ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 1 : The White Road (Final Part)

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 51


    เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

     

    อาร์คีดีมัสพูดในนาทีที่ผม กำลังจ้องมองดวงตาที่ว่างเปล่าของตัวเอง!

    ผมหลับตาแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง ให้ตายเถอะ ตัวผมที่เป็นสีแดงเถือกยังอยู่ตรงหน้าจริงๆ!

    มะหมายความว่ายังไง? ผมติดอ่างคล้ายเด็กอนุบาลหัดพูด

    เธอมีพลังพิเศษบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกายมาตั้งแต่ยังเด็ก และหลายครั้งที่มันแสดงตนออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว

    นาทีนี้อาร์คีดีมัสเดินเข้ามาใกล้ ผมยังคงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ

    โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่สวนสาธารณะ เธอจำได้ไหม ?

    ผมหันกลับไปมองตัวเองอีกครั้ง

    ทันใดนั้นภาพแห่งฝันร้ายก็พรั่งพรูสู่ความทรงจำ!

    ทั้งเสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงของไฟนรก เสียงระเบิดที่ดังสนั่น และเสียงแห่งความตายทุกอย่างโถมซัดเข้ามาราวกับถูกปลุกด้วยศาสตร์มืด!

    ทันทีที่ทุกอย่างสิ้นสุด ผมก็แทบจะวูบล้มทั้งยืน

    มันคืออะไร?ผมหายใจหอบ ดวงตาเอ่อล้นด้วยความเจ็บปวด  

    มันคือความยิ่งใหญ่ อาร์คีดีมัสตอบ และสัมผัสบ่าของผมที่สะท้านอย่างแผ่วเบา ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะใช้มันเพื่อเป็นพรจากพระเจ้า หรือ เป็นคำสาปจากซาตาน

    ผมหันไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาช่างเปี่ยมไปด้วยความรัก ปราศจากการดูถูก และไร้วี่แววความรังเกียจ

    มันช่าง….เหมือนกับรอยยิ้มของเออร์เน็ต

    และช่าง

    เหมือนเจมส์ บอนด์

    ในเมื่อมันมีถนนให้เลือกเดินแค่สองทาง จึงเป็นหน้าที่ของเราในการพาเธอเดินบนถนนสายที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือถนนที่ขาวบริสุทธิ์

    เมื่ออาร์คีดีมัสพูดจบ คลื่นมนุษย์กับจักรวาลก็สลายเป็นฝุ่นผง บรรยากาศเย็นฉ่ำกับสภาพแวดล้อมขาวโพลนกลับมาเยือนอีกครั้ง และผมยังนั่งอยู่ที่เดิมเหมือนไม่ได้เดินไปไหน

    เธอต้องได้รับการสอนอย่างมีระบบ

    ( ทำอย่างกับที่นี่เป็นโรงเรียนอย่างงั้น )

    จะว่าเป็นโรงเรียนก็ไม่เชิง

    ( โอ้ว พระเจ้า เขาอ่านใจคนได้! )

    อืมม ก็ใช่ ฉันอ่านได้ ผมหน้าซีด ฉันอยากให้เธอคิดว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมของพวกเรา เพียงแต่เธออยู่ในวัยที่ควรศึกษา เราจึงอยากให้เธออยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะสามารถดูแลตัวเองได้ หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเราจะแน่ใจว่าเธอควบคุมพลังของตัวเองได้แล้วจริงๆ

    ควบคุมพลัง ?

    รีเมียสใช่ว่าจะเป็นนักเรียนที่เก่งกาจตั้งแต่แรก กว่าเขาจะบังคับการเคลื่อนที่ของวัตถุด้วยพลังจิตได้ เขาก็เคยเกือบระเบิดห้องนี้มาแล้ว ส่วนจูเลีย ก่อนที่จะรักษาเธอได้ขนาดนี้ ก็ต้องเริ่มจากการรักษาแผลมีดบาดก่อน ใช้เวลาเป็นเดือนเลยจริงไหม ?

    ค่ะ จูเลียตอบ

    เธอรักษาผมเหรอ ?

    ใช่ เธอกำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาล จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะศึกษาแผลจากการระเบิดของพลังแฝง

    ฉันไม่อยากจะพูดเลยตอนที่เธอมาถึง เธอเสียเลือดมาก และมีบาดแผลสาหัสหลายจุด ตอนที่พยาบาลฉีกกางเกงเธอออก สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทำให้ฉันและทุกคนตะลึงสุดๆ…”

    ทันใดนั้นทุกเสียงก็เงียบกริบ เหมือนผับที่โดนตำรวจบุกเข้ามาปิด

    จูเลียอ้าปากค้าง ส่วนผมรู้สึกราวกับถูกถอดวิญญาณ

    เอ่อ ฉันหมายถึงแผลที่ต้นขาเธอน่ะ มันเป็นแผลพุพอง

    เราสองคนตัดสินใจหันหน้าไปคนละทาง และผมมั่นใจว่าสิ่งที่เธอเห็นหลังจากกางเกงถูกฉีกไม่ได้มีแค่แผลแน่

    ( บ้าจริง เกิดมายังไม่เคยเปลือยให้ใครเห็นเลย )

    ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งหน้าแดง

    เอ่อ ความจริงรีเมียสก็อยู่ที่นั่นด้วย

    อาร์คีดีมัสบอก ผมหายใจกระตุก

    ท่านอาร์คีดีมัสก็อยู่

                    รีเมียสเสริม

    ในช่วงนาทีที่โลกของผมกำลังจะแตกสลาย อาร์คีดีมัสก็เลิกคิ้ว เม้มปาก เอียงศีรษะไปมาเหมือนพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง

                    ความจริงยังมีผู้คุ้มกฏอีกห้าคน พยาบาลห้าคน หมออีกห้าคน และพวกนักเรียนฝึกหัดอีกสิบคน มีผู้หญิงห้าคน ผู้ชายสี่คน กับอีกหนึ่งคนที่ไม่ระบุเพศ เอ่อ รวมๆแล้วมียี่สิบห้าคน

    นั่นเป็นการเปลี่ยนเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติจริงๆ!

    อ้อ รวมฉันกับรีเมียสก็ยี่สิบเจ็ด

                    ผมอยากตาย!!

                    เอ่อ โทษที ฉันคิดว่ามีของที่จะปลอบขวัญเธอได้ เมื่ออาร์คีดีมัสดีดนิ้ว กล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมเงางามก็ปรากฏขึ้นกลางโต๊ะ ลองแกะดู

                    ผมหยิบมันมาเปิดและพบกับสิ่งที่อาร์คีดีมัสหมายถึง

                    หนังสือ ? ผมทำหน้างง ทำไมพวกผู้ใหญ่มักคิดว่าเราต้องการหนังสืออยู่เรื่อยนะ!

                    ไม่ใช่หนังสือธรรมดา มันคือเดอะไกด์บุ๊ค คัมภีร์ความรู้ที่จะช่วยให้เธอสามารถใช้ชีวิตในไวท์โรดได้อย่างเพอร์เฟคอาร์คีดีมัสพูดด้วยท่าทางแบบคุณพ่อใจดี เขาดูจะภูมิใจกับมันซะเหลือหลาย ฉันเขียนมันเอง

                    นั่นไงประเด็น

    ตอนนั้นเองที่เสียงระฆังดังแว่วๆมาแต่ไกล มันเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ สวยงาม มหัศจรรย์ และผมเฝ้ารอจะได้ยินมันทุกวัน

    ระฆังบอกสัญญาณเลิกเรียน

    เป็นเกียรติที่ได้เธอมาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่

    เมื่ออาร์คีดีมัสลุกขึ้น พวกเราก็ลุกตาม

    ขอบคุณครับ

    ผมกับเขาจับมืออำลากัน ยิ่งอยู่ใกล้ๆ ผมยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ผมจะไว้ใจได้

    เราสองคนสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ แววตาของอาร์คีดีมัสเอ่อล้นด้วยประกายของความหมาย ดูราวกับว่าเขามีความในใจบางอย่างจะบอกผม

    ยี่สิบเจ็ดคนจริงๆนะ

    จากนั้นรีเมียสก็เดินนำเราออกไป

    อ้อ เสียงของอาร์คีดีมัสฉุดผมให้หันกลับ การรักษาเธอเป็นอะไรที่ท้าทายมาก ฉันเลยถือโอกาสสั่งให้ทางโรงพยาบาลอัดวีดีโอเอาไว้

    ริมฝีปากของผมพลันแยกออกจากกัน  

    ดีใจที่เห็นเธอตื้นตัน ข่าวที่ดีกว่านั้นก็คือเราถ่ายทอดสดให้พวกแพทย์พลังจิตได้ดูกันในหลายประเทศ การมาของเธอทำให้เราตื่นเต้นจริงๆ

     

     

     

                    พวกเราลงลิฟต์กลับมาที่ชั้นแรกอีกครั้ง โดยผมได้เพื่อนใหม่เป็นความจริงอันแสนน่าสะพรึงตัวเบ้อเริ่ม

    จูเลียพยายามปลอบใจผมว่า

                    ไม่เป็นไรหรอก พวกฝึกงานหลายคนสายตาสั้น แล้วตอนนั้นเธอก็ดูเละมาก ไม่มีใครจำเธอได้แน่ๆ

                    แต่รีเมียสก็ทำให้ทุกอย่างแย่ลงด้วยคำพูดสั้นๆ

                    ฉันเห็นใครบางคนถ่ายวีดีโอเก็บไว้ด้วย

                    จากนั้นก็ไม่มีใครส่งเสียงอะไรกันอีกเลย จนเมื่อประตูลิฟต์เปิด เราก็กลับสู่วงล้อมแห่งความโหวกแหวกอีกครั้ง เวลานี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่นักเรียนเต็มไปหมด ทุกคนเบียดเสียดอยู่บนพื้นที่ที่ใหญ่ประมาณสนามฟุตบอลราวกับรอชมฟรีคอนเสิร์ต ผมนึกอิจฉานักเรียนชายสองคนที่บินข้ามหัวพวกเราไป กับเด็กหญิงตัวเล็กๆหนึ่งคนที่ทะลุผนังได้ แต่ถ้าพูดตรงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

    เพราะทุกโรงเรียนย่อมมีคนอยากเลิกเรียนมากกว่าคนอยากเข้าเรียนอยู่แล้ว

    ต่อให้บินได้หรือไม่ได้ ถ้ายังเป็นคนก็ต้องคิดแบบนั้น

    หลังจากใช้เวลาพาร่างกายเสียดสีเพื่อนมนุษย์อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเราก็ถึงทางออก และผมพบความจริงว่า นี่คือนาทีแรกที่ผมได้สัมผัสสายลมกับแสงแดดอย่างเต็มตัว    

    ( โอ้  )

    ผมร้องลั่นในสำนึกยามเมื่อหันกลับไปยังที่ๆจากมา

    มันคือสิ่งก่อสร้างมโหฬารหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดชั้น รูปร่างของมันราวกับเอาจรวดกับเทือกเขาโอลิมปัสมารวมกัน! – ตัวอาคารทำด้วยวัตถุสีขาวเนื้อละเอียดที่ส่องเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ ใจกลางของมันคือคริสตัลสูงเสียดฟ้าซึ่งใสจนสามารถมองเห็นภาพสะท้อน ผมยกมือป้องตาเมื่อมองไปรอบๆ และพบว่ามีสิ่งก่อสร้างอีกสี่อย่างลอยอยู่รอบๆตึกนี้! – พวกมันมีหน้าตาแปลกประหลาดจนเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูด ผมรู้แค่ว่าแต่ละอันแบ่งเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนบนเป็นอาคารสีขาวสูงใหญ่ที่ปลายสุดแหลมเฟี้ยว ส่วนกลางเป็นวงแหวนเรืองแสงสีเหลืองอ่อนที่หมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ และมีรัศมีแสงสีขาวสยายออกมาคล้ายปีกนก ส่วนด้านล่างสุดเป็นฐานทรงพีระมิดทำหน้าที่ส่งคลื่นอะไรซักอย่างผ่านวงแหวน เพื่อพยุงส่วนบนให้สามารถลอยตัวได้ หากคุณคิดว่าการกำเนิดของมันมหัศจรรย์แล้ว เชื่อเถอะ ความมหัศจรรย์ยังมากได้อีก เพราะผมเพิ่งสังเกตว่าตึกทั้งสี่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำทะเล จึงสรุปได้ว่าฐานทรงพีระมิดที่เห็นคงเป็นยอดของเสาที่อยู่ลึกลงไปในผืนน้ำ!

    ผมเดินไป เงยหน้ามองพวกมันไป พลางสงสัยเหลือเกินว่ากินเนสบุ๊คมัวแต่ยุ่งกับกะเหรี่ยงที่มีห่วงคอเยอะที่สุดในโลกหรือไง ถึงได้มองข้ามสิ่งก่อสร้างสุดเริ่ดแห่งนี้

    โชคร้ายที่ไม่มีกล้อง ไม่งั้นผมได้ถ่ายรูปไปลงยูทูป

    แต่ก็อีกนั่นแหละ คงมีพวกอวดฉลาดมาบอกว่าเป็นฝีมือโฟโต้ช๊อป

     เมื่อหลายปีก่อนมันไม่ได้มีรูปร่างอย่างที่เห็นหรอกนะ จูเลียบอก ตึกไวท์พอยต์กับตึกสาขาทั้งหมดเพิ่งถูกรื้อทำใหม่ทั้งหมดเมื่อสองปีที่แล้ว ต้องใช้เวลาตั้งสิบวันกว่าจะเสร็จ

    กี่วันนะ ? ผมถามอย่างไม่เชื่อหู

    สิบวัน

     ตอนนี้เราถึงส่วนที่มีป้ายเขียนไว้ว่า สถานีรถด่วน ซึ่งดูคล้ายกับสถานีรถไฟลอยฟ้า มีชานชาลาแบ่งออกเป็นสองฟาก มีเส้นปลอดภัยสีเหลือง มีนักเรียนหนุ่มที่พยายามจะเฉียดกายไปนอกเส้นเหลือง มียามที่คอยเป่านกหวีดบอกพวกโง่ให้ออกห่างจากเส้นเหลือง และมีรางรถไฟที่ทอดออกไปในทะเล

    ….

    ในทะเล!?

    ผมไม่ได้ตาฝาดแน่ รางนั้นทอดยาวไปในทะเลจริงๆ มันถูกครอบด้วยอุโมงค์สีขาวใส มองไปไกลๆจะเห็นเกาะเล็กๆหนึ่งเกาะ คำนวณคร่าวๆน่าจะห่างจากจุดนี้ไปประมาณสิบกิโลเมตร

    นี่ผมอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย ? กลางมหาสมุทรแปซิฟิก? มหาสมุทรแอตแลนติค? มหาสมุทรอินเดีย?

    หรือว่า

    ฮอลีวู้ด!?

    ขอถามหน่อยซินี่เรา…”

                    ยังพูดไม่ทันจบ อะไรบางอย่างก็พุ่งผ่านผมไป

              รู้สึกตัวอีกทีก็มีรถไฟสีขาวคันยาวเฟื้อยจอดอยู่ข้างหน้าแล้ว 

              เร็วเข้า

                    จูเลียจูงมือผมเข้าไปในรถพร้อมกับนักเรียนอีกจำนวนมหาศาลที่ตามหลัง ที่นั่งมากมายถูกจับจองในเวลาอันรวดเร็ว เพียงไม่นาน ใบหน้าของหญิงสาวผมทองก็ปรากฏบนผนังทุกด้าน เธอพูดด้วยเสียงหวานเยิ้มเหมือนแอร์โฮสเตสว่า

                    กรุณาอยู่ห่างจากประตู ขอบคุณค่ะ

              ตอนนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งมัวแต่เมาท์แตกเหมือนไม่สนใจคำเตือน

                    มิสราโมน่า ทิวลิป เลขประจำตัวสี่สี่เจ็ดห้าศูนย์ ที่ประตูหมายเลขสาม กรุณาอยู่ห่างจากประตูด้วยค่ะ

                    เสียงดุฉุดทุกคนให้หันควับไปมองเด็กสาวซึ่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป เพื่อนๆเธอปลีกตัวออกห่าง และราโมน่า ทิวลิปซึ่งผมไม่มีวันลืมก็เขยิบสองก้าว

                    ขอบคุณค่ะ

                    หญิงสาวบนผนังกลับมาด้วยเสียงแอร์โฮสเตสอีกครั้ง เมื่อประตูปิดลง รถด่วนก็เคลื่อนตัว

                    เด็กพวกนี้นี่ จูเลียส่ายหน้า และหันกลับมาสนใจสิ่งที่ผมเริ่มไว้เมื่อนาทีก่อน เมื่อกี้เธอถามอะไรนะ ?

                    เอ่อ…”

                    กรุณาตรวจดูสัมภาระก่อนออกจากขบวน ขอบคุณค่ะ

              เสียงนั่นดังอีกครั้ง แล้วประตูก็เปิด

              ฮะ!?

                    รีเมียสเดินนำออกไปคนแรก ตามด้วยจูเลีย และผม เรากลับมาอยู่ที่ชานชาลาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ชานชาลาตรงไวท์พอยต์

                    เป็นชานชาลาบนเกาะที่ผมบอกว่าห่างจากไวท์พอยต์สิบกิโลต่างหาก!

                    คำถามเรื่องที่ตั้งของสถานที่แปลกประหลาดถูกเก็บเข้ากรุเนื่องจากผมต้องรีบเดินตามรีเมียสซึ่งเดินเร็วมาก ส่วนจูเลียก็กำลังคุยกับเพื่อนผ่านนาฬิกาข้อมือ เอ่อคุณได้ยินถูกต้องแล้วล่ะ แม้เธอจะมีเวทมนตร์ แต่จูเลียก็เหมือนผู้คนทั่วไป ที่เมื่อได้คุยโทรศัพท์เมื่อไหร่ พวกหล่อนก็ไม่สนใจหรอกว่าภูเขาไฟจะระเบิดหรือสึนามิกำลังจะพัดเข้าฝั่ง 

                    เผอิญว่ามีนักเรียนเข้าใหม่ ฉันต้องดูแลเขานิดหน่อยใช่จ้ะ คนที่ฉันเข้าไปช่วยเรื่องการรักษานั่นแหละเอ่อ ใช่ ที่ฉันบอกว่าตะลึง (จูเลียหันมาหัวเราะแฮะๆ ผมแสร้งหันไปทางขวา และเห็นเด็กนักเรียนฮิปฮอปเดินเกาไข่แบบไม่ตั้งใจ) โอ้ว เขาก็(จูเลียเหลือบมองผมอีกครั้ง) ใช้ได้นะหล่อกว่ารีเมียสมั้ย ? (ผมสังเกตว่ารีเมียสแอบมองเธออย่างลับๆ) ไว้คุยทีหลังดีกว่า บ๊าย บาย รักเธอ

              กว่าเธอจะคุยเสร็จ เราก็พ้นเขตชานชาลาพอดี

              และนาทีนั้นเอง ที่ผมได้ฤกษ์ตะลึงอีกครั้ง

                    ที่ๆผมยืนอยู่ตรงนี้ราวกับเมืองขนาดย่อม เหนือศีรษะขึ้นไปคือรางรถไฟฟ้า และรอบกายคืออาคารสิ่งก่อสร้างรูปร่างพิลึกพิลั่น ที่ผมไม่สามารถบรรยายลักษณะของมันออกมาเป็นคำพูด! ไม่กล้าเลยแม้แต่จะคิด บอกได้แค่ว่ารู้สึกเหมือนเดินอยู่ในหนังฟอร์มยักษ์ของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ที่ต้องทุ่มงบประมาณหลายพันล้านเหรียญเพื่อเนรมิตอะไรที่เหนือจินตนาการเช่นนี้ ผมเดินไป หมุนรอบตัวเองไป ยิ้มไป หัวเราะไป ราวกับคนบ้า นาทีนี้เรากำลังจะเดินเข้าอุโมงค์วงกลมอันมหึมา ซึ่งพื้นผิวของมันคงจะทำจากจอภาพ เพราะผมสังเกตว่ามีใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนนั้น และมีคำว่า หอพักชาย สว่างจ้าอยู่ด้วย!

    เมื่อผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาก็เจอแต่ผู้ชายกับผู้ชาย สภาพของมันช่างสวยงามหรูหราราวกับเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งในฮอลีวู้ด พื้นถูกปูด้วยพรมสีแดงตัดผนังสีขาว ห้องล๊อบบี้ตกแต่งด้วยโซฟาสีแดงกับโต๊ะสีขาว และผนังแก้วใสที่สามารถมองเห็นน้ำตกจำลองกับสวนเล็กๆอีกฟาก ผมสังเกตว่ามีฟิตเนสอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนขวามือเป็นสระว่ายน้ำ เสาสีขาวข้างๆเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์มีใบหน้าของผู้หญิงคนเดียวกับที่ผมเคยเห็นในไวท์พอยต์

    และเธอกำลังพูดประโยคเดิม

    ซีมูเลชั่นสปีดเปิดเซิร์ฟเวอร์ให้ดาวน์โหลดเครื่องอัพเกรดใหม่ๆแล้ววันนี้

                    แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมก็เห็นว่ามีนักเรียนไม่น้อยกำลังเงยหน้าดูรายละเอียดเกี่ยวกับข้อความนั้น

                    โอเค ฉันส่งเธอได้แค่นี้ รีเมียสจะรับช่วงต่อ

                    ฮะ ?

                    ฉันต้องรีบเข้าประชุม ไว้เจอกันวันหลังนะ อ้อ นี่เบอร์ฉัน จูเลียเดินเข้ามากดโน่นนี่บนนาฬิกาผมอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า บาย

                    เพียงพริบตา ก็เหลือเพียงแค่ผมกับรีเมียสสองคน

             

              เอ่อ

                    ไปกันเถอะ รีเมียสเดินนำไปอย่างไม่รีรอ หากไม่นับเรื่องการเปลือยกายแบบสาธารณะแล้ว การอยู่กับคนอย่างรีเมียสสองต่อสอง ถือเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดของวันนี้

    พอล

                    ครับ ผมตอบรับเสียงเรียกเย็นชานั้น แล้วรีบเดินตามเพื่อนผู้เงียบขรึมไปยังลิฟต์แก้ว

              ตอนนั้นเองที่ประตูลิฟต์อีกสองตัวเปิดออกพร้อมกัน และผมถูกนักเรียนจำนวนมากปิดทางเดินไว้หมด

                    !?

              ทันนั้นผมก็ต้องหยุดด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้หญิงในชุดหนังสีดำคนหนึ่งเดินสวนขึ้นมาก็นี่หอพักชาย แล้วมีผู้หญิงได้ไง

                    พอล

                    รีเมียสเร่ง ผมจึงรีบเดินตาม และเมื่อหันกลับไปมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง

    ผมก็ไม่เห็นเธอแล้ว

    แต่จะว่าไป มันไม่ใช่เรืองแปลก ในเมื่อมิสทิฟฟานี่บางคนยังสวยกว่าปารีส ฮิลตันได้เลย

              ปิ๊ง ป่อง

                    ประตูลิฟต์เปิดออก แล้วรีเมียสก็เดินนำผมมาหยุดที่หน้าห้องหมายเลข 308

              กดปุ่มสีแดงบนนาฬิกาของนาย แล้วจ่อไปที่เครื่องตอบรับหน้าห้อง

                    เอ่อ แบบนี้นะเหรอ ? ผมทำตามอย่างงกๆเงิ่นๆ และได้ยินเสียงตอบรับว่า

                   

    ยินดีต้อนรับ พอล เอลแกน

     

                    โอ้ว มันฉลาดกว่าฉันอีก ผมทำหัวเราะกะให้เพื่อนฮา - แต่เพื่อนเงียบ

                    เสียงปลดล๊อคดังตามมา และประตูก็เปิด

                    เชิญ รีเมียสเหมือนจะรอให้ผมเดินเข้าไปเป็นคนแรก จากนั้นเขาก็เชิญตัวเองตามเข้ามาและปิดประตู

                    เตียงสีขาวหิมะกลางห้องเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ตัวห้องถูกโอบด้วยผนังสีขาวเหมือนกับหลายที่ๆผมผ่านมา มีโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งติดกับผนัง ถัดไปดูเหมือนจะเป็นตู้สำหรับเก็บของ ใกล้ๆกันคือซอยที่ลึกเข้าไปซึ่งเป็นห้องครัว มีโต๊ะทานอาหารสีขาวที่ล้อมด้วยเก้าอี้สี่ตัว มีตู้เก็บของเล็กๆสามตู้เรียงติดกันเป็นแนวนอน  และตู้เย็นสีเงินอันใหญ่ราวกับเอาไว้ใส่ศพมนุษย์ทดลอง

    มันช่างเป็นห้องที่สะอาด มีระเบียบ สวยงาม

    แต่ก็ว่างเปล่าซะเหลือเกิน

                    จนเมื่อรีเมียสกดสวิทซ์ที่หัวเตียง      คำว่า กำลังโหลด ก็ปรากฏขึ้นบนผนัง

    และเมื่อมันเสร็จ สีสันแท้จริงของห้องพักก็เป็นที่ประจักษ์

    ผนังด้านหน้าเตียงนอนกลายสภาพเป็นจอภาพมหึมาความสูงสองเมตร! มีจอภาพเล็กๆอยู่ใกล้มันอีกหลายจอ ทั้งจอเครื่องเล่นไฟล์ภาพนิ่ง, จอเครื่องเล่นไฟล์ภาพเคลื่อนไหว, จอเครื่องเล่นไฟล์เสียง หรือแม้แต่จอลำโพง ผนังที่ว่างเปล่าตรงโต๊ะเรียนกลายเป็นกระจกใสเผยทิวทัศน์ของมหาสมุทรสุดตระการตา จอพลาสม่าบนตู้เย็นแสดงข้อความว่า มื้อเย็นพร้อมเสิร์ฟ เชิญเลือกเมนู และยังมีอีกข้อความบนผนังตรงหัวเตียง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     ( โอ้ว พระเจ้า ช่วยลูกด้วย!! )

    คู่มือการใช้ห้อง และสิ่งต่างๆที่นายควรเรียนรู้อยู่ในหนังสือที่ท่านอาร์คีดีมัสมอบให้

    รีเมียสบอก ขณะที่ผมกำลังทึ่งกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย

                    ที่นี่ที่ไหนกันแน่ ? อเมริกา หรือว่ารัสเซีย ?

    ผมตาลุกวาว รู้สึกตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่

                    ไม่ใช่

                    เอ่อ เยอรมัน? ฝรั่งเศส? อังกฤษ?

                    ไม่

                    ญี่ปุ่น!... ใช่ ต้องญี่ปุ่นแน่ๆ ฉันเคยได้ยินว่าพวกเขาประดิษฐ์หุ่นยนต์ได้

                    รีเมียสส่ายหน้า สมองผมทำงานอย่างรวดเร็ว ถึงสถานที่นี้จะรอดจากสายตาของกินเนสบุ๊คได้ แต่ก็ไม่น่าจะรอดตัวจากยูทูปได้ มันคืออะไรนะ ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก

                    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า!”

                    ที่นี่คืออาการ์เซีย นายกำลังอยู่ที่ไวท์โรด บนมหาสมุทรโบดิก

              ฮะ ? ผมยิ้มอย่างว่างเปล่า อา..อะไรนะ?

                    รีเมียสไม่พูดแต่เดินไปยังจอภาพสองเมตร เขาสัมผัสปุ่มเปิดบนผนัง แล้วภาพก็ปรากฏขึ้นมา

                    สวัสดีค่ะดิฉัน ไดอาน่า ลอสเตอร์ จากสำนักข่าวSCI วันนี้วันที่ 12 มกราคม ถือเป็นวันสำคัญของชาวไวท์ซิตี้ เนื่องจากเป็นวันครบรอบหนึ่งปีของการสังหารจาเร็ด ดอร์มินิค รองประธานพรรคพีซเซิล ( รีเมียสกดเปลี่ยนช่อง ) ไม่มีการเดินทางไหนที่จะสะดวก สบายและถึงที่หมายได้เร็วเท่าประตูมิติของเรา แล้วเจอกันที่อันซตราด้านะคะ (รีเมียสเปลี่ยนช่องอีกครั้ง) ซีตันคือนักล่าที่ร้ายกาจที่สุดในหุบเขามอนสเตอร์ และเพราะมันเป็นสัตว์อันตรายที่สามารถล่องหนได้ จึงถือเป็นความท้าทายของทีมงานเอ็กซ์พลอเลอร์ที่จะพาท่านไปทำความรู้จักกับมัน (รีเมียสเปลี่ยนช่อง) เดอะไกด์บุ๊ค คู่มือสำหรับนักเรียนไวท์โรด เขียนโดยอาร์คีดีมัส สามารถหาซื้อได้แล้วทุกแผงหนังสือชั้นนำ

    แล้วรีเมียสก็กดปุ่มปิด ความเงียบกระทันหันพาให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี

              เอ่อไม่มีเอ็มทีวีหรอ ?

                    ไม่มีเอ็มทีวี ชาแนลวี ซีเอ็นเอ็น หรือดิสโคลฟเวอร์ชาแนล

                    แล้วเอชบีโอล่ะ

                    ไม่ รีเมียสถอนหายใจแบบเก็บความรู้สึก ที่นี่คืออาการ์เซียพอล ไม่ใช่โลกของนาย มันไม่ใช่

                    อาการ์เซีย….”

    ผมพร่ำเพ้อชื่อนั้นราวกับคนเสียสติ แล้วมองออกไปทะเลสุดขอบฟ้าอย่างต้องการคำตอบ นายกำลังทำฉันกลัวนะรีเมียสผมหัวเราะ พยายามทำแสดงสีหน้าให้รีเมียสรู้ว่าผมรู้ทันเขา

                    อาการ์เซียคือมิติคู่ขนานของโลกมนุษย์รีเมียสชี้แจงอย่างใจเย็น เหมือนเวลาเจ้านายที่กำลังจะไล่ลูกน้องซักคนออก มันอาจจะฟังเหลือเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริง นายอยู่ที่นี่จริงๆ

                    นายเพ้อเจ้ออะไรรีเมียส มันมีที่ไหนมิติคู่ขนาน…” ผมส่ายหน้าเชื่องช้า รู้สึกได้ว่าความสับสนและความกลัวสุมกาย นายล้อฉันเล่นแน่ๆ นายต้องล้อฉันเล่นแน่ ผมหัวเราะ

                    แต่สายตาของรีเมียสช่างนิ่งเฉย

                    และมันทำให้รอยยิ้มของผมหายไป

                    เอ่อฉันว่าฉันฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ ฉัน..ฉันต้องกลับ

    ว่าแล้วผมก็รีบเดินไปยังประตูห้อง แต่รีเมียสกลับเข้ามาขวาง

                    นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น

                    นายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันไม่ใช่บ้านของฉัน แล้วนายก็ไม่มีสิทธิจับใครมาอยู่ในที่ๆไม่ใช่บ้านด้วย!”

    ทั้งที่ผมดึงดันจะผ่าน แต่รีเมียสก็ไม่ปล่อยให้ผมทำโดยง่าย ผมเอามือผลักอกเขาเบาๆ แต่รีเมียสก็กลับมายืนได้ใหม่ ท้ายที่สุดผมจึงใช้แรงทั้งหมดกระชากคอเสื้อเขา รีเมียสกระชากคอเสื้อผมกลับ! ผมผลักรีเมียสไปกระแทกผนัง รีเมียสชกหน้าผมเข้าเต็มแก้ม ผมชกเขาเต็มปาก! – แว่นตาเขากระเด็นหลุดไป เรากลับมาตะลุมบอนกันอีกครั้ง! เกิดเสียงดัง เปรี้ยง! แล้วผมก็ลอยข้ามห้อง!

    โอ๊ย!” ผมนอนจุกคุดคู้อยู่บนเตียง รู้สึกได้ว่ากำลังทำหน้าเหยเกอย่างผู้แพ้ 

    ยอมรับเถอะพอล นายไม่มีที่ไปแล้ว รีเมียสเอามือปาดคราบเลือดที่มุมปาก แล้วหันไปก้มลงเก็บแว่นตาบนพื้น

    ไม่ ฉันจะกลับบ้าน!”

    ผมฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่และสามารถขึ้นคร่อมเขา ผมยกหมัดขึ้น!

    !?

    แต่แววตาคู่นั้นกลับหยุดผมไว้ในนาทีที่เขากำลังจะถูกผมตะบันหน้า

    มันไม่ใช่แววตาของคนกลัวไม่ใช่แววตาของคนขี้ขลาด และไม่ใช่แววตาของคนโกรธ

    แต่เป็นแววตาสงสาร

    ทำไมเขาถึงจ้องผมแบบนั้น?

    ถ้าไม่หยุด นายไส้แตกแน่

    ผมขมวดคิ้ว และรู้สึกอุ่นแปลกๆที่หน้าท้อง

    เมื่อก้มลงมองก็พบว่าฝ่ามือของรีเมียสนาบอยู่ตรงนั้น มันกำลังเรืองแสงเมื่อพลังงานความร้อนมากมายกำลังรวมตัวกัน ถ้าวัดจากที่เขาทำกับเก้าอี้ในห้องพยาบาลแล้ว สิ่งที่รีเมียสเตือนเมื่อครู่ คงไม่ใช่อะไรที่เกินจริง

    โธ่เว้ย!”

    ในที่สุดผมก็จำต้องผละจากคู่อริ และทิ้งตัวกับพื้นอย่างใจคอห่อเหี่ยว เสียงปิ๊บดังมาจากผนังหัวเตียง ผมเงยหน้ามองมันและพบข้อความว่า

     

     

     

     

      

                  
              “เขาทำอย่างนี้กับฉันทำไม ? ผมส่ายหน้าไม่เข้าใจ รู้สึกสับสนจนกลัวไปหมด

    เพื่อตัวนายและเพื่อคนรอบข้างนาย รีเมียสยืนขึ้นและทำสิ่งที่แปลกประหลาด

    เขากำลังเอื้อมมือมาให้ผม

    ต่อไปนี้ นี่คือโลกใหม่ที่นายต้องรู้จัก ทำความคุ้นเคยกับมันซะ

    แม้คำพูดจาจะเรียบเฉย แต่แววตาของรีเมียสมีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

     

    ซึ่งอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ก็คือ ความหวังดี

     

    หลังจากที่รู้ว่าเออร์เน็ตจากไป หัวใจผมก็ไม่พร้อมจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ในเมื่อปาฏิหาริย์ให้โอกาสผมได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมก็มั่นว่าใครบางคนเบื้องบนคงมีประสงค์ให้ผมได้หายใจต่อไป แม้มันจะเป็นโลกใบใหม่ แต่มันจะต่างอะไร หากต้องกลับไปโลกใบเก่าที่ไม่เหลือใคร

    ซ้ำยังมีเด็กแว๊นซ์ ซีดีเถื่อน และภาวะโลกร้อนอีกต่างหาก

                    พระเจ้าคงกำหนดมาแล้วว่าผมต้องอยู่ที่นี่ และหากผมต้องทำความคุ้นเคยกับโลกใบใหม่

    ผมก็ควรเริ่มจากเพื่อนใหม่คนนี้

     

    ขอบใจ

     

    ผมยื่นมือออกไป เพื่อให้รีเมียสฉุดผมลุกขึ้น

      

     

     

    ----------------------------------------------------------------------------
     

     


    เมื่อสิ่งเลวร้ายจากโลกใบเก่ารุมเร้า 

    ใจของเราทุกคนย่อมดิ้นรนเพื่อแสวงหาโลกใบใหม่

     

    โลกใบใหม่ที่มาพร้อมกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ

     

    สีขาวของตึกไวท์พอยต์ส่องสว่างสะดุดตาราวกับภูเขาหิมะลูกงามกลางทะเลราตรี วงแหวนที่หมุนรอบตึกลอยฟ้าทั้งสี่ช่างงามผุดผ่องเช่นแสงจันทร์ บนผืนเกาะที่ห่างไกลออกไป หลายชีวิตกำลังเดินขวักไขว่ เหมือนนครมหัศจรรย์ที่ไม่เคยหลับไหล  

     

    โลกใบใหม่ที่มาพร้อมกับผู้คนใหม่ๆ

     

    ที่ห้องพักห้องหนึ่งของหอพักชาย ขณะที่เด็กหนุ่มสองคนกำลังหัวเราะกับมุขตลกบนจอภาพ เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินคนหนึ่งก็หยิบกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมา ไอพลังน้ำแข็งสีขาวส่งผ่านฝ่ามือเขาไปยังกระป๋องน้ำ จนเมื่อมันเปิดออก สิ่งที่อยู่ในนั้นก็แปรสภาพเป็นวุ้นใส ไม่ใช่ของเหลวอีกต่อไป

     

    และโลกใบใหม่ที่มาพร้อมกับเพื่อนใหม่ๆ

     

    รีเมียส เร็วเข้าทุกคนรออยู่

    จูเลียโผล่หน้าออกมาจากห้องประชุม

    โอ๊ย ตายจริง เกิดอะไรขึ้น!?”

    เธอรีบวิ่งไปหาเด็กหนุ่มทันทีที่เห็นแผลตรงริมฝีปาก

    ไม่เป็นไรหรอก แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยรีเมียสหลบตาเมื่อจูเลียจับหน้าเขาพลิกดู

    อยู่เฉยๆนะ

    จูเลียบอกแล้วปล่อยสายใยสีขาวออกมาจากนิ้วชี้ เพียงพริบตาแผลนั่นก็หายเป็นปลิดทิ้ง

    โอเค หล่อเหมือนเดิมแล้ว จูเลียบอก รีเมียสส่งยิ้มน้อยๆให้

    โอ๊ย จ้องกันอยู่นั่นแหละคะ เพื่อนขา!”

    เสียงแจ๋นๆ ของใครบางคนดังมาแต่ไกล

    ไปเดี๋ยวนี้แหละ

    แล้วจูเลียกับรีเมียสก็รีบตามไป

     

    สำหรับผู้โชคดี เขาอาจได้ไปเยือนโลกใบใหม่ที่ไกลเกินกว่าใครจะนึกฝัน

     

    พอลนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงในห้องที่เงียบและมืดมิด

    สายตาของเขาเหม่อลอยมองเพดานที่ถูกปรับให้เป็นจอแสดงภาพท้องฟ้ายามราตรี แม้จะมีคำสอนของเออร์เน็ตดังกึกก้องอยู่ในหัว แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ตัวคนเดียวเพื่อคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา น้ำตาลูกผู้ชายก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดแห่งการพลัดพรากได้ 

     

    ถึงบางครั้งเรื่องราวจากโลกใบเก่าจะยังฝังใจ

     

    เสียงรูดซิปผ้าห่อศพดังชัดเมื่อการชันสูตรสิ้นสุด เตียงขนศพถูกเข็นออกจากห้องไปตามทางเดิน โดยมีป้ายชื่อ เออร์เน็ต เอลแกน กวัดแกว่งอยู่บนซิป พนักงานเข็นศพทำหน้าที่ไปผิวปากไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรรอบกาย

    จนเมื่อถึงหัวมุมเขาก็หยุด

    ศพนี่ไปไหน ? คุณหมอคนหนึ่งถาม

    ไปห้องศพไม่มีญาติครับ

    เฮ่อ คุณหมอถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างเวทนา ไปเถอะๆ

    ครับ   

     

    แต่ผู้โชคดีก็ต้องไม่ลืมว่า

    ควรตัดใจจากโลกใบเก่าให้ได้

    เพราะเรื่องราวจากโลกใบใหม่ อาจทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงตลอดกาล

     

    พอลร้องไห้จนพล็อยหลับไป  

    ในห้องที่มืดมิดและเงียบสนิท เด็กหนุ่มไม่มีวันรู้เลยว่า บางอย่างกำลังปรากฏขึ้นบนบานกระจกใส

    บางอย่างที่คล้ายกับเงาของใครคนหนึ่ง

    บางอย่างที่กำลังจ้องมองเขา

     

    และเป็นบางอย่างที่ไม่มีได้มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ 

     


    click to comment
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×