คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Introduction - Rhythm of Life
คุณคิดว่าหัวใจเราเต้นแรงที่สุดเมื่อไหร่ ?
ยามดีใจเมื่อเห็นคนที่เราหมั่นไส้ตกต่ำ ?
ยามตื่นเต้นตอนบอกแม่ว่าเราเรียนพิเศษทั้งที่กำลังดูหนัง ?
ยามเสียใจเมื่อผู้ชายที่คุณรักไปรักผู้ชายอีกคน ?
หรือยามลุ้นระทึกกับผลแอดมิดชั่นที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ?
ไม่ใช่หรอก
ยามที่เราดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหาก
Introduction
RHYTHM OF LIFE
หัวใจผมเต้นระส่ำราวจะทะลุออกมาจากอกยามเมื่อสองขาสลับสับเปลี่ยนอย่างบ้าคลั่ง!
เสียงฝีเท้ากระแทกกระทั้นกับพื้นถนน ไม่ต่างกับจังหวะที่ถูกตีโดยมือกลองระดับโลก
ซึ่งถ้านี่เป็นคอนเสิร์ตร็อคระดับโลก มันก็ช่างสมบูรณ์แบบ
เพราะเสียงร้องที่ป่าเถื่อนที่สุดในโลกก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
“หยุดนะ ไอ้เวร!”
เสียงโซ่เหล็กดังแทรกมากับเสียงนั้น ผมรู้ว่าพวกมันมีด้วยกันห้าคน แต่ไม่คิดจะหันไปดูหรอกว่าใครถืออะไรบ้าง เพราะตอนนี้ผมตั้งมั่นอยู่ที่ความคิดเพียงหนึ่งเดียว
นั่นคือ
ผมต้องรอดไปจากที่นี่
เสียง เอี๊ยด! ดังสนั่นกระทันหันราวกับโฆษณาที่เข้ามาคั่นรายการสด
เสียงกระแทกดังขึ้นสองสามครั้งเมื่อร่างผมกลิ้งไปตามฝากระโปรงรถ ก่อนที่เสียงตุ๊บจะตามมาเมื่อผมหล่นลงบนถนนอีกฝาก ผมตะกุยตะกายขึ้นจากพื้นและหนีตายต่อไปโดยไม่รู้สึกเจ็บ ความตื่นเต้นจับมือกับความกลัวกลายเป็นพลังที่ส่งให้ผมขับเคลื่อนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ผมเอาชีวิตรอดมาถึงถนนใหญ่ซึ่งตกแต่งอย่างปราณีตด้วยตึกเก่าๆ กองขยะเน่าๆ และคุณตัวหลากสีสัน พวกหล่อนมักสามัคคีออกมากรีดกรายในราตรี ทำท่าทีประหนึ่งกำลังรอรถเมล์
ผิดก็แค่เมืองคอร์เคลไม่มีเมล์วิ่งหลังสองทุ่ม ความจริงนี้ต่อให้เด็กเพิ่งตั้งไข่ก็รู้
คุณตัวนางหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเล่นบอลลูนสีกับผมสมัยยังเด็ก ตะโกนทักทายว่า
“ที่รัก ไปเล่นด้วยกันไหม?”
และผมตอบปฏิเสธในใจ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เธออยากเล่นห่างไกลจากบอลลูนสีเป็นไหนๆ
เสียงเจื้อยแจ้วของพวกหล่อนพลันเปลี่ยนเป็นเสียงกรี๊ดดังกระฉ่อน เมื่อแก๊งค์เด็กแว๊นซ์ติดอาวุธพุ่งผ่าน ผมเลี้ยวตรงหัวโค้งซึ่งเป็นร้านขายซีดีผีที่ติดส่วยตำรวจจนเจริญงอกงาม ผ่านร้านเสื้อผ้าที่ก๊อปของแบรนด์เนมได้เหมือนเป๊ะ มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่ส่งกลิ่นคล้ายถุงเท้านักฟุตบอลค้างปี และเกือบจะล้มเพราะลื่นหนังสือพิมพ์ซึ่งขึ้นหน้าหนึ่งว่า
“ม๊อบครองเมือง”
เฮ้ย อย่าเพิ่งคิดว่าผมอยู่กรุงเทพมหานคร บอกแล้วไง เมืองที่ผมอยู่ชื่อ คอร์เคล!
ผมไม่รู้หรอกว่าต้องวิ่งอีกไกลแค่ไหน หรืออีกนานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ถ้าอยากมีลมหายใจต้องวิ่งต่อไป
แต่หลังจากการผ่านระยะทางกว่าสองกิโลเมตรโดยไม่ได้หยุดพัก ความอึดความทนของผมก็ถูกบั่นทอนจวนเจียนจะหมดสิ้น
และทันที่พ้นประตูสวนสาธารณะ ผลจากอุบัติเหตุเล็กๆเมื่อครู่ก็แผลงฤทธิ์!
ความเจ็บผลักให้ผมเซไปข้างหน้า ผมพยายามจะวางเท้าเพื่อทรงตัว แต่เมื่อมันสัมผัสพื้น ความทรมานราวกับกระดูกร้าวก็กระชากผมให้ล้มลงอย่างไม่อาจต่อต้าน ผมเปล่งเสียงร้องออกไปในความมืดที่ไร้วี่แววการช่วยเหลือ
และได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมา
“ง่อยเชียวนะไอ้ลูกหมา!”
ในที่สุดพลพรรคเด็กแวนซ์ก็ตามผมทัน
เสียงฝีเท้าพวกมันดังไปรอบกาย พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเหมือนฝูงไฮยีน่ากระหายเลือด ผมรู้สึกได้ถึงเงาชั่วร้ายที่ทาบทับ ได้ยินเสียงทุกจังหวะที่พวกมันขยับ
และเมื่อเงยหน้าขึ้น ความเหี้ยมโหดจากดวงตาคู่หนึ่งก็ส่งตรงมาที่ผม
“ตอนแรกฉันกะจะฆ่าแกให้ตายง่ายๆ แต่เพราะแกมันรั้น เห็นทีอะไรๆคงต้องเละเทะขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย” นั่นคือเสียงของหัวหน้านักเลงร่างใหญ่ มันสวมเสื้อกล้ามสีขาว สักแบบคนคุก และสวมกางเกงขาเดฟรัดเป้า
“ไม่มีเออร์เน็ตแล้ว เราคงจัดการแกได้ง่ายขึ้น”
“แก
แกทำอะไร เขา
” ผมถามทั้งหอบ ตาโตด้วยความกลัว
หัวหน้านักเลงย่อตัวลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของมันส่งกลิ่นชั่วร้ายอย่างที่ผมไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหน ใบหน้าของผมถูกมันจับขึ้นมาสบตา เจ้าหัวหน้าแสยะยิ้ม แล้วกระซิบข้างหูผมว่า
“ฉัน ฆ่า มัน แล้ว”
เมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่หัวใจผมเต้นแรงที่สุด
แต่นาทีนี้ผมแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเลย
ผมเห็นแค่ภาพใบหน้าเหล่านั้นกำลังหัวเราะเย้ยหยัน แต่ผมไม่ได้ยินเสียงพวกมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายส่งเสียงอื้ออึ้งราวกับผมถูกจับยัดลงไปในกล่องสูญญากาศว่างเปล่า
เออร์เน็ตถูกฆ่าแล้ว
.
นั่นคือความจริง
ใช่ไหม
?
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแกก็จะได้ไปเจอมัน จัดการ!!“
แรงฟาดอันหนักหน่วงของโซ่เหล็กกระชากผมให้ตื่นจากภวังค์! สัญชาตญาณสั่งให้ผมยกสองมือกุมหัว เท้าข้างหนึ่งเตะอัดเข้าที่กลางลำตัว ผมจุกจนตาเหลือก มันเตะซ้ำย้ำที่เดิมอีกหลายครั้ง ผมพยายามตั้งสติไถกายไปตามพื้น แต่ก็ถูกจับขาลากกลับมาให้ไม้เบสบอลฟาดหน้า! ในช่วงเวลาที่ผมมึนจนไม่อาจลืมตา โซ่เหล็กก็หวดลงมา สาดความปวดร้าวไปถึงกระดูก! กลิ่นเลือดฟุ้งเต็มจมูก ผมถูกเท้าของใครบางคนพลิกให้นอนคว่ำ ก่อนที่ไม้เบสบอลอย่างน้อยสองอัน จะพร้อมใจกันกระหน่ำฟาดลงกลางหลัง!
“อย่าร้องนะเด็กดี”
นั่นคือคำที่เออร์เน็ตเคยพูดไว้ ครั้งผมถูกรังแกตอนเด็กๆ
"เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องแข็งแกร่ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด จำคำฉันไว้นะ”
แต่เมื่อเสียงนั้นหายไป กลับกลายเป็นว่าผมร้องไห้ทันใด
ไม่ใช่เพราะเจ็บ ไม่ใช่เพราะร้องขอชีวิต
แต่เพราะอาลัยกับการจากไปของคนที่ผมรักที่สุด!
โซ่ที่ใช้เฆี่ยนตีผมตอนนี้คงเป็นอันเดียวกับที่ใช้ทรมานเออร์เน็ต เสียงสบถหยาบคายเหล่านี้ก็คงไม่ต่างจากที่เออร์เน็ตเคยได้ยิน และมันคงถุยน้ำลายใส่เขาเหมือนที่ทำกับผม! แม้จะรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ แต่ผมสามารถทำตามความต้องการของเออร์เน็ตได้
ผมต้องไม่ร้อง ผมจะไม่มีวันให้พวกมันได้ยินความอ่อนแอเป็นอันขาด!
แม้กระดูกจะถูกฟาดจนแตกละเอียด แต่ผมจะกัดริมฝีปากเอาไว้!
แม้บาดแผลจะเหวอะหวะจนเลือดรินไหล แต่ผมจะแข็งใจทนต่อไป!
แม้ทุกอณูของร่างกายจะถูกทำร้ายจนปางตาย! แต่ผมจะข่มน้ำตาไม่ให้ไหล!
แม้ความจริงจะทรมานแสนสาหัสแทบขาดใจ
แต่ผมจะไม่ร้องขอชีวิตใดๆ!!
“อั๊ก!”
ราวกับเป็นเสียงแรกและเสียงสุดท้าย เมื่อผมถูกเตะจนลอยไปกระแทกม้าหิน - ผมร่วงลงมาหมอบกับพื้นเหมือนกระสอบทรายไร้แขนขา แต่เวลานี้ไม่มีความรู้สึกใดๆที่แผ่นหลังอีกแล้ว
ร่างกายผมบอบช้ำเกินกว่าจะหายใจ ผมทำได้แค่นอนรอให้ความตายมาพรากไป
ดวงตาของผมหรี่ลงอย่างอ่อนล้า แต่ก็ยังสามารถมองเห็นพวกอันธพาลที่เดินเข้ามาได้ เสียงหัวเราะของพวกมันดังขึ้นอีกครั้ง ไอ้หัวหน้านักเลงยกเท้าขึ้นและบรรจงกดมันลงแนบแก้มผม
“จบเกมส์แล้ว ไอ้หนู”
มันฉีกยิ้มเย้ยหยันและควักมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง พวกนักเลงพยุงผมขึ้นนั่ง แสงจากเสาไฟส่องกระทบปลายมีดเป็นเงาวับ
ผมหรี่ตามองมัน ราวกับเป็นแสงสุดท้าย
“ฉันจะอยู่กับเธอไม่ว่าเธออยู่ไหน”
ภาพของเออร์เน็ตปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาแจ่มชัดราวกับตอนนี้ผมมีเขาเคียงข้าง
เราสองคนสบตากัน
และเราต่างยิ้มให้กัน
“จำไว้ ว่าเธอไม่เคยอยู่คนเดียว”
!!
ปลายมีดเสียบทะลุหน้าท้อง ความเจ็บสุดพรรณาพุ่งเข้าจู่โจม ผมรู้สึกได้เลยว่ามันชำแรกไปถึงเครื่องใน
.
.
.
ทุกอย่างเงียบสงัด
.
.
.
?
แต่คราวนี้ ความเงียบกลับนำมาซึ่งความรู้สึกแปลกประหลาด
??
เป็นความร้อนระอุราวกับจู่ๆอุณหภูมิก็สูงขึ้น
นี่มันอะไร? ทำไมผมถึงรู้สึกร้อนอย่างนี้?
ร้อนราวกับร่างกายกำลังถูกแผดเผา?
ร้อนจนได้กลิ่นขี้เถ้าฟุ้งออกมาจากข้างใน!
“อะไรวะ ?”
เสียงของพวกอันธพาลห่างออกไปอย่างพิศวง แม้มีดจะยังเสียบคาท้อง แต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด
.ผมก้มลงมองเลือดตัวเองที่รินไหล สมองผมสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยความไม่เข้าใจ
มันคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น!!
!!
ทันใดนั้นร่างกายผมก็พลันสว่างเจิดจ้า! แสงประหลาดพุ่งผ่าอากาศ! และเผาพวกอันธพาลให้ลุกเป็นไฟ! เสียงร้องของพวกมันดังกึกก้องไปไกล ร่างแล้วร่างเล่าล้มลงดิ้นทุรนทุราย ก่อนจะเหยียดตัวเกร็ง และพากันสิ้นใจตาย!
ผมถูกความสับสนตรึงติดจนไม่อาจเคลื่อนไหว!
บัดนี้ไอร้อนมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากทุกรูขุมขน มันบ้าคลั่งจนหลอมละลายม้าหินที่อยู่ใกล้ๆ! ผมรับรู้ได้ถึงการเดือดพล่านของเลือดในร่างกาย รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วราวกับจะแตกสลาย! ศรีษะของผมสั่นสะเทือนเหมือนถูกทุบกระหน่ำจากข้างใน ผมยกสองมือบีบมันไว้ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็ร้อนผ่าว ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น เหมือนมันจะกระเด็นออกจากเบ้า! ผิวหนังของผมกลายเป็นสีแดงดั่งเหล็กที่ร้อนฉ่า น้ำตาแห่งความทรมานหยดลงพื้น และเดือดฟู่เป็นสายควัน!
แล้วนั่น ?...
เสียง
มีเสียงของอะไรก็ไม่รู้ ดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท?
ฟังคล้ายเสียงสวดประสาน? ท่วงทำนองของมันช่างชวนขนหัวลุกและมีพลัง!
ยิ่งความเจ็บปวดทวีมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงสวดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น!
แม้ผมจะเอามือประกบสองหู แต่เสียงของมันก็ยังดังชัดราวกับคลื่นมนุษย์เปล่งเสียงพร้อมกันในสมอง!
ผมไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น!
แต่รู้ว่ามันกำลังจะถึงขีดสุด!
มันกำลังจะสิ้นสุด!
บึ้ม !!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แรงลมมหาศาลกระชากต้นไม้ทุกต้นให้ปลิวออกไป! เปลวไฟสาดอานุภาพวงแหวนทำลายล้าง เหล่าแก๊งค์อันธพาลถูกแผดเผาสิ้นสลาย! แสงแห่งหายนะฉาบท้องฟ้าให้เป็นสีแดงฉาน! รอยแตกแหวกไปตามพื้นถนน! ตึกรามบ้านช่องสั่นสะเทือน เสียงกระจกแตกดังติดๆกันหลายครั้ง เสาไฟโค่นล้ม เหล่าคุณตัวหนีตายแตกตื่น กระเป๋าเบรนด์เนมปลอมหลายใบร่วงลงพื้น ถุงยางหลากยี่ห้อกระจายเต็มฟุตบาท!!
เหตุการณ์ประหลาดปลุกทุกชีวิตแห่งคอร์เคลให้ตื่นจากภวังค์ แต่ทุกอย่างก็จบสิ้นก่อนที่ใครจะได้ทันตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน
แสงเพลิงบนท้องฟ้าค่อยๆจางไป
เมฆทมิฬแห่งความความวิปโยคเคลื่อนห่างออกไป
เหล่าคุณตัวผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย
บัดนี้ สวนสาธารณะได้กลายสภาพเป็นหลุมใหญ่ ราวกับตราประทับของอุกกาบาตจากแดนไกล ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือพอจะบอกได้ว่ามันเคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ร่องรอยที่หายนะฝากเอาไว้ มีเพียง เถ้าถ่าน..
ม่านควัน..
กับร่างหนึ่ง ซึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น...
เหตุการณ์ประหลาดจารึกบาดแผลสาหัสไปทั่วร่างกาย ผมรู้สึกได้ว่ากำลังเสียเลือดอย่างไม่ขาดสาย และไม่อาจเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนใดได้อีกต่อไป
สมองของผมกำลังจะตัดขาดการรับรู้
ดวงตาของผมกำลังจะปิด
และผม
กำลังจะตาย
ลาก่อนโลกอันแสนโหดร้าย
ลาก่อนความทุกข์ทรมานที่แสนมากมาย
และสวัสดีเออร์เน็ต
ผมกำลังจะไปหาคุณ
??
จู่ๆ เสียงพรึ่บก็ดังขึ้น แล้วร่างปริศนาในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตรงหน้า
( ยมทูต ?)
ใช่แน่ๆ
นั่นแหละยมทูต
เขามาเพื่อพาผมไปจากโลกนี้
มาเพื่อปลดปล่อย ให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานแสนสาหัสนี้
เขากำลังเดินเข้ามา
กำลังเดินเข้ามา
??
นี่มัน ความรู้สึกอะไรกัน?
ผมกำลังจะตายแต่ทำไมหัวใจผมถึงเต้นเร็ว?
ทำไมมันถึงถี่ขึ้นๆ
ยิ่งยมทูตใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น!
นี่มันอะไร ? เขาเป็นใคร ?
??
ผมไม่ได้คิดไปเองที่รู้สึกว่าเลือดในร่างกายกำลังสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง
เสียงสวดประสานที่หายไปจู่ๆก็กลับมาอีกครั้ง!
มันเริ่มจากเสียงที่แผ่วเบา แล้วค่อยๆดังขึ้น ราวกับเสียงในลำโพงที่ถูกเพิ่มทีละเล็กละน้อย
อย่า
อย่าเพิ่งพาผมไป
ตอบผมมาก่อน
ว่าความรู้สึกประหลาดนี้คืออะไร!?
.
ในที่สุดดวงตาของเด็กหนุ่มค่อยๆปิดลงราวกับตลอดกาล
ผู้มาเยือนแห่งราตรียังคงเฝ้ามองเขาจนวินาทีสุดท้าย
แม้เด็กหนุ่มจะหลับไหล แต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรง แรงจนเห็นการสั่นสะเทือนบนหน้าอก
เสียงของมันหนักแน่นและกึกก้องในการได้ยินของร่างปริศนา แต่บัดนี้ เสียงนั้นกำลังแผ่วลง
ช้าลง
ทุเลาลง
และแล้ว มันก็สิ้นสุดลง
.
.
.
เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ผู้มาเยือนก็ยกมือขวาขึ้น
พลันนั้นร่างที่หลับสนิทก็ค่อยๆ ลอยจากพื้นราวกับถูกชักด้วยใยที่มองไม่เห็น
เสียงสะบัดผ้าคลุมดังขึ้นอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็หายไป!
หายไป
ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้น
ความคิดเห็น