NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่หนึ่ง : ส่งถ่านกลางหิมะ

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 66


    เป็นมารดาของทรราชมิใช่เรื่องง่าย

    แต่งโดย เดือนสีนวล

    *

    ตอนที่หนึ่ง : ส่งถ่านหลางหิมะ

    *

    ยังไม่ตรวจคำผิด

    ยังไม่ตรวจคำผิด

    ยังไม่ตรวจคำผิด

     


     

    “ฮึก…”

    “เจียวเจียว หิมะเริ่มตกแล้ว เจ้าเลิกร้องไห้แล้วกลับเข้าห้องก่อนที่จะไม่สบายเถิด” เสวี่ยหนิงเซียนกล่าวกับนางกำนัลผู้หนึ่งที่นั่งร้องไห้ใกล้ต้นท้อ

    “ซูเจียว คิดจะอู้งานหรือ รีบมาช่วยข้าขนของได้แล้ว” นางกำนัลร่างอวบอ้วนตะคอกเสียงดัง ก่อนจะเดินกลับเข้าพระตำหนักด้านในเพื่อหาความอบอุ่นให้ตนเอง

    ซูเจียวสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร นางพยายามเช็ดน้ำตาของตนด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะก้มหน้างุดพลางก้าวขาตรงไป หิมะอันหนาวเย็นค่อยๆ โปรยปรายลงอย่างเนิบช้า บ้างก็ละลายทันทีเมื่อสัมผัสผืนดิน ทว่ายังมีบางส่วนที่เริ่มก่อตัวเป็นชั้นหิมะ

    เสวี่ยหนิงเซียนมองร่างนางกำนัลที่เดินทะลุตน ก่อนจะหลุบตาต่ำ นางเหลือบมองฝ่ามือขาวซีดของตน มันซูบเซียวและติดผอม เมื่อตั้งใจมองให้ดีก็จะเห็นว่าร่างกายนี้โปร่งแสง

    นางตายไปแล้ว

    เพิ่งจะตายไปไม่ถึงครึ่งวันเสียด้วยซ้ำ ภายในพระตำหนักนั้นวุ่นวายไม่น้อย นางกำนัลและขันทีหลายคนต่างช่วยกันขนของล้ำค่าเก็บใส่หีบ แจกัน เพชรพลอย และเครื่องประดับมีราคาอีกมายถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี ของเหล่านี้กำลังจะถูกมอบให้ใครสักคน ซึ่งเสวี่ยหนิงเซียนย่อมรู้ดีว่าปลายทางของล้ำค่าพวกนี้จะถึงมือผู้ใด

    “พี่หญิง เสวี่ยไทเฮาเพิ่งสิ้นพระชนม์ เราควรนำร่างของไทเฮาใส่หีบพระศพก่อนดีหรือไม่” ซูเจียว นางกำนัลที่นางเห็นหน้าเห็นตามาตั้งแต่เด็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแผ่ว

    เสวี่ยหนิงเซียนส่ายหน้าให้กับความโง่เขลาของนางกำนัลผู้นี้ เจียวเจียว เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ ขันทีและนางกำนัลทุกคนในตำหนักมิได้ภักดีต่อข้า พวกมันเป็นคนของเว่ยไทเฮา ยามข้าตายก็นำของมีค่าและเครื่องประดับไปมอบให้แก่ผู้เป็นนายที่แท้จริงตามคำสั่ง ศพของนางจะแข็งชืดและเน่าไปก็คงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกระมัง

    “เหอะ ซูเจียว นังผู้นี้มิใช่ไทเฮา เจ้าไม่ได้ยินที่ฮ่องเต้ทรงตรัสว่านางเป็นกบฏแผ่นดินอย่างนั้นหรือ ก่อนตายนางก็ถูกถอดยศออกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว เช่นนั้นนางย่อมมิได้สูงศักดิ์ไปกว่าพวกเรา เหตุใดข้าต้องเสียแรงนำร่างเหม็นเน่านี้ไปใส่หีบศพด้วย เดี๋ยวไออัปมงคลก็ติดตัวข้าเข้าหรอก” นางกำนัลร่างท้วมเอ่ยด้วยวาจาเยาะเย้ยอย่างไม่เกรงกลัว เสวี่ยหนิงเซียนรู้จักนางกำนัลตัวอ้วนผู้นี้เป็นอย่างดี ซูม่าน สมัยที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็คอยประจบประแจง แย่งหน้าที่นางกำนัลผู้อื่นไปจนหมด หวังให้เสวี่ยหนิงเซียนเข้าใจว่านางกำนัลชั้นต่ำผู้นี้ภักดีต่อตน

    ท้ายที่สุดยามตายจากกลับไร้ความโศกา ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มดีใจ พยายามขโมยเครื่องประดับบางส่วนมาเก็บไว้เป็นของตัวเอง และยังเมินเฉยศพของนางราวกับซากศพแมลงไร้ค่า

    เสวี่ยหนิงเซียนละทิ้งโทสะ ก่อนจะทอดสายตามองต้นท้อ คนตายย่อมไม่ข้องเกี่ยวกับคนเป็น เช่นนั้นแล้วเหตุใดนางยังต้องให้ค่านางกำนัลและขันทีที่ทรยศตนด้วยเล่า

    สองชั่วยามผ่านไป ของมีค่าในพระตำหนักเฟิ่งเซียนก็ถูกแบกหามออกไปจนหมด นางกำนัลและขันทีทั้งหมดต่างตบเท้าเดินออกจากตำหนักเพื่อไปหาเจ้านายใหม่ ทิ้งร่างเย็นชืดของนางให้เปล่าเปลี่ยว ยามนี้หิมะเริ่มก่อชั้นหนาจนยากจะเดินเหิน อากาศหนาวเย็นจนอาจสั่นไปถึงข้างใน ทว่าเสวี่ยหนิงเซียนกลับไม่รู้สึกอะไร นางไม่หิว ไม่หนาว และไม่ง่วง ที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้คือความว่างเปล่า

    “ฮึบ” ซูเจียวกลับมาพร้อมหีบศพ นางพยายามแบกของหนักด้วยแรี่ยวแรงที่มี

    เสวี่ยหนิงเซียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางเห็นเด็กคนนี้ถูกนางกำนัลอาวุโสดุด่าด้วยวาจาต่ำทราม ซูเจียวที่จมอยู่กับความทุกข์โศกได้ยินดังนั้น จึงสาวเท้าวิ่งออกไปด้วยน้ำตาเมื่อสองชั่วยามที่แล้ว นางคิดว่าเด็กนั้นคงจะหนีไปที่อื่นเสียแล้ว ไม่นึกว่าเลยแท้จริงเจตนาของซูเจียวคือการนำหีบศพมาให้ร่างของนาง

    “เด็กโง่ เจ้าจะหนาวตายก่อน รีบกลับ…”

    “ข้าไม่มีที่ให้กลับแล้วเจ้าค่ะ” ซูเจียวเอ่ยเสียงเครือ นางพยายามอุ้มร่างแข็งชืดของเสวี่ยหนิงเซียนใส่หีบศพ เด็กคนนี้ถึงขั้นละทิ้งความกลัวเพื่อนางเชียวหรือ เสวี่ยหนิงเซียนกำมือแน่น ขณะเดียวกันนางกำนัลร่างผอมแห้งก็ค่อยๆ ปฏิบัติต่อพระศพของเสวี่ยไทเฮาอย่างทนุถนอม ไม่มีอะไรแตกต่างจากสมัยที่นางยังมีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย “ท่านเปรียบเสมือนมารดาของข้า รับข้าน้อยมาเลี้ยงดู ให้อาหาร ให้ที่อยู่ และให้หน้าที่การงาน ทว่า…ทว่าข้าน้อยกลับไม่สามารถตอบแทนท่านได้สักอย่าง มีเพียงหีบศพนี้ที่ข้าสามารถนำมาให้ท่านได้”

    นางมองเด็กโง่เขลาที่พยายามอุ้มร่างของนางใส่หีบ ท้ายที่สุดซูเจียวก็สามารถทำได้สำเร็จ นางกำนัลร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืนก่อนจะปิดหีบ

    ซูเจียวนำเสียมที่หยิบยืมมาจากสหายไปขุดดินใกล้ต้นท้อ นางทราบแก่ใจแล้วว่าพระศพของเสวี่ยไทเฮาจะถูกทิ้งให้เน่าเสีย ด้วยข้อหากบฏของแผ่นดิน แม้แต่พิธีศพก็จะไม่ถูกจัดขึ้น เพราะถือว่าเป็นร่างอัปมงคล ซูเจียวจึงต้องลำบากตรากตรำ นำเงินเก็บที่มีอยู่ไปซื้อหีบศพด้านนอก กว่าจะผ่านด่านผู้ตรวจตรา เวลาก็ผ่านไปแล้วสองชั่วยาม

    เพราะมีร่างผอมแห้ง ยามหยิบจับอะไรจึงไม่ค่อยมีแรง ทำของมีค่าตกแตกได้ง่าย สมัยที่เสวี่ยหนิงเซียนมีชีวิตอยู่จึงมักจะดุซูเจียวอยู่บ่อยครั้ง ท้ายที่สุดเด็กคนนี้ก็ได้ย้ายไปทำงานในตำแหน่งอื่นของพระตำหนักเฟิ่งเซียน ยามนี้ร่างที่ซูบเซียวและผอมแห้งของซูเจียวกำลังพยายามขุดหลุมให้ศพของนางมีที่ฝัง

    ยามตายจากจึงได้รู้ว่า ที่ซูเจียวผอมจนไม่มีแรง ทำของรักของนางตกแตกบ่อยครั้ง ก็เพราะนางกำนัลและขันทีอาวุโสกลั่นแกล้ง บ้างก็ให้กินแต่น้ำเปล่าและเม็ดข้าวชืดๆ หนักเข้าก็ไม่ให้กินอะไรเลย เสวี่ยหนิงเซียนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ยามมีชีวิตเหตุใดนางจึงมองไม่เห็นความภักดีของเด็กคนนี้กัน เหตุใดจึงตาต่ำมองงูพิษใกล้ตัวอย่างไว้ใจ

    ซูเจียวขุดหลุมเสร็จจึงพยายามแบกหีบศพอันหนักอึ้งใส่หลุม ก่อนจะกลบด้วยดินผสมหิมะ เด็กโง่ทำทุกอย่างด้วยตัวเพียงคนเดียว เสวี่ยหนิงเซียนทรุดกายลง พยายามห้ามนางกำนัลตรงหน้าให้กลับเข้าไปด้านใน ทว่าคนเป็นหรือจะได้ยินคนตาย

    นิ้วมือของซูเจียวเริ่มชาหนึบ ทั้งถูกหิมะกัดจนโลหิตซึมออกมา เสวี่ยหนิงเซียนเม้มปากอย่างอดกลั้น รอคอยให้ซูเจียวฝังร่างนางจนเสร็จ ท้ายที่สุดเด็กโง่ตรงหน้าก็สามารถฝังร่างของนางได้ ทั้งที่เป็นงานที่ต้องใช้บุรุษอย่างน้อยสองคนทำ แต่ซูเจียวกลับฝืนแรงของตนได้เพื่อนาง เสวี่ยหนิงเซียนย่อมบังเกิดความยินดีในจิตใจ

    นางมองร่างนางกำนัลตัวเล็กคุกเข่าให้หลุมศพตนพลางคำนับด้วยความภักดี ไหล่ของซูเจียวสั่นไหวไม่น้อย ร่างผอมกะหร่องลุกขึ้นเดินจากไปอย่างโงนเงน เพราะพระตำหนักเฟิ่งเซียนกำลังจะถูกโละทิ้ง ซูเจียวไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว ยามนี้เด็กโง่คนนั้นคงพยายามหาที่อยู่ใหม่ของตน

    ซูเจียว…นับว่าข้าติดค้างเจ้าแล้ว

     

    ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว เสวี่ยหนิงเซียนได้ออกมาจากวังหลัง นางไม่อาจทนอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ความหลังอันเลวร้ายได้ มิสู้ออกไปอยู่ด้านนอกเพื่อหาความสงบสุขจะดีกว่าหรือ

    มีวิญญาณมากมายที่เป็นเหมือนนาง บ้างก็เกาะติดคนผู้หนึ่ง บางก็เอ้อระเหยลอยไปลอยมาอย่างไม่มีที่จะไป

    โลกคนตายเป็นเหมือนในพระคำภีร์ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางควรเข้าอารามเพื่อทำบุญให้ตนเองเสียบ้าง ยามตายจากจะได้ไม่ลำบากเช่นนี้ เสวี่ยหนิงเซียนเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเดินออกจากเมืองหลวงตั้งแต่หกชั่วยามก่อน เพราะเป็นวิญญาณ จึงไม่หิว ไม่เหนื่อย และไม่ง่วง นางสามารถเดินได้อย่างอิสระ ท้ายที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเข้า ผู้คนที่นี่นับว่ามีจำนวนน้อยหากเทียบกับเมืองหลวง แต่สิ่งที่ทำให้เสวี่ยหนิงเซียนตกใจจนแข็งค้าง คือสายตาของหญิงชราผู้หนึ่งจดจ้องมาทางตน

    มองเห็นนางอย่างนั้นหรือ

    ราวกับอ่านใจได้ หญิงชราผู้นั้นหันหน้าหนีก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินออกจากชุมชน เสวี่ยหนิงเซียนไม่รอช้า นางปรี่ตัวเข้าไปหาหญิงแก่หลังค่อมด้วยความหวัง โดยไม่แม้แต่จะสังเกตเลยว่ารอบตัวหญิงชราผู้นี้ไม่มีวิญญาณคนตายสักดวงกล้าเข้าใกล้

    “ท่าน ท่านเห็นข้าใช่หรือไม่” เสวี่ยหนิงเซียนกล่าวเสียงเบา แต่ยิ่งเดินตามเท่าไหร่ก็คล้ายจะตามไม่ทัน นางจะวิ่งไม่ทันคนแก่หลังค่อมได้อย่างไรกัน

    “…” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราแฝงรอยยิ้มนุ่มนวล ก่อนจะพรูลมหายใจออกด้วยความหนาว

    เสวี่ยหนิงเซียนเพิ่งจะเห็นว่าคนเป็นตรงหน้าเดินมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง ห่างไกลผู้คน ห่างไกลความเจริญยิ่งนัก

    “แม่เฒ่า ท่านเห็นข้าใช่หรือไม่” นางเอ่ยด้วยสีหน้าอึดอัด หรือว่าตนจะเข้าใจผิดกัน เสวี่ยหนิงเซียนเริ่มถอดใจแล้ว นางคงเข้าใจผิดจริงๆ แต่ทว่ายามตนจะหันหลังกลับ เสียงของหญิงแก่จึงดังขึ้น “เห็นก็เห็นสิ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวผีเช่นเจ้ารึ”

    เสวี่ยหนิงเซียนสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันกลับไปมองแม่เฒ่าที่นั่งอยู่บนแคร่

    “แม่เฒ่าอะไรกัน ข้ามิได้แก่ปานนั้นเสียหน่อย”

    “…” เสวี่ยหนิงเซียนเองก็เข้าใจว่าสตรีย่อมให้ความสำคัญกับอายุ แต่ก็ไม่นึกว่าหญิงชราตรงหน้าจะเอ็ดอย่างจริงจังถึงเพียงนี้

    “มาช่วยข้าบดยาซิ”

    “…”

    “ยืนอื้ออึงอยู่ทำไม หรือเจ้าหูหนวก”

    “จะ…เจ้าค่ะท่านยาย” เสวี่ยหนิงเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงมึนงง ถึงกระนั้นตนก็ก้าวขาขึ้นไปนั่งบนแคร่ไม้ นางเบิกตากว้างเล็กน้อย นี่ตนสามารถนั่งบนแคร่ไม้ได้รึ มิหนำซ้ำยังถือสากบดยาได้อีก เสวี่ยหนิงเซียนเมียงมองยายเฒ่าข้างกายด้วยความสนใจ สามารถมองเห็นและพูดคุยกับวิญญาณได้ หรือว่ายายผู้นี้จะเป็นหมอผีกัน

    “เจ้าตายยังไง” หญิงเฒ่าเอ่ยเสียงแหบเนื่องจากอากาศหนาว

    เสวี่ยหนิงเซียนมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ “ข้าตายในข้อหากบฏเจ้าค่ะ”

    “โอ้ ข้าไม่ค่อยเจอวิญญาณที่ตายในข้อหากบฏเท่าไหร่ ส่วนมากเมื่อตายแล้วตาแก่นั่นก็จะมารับวิญญาณทันที…”

    เสวี่ยหนิงเซียนไม่ค่อยได้ยินท้ายประโยคเท่าไหร่นัก นางพยักหน้าพลางตั้งใจบดยา ทว่าตนก็พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านยายเจ้าคะ ข้างนอกหิมะยังตก อากาศก็หนาวมาก ข้าว่าท่านเข้าไปด้านในกระท่อมเถิด”

    “เจ้าหนาวรึ” หญิงชราเอ่ยขณะลอกก้านสมุนไพร

    “ข้าเป็นคนตาย…จะรู้สึกหนาวได้อย่างไร”

    “ข้าก็เหมือนเจ้านั่นแหละ เลิกทำเหมือนข้าเป็นยายแก่ได้แล้ว เห็นแบบนี้ข้ามีแรงหามถังน้ำเชียวนะ”

    เสวี่ยหนิงเซียนผงะเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงเฒ่าผู้นี้ก็เป็นวิญญาณคนตายอย่างนั้นหรือ แต่หนิงเซียนจำได้ว่าตอนที่ท่านยายอยู่ในชุมชน ชาวบ้านหลายคนก็ทักทายนางอยู่ไม่น้อย หากเป็นคนตายเช่นนางจริง เหตุใดคนเป็นจะมองเห็นหญิงชราผู้นี้ได้เล่า

    “เจ้าเรียกข้าว่ายายเฉิงก็แล้วกัน” หญิงแก่มิได้สนใจสตรีข้างกายที่กำลังสับสนมึนงงเท่าไหร่นัก นางใช้งานคนอ่อนกว่าอย่างไม่เกรงใจ ทั้งบอกให้แยกสมุนไพร จุดเตา และอีกมายมาย

    ขณะที่เสวี่ยหนิงเซียนกำลังพยายามจุดไฟครั้งแรกในชีวิต หญิงเฒ่าที่อยู่ด้านหลังก็พลันเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เจ้ามีนามว่าอะไร”

    “หนิงเซียน ข้ามีนามว่าหนิงเซียนเจ้าค่ะ”

     

    ติดตามตอนต่อไป

     


     

    _Talk With Me_

    สารภาพว่าเป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งแล้วมีผีๆ วิญญาณ ส่วนตัวเป็นคนกลัวผีค่ะ ไม่ได้งมงายแต่ก็กลัวผีมากๆ แต่งไปแอบกลัวไป TT

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×