ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boys & A Doll ภาคพิเศษ (Hidden Story)

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 6 "Behid the Sale tag" เบื้องหลังป้ายเซล

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 56


    Hidden Story File No.6

    Behind the Sale Tag

    (เบื้องหลังป้ายเซล)

     



    ***เนื้อหาต่อไปนี้เคยอยู่ในหน้าที่ 406 ตั้งแต่บรรทัดที่ 2
    ถึงหน้า 409



    ผมเป็นพวก เสพย์ติดการช๊อปปิ้ง

    ผมจะรู้สึกว่าอะดรีนาลีนฉีดปรู๊ดปร๊าดตั้งแต่หัวแม่โป้งยันสมองทุกครั้งเวลาเจอของถูกใจ หลายคนคงรู้สึกแบบนี้เวลาเจอของที่ เกิดมาเพื่อเราคุณแทบจะได้ยินเสียงเพรียกเบาๆ ดังมาจากมันทำนองว่า แวะดูฉันก่อนไหม? ลองสัมผัสฉันดูไหม?ช่างเป็นมนตร์สะกดอันร้ายกาจที่ไม่สามารถต้านทานได้

    เหมือนตอนนี้ที่ผมกำลังสัมผัสสูทสีน้ำเงินตัวหนึ่งของแบรนด์ดัง

    “ป๊อบนายมีสูทสีน้ำเงินแล้วสองตัว” พัทธ์กอดอกมองผมอย่างเซ็งจัด

    “แต่ฉันไม่มีสีน้ำเงินเฉดนี้” ผมพิจารณามันอย่างตื่นตาตื่นใจ

    “อันนี้เป็นสีมาใหม่เลยนะคะ” พนักงานขายบอก “ตอนวันเปิดตัวขายไปหมดร้านเลย ลูกค้าชอบมาก เราต้องสั่งเข้ามาทุกวัน ถ้าลูกค้าไม่รับวันนี้พรุ่งนี้อาจไม่มีแล้วก็ได้”

    “เห็นไหมนั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องรีบคว้ามันไว้” ผมเอ่ยอย่างมุ่งมั่นราวกับพูดถึงจระเข้เผือกหายาก

    “แล้วสูทสีน้ำเงินที่เพิ่งซื้อไปเมื่ออาทิตย์ก่อน?” พัทธ์ถาม

    “ก็เอาไว้ใส่สลับกันไง” ผมให้เหตุผล “สีโปรดของมิวสิคนี่หน่า มีหลายๆ ตัวซิดี ใช่ไหมครับน้องชาย”

    “เอ่อก็น่าจะใช่ครับเฮีย” เห็นไหมมิวสิคยังเห็นด้วยเลย ทำไมพัทธ์ต้องส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายก็ไม่เข้าใจ ว่าแล้วผมก็ลองสวมมันแล้วส่องกระจก

    ดู อืมดูตัวใหญ่ไปนิดนะ

    “นายว่าไง?” ผมถามพัทธ์

    “ตัวใหญ่ไป” พัทธ์บอก

    “มีไซส์เล็กกว่านี้ไหมครับ?” ผมถามพนักงาน

    “ไม่มีเลยค่ะ ไซส์เล็กหมดแล้ว” เธอบอก

    ไม่ผมจะเอา “ช่วยไปดูในสต๊อกได้ไหมครับ บางทีอาจจะมีเหลืออยู่”

    “อืม โอเคค่ะ งั้นแป๊บนึงนะคะ” พูดเสร็จเธอก็หายไป ผมยังหมุนดูตัวเองกระจกอีกรอบ ว้าว มันสวยหยด

    แต่เอ๊ะ กางเกงสีน้ำเงินที่แขวานอยู่ตรงนั้นก็ดูดีนะ

    “อย่าเชียว” พัทธ์ทำท่าจะปราม ฮัชช่า! สายไปละ ผมหยิบมันมาแล้ว!

    “เจ๋งเนอะ” ผมหยิบกางเกงตัวใหม่นั้นมาดูอย่างประทับใจ ดูซิ มันเข้ากับสูทตัวนี้อย่างสมบูรณ์แบบ แทบจะเรียกว่ามันเกิดมาคู่กันเลยด้วยซ้ำ

    “นายมีกางเกงแบบนี้แล้วป๊อบ” พัทธ์กอดอกทำหน้าเซ็ง

    “บ้าซิ ตัวนี้สีอ่อนกว่าตัวนั้นตั้งเยอะ” ผมยืนกราน ทำไมพัทธ์แยกกางเกงสองนั้นไม่ออกนะ! “พวกแกว่าไง?” ผมหันไปถามเหล่าน้องชาย

    “อืมมันก็เหมือนตัวที่เฮียเคยซื้อไปนะครับ” มิวสิคบอกเกรงๆ

    “บ้า พวกแกนี่มันตาถั่วชัดๆ” ผมส่ายหน้าหงุดหงิดใจ

    ทำไมคนพวกนี้ไม่ละเอียดอ่อนเรื่องการช๊อปปิ้งเลยให้ตาย

    “คุณค่ะ” แล้วน้องพนักงานก็กลับมา ผมหันไปมองเธอย่างมีหวัง “สรุปว่าไซส์เล็กหมดนะคะ”

    “อ้าว” ความรู้สึกผมดิ่งฮวบทันใด “ไม่มีเลยหรือครับ?”

    “ค่ะ ดิฉันดูให้อย่างละเอียดแล้ว ไม่มีเลย” หล่อนยืนกราน  - ซวยจริง!

    “หรือว่าจะรอมาซื้อวันอื่นดี” ผมถามความเห็นพรรคพวก

    “ก็ดีนะ จะได้เจอของที่ถูกใจ” พัทธ์เห็นด้วย

    “เอ่อ แต่ว่าถ้ามาวันอื่นอาจไม่มีของแล้วนะคะ” จู่ๆ พนักงานก็ขัดขึ้นมา “สินค้าตัวนี้ขายดีมากๆ ไม่รับปากนะคะว่าจะมีของ”

    เอาล่ะซิทำไงดี ถ้าผมไม่คว้ามันไว้วันนี้เห็นทีคงไม่มีหวังจะได้ครอบครองมันอีกตลอดชีวิต ผมคงต้องเสียใจมากหากเห็นผู้ชายคนอื่นใส่สูทตัวนี้เดินสวนกัน ผมจะทำอย่างไรหากต้องเห็นดาราคนดังใส่สูทนี้ออกงาน มันคงเป็นความผิดมหันต์ที่ผมไม่คว้ามันไว้ และนั่นอาจเป็นตราบาปที่ติดตัวไปจนตาย

    การตัดสินใจครั้งนี้ช่างยากเย็นกว่าการวางปฏิรูปประเทศไทยยิ่งนัก!

    “ฉันว่านายลองไปดูตัวอื่นดีไหม เผื่อจะ….

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไปจ้างช่างเย็บลดไซส์เองก็ได้” ผมพูดโพล่งออกไปก่อนที่พัทธ์จะพูดจบ ต้องขอบคุณพระเจ้าที่สร้างจักรเย็บผ้าขึ้นมาบนโลกนี้ ผมลองหมุนดูตัวเองในกระจกอีกที

    อืมพอได้มองนานๆ ผมก็พบความจริงบางอย่าง

    “จะว่ามันก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปนะ” ผมพูดกับตัวเอง “ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ที่เห็นว่าใหญ่ เขาอาจทำให้ออกมาเป็นแบบนี้ ความจริงไม่ใหญ่หรอกๆ เกือบๆ จะพอดีด้วยซ้ำ”

    “เยี่ยม จู่ๆ เสื้อก็หดได้” พัทธ์ทำเสียงประชด

    “งั้นเอาตัวนี้ครับ” ผมถอดสูทส่งให้พนักงาน

    “โอเคค่ะ งั้นดิฉันเอาไปคิดเงินให้เลยนะคะ”

    ผมเปิดกระเป๋าตังดู ตายละ มีเงินสดแค่สี่ร้อย งานเข้า

    “ฮึ” เสียงหัวเราะเยาะดังเบาๆ มาจากพัทธ์ที่ยืนกอดอกข้างๆ ใช่ เขารู้อยู่แล้วว่าผมไม่พกเงินเยอะเพราะมันจะทำให้ผมใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รู้ไหมผมสามารถเดินไปกดเงินเพิ่มตอนนี้เลยก็ได้ แต่โทษที ผมมีอาวุธลับที่ทรงพลานุภาพกว่านั้น - ว่าแล้วก็ฉกบัตรเครดิตออกมา แทบจะได้ยินเสียงวิ้ง แบบเสียงดาบในการ์ตูน

    “นี่ครับ” ผมส่งบัตรให้พนักงานอย่างอิ่มเอมใจ เธอรับเสื้อแล้วจากไป

    “แป๊บนะครับ” ผมรีบเรียก และเธอหันกลับมาทันใด

    “นี่ด้วยครับ” ผมส่งกางเกงสีน้ำตาลให้เธออีกตัว

    เป็นอันว่าเสร็จสรรพ

    “เจ๋ง งานต่อไปฉันจะใส่สูทกับกางเกงสีตัวใหม่นี้ มันต้องเข้ากับเสื้อสีขาวและหูกระต่ายสีน้ำเงินแน่ๆ” ผมวาดภาพตัวเองในห้วงความคิดได้เจ๋งทีเดียว

    แต่เมื่อหันไปมองพัทธ์ เขากลับมึนตึง

    นาทีต่อมาผมก็เดินออกจากร้านเสื้อผ้าดังกล่าวพร้อมถุงช๊อปปิ้งสี่ใบ (บังเอิญผมเจอเสื้อยืด และ เสื้อเชิ้ตลดราคาอีกสองตัว) ผมไม่เคยสนว่ารูดบัตรไปเท่าไหร่ การมองตัวเลขในใบเสร็จทำให้จิตตกได้เสมอ เราไปลุ้นกันทีเดียวสิ้นเดือนละกัน

    “เฮียไปตายอดตายอยากมาจากไหนครับเนี่ย” ภาคย์มองถุงช๊อปปิ้งในมือผมอย่างขวัญเสีย

    “เขาเรียกว่าการลงทุน” ผมชี้แจง “เฮียต้องออกงานทุกวัน ต้องมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ นี่ถือเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง”

    “นายก็เลยลงทุนทุกอาทิตย์เลยทีเดียว” พัทธ์แขวะ

    “เราต้องรู้จักการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีนะเด็กๆ” ผมสอนน้องๆ ต่ออย่างไม่ใส่คำครหา “เพื่ออนาคตที่ดีของเรา”

    ให้ตาย ผมช่างเป็นพี่ชายที่แสนประเสริฐจริงๆ

     

    พัทธ์ขับรถไปส่งน้องชายผมทุกคนก่อนที่เราจะตีรถกลับบ้านตัวเอง

                ระหว่างทางผมสังเกตได้ว่าพัทธ์ดูอึดอัดใจกับอะไรสักอย่าง อันที่จริงก็กะว่าจะถามอ่ะนะ แต่แล้วจู่ๆ มันก็เหมือนว่าพัทธ์ไม่สามารถทนเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป

    “ขอพูดตรงๆ เรื่องหนึ่งได้เปล่าวะ?” พัทธ์ถาม

                “มีอะไร?” ผมถามกลับ

                “ฉันไม่เห็นด้วยเลยกับการที่นายใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่อหน้าเด็กๆ”

                “อ่าฮะ” ผมเล่นเกมส์มือถือต่อ - เย่ มินเนี่ยนเพิ่งกระโดดข้ามรั้วไป

                “นายกำลังจะทำให้เห็นว่าการใช้เงินมันเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน”

                “ก็ฉันหามาได้ง่ายนี่หว่า” ผมขำ “สิ่งที่ฉันใช้ถ้าเทียบกับที่หาได้นี่เป็นสัดส่วนกระจิดริดจะตาย”

                “ถ้าวันหนึ่งน้องชายนายโตขึ้นแล้วมีพฤติกรรมการใช้เงินแบบนาย อะไรจะตามมาล่ะครับ?”

                นั่นอาจเป็นประโยคแรกที่ผมหยุดฟังอย่างตั้งใจ

                “นายแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะมีรายได้เยอะแบบนาย? แน่ใจไหมว่าเขาจะสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้? แล้วแน่ใจไหมว่าพวกเขาจะไม่ใช่เงินเกินตัวจนกลายเป็นภาระต่อตนเองและครอบครัว?”

                พัทธ์ยิงคำถามรัว ผมพูดไม่ออก

                “นายยินดีซื้อเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวเอง แถมยังเลือกกางเกงที่หลายคนลงความเห็นตรงกันว่ามันไม่ได้ต่างจากของที่นายเคยมี นายหยิบเสื้ออีกสองตัวโดยไม่ได้ลองแต่บังเอิญแปะป้ายลดราคา และทั้งที่นายตั้งกฎกับตัวเองว่าจะใช้เงินแค่เท่าที่ถอนมา แต่นายก็ยินดีใช้บัตรเครดิตต่อหน้าพวกเขา ทุกการกระทำของนายนนี้เป็นตัวอย่างให้เด็กๆ เห็นว่าการใช้จ่ายเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน นายไม่เคยสงสัยหรือว่ามิวสิคทำไมชอบใช้ของแพงๆ หรือทำไมธนัชต้องซื้อเสื้อใหม่ทุกอาทิตย์”

                “แหม ก็พ่อแม่เขารวย” ผมคิดว่านั่นเป็นคำแก้ตัวที่ดี

                “เปล่า ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่เขา เกี่ยวกับนายนี่แหละ นายเป็นต้นแบบของพวกเขา นายเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้ น้องชายนายมันก็เลยติดนิสัยนั้นไปจากนาย”

                “แต่ภาคย์ก็ไม่เห็นจะชอบช๊อปปิ้ง” นั่นซิๆๆ

                “แต่ภาคย์ก็เคยอ้อนนายให้ขอเพื่อนสนิทฝากมันเข้าไปทัศนศึกษาในกรมสรรพาวุธไม่ใช่หรือ? นั่นน่ะสถานที่ต้องห้ามทางราชการเลยนะ แต่ภาคย์ก็รู้ว่าถ้าให้นายเป็นสื่อกลางยังไงก็ต้องเข้าไปได้ ในที่สุด เขาก็ได้ทุกอย่างที่อยากได้ แม้บางครั้งต้องอาศัยมือคนอื่นก็ตาม นั่นมันนิสัยนายชัดๆ”

                จุก

                “คนเรามันเรียนรู้จากการกระทำมากกว่าการสอน ถ้านายอยากให้น้องชายนายเป็นคนดีก็จงเป็นตัวเองที่ดีให้เขา โอเคนะ” พัทธ์หันมามองผม แต่ผมไม่กล้าสบตา มันรู้สึกประมาณว่า นี่ฉันมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง

                “เฮ้ เป็นไรเปล่า” พัทธ์เอากำปั้นสะกิดผม ตัวผมเอนไปตามแรงอย่างไม่คิดขัดขืน

                “เปล่า” ผมตอบเสียงจ๋อย ตามองตัก ไร้อารมณ์สนทนาโดยสิ้นเชิง

                “งอนฉันหรือ?” พัทธ์ขำ

                “ไม่” ผมถอนหายใจ

                “เฮ้ ถ้าฉันไม่รักนายจริง ฉันก็ไม่กล้าเตือนนายหรอกนะ” พัทธ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “และฉันก็รู้ว่านายรักน้องชาย ฉันก็อยากให้นายเป็นต้นแบบที่ดีกับพวกเขามันก็เท่านั้นเอง”

                “ฉันไม่ได้งอน” ผมก้มหน้ามองเท้าเรื่อยเปื่อย “ฉันแค่รู้สึกผิด”

                และนั่นคือเวลาที่รถเรามาติดไฟแดงพอดี บังเกิดความเงียบอยู่หลายอึดใจ ผมกำลังใช้เวลาเพื่อทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละอาย ผมรู้สึกได้ว่าพัทธ์กำลังมองผม แต่ผมยังไม่กล้าหันไปสบตา

                “รู้ไหม สิ่งหนึ่งที่ให้การเป็นดร.ป๊อบดูเยี่ยมมากคืออะไร?” ผมเอ่ยขึ้นในที่สุด “คือการได้รู้ว่ามีคนมากมายเอาเราเป็นแบบอย่าง ได้เป็นสิ่งที่เรียกว่าไอดอล แม้จะไม่ใช่สำหรับคนกลุ่มใหญ่นัก แต่อย่างน้อยก็น่าดีใจที่มีคนมอบคำๆ นั้นให้เรา ทว่าสิ่งที่ฉันภูมิใจมากที่สุดไม่ใช่การได้เป็นไอดอลของคนมากมาย แต่ก็คือการได้เป็นแบบอย่างให้กับน้องชายตัวเอง”

                ผมยิ้มให้กับความทรงจำมากมายที่พรั่งพรูเข้ามา

                “ฉันดีใจทุกครั้งที่ทำให้พวกมันชื่นชม ประทับใจ และบอกฉันว่า เฮียเป็นไอดอลผมเลยฉันพยายามทำให้พวกมันเห็นว่าเราต้องได้ทุกอย่างที่อยากได้โดยไม่ทำร้ายตัวเองหรือเบียดเบียนใคร จงใช้ความเชื่อ ความมั่นใจ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครอง แต่หลายครั้งที่ฉันก็เผลอสอนสิ่งผิดๆ ไปโดยไม่รู้ตัว จริงอย่างที่นายพูดสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลย”

                “ก็ใช่ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก” พัทธ์บอก ผมดูออกว่าเขาพยายามปลอบใจ

                “มันอาจจะเลวร้ายกว่านี้ได้หากนิสัยนี้ไม่ถูกแก้ไข และถ้าอนาคตน้องชายฉันต้องเสียคนเพราะพฤติกรรมต้นแบบอย่างฉัน ฉันก็คงไม่ให้อภัยตัวเอง ขอบใจนะที่เตือน”

                ผมยิ้มให้พัทธ์อย่างจริงใจ แม้จะจ๋อยนิดๆ แต่ก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนแบบนี้

                “ถ้าเห็นคนที่เรารักเดินไปในทางที่ผิดแล้วไม่คิดเตือน ก็คงไม่ต้องเรียกว่ารักกันแล้วล่ะ” พัทธ์ขยิบตาให้ผม “นายเป็นทั้งน้องชาย เป็นทั้งเพื่อนสนิท และเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน หากฉันบังเอิญพูดหรือทำอะไรให้นายเสียใจฉันก็ขอโทษด้วย แต่ขอให้รู้ว่าฉันทำไปเพราะรักนาย ไม่เคยมีจุดประสงค์เลวร้ายใดๆ แอบแฝงเลย”

                “ขอบใจ ฉันก็รักนายเช่นกัน” ผมบอกและถอนหายใจไล่ความอึดอัดทิ้งไป “ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ซะใหม่”

                “โดยการเลิกใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่ง?”

                “เปล่า”

                “โดยการหักบัตรเครดิตทิ้ง”

                “เปล่า”

                “อ้าว แล้วอะไรวะครับ?” พัทธ์ดูสนอกสนใจ ผมหันไปยิ้มให้เขาแล้วตอบว่า

                “ฉันคิดว่าการใช้บัตรเครดิตโดยไม่ให้พวกมันเห็นน่าจะเป็นทางออกที่ดี”

                ผมหันไปยักคิ้วให้พัทธ์สองฉึก

                ผมช่างเป็นพี่ชายที่ประเสริฐจริง ๆ ให้ตาย

     
     

     
    ***อ่านต่อได้ในหน้า 406 ของหนังสือ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ปรับเปลี่ยนแล้ว**


     

    ===== Dr.Pop View =====





    ผมปรับเนื้อหาฉากนี้ไปเพราะฉากช๊อปปิ้ง รวมถึงบทสนทนาระหว่างป๊อบกับพัทธ์เป็นเรื่องที่ยืดเยื้อ และ ถ้าไม่มีก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับ เนื้อเรื่อง กระนั้นผมก็เปลี่ยนเนื้อหาให้กระชับขึ้นตามที่ปรากฏในหนังสือ แม้จะเสียดายเนื้อหาเกือบสิบหน้า แต่ถ้าจะทำให้เนื้อเรื่องกระชับขึ้น ตื่นเต้นขึ้นมันก็โอเค   

     

     

    =======================================================





     

    …To Be Continued…


    (ทุกคอมเมนต์ของคุณมีค่า เราจะเอาไว้แจกรางวัล หากชอบฝาก Share ด้วยครับ)

    **ใครว่างรบกวน "เขียนคำนิยม" ในหน้าหลักนิยายให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ**

     



    Dr.Pop Facebook : www.facebook.com/drpopworld
    Dr.Pop Twitter : http://twitter.com/drpoppop
    Boys & A Doll Facebook : 
    https://www.facebook.com/boysandadoll

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×