ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : The White Road (Part 1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.6K
      19
      12 ก.ค. 51

    ผมอยู่ในโลกที่คุณเองก็เข้าใจมันดี

     

    โลกที่น้ำมันคือสัตว์เลี้ยงของพระเจ้า

    โลกที่เด็กอายุสิบหกบางคนรู้จักกัญชาดีกว่าสูตรหาพื้นที่สามเหลี่ยม

    โลกที่ผู้ก่อการร้ายโง่กว่าสุนัขเพราะไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด

    โลกที่ผู้คนศรัทธาอินเตอร์เน็ตมากกว่าศาสนา

    โลกที่วัยรุ่นแทบจะตายคาโรงเรียนกวดวิชา เพราะระบบแอดมิชชั่นบ้าๆ

     

    และโลกที่กำลังจะแตกสลายเมื่อถูกธรรมชาติเอาคืน

     

    ผมเป็นคนหนึ่งที่เอือมระอากับโลกใบเก่าพอๆกับที่เบื่อหนังน้ำเน่าในโทรทัศน์

    และบ่อยครั้งที่ผมเพ้อฝันถึงโลกใบใหม่ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะมีอยู่จริง

     

    จนกระทั้งวันนี้  วันที่ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง

     

     

     

     

    Chapter 1

    THE WHITE ROAD

     

     

     

     

              ผมหยีตาอย่างอ่อนล้าเมื่อแสงประหลาดแยงเข้ามา

    หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่งจนตาสว่าง ผมจึงหันศีรษะไปทางขวา และพบว่าแสงประหลาดที่ปลุกผม ก็คือแสงอาทิตย์ซึ่งทอดผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อน

             

              ผ้าม่านสีฟ้าอ่อน ?

             

              เฮ้ย!

              ผมถูกความตื่นตระหนกกระชากขึ้นจากเตียง! – มองไปทางไหน ก็เห็นเตียงสีขาวรูปร่างประหลาดเต็มไปหมด พวกมันมีรูปทรงคล้ายกับตัวอักษร C แต่ลากหางยาวออกไปเป็นเส้นตรง ทั้งห้องอันกว้างใหญ่ไร้ผู้คนและเงียบกริบ เส้นชีพจรบนข้อมือผมเต้นตุบๆราวกับจะทะลุออกมา

                    (โอ้ ไม่ โอ้ ไม่)

                    ผมส่ายหน้า อ้าปากหวอ หัวใจเต้นรัว ขนลุกไปทั่ว

    นี่ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก พื้นห้องไม่มีคราบรองเท้า เตียงปราศจากคราบปัสสาวะ ผ้าม่านไม่มีรอยขาด หน้าต่างไร้รอยแตก บนเพดานไม่ได้ประดับด้วยพัดลมส่งเสียงออดแอด แถมชุดผู้ป่วยยังเป็นสีขาวหอมเหมือนซักใหม่! 

    ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลเมืองคอร์เคล

    ยิ่งเมื่อผมเพิ่งสังเกตว่าเตียงรูปตัว C พวกนั้นลอยได้!

    ยังไงก็ไม่ใช่!

    สัญชาตญาณสั่งให้ผมผลักผ้าห่มออกไปเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดอีกครั้ง

    แต่เมื่อประตูแก้วใสบานใหญ่เปิดออก การกระทำทั้งหมดก็สิ้นสุด

              ()

                    แม้สูทกับกระโปรงจีบจะเป็นสีขาว แต่ก็ไม่อาจผุดผ่องไปกว่าใบหน้าเธอได้เลย

    เรือนผมสีดำของเธอนั้นยาวสลวย ริมฝีปากสีชมพูโค้งเป็นรอยยิ้มบนแก้มใส เมื่อเธอเข้ามาใกล้ ผมก็ดันตัวออกห่าง

    เธอสลบไปสองวันเต็มๆ เด็กสาวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงและวางสองมือประสานบนตัก ฉันจูเลีย คาร์ตัน   

    มือที่ยื่นมานั้น ราวกับเครื่องอัดแรงดันที่ผลักผมสู่โลกแห่งความหวาดระแวง

    แต่เมื่อได้สบตาคู่สีน้ำตาลแสนอ่อนโยน และยิ่งเมื่อหลังมือของผมถูกสัมผัสโดยฝ่ามือ

    เนียนละเอียด ทุกสิ่งก็พลันหยุดเคลื่อนไหว

                    ไม่ต้องกลัวนะ เธอมอบรอยยิ้ม แบบที่นักจิตวิทยาจะให้กับเด็กหนุ่มซึ่งเพิ่งรอดพ้นจากการถูกข่มขืน

    ยามนี้เมื่อความกลัวหายไป ความสงสัยก็เข้ามา

                    เกิดอะไรขึ้น แล้วที่นี่ที่ไหน?

    ผมมองรอบๆเหมือนลูกหนูไม่คุ้นกรง

                    แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบ ประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง และเด็กหนุ่มในชุดสูทกับกางเกงแสลคสีขาวก็เดินเข้ามา

    เขามีผมสีดำสนิทเช่นเดียวกับเนคไทซึ่งผูกติดคอปกเสื้อเชิ้ต แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมเสริมใบหน้าหล่อเหลาให้ดูเงียบขรึม ผมว่าเขาเหมือนคลาร์ก เคนท์ ตอนยังไม่ใส่กางเกงในสีแดงเป็นซุปเปอร์แมน แม้เครื่องแต่งกายจะบอกว่าทั้งสองมาจากที่เดียวกัน แต่ความสดใสของจูเลียดูจะไม่ได้แผ่ไปถึงเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้เลย

    ยินดีต้อนรับ ฉันรีเมียส เดเซอร์ริส

    ผมจับมือทักทายเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ เด็กหนุ่มส่งรอยยิ้มให้ผมพอเป็นพิธี เขากดปุ่มอะไรบางอย่างบนนาฬิกาข้อมือรูปร่างแปลกประหลาด

    ทันใดนั้นซีดีสีม่วงแดงก็ลอยออกมา!

    เฮ้ย!

    ผมสะดุ้งราวกับถูกไฟช๊อต รีเมียสหยิบซีดีที่ลอยอยู่นั่นแล้วส่งให้ผม

    เดี๋ยวนายเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด จะเห็นจอคอมพิวเตอร์ติดผนัง ใส่ซีดีเข้าไป กดคำสั่งแรกเพื่อเลือกเครื่องแบบมาใส่

    เขาพูดอย่างรวดเร็ว และผมทำหน้าเหมือนผู้ชายที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม

    ในซีดีนี้ เอ่อ มีเสื้อผ้า ?ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนความคิดบ้าๆ

    แต่เมื่อรีเมียสพยักหน้า ขากรรไกรผมก็ค้าง

    อึดใจต่อมาเราทั้งสามก็มายืนเรียงกันอยู่หน้าห้องเปลี่ยนชุด ตรงกลางคือผมซึ่งหัวฟูเพราะเพิ่งตื่นและอ้าปากหวอหลังถูกความตะลึงซัดใส่ ซ้ายมือคือรีเมียสผู้ดูเหมือนคุณหมอเจ้าของไข้ และจูเลียผู้สดใส เป็นอะไรที่ไม่ต่างกับพยาบาลอีคิวสูง

    จะว่าไปมันก็คือภาพถ่ายหัวข้อ วันแรกของการเป็นคนปัญญาอ่อน ดีๆนี่เอง

    เอ่อ…” ผมจงใจส่งเสียงบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบ

    เชิญ รีเมียสเปิดประตูห้องทันที

    เดี๋ยวก่อนนะ ผมยกสองมือขึ้น ทำใจสู้เสือ แล้วหันไปประจัญหน้าทั้งสอง นี่มันอะไรกัน? พวกนายเป็นใคร? เกิดอะไรขึ้น? ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

    จูเลียส่งสายตาขอคำปรึกษาให้รีเมียสซึ่งยืนกอดอก

    ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อพวกเขายังไม่ปริปาก ผมจึงฉวยโอกาสทบทวนทุกสิ่ง

    ฉันจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่สวนสาธารณะ จำได้ด้วยว่าเกือบจะตาย และจำได้ด้วยว่าฉันเคยอยู่ที่ไหน และที่นี่ไม่ใช่ที่นั่น

    ผมส่ายหน้าเชื่องช้าเมื่อค่อยๆถอยห่างไปทางประตูทางออกอย่างระแวดระวัง สองตาของผมไม่ละไปจากทั้งคู่ และเมื่อจูเลียเป็นคนแรกที่ทำท่าจะก้าวตาม ผมก็ถลาไปคว้าเก้าอี้มาเป็นอาวุธ!

    ใจเย็น ๆ นะ ฟังพวกเราก่อน?

    ไม่!” ผมตะโกนโต้ตอบเสียงอ้อนวอนนั้น จูเลียสะดุ้งเฮือก รีเมียสยังยืนกอดอก ฉันจะบอกให้ ชีวิตฉันโดนอะไรแย่ๆมามากพอแล้ว และฉันจะไม่มีวันถูกทำร้ายอีก!”

    ดูตัวเองดีๆซิ ตัวนายมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง รีเมียสเอ่ยราบเรียบ และทันทีที่เขาก้าวเดิน หัวใจผมก็เต้นระส่ำ!

    มีซิ ฉันไม่เคยเห็นเตียงลอยได้ แล้วก็ไม่เคยได้ยินใครบอกให้เปลี่ยนเสื้อผ้าจากซีดีด้วย!”

    ฟังพวกเราก่อน จูเลียขอร้อง

    พวกนายเป็นใคร สตาร์เทรค สตาร์วอร์ หรือว่านักวิทยาศาสตร์ของซัดดัม!”

    นึกดีๆซิว่านายเคยบาดเจ็บแค่ไหน?

    อย่าเข้ามานะ!” ผมแผดเสียงทั้งริมฝีปากสั่นระริก ผมเหลือบมองผ่านไหล่เห็นประตูทางออกอยู่ไม่ไกล และหันกลับอย่างรวดเร็วเพื่อจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

    นึกดีๆ ซิ ว่านายเคยหลังหักใช่ไหม? 

    รีเมียสใกล้เข้ามาอย่างมั่นคง แววตาของเขากับผมประสานเป็นหนึ่งเดียว

    ฉันเอาจริงนะ!” ผมขู่คำรามแม้มือจะสั่นจนแทบจับเก้าอี้ไม่อยู่

    เสียงฝีเท้าของเขาชัดเจนยิ่งนัก รีเมียสไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เขายังคงเดินเข้ามา

    แล้วตอนนี้นายเป็นยังไง ?  

    อีกไม่กี่ก้าวเขาจะประชิดตัวผม อีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้เขาจะจับผมได้ แล้วเขาจะจับผมไปทำอะไร ? มนุษย์สต๊าฟ ? มนุษย์โคลน ? หุ่นยนต์ ? เอาไตไปขาย หรือว่า เปลี่ยนผมเป็นดาร์คเวเดอร์ ? โอ้ไม่ ชุดดาร์คเวเดอร์ดูร้อนมาก แล้วหน้ากากอันนั้นก็ไม่น่าจะถ่ายเทอากาศได้ดีเท่าไหร่ แล้วถ้ารีเมียสทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่ผมคิดได้จริง เก้าอี้นี้จะจัดการเขาได้ไหม ? เขาจะหัวแตก ? แยกร่าง? หรือว่าโกรธจนตัวเขียว! โอ้ พระเจ้า ช่วยเสกสายฟ้ามาบึ้มเขาให้ตายก่อนถึงตัวลูกทีเถิด!   
             
    ได้โปรด อย่ามีเรื่องกันเลย จูเลียร้อง

    คิดดูดีๆซิ

    อย่าเข้ามานะผมก้าวถอยหลังออกไปเรื่อยๆ ความลนลานทำให้สะดุดขาตัวเอง แต่ก็รีบกลับมาทรงตัวได้ใหม่อีกครั้ง

    ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก

    ฉันบอกว่าอย่าเข้ามา!

    ในที่สุดความกลัวก็สั่งให้ผมตัดสินใจเขวี้ยงเก้าอี้ออกไป!

     

    เปรี้ยง!!

     

    สิ่งที่เกิดขึ้นคือรีเมียสสามารถปัดมันไปกระแทกกับผนังได้โดยไม่สัมผัสเลยด้วยซ้ำ!

    !?

    ความตื่นตระหนกฉุดผมให้ทรุด เข่ากระแทกพื้น ผมได้ยินเสียงหายใจถี่รัวเหมือนคนจะขาดอากาศ นาทีนี้ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ยืนค้ำหัวด้วยความกลัวระคนสับสน เงาของเขาดำมืดราวกับมัจจุราชที่พร้อมจะลากผมไปยังแดนนรกอันแสนไกล สติผมกระเจิดกระเจิง จนลืมไปด้วยซ้ำว่าการกะพริบตาต้องทำยังไง แต่อย่างน้อย ก็โล่งใจที่เขาไม่ได้โกรธจนตัวเขียวแบบฮัลค์

    เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ?จูเลียวิ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนรน ตายจริง มีเลือดออกด้วย!”

    ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบาดเจ็บเมื่อไหร่ แต่เมื่อจูเลียเลิกขากางเกงผมขึ้น ผมถึงรู้ว่าเข่าถลอก

    ไม่ต้องกลัวนะ 

    เธอคงปัญญาอ่อนแน่ถ้าคิดว่าผมกลัวเลือด  

    ตอนนั้นเองที่ผมขมวดคิ้วอย่างตั้งคำถาม เพราะจู่ๆเด็กสาวก็ชี้นิ้วขึ้นเหนือบาดแผล

    วาบ

    แสงสีขาวดั่งใยไหมสยายออกจากปลายนิ้วลงหัวเข่า และสมานแผลจนหายเป็นปลิดทิ้ง!!

    ผมอ้าปากค้าง

    เรียบร้อยแล้ว จูเลียยิ้ม ขณะที่ผมมองเธอที มองรีเมียสที ราวกับเห็นก๊อตซิลล่าและโดราเอม่อนจูบปากกันบนกำแพงเมืองจีน ผมไม่กลัวเลือด แต่ผมกลัวเขา!

    กลัวเธอด้วย!

    ไปเปลี่ยนชุดเถอะนะ จูเลียพูดอย่างแม่พระผู้อารี ผมน้ำตาคลอเบ้า พยักหน้าถี่ๆ สาบานว่าจะไม่มีวันขัดความต้องการของคนพวกนี้อีกเลย

    แม้ท้ายที่สุดผมอาจจะต้องกลายเป็นดาร์คเวเดอร์ก็ตาม!

     

    หลังจากผ่านไปยี่สิบนาทีที่สาละวนอยู่ในห้องเปลี่ยนชุด ผมก็ออกมาสูดอากาศในห้องพยาบาลอีกครั้ง

    นี่ต้องเป็นภาระกิจที่เพี้ยนที่สุดในชีวิตผมแน่ ผมคงไม่กล้าไปบอกใครหรอกว่า นี่เธอ เชื่อไหม ฉันเปลี่ยนชุดจากซีดีแหละ เพราะมันไร้สาระพอๆกับที่ว่า นี่เธอ เชื่อไหม เด็กวัยรุ่นอ่านหนังสือเรียนบ่อยกว่าอ่านเว็บบอร์ดอีกนะ

    ดูดีนี่จูเลียชม

    อะหรอ? ผมหน้าแดงจนต้องแสร้งทำเป็นก้มติดกระดุม ทั้งที่ติดมันครบแล้วทุกเม็ด

    ชุดที่ผมใส่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อดีอัดเป็นกลีบเรียบ สูททรงทันสมัยเข้ารูปสีเทา กางเกงแสลคพอดีตัวสีเดียวกัน เนคไทสีดำ ถุงเท้าสีขาว รองเท้าหนังขัดเงาสีดำ และก็เข็มขัดหนังสีดำที่มีหัวเป็นสัญลักษณ์ W   

    แม้ผมจะสงสัยว่าทำไมไอ้เครื่องบ้าในห้องนั้นถึงรู้ไซส์ รู้ขนาดร่างกายผมไปซะทุกสัดส่วน แม้จะสงสัยว่าทำไมชุดของผมถึงแตกต่างจากคนทั้งสอง

    แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมสงสัยที่สุด

    นี่อะไร? ผมถามและส่งวัตถุทรงกลมแบนประหลาดให้จูเลีย

    อ๋อ เธอคว้ามือขวาของผม แล้ววางสิ่งนั้นลงบนข้อมือ ก่อนจะกดปุ่มด้านข้างวัตถุ

    !

    ทันใดนั้นสายโลหะสีเงินทั้งแปดก็พุ่งเป็นแฉกออกจากทั้งสองข้างของมันเหมือนขาแมงมุมและกระชับเข้ากับข้อมือเสียงแกร๊กดังขึ้นหนึ่งครั้ง ในที่สุดผมก็พบว่ามันคือนาฬิกานั่นเอง!

    ตัวหน้าปัดเป็นสีขาวทรงกลมนูนทำจากโลหะชนิดพิเศษดูมันวาวล้ำค่า ตัวอักษรดิจิตอลสีขาวปรากฏพื้นหลังที่ตกแต่งด้วยกราฟฟิคสวยงาม มีทั้งส่วนที่บอกเวลา วันที่ แถบเมนูเล็กๆ และโอ้นั่น ชื่อผม! กรอบนอกสะดุดตาด้วยปุ่มคำสั่งมากมาย มีปุ่มสีแดงอยู่ข้างล่างตรงกลางเด่นชัด มีปุ่มปฏิบัติการสีเงินอีกข้างละสองปุ่ม แถมด้วยลูกโลกเล็กๆที่หมุนวนช้าๆอยู่ข้างบน แล้วดูสายนาฬิกาที่ทำจากโลหะนี่ซิ ดูเหมือนจะมีปุ่มอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด แถมยังมีเลขโรมันกำกับเหนือแต่ละปุ่มด้วย การออกแบบของมันโดดเด่น โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย และยิ่งใหญ่มากเกินกว่าจะพรรณนามาเป็นคำพูดได้

    โอ้พระเจ้า บางทีนี่อาจเป็นอารยธรรมจากนอกอวกาศที่พวกเจไดทำตกไว้!

    แค่นี้แหละ จูเลียบอก  ผมกะพริบตาปริบๆ

    นายจะได้รู้เรื่องทุกอย่างหลังจากพบท่านอาร์คีดีมัส รีเมียสพูด ตามฉันมา

     

    ทั้งสองพาผมออกจากห้องพัก เพื่อจะพบกับบรรยากาศแบบโรงพยาบาล

    ผมยอมรับว่าโรงพยาบาลคอร์เคลห่วยแตกพอๆกับสถานกักขังเด็กมีปัญหา แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นโรงพยาบาลที่เพอร์เฟคเช่นนี้ ผนังทุกด้านเป็นสีขาวไร้รอยแปดเปื้อน บรรยากาศหอมฟุ้ง ไม่มีสารเคมี ไร้กลิ่นอ้วกเด็ก รอบกายผมโอบล้อมด้วยเสียงอื้ออึงจากเสียงรถเข็น เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุย และเสียงประกาศตามสาย ผมเห็นคนที่แต่งตัวแบบผมหลายคนกระจัดกระจายไปทั่ว แต่ไม่มีเลยซักคนที่เหมือนจูเลียกับรีเมียส ชุดของทั้งสองขาวสะอาดพอๆกับพื้นทางเดินไร้ที่ติ

    โอ๊ะ

    เสียงอุทานของเด็กสาวคนหนึ่งทำให้คำว่าไร้ที่ติจากไป หลังจากเธอซุ่มซ่ามทำน้ำอัดลมหกลงพื้น

    !!

    แต่ผมก็ต้องเหลียวกลับไปมองเธอทันใด เมื่อประจักษ์สายตาว่าของเหลวที่หกเรี่ยราดเมื่อครู่หายไปราวกับถูกสูบ! – พื้นทางเดินกลับมาไร้ที่ติอีกครั้ง

    พระเจ้า ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม!?

    สวัสดีครับศาสตราจารย์ปีเตอร์

    สวัสดีรีเมียส

    รีเมียสกล่าวทักทายชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกราวน์และเดาไม่ยากว่าเป็นหมอ ตอนนั้นเองที่อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

    สิวสามารถรักษาให้หายได้ โดยนวัตกรรมใหม่ ไซโคเนติคทรีทเมนต์ ที่ใช้พลังจิตผนวกกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผลักตัวยาเข้าทำลายคอมิโดนใต้ชั้นผิว ไม่เจ็บ ไม่เป็นแผล หายขาด ในราคาที่คุณไม่กล้าปฏิเสธ  สนใจ ติดต่อชั้นสิบเอ็ด แผนกผิวหนัง ขอบคุณค่ะ

    มันอาจเป็นหนึ่งในข้อความที่เพี้ยนที่สุดที่ผมเคยได้ยิน

    แต่ที่เพี้ยนกว่านั้นก็คือผู้ส่งสารเป็นใบหน้าหญิงสาวที่ราบเรียบเป็นเนื้อเดียวกับผนัง! –

    เมื่อผมเดินตามทั้งสองไปเรื่อยๆ ก็ได้พบความจริงสุดพิลึกพิลั่นว่าผนังบางจุดมีภาพเคลื่อนไหว บางจุดมีข้อความ และบางจุดมีการ์ตูนฉายด้วย! ผมลองเอานิ้วไปแตะมันดู แต่ก็รู้สึกไม่ต่างจากการเอานิ้วจิ้มผนังที่ว่างเปล่า  

    อย่าบอกนะว่าผนังพวกนี้เป็นทีวีน่ะ!

    ทางนี้

    จูเลียเรียก เมื่อเห็นผมมัวแต่หมุนไปรอบตัวเหมือนคนหลงทาง ผมรีบวิ่งตามเธอเข้าไปในลิฟต์ที่ทั้งสองรออยู่

    ก่อนจะพบว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ลิฟต์

    มันเป็นเครื่องอะไรบางอย่างที่มีรูปทรงคล้ายแคปซูล สีครึ่งบนของมันที่เป็นสีแดง ส่วนครึ่งล่างที่เป็นสีขาวดูคล้ายแคปซูลยาแก้อักเสบยิ่งนัก แม้มันจะไม่ใช่ลิฟต์ แต่สิ่งที่ทำให้มันเหมือนลิฟต์ก็คือความเงียบและความแคบ ซึ่งอาจเกิดโศกนาฏกรรมหมู่ได้หากใครบางคนตด

    กดปุ่มสีแดงบนนาฬิกา รีเมียสบอก

    ผมเลิกแขนเสื้อสูทแล้วกดปุ่มแดงที่สังเกตเห็นได้ไม่ยาก วาบ! – ทันใดนั้นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งก็เด้งผึงออกมาลอยตรงหน้า! – ไม่ซิ ไม่ใช่กระดาษ มันดูเหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์แต่ไม่ใช่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั่วไป

    เป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์สี่มิติ!

    เห็นชื่อ ไวท์พอยต์ ไหม?รีเมียสถาม ขณะที่ผมตะโกนเรียกพระเจ้าด้วยเสียงดังสนั่นในความคิด

    อืมม…” ผมไล่สายตาไปตามรายชื่อมากมายที่เห็นจะมีซักยี่สิบบรรทัดเป็นอย่างน้อย

    รายชื่อแรกน่ะ

    อ้อ ใช่ๆ ผมหัวเราะแบบคนเพิ่งฉลาด

    เจอกันที่นั่น รีเมียสบอก ก่อนจะจิ้มคำว่า ไวท์พอยต์ บนหน้าจอของเขา

    วาบ!

    ทันใดนั้นตัวรีเมียสก็เรืองแสงสีขาวสว่างจ้า แล้วหายไป

    ….

    ว๊าก! เขาหายไปจริงๆนะ!

    เดี๋ยวเจอกัน จูเลียโบกมือบ๊ายบาย เธอจิ้มสถานีปลายทาง แล้วก็หายตามไป

    โอ้ไม่ ตอนนี้ผมแสนจะเสียวเพราะอยู่คนเดียวในห้องเปลี่ยว ผมอาจยอมรับความจริงที่ว่าพื้นโรงพยาบาลแห่งนี้สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ และเพิ่งตื่นนอนจากเตียงลอยได้

    แต่มันยากเหลือเกิน ที่จะยอมรับว่าเราสามารถหายจากที่หนึ่งไปยังอีกหนึ่งได้!

    เสียงเพลง วี วิช ยู อะ เมอร์รี่คริสมาสต์ ดังแว่วมาไกลอย่างผิดกาลเทศะ ผมมองหน้าจอรายชื่อสถานที่อีกครั้ง และหาหนทางปลอบใจตัวเองว่า ( เอาวะ ขนาดเปลี่ยนชุดด้วยซีดียังได้เลย ) ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วยื่นนิ้วออกไปจิ้ม

    วาบ!

    แสงสีขาวสว่างจ้าราวกับจะกลืนกินโลกทั้งใบ แต่พริบตามันก็หายไป

    ไง

    จูเลียทำหน้าที่แอร์โฮสเตสกล่าวต้อนรับชาวต่างชาติผมกะพริบตาปริบๆสำรวจตัวเองให้แน่ใจว่าอวัยะยังอยู่ครบไหม  ก่อนจะก้าวออกจากแคปซูล เพื่อจะพบกับบรรยากาศเย็นช่ำแปลกใหม่และเสียงอึกทึกที่สาดเข้าใส่

    ว้าว…”

    ผมรู้สึกราวกับเป็นเด็กห้าขวบที่เห็นดิสนีย์แลนด์ครั้งแรก ทุกสิ่งทุกอย่างดูตื่นตาอัศจรรย์ใจเกินกว่าใครที่ไหนจะฝันถึง ผมยืนอยู่บนพื้นวงกลมสีขาวขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดว่ามีทางแยกแตกออกไปสี่ทิศเหมือนเครื่องหมายกากบาท ทุกทางเป็นทางเดินที่สามารถเลื่อนเองได้และครอบด้วยอุโมงค์แก้วใสทรงตัวยูคว่ำ สิ่งที่สะกดผมให้ตาค้างคือพื้นที่ตรงกลางซึ่งดูเหมือนบ่อน้ำพุ  เพียงแต่สิ่งที่อยู่ในนั้นอลังการห่างจากคำว่าน้ำพุไปล้านเท่า มันคือเสามโหฬารสูงลิ่วที่เกิดจากการเรียงรายของแผ่นคริสตัลสี่เหลี่ยมนับร้อยนับพัน! คริสตัลทุกแผ่นสามารถลอยได้เองโดยปราศจากการยึดติดระหว่างกัน มีใบหน้าหญิงสาวผมดำขนาดใหญ่มหึมาฉายอยู่บนเสานั้น เธอกำลังพูดว่า

    ซีมูเลชั่นสปีดเปิดเซิร์ฟเวอร์ให้ดาวน์โหลดเครื่องอัพเกรดใหม่ๆแล้ววันนี้

    มันทำให้ผมมั่นใจว่าเสานี้ก็ทำหน้าที่เป็นจอภาพเช่นกัน!

    ตลอดความสูงของสถานที่ ที่สุดขอบจินตนาการถูกโอบล้อมด้วยบานกระจกและระเบียงไม่ต่างห้างหรู มีคนที่แต่งตัวแบบผมเดินขวักไขว่ ทั้งเด็กหนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ! – ผมคิดตั้งคำถามถึงสถานที่แห่งนี้ไปต่างๆนานา บางทีมันอาจจะเป็นฐานทัพลึกลับของรัฐบาลสหรัฐ หรือบางทีนี่อาจจะเป็นห้องทดลองของญี่ปุ่น อ้าว แต่ตรงนั้นก็มีเด็กจีนด้วยนะ แล้วผู้ชายที่เพิ่งเดินผ่านผมไปก็ดูปาปัวนิวกีนีมากๆ ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมอะไรๆถึงดูพิลึกพิลั่น และทำไมถึงมีเด็กเต็มไปหมด โอ้ว มีตุ๊ดกรีกด้วย! 

    ทางนี้

    เสียงจูเลียดังขึ้นอีกครั้ง ผมรีบตามเธอไปทั้งที่ยังมองไปทุกทิศทางเพื่อพยายามจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกัน เธอกับรีเมียสพาผมมาอยู่ในลิฟต์

    และคราวนี้มันเป็นลิฟต์จริงๆ

    ปิ๊บ

    รีเมียสกดปุ่มบนนาฬิกา จู่ๆผนังที่มีตัวเลขหนึ่งถึงหนึ่งร้อยห้าสิบ ก็มีเลขหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดปรากฏขึ้นมา เมื่อเขากดมัน ลิฟต์ก็เคลื่อนตัว ความอัศจรรย์ใจดึงผมไปยังผนังลิฟต์ที่เป็นแก้วใส เพื่อเฝ้ามองทิวทัศน์สุดตระการตาเบื้องล่าง มันช่างเป็นสถานที่ๆใหญ่โต และความพิศวงที่ผมมีกับมันก็ใหญ่ไม่แพ้กัน

    ที่นี่…”

    ยังไม่ทันจบประโยคคำถาม เสียง ปิ๊ง ป่อง ก็ดังขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง

    ( ฮะ?) ผมอึ้ง เพราะไม่คิดว่าเราจะถึงชั้นหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดได้ในอึดใจ

    สิ่งที่อยู่นอกประตูลิฟต์คือห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งบรรยากาศช่างแตกต่างจากข้างล่าง

    มีเพียงสองเสียงที่ได้ยิน หนึ่งคือเสียงเปียโนบรรเลงเอื่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในสปาหรู กับอีกเสียงคือเสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ ยามเมื่อเราก้าวเดินไปตามพื้นซึ่งปูด้วยพรมสีแดง ผนังสีขาวสว่างรอบห้องถูกประดับด้วยจอภาพที่เรียบเป็นเนื้อเดียวกันหลายสิบหน้าจอ แต่ละจอมีภาพเคลื่อนไหวของผู้คนแตกต่างกันไป คำบรรยายใต้หน้าจอหนึ่งเขียนว่า ดิเอโก้ ฟูรัส ผู้อำนวยการคนแรกของไวท์โรดและผู้ให้กำเนิดทางเลื่อน อีกหน้าจอใกล้ๆกันคือ เอมม่า โรส ผู้อำนวยการหญิงคนแรกของไวท์โรดและผู้ให้กำเนิดอินเตอร์เน็ต

    โอเค ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอยู่ในสถานที่ซึ่งเรียกว่า ไวท์โรด ซึ่งดูเข้ากับสีขาวมากมายที่ผมได้เห็นมาตลอดทาง

    ว่าแต่ ไวท์โรด มันคืออะไร ?

    นาทีนี้รีเมียสนำพวกเรามาหยุดยืนหน้าผนังว่างเปล่าซึ่งมีป้ายดิจิตอลติดไว้ว่า "ร๊อบบี้ อาร์คีดีมัส"
             “ท่านอาร์คีดีมัสครับ ผมรีเมียส เดเซอร์ริส

    เมื่อเขาพูด ปุ่มสีเขียวบนป้ายก็ส่องสว่าง

    ผนังกำเนิดวงคลื่นประหนึ่งผิวน้ำที่ถูกใบไม้ร่วงลงมาสัมผัส สีขาวของมันค่อยๆจางลง จนในที่สุดผนังว่างเปล่าก็หายไป และเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน

    มันคือห้องครึ่งวงกลมซึ่งผนัง เพดานและพื้นเป็นสีขาวโพลน ผมมองไปข้างหน้าเพื่อจะพบสีดำหนึ่งเดียวในห้องนี้ 
                    ซึ่งก็คือชุดของชายหนุ่มที่ยืนขึ้นต้อนรับพวกเรานั่นเอง  

    ยินดีต้อนรับสู่ไวท์โรด ฉันร๊อบบี้ อาร์คีดีมัส

    เอ่อสวัสดีครับ…”

    เขายิ้ม ขณะที่ผมประหม่าจนไม่กล้าสบตา

    อาร์คีดีมัสเป็นชายอายุประมาณสี่สิบ เขาจัดว่าเป็นคนสูงแต่ไม่ได้บึกบึนมากนัก สูทเท่ห์ๆ กับมาดเนี๊ยบแบบคนมีการศึกษา ทำให้ผมนึกถึงเจมส์ บอนด์ตอนยังหนุ่ม เขามีดวงตาคมกริบกับคิ้วเข้มๆแบบเจมส์ บอนด์ เขาไว้ผมสั้นแบบเจมส์ บอนด์ อ้อ ถ้าวัดจากมือที่ไม่หยาบกร้านเหมือนผู้ชายคนอื่น ผมว่าเขาก็คงสำอางค์ไม่แพ้เจมส์ บอนด์

    เชิญ

    เมื่ออาร์คีดีมัสผายมือ เก้าอี้นวมที่ไม่เคยมีตัวตนสามตัวก็ปรากฏ!

    มันไม่กัดเธอหรอก จูเลียกระซิบกระซาบ ผมกะพริบตาเพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งอย่างหวาดๆ

    โอ้ว มันนิ่มยังกับปุยเมฆ    

    เธอคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ฉันเข้าใจ ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะตื่นขึ้นมาบนเตียงลอยได้ แล้วต้องเปลี่ยนชุดจากซีดี

    ครับ ผมพยายามยิ้ม

    เธอคงเต็มไปด้วยคำถามซินะ

    ก็ใช่ครับ…” ผมตอบ อันที่จริงผมแค่ เอ่อ สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    ประมาณว่าที่นี่ไหน  เกิดอะไรขึ้นกับเธอ พวกเราเป็นใคร ฉันเป็นญาติกับเจมส์ บอนด์ไหม?

    สงสัยจะมีคนทักเขาแบบนั้นบ่อย

    ก็ไม่เชิงครับ

    ฉันจะอธิบายให้ฟัง

    อาร์คีดีมัสดีดนิ้ว และทันใดนั้นลูกโลกสี่มิติอันเบ้อเริ่มก็สว่างขึ้นกลางโต๊ะทำงาน!

    นี่คือโลก อาร์คีดีมัสบอก

    ผมเฝ้ามองสิ่งนั้นอย่างอัศจรรย์ใจ ดูนั่นซิ มีเมฆ มีน้ำทะเล มีสีน้ำตาลของภูเขา และสีเขียวของต้นไม้ ทุกอย่างเหมือนจริงราวกับมองจากอวกาศ ผมอดใจไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกไปจิ้มดู โอ้ว พระเจ้า มีน้ำทะเลติดนิ้วผมมาด้วย!

    ฉลาดนี่ ตอนเห็นครั้งแรกฉันเลือกจิ้มภูเขาไฟ เธอจะลองดูก็ได้นะ อาร์คีดีมัสหัวเราะ

    ทันใดนั้นลูกโลกก็สลายเป็นละอองสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง!

    พริบตาต่อมาเสียงโหวกเหวกของรถราก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงพูดคุย และเสียงของความวุ่นวาย ภาพสีขาวของห้องที่เราอยู่ค่อยๆแทนที่ด้วยภาพของเมืองๆหนึ่ง - สีสันบรรยากาศนั้นสมจริงจนผมหมุนไปรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจ มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกรามบ้านช่อง แสงไฟ รวมถึงท้องฟ้าสว่างไสว ลมหนาวพัดผ่านพาให้ขนลุกซู่ ป้ายต่างๆบอกให้ผมรู้ว่าที่นี่คือประเทศญี่ปุ่น และเมื่อมองไปข้างหน้าผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพื้นที่ยืนอยู่ไม่ใช่พื้นห้องสีขาวอีกต่อไป

    มันคือพื้นถนน!

    ใช่! บัดนี้ทั้งตัวผมและทุกคนในห้องกำลังยืนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจริงๆ!

     โลกมีมนุษย์อาศัยอยู่เป็นพันล้านคน ทุกคนล้วนมีความแตกต่างกัน แต่มีไม่กี่คนที่แตกต่างอย่างเด่นชัด ดูอย่างเด็กผู้หญิงคนนั้น

    อาร์คีดีมัสชี้ไปข้างหน้าซึ่งเด็กนักเรียนสาวสองคนกำลังเดินตรงเข้ามา พวกเธอกำลังจะชนผมแล้ว กำลังจะชนแล้ว!

    ผมหลับตาปี๋กรีดร้องในความคิด

    แต่พวกเธอก็ทะลุผ่านไป ราวกับผมเป็นเพียงอากาศ

    ดูภายนอกก็เหมือนเด็กสาวแอ๊บแบ๊วทั่วไป แต่เธอมีบางอย่างที่แตกต่างกว่านั้น

    เมื่ออาร์คีดีมัสพูดจบ ภาพก็เปลี่ยนจากเมืองที่วุ่นวายกลายมาเป็นซอยแคบๆช่วงหัวค่ำ

    บ๊ายบายจ้ะ เด็กสาวผมดำโบกมือให้เพื่อนสาว แล้วเดินทะลุผ่านพวกเราไปอีกครั้ง

    ทำไมเหรอครับ ? ผมถาม

    ดู

    อาร์คีดีมัสชี้ ตอนนั้นเองที่เด็กสาวหยุดเดิน เธอมองซ้ายทีขวาทีอย่างมีพิรุธ ก่อนจะวิ่งไปหลบตรงมุมตึกที่เปลี่ยวคน แล้วหยิบรูปใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าตังค์

    ?

    ผมเดินเข้าไปใกล้ เพื่อจะเห็นว่าเธอกำลังมองรูปใบนั้นไม่ใช่ซิ เรียกว่าเพ่งเลยต่างหาก ท่าทางเหมือนเวลาที่เราเล่นเกมส์จับผิดภาพตามห้างนั่นแหละ

    ด้วยความอยากรู้ ผมจึงเข้าไปใกล้ขึ้นอีก

    !!

    แต่ทันใดนั้นเธอก็หายไป!

    นี่คือความแตกต่างที่เราเรียกว่าพิเศษ อาร์คีดีมัสพูด

    วินาทีต่อมาภาพของซอยแคบๆก็เปลี่ยนไปกลายเป็นจักรวาลสีดำกว้างใหญ่!

    ผมหายใจกระตุกตื่นตระหนก เมื่อถูกโอบล้อมด้วยผู้คนนับแสนนับล้านที่ยืนบนพื้นอวกาศว่างเปล่า! ทุกคนล้วนมีการกระทำเป็นของตนเอง ทั้งเดินคุยโทรศัพท์ ฟังเพลง พูดคุย หัวเราะ อ่านหนังสือ และยืนฉี่  

    ในจำนวนประชากรโลกหลายล้านคน มีเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะกลายเป็นคนพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางพันธุกรรม เหตุผลด้านจิตวิทยา หรือเหตุผลด้านไสยศาสตร์ คนพิเศษเหล่านี้ล้วนอยู่รอบตัวเรา แม้บางทีเขาอาจจะไม่รู้ตัว

    ทันใดนั้นคลื่นมนุษย์ทั้งหมดก็หยุดเคลื่อนไหว เสียงจ่อกแจ่กหายไปเหมือนใครกดปุ่มสต๊อป พวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนราวกับถูกเคลือบด้วยสีทาบ้าน

    แต่มีบางคนที่เป็นสีแดง

    ซูมมม

    ทันใดนั้นภาพที่ผมเห็นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับนั่งอยู่บนจรวดที่พุ่งซอกแซกไปตามช่องว่างระหว่างผู้คน  

    !

    เพียงอึดใจการเดินทางก็สิ้นสุด และผมกำลังมองแผ่นหลังของชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสีแดงแตกต่างจากฝูงชนสีขาวรอบกาย

    ความอยากรู้สั่งผมเดินอ้อมเขาไปเพื่อมองหน้า

    !!

    และความอยากรู้นั่นเองที่ทำให้ผมผงะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    …To Be Continue…

     

    THE WHITE ROAD

    Rebirth

     

    CHAPTER 1 – Part II

     

    12 July 2008

    08.00 pm

    Only On http://my.dek-d.com/drpop

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×