ยหนิงเซียนตัวสั่นเทา นี่นางกำลังจะเสียผู้มีพระคุณไปแล้วอย่างนั้นหรือ

    “ท่านยาย ท่านยายเจ้าคะ ข้าเป็นผี ข้าจะใช้ความรู้เหล่านั้นได้อย่างไร” นางกล่าวเสียงสั่น หากยังมีชีวิตอยู่ขอบตาของหนิงเซียนคงร้อนผ่าวไปตั้งนานแล้ว “หากไม่มีท่านยาย ข้าก็ไม่รู้จะทำเช่นไรต่อ”

    “หึ เจ้าเด็กโง่ หากนับตั้งแต่ที่เจ้าเกิดมาจนถึงตอนนี้ อายุของเจ้าก็ห้าสิบหนาวเชียวนะ ยังจะร้องไห้โยเยเป็นเด็กไปได้”

    “แต่หากนับช่วงที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็อายุเพียงสี่สิบหนาวเองนะเจ้าคะ” หนิงเซียนอดที่จะตอบโต้ไม่ได้ ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปกอดยายเฒ่าเฉิงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยหนิงเซียนรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น

    “เด็กดี สักวันเจ้าจะรู้เองว่าตนควรทำอย่างไรต่อไป”

    เสวี่ยหนิงเซียนได้ยินคำกล่าวนั้นอย่างแจ่มชัด มันกึกก้องอยู่ในศีรษะ นางหลับตาพลางกอดยายเฒ่าเฉิงอย่างหวงแหน คนผู้นี้เป็นผู้ช่วยเหลือนาง มอบความรู้และที่อยู่ให้นางโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หนิงเซียนย่อมรู้สึกผูกพันกับหญิงชรา เมื่อลืมตาขึ้นมาตนกลับพบเพียงความว่างเปล่า กระท่อมหลังเล็กและสิ่งของที่เคยรกรุงรังได้หายไป สถานที่ที่นางและยายเฒ่าใช้เวลาอยู่ร่วมกันไม่มีอยู่แล้ว หนิงเซียนทรุดกายลงพลางร่ำไห้โดยไร้เสียง

     

    ติดตามตอนต่อไป

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×