ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Pop's The White Road 1 (Re-birth)

    ลำดับตอนที่ #1 : Introduction - Rhythm of Life

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 13.76K
      34
      4 ส.ค. 51

    คุณคิดว่าหัวใจเราเต้นแรงที่สุดเมื่อไหร่ ?

     

    ยามดีใจเมื่อเห็นคนที่เราหมั่นไส้ตกต่ำ ?

    ยามตื่นเต้นตอนบอกแม่ว่าเราเรียนพิเศษทั้งที่กำลังดูหนัง ?

    ยามเสียใจเมื่อผู้ชายที่คุณรักไปรักผู้ชายอีกคน ?

    หรือยามลุ้นระทึกกับผลแอดมิดชั่นที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ?

                         

    ไม่ใช่หรอก

     

    ยามที่เราดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหาก

     

     

     

     

     

    Introduction

    RHYTHM OF LIFE

     

     

     

     

     

    หัวใจผมเต้นระส่ำราวจะทะลุออกมาจากอกยามเมื่อสองขาสลับสับเปลี่ยนอย่างบ้าคลั่ง!

    เสียงฝีเท้ากระแทกกระทั้นกับพื้นถนน ไม่ต่างกับจังหวะที่ถูกตีโดยมือกลองระดับโลก

    ซึ่งถ้านี่เป็นคอนเสิร์ตร็อคระดับโลก มันก็ช่างสมบูรณ์แบบ 
                    เพราะเสียงร้องที่ป่าเถื่อนที่สุดในโลกก็อยู่ที่นี่เช่นกัน

    หยุดนะ ไอ้เวร!”

    เสียงโซ่เหล็กดังแทรกมากับเสียงนั้น ผมรู้ว่าพวกมันมีด้วยกันห้าคน แต่ไม่คิดจะหันไปดูหรอกว่าใครถืออะไรบ้าง เพราะตอนนี้ผมตั้งมั่นอยู่ที่ความคิดเพียงหนึ่งเดียว

    นั่นคือ

    ผมต้องรอดไปจากที่นี่

    เสียง เอี๊ยด! ดังสนั่นกระทันหันราวกับโฆษณาที่เข้ามาคั่นรายการสด

    เสียงกระแทกดังขึ้นสองสามครั้งเมื่อร่างผมกลิ้งไปตามฝากระโปรงรถ ก่อนที่เสียงตุ๊บจะตามมาเมื่อผมหล่นลงบนถนนอีกฝาก   ผมตะกุยตะกายขึ้นจากพื้นและหนีตายต่อไปโดยไม่รู้สึกเจ็บ ความตื่นเต้นจับมือกับความกลัวกลายเป็นพลังที่ส่งให้ผมขับเคลื่อนด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ผมเอาชีวิตรอดมาถึงถนนใหญ่ซึ่งตกแต่งอย่างปราณีตด้วยตึกเก่าๆ กองขยะเน่าๆ และคุณตัวหลากสีสัน พวกหล่อนมักสามัคคีออกมากรีดกรายในราตรี ทำท่าทีประหนึ่งกำลังรอรถเมล์

    ผิดก็แค่เมืองคอร์เคลไม่มีเมล์วิ่งหลังสองทุ่ม ความจริงนี้ต่อให้เด็กเพิ่งตั้งไข่ก็รู้

    คุณตัวนางหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนเล่นบอลลูนสีกับผมสมัยยังเด็ก ตะโกนทักทายว่า

    ที่รัก ไปเล่นด้วยกันไหม?

    และผมตอบปฏิเสธในใจ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เธออยากเล่นห่างไกลจากบอลลูนสีเป็นไหนๆ

    เสียงเจื้อยแจ้วของพวกหล่อนพลันเปลี่ยนเป็นเสียงกรี๊ดดังกระฉ่อน เมื่อแก๊งค์เด็กแว๊นซ์ติดอาวุธพุ่งผ่าน ผมเลี้ยวตรงหัวโค้งซึ่งเป็นร้านขายซีดีผีที่ติดส่วยตำรวจจนเจริญงอกงาม ผ่านร้านเสื้อผ้าที่ก๊อปของแบรนด์เนมได้เหมือนเป๊ะ  มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่ส่งกลิ่นคล้ายถุงเท้านักฟุตบอลค้างปี  และเกือบจะล้มเพราะลื่นหนังสือพิมพ์ซึ่งขึ้นหน้าหนึ่งว่า        

    ม๊อบครองเมือง

    เฮ้ย อย่าเพิ่งคิดว่าผมอยู่กรุงเทพมหานคร บอกแล้วไง เมืองที่ผมอยู่ชื่อ คอร์เคล!

    ผมไม่รู้หรอกว่าต้องวิ่งอีกไกลแค่ไหน หรืออีกนานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ถ้าอยากมีลมหายใจต้องวิ่งต่อไป 
                  แต่หลังจากการผ่านระยะทางกว่าสองกิโลเมตรโดยไม่ได้หยุดพัก ความอึดความทนของผมก็ถูกบั่นทอนจวนเจียนจะหมดสิ้น      

    และทันที่พ้นประตูสวนสาธารณะ ผลจากอุบัติเหตุเล็กๆเมื่อครู่ก็แผลงฤทธิ์!


                   ความเจ็บผลักให้ผมเซไปข้างหน้า ผมพยายามจะวางเท้าเพื่อทรงตัว แต่เมื่อมันสัมผัสพื้น ความทรมานราวกับกระดูกร้าวก็กระชากผมให้ล้มลงอย่างไม่อาจต่อต้าน
    ผมเปล่งเสียงร้องออกไปในความมืดที่ไร้วี่แววการช่วยเหลือ

    และได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมา

    ง่อยเชียวนะไอ้ลูกหมา!”

    ในที่สุดพลพรรคเด็กแวนซ์ก็ตามผมทัน

    เสียงฝีเท้าพวกมันดังไปรอบกาย พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเหมือนฝูงไฮยีน่ากระหายเลือด ผมรู้สึกได้ถึงเงาชั่วร้ายที่ทาบทับ ได้ยินเสียงทุกจังหวะที่พวกมันขยับ

    และเมื่อเงยหน้าขึ้น ความเหี้ยมโหดจากดวงตาคู่หนึ่งก็ส่งตรงมาที่ผม

              ตอนแรกฉันกะจะฆ่าแกให้ตายง่ายๆ แต่เพราะแกมันรั้น เห็นทีอะไรๆคงต้องเละเทะขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยนั่นคือเสียงของหัวหน้านักเลงร่างใหญ่ มันสวมเสื้อกล้ามสีขาว สักแบบคนคุก และสวมกางเกงขาเดฟรัดเป้า      

    ไม่มีเออร์เน็ตแล้ว เราคงจัดการแกได้ง่ายขึ้น

    แกแกทำอะไร เขา…” ผมถามทั้งหอบ ตาโตด้วยความกลัว

    หัวหน้านักเลงย่อตัวลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของมันส่งกลิ่นชั่วร้ายอย่างที่ผมไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหน ใบหน้าของผมถูกมันจับขึ้นมาสบตา เจ้าหัวหน้าแสยะยิ้ม แล้วกระซิบข้างหูผมว่า

    ฉัน ฆ่า มัน แล้ว

     

     

    เมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่หัวใจผมเต้นแรงที่สุด

    แต่นาทีนี้ผมแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเลย

    ผมเห็นแค่ภาพใบหน้าเหล่านั้นกำลังหัวเราะเย้ยหยัน แต่ผมไม่ได้ยินเสียงพวกมัน

    ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายส่งเสียงอื้ออึ้งราวกับผมถูกจับยัดลงไปในกล่องสูญญากาศว่างเปล่า

    เออร์เน็ตถูกฆ่าแล้ว….

    นั่นคือความจริง

    ใช่ไหม?

              ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแกก็จะได้ไปเจอมัน จัดการ!!

                    แรงฟาดอันหนักหน่วงของโซ่เหล็กกระชากผมให้ตื่นจากภวังค์! – สัญชาตญาณสั่งให้ผมยกสองมือกุมหัว เท้าข้างหนึ่งเตะอัดเข้าที่กลางลำตัว ผมจุกจนตาเหลือก มันเตะซ้ำย้ำที่เดิมอีกหลายครั้ง ผมพยายามตั้งสติไถกายไปตามพื้น แต่ก็ถูกจับขาลากกลับมาให้ไม้เบสบอลฟาดหน้า! ในช่วงเวลาที่ผมมึนจนไม่อาจลืมตา โซ่เหล็กก็หวดลงมา สาดความปวดร้าวไปถึงกระดูก! กลิ่นเลือดฟุ้งเต็มจมูก ผมถูกเท้าของใครบางคนพลิกให้นอนคว่ำ ก่อนที่ไม้เบสบอลอย่างน้อยสองอัน จะพร้อมใจกันกระหน่ำฟาดลงกลางหลัง!

     

    อย่าร้องนะเด็กดี

                    นั่นคือคำที่เออร์เน็ตเคยพูดไว้ ครั้งผมถูกรังแกตอนเด็กๆ

             "เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องแข็งแกร่ง อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นเป็นอันขาด จำคำฉันไว้นะ

     

                    แต่เมื่อเสียงนั้นหายไป กลับกลายเป็นว่าผมร้องไห้ทันใด

                    ไม่ใช่เพราะเจ็บ ไม่ใช่เพราะร้องขอชีวิต

    แต่เพราะอาลัยกับการจากไปของคนที่ผมรักที่สุด!

    โซ่ที่ใช้เฆี่ยนตีผมตอนนี้คงเป็นอันเดียวกับที่ใช้ทรมานเออร์เน็ต เสียงสบถหยาบคายเหล่านี้ก็คงไม่ต่างจากที่เออร์เน็ตเคยได้ยิน และมันคงถุยน้ำลายใส่เขาเหมือนที่ทำกับผม! – แม้จะรับความจริงอันแสนโหดร้ายนี้ไม่ได้ แต่ผมสามารถทำตามความต้องการของเออร์เน็ตได้

    ผมต้องไม่ร้อง ผมจะไม่มีวันให้พวกมันได้ยินความอ่อนแอเป็นอันขาด!

              แม้กระดูกจะถูกฟาดจนแตกละเอียด แต่ผมจะกัดริมฝีปากเอาไว้!

    แม้บาดแผลจะเหวอะหวะจนเลือดรินไหล แต่ผมจะแข็งใจทนต่อไป!

    แม้ทุกอณูของร่างกายจะถูกทำร้ายจนปางตาย! แต่ผมจะข่มน้ำตาไม่ให้ไหล!

    แม้ความจริงจะทรมานแสนสาหัสแทบขาดใจ

    แต่ผมจะไม่ร้องขอชีวิตใดๆ!!  

     อั๊ก!”

              ราวกับเป็นเสียงแรกและเสียงสุดท้าย เมื่อผมถูกเตะจนลอยไปกระแทกม้าหิน - ผมร่วงลงมาหมอบกับพื้นเหมือนกระสอบทรายไร้แขนขา แต่เวลานี้ไม่มีความรู้สึกใดๆที่แผ่นหลังอีกแล้ว

    ร่างกายผมบอบช้ำเกินกว่าจะหายใจ ผมทำได้แค่นอนรอให้ความตายมาพรากไป

    ดวงตาของผมหรี่ลงอย่างอ่อนล้า แต่ก็ยังสามารถมองเห็นพวกอันธพาลที่เดินเข้ามาได้ เสียงหัวเราะของพวกมันดังขึ้นอีกครั้ง ไอ้หัวหน้านักเลงยกเท้าขึ้นและบรรจงกดมันลงแนบแก้มผม

    จบเกมส์แล้ว ไอ้หนู

    มันฉีกยิ้มเย้ยหยันและควักมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง พวกนักเลงพยุงผมขึ้นนั่ง แสงจากเสาไฟส่องกระทบปลายมีดเป็นเงาวับ

    ผมหรี่ตามองมัน ราวกับเป็นแสงสุดท้าย

     

    ฉันจะอยู่กับเธอไม่ว่าเธออยู่ไหน

    ภาพของเออร์เน็ตปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาแจ่มชัดราวกับตอนนี้ผมมีเขาเคียงข้าง

    เราสองคนสบตากัน

    และเราต่างยิ้มให้กัน

    จำไว้ ว่าเธอไม่เคยอยู่คนเดียว

     

    !!

    ปลายมีดเสียบทะลุหน้าท้อง  ความเจ็บสุดพรรณาพุ่งเข้าจู่โจม ผมรู้สึกได้เลยว่ามันชำแรกไปถึงเครื่องใน

              .

              .

              .

              ทุกอย่างเงียบสงัด

                    .

              .

              .

    ?

    แต่คราวนี้ ความเงียบกลับนำมาซึ่งความรู้สึกแปลกประหลาด

    ??

    เป็นความร้อนระอุราวกับจู่ๆอุณหภูมิก็สูงขึ้น

    นี่มันอะไร? ทำไมผมถึงรู้สึกร้อนอย่างนี้?

    ร้อนราวกับร่างกายกำลังถูกแผดเผา?

    ร้อนจนได้กลิ่นขี้เถ้าฟุ้งออกมาจากข้างใน!

    อะไรวะ ?

    เสียงของพวกอันธพาลห่างออกไปอย่างพิศวง แม้มีดจะยังเสียบคาท้อง แต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด….ผมก้มลงมองเลือดตัวเองที่รินไหล สมองผมสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยความไม่เข้าใจ

    มันคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น!!

    !!

    ทันใดนั้นร่างกายผมก็พลันสว่างเจิดจ้า! แสงประหลาดพุ่งผ่าอากาศ! และเผาพวกอันธพาลให้ลุกเป็นไฟ! – เสียงร้องของพวกมันดังกึกก้องไปไกล  ร่างแล้วร่างเล่าล้มลงดิ้นทุรนทุราย ก่อนจะเหยียดตัวเกร็ง และพากันสิ้นใจตาย!

    ผมถูกความสับสนตรึงติดจนไม่อาจเคลื่อนไหว!

    บัดนี้ไอร้อนมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากทุกรูขุมขน มันบ้าคลั่งจนหลอมละลายม้าหินที่อยู่ใกล้ๆ! – ผมรับรู้ได้ถึงการเดือดพล่านของเลือดในร่างกาย รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นเร็วราวกับจะแตกสลาย! ศรีษะของผมสั่นสะเทือนเหมือนถูกทุบกระหน่ำจากข้างใน ผมยกสองมือบีบมันไว้ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็ร้อนผ่าว ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น เหมือนมันจะกระเด็นออกจากเบ้า! – ผิวหนังของผมกลายเป็นสีแดงดั่งเหล็กที่ร้อนฉ่า น้ำตาแห่งความทรมานหยดลงพื้น และเดือดฟู่เป็นสายควัน!  


                    แล้วนั่น ?
    ...

    เสียง
                   มีเสียงของอะไรก็ไม่รู้ ดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท?

    ฟังคล้ายเสียงสวดประสาน? ท่วงทำนองของมันช่างชวนขนหัวลุกและมีพลัง!

    ยิ่งความเจ็บปวดทวีมากขึ้นเท่าไหร่ เสียงสวดก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น! 
                   แม้ผมจะเอามือประกบสองหู แต่เสียงของมันก็ยังดังชัดราวกับคลื่นมนุษย์เปล่งเสียงพร้อมกันในสมอง
    !

    ผมไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น!

    แต่รู้ว่ามันกำลังจะถึงขีดสุด

    มันกำลังจะสิ้นสุด!



             

    บึ้ม !!

      

    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แรงลมมหาศาลกระชากต้นไม้ทุกต้นให้ปลิวออกไป! – เปลวไฟสาดอานุภาพวงแหวนทำลายล้าง เหล่าแก๊งค์อันธพาลถูกแผดเผาสิ้นสลาย! แสงแห่งหายนะฉาบท้องฟ้าให้เป็นสีแดงฉาน! – รอยแตกแหวกไปตามพื้นถนน! ตึกรามบ้านช่องสั่นสะเทือน เสียงกระจกแตกดังติดๆกันหลายครั้ง เสาไฟโค่นล้ม เหล่าคุณตัวหนีตายแตกตื่น กระเป๋าเบรนด์เนมปลอมหลายใบร่วงลงพื้น ถุงยางหลากยี่ห้อกระจายเต็มฟุตบาท!!  

     เหตุการณ์ประหลาดปลุกทุกชีวิตแห่งคอร์เคลให้ตื่นจากภวังค์ แต่ทุกอย่างก็จบสิ้นก่อนที่ใครจะได้ทันตั้งคำถามเกี่ยวกับมัน

    แสงเพลิงบนท้องฟ้าค่อยๆจางไป

    เมฆทมิฬแห่งความความวิปโยคเคลื่อนห่างออกไป

    เหล่าคุณตัวผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย

    บัดนี้ สวนสาธารณะได้กลายสภาพเป็นหลุมใหญ่ ราวกับตราประทับของอุกกาบาตจากแดนไกล  ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือพอจะบอกได้ว่ามันเคยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ร่องรอยที่หายนะฝากเอาไว้ มีเพียง เถ้าถ่าน..

    ม่านควัน..  

    กับร่างหนึ่ง ซึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น...

     

    เหตุการณ์ประหลาดจารึกบาดแผลสาหัสไปทั่วร่างกาย ผมรู้สึกได้ว่ากำลังเสียเลือดอย่างไม่ขาดสาย และไม่อาจเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนใดได้อีกต่อไป

    สมองของผมกำลังจะตัดขาดการรับรู้

    ดวงตาของผมกำลังจะปิด

    และผม

    กำลังจะตาย

     

    ลาก่อนโลกอันแสนโหดร้าย

    ลาก่อนความทุกข์ทรมานที่แสนมากมาย

     

    และสวัสดีเออร์เน็ตผมกำลังจะไปหาคุณ

     

              ??

              จู่ๆ เสียงพรึ่บก็ดังขึ้น แล้วร่างปริศนาในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตรงหน้า

                    ( ยมทูต ?)

                    ใช่แน่ๆนั่นแหละยมทูต

    เขามาเพื่อพาผมไปจากโลกนี้

    มาเพื่อปลดปล่อย ให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานแสนสาหัสนี้               

                    เขากำลังเดินเข้ามา

                       กำลังเดินเข้ามา

     

              ??

    นี่มัน ความรู้สึกอะไรกัน?

    ผมกำลังจะตายแต่ทำไมหัวใจผมถึงเต้นเร็ว?

    ทำไมมันถึงถี่ขึ้นๆ

    ยิ่งยมทูตใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น!

    นี่มันอะไร ? เขาเป็นใคร ?

    ??

    ผมไม่ได้คิดไปเองที่รู้สึกว่าเลือดในร่างกายกำลังสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง

    เสียงสวดประสานที่หายไปจู่ๆก็กลับมาอีกครั้ง!

    มันเริ่มจากเสียงที่แผ่วเบา แล้วค่อยๆดังขึ้น ราวกับเสียงในลำโพงที่ถูกเพิ่มทีละเล็กละน้อย

     

    อย่าอย่าเพิ่งพาผมไป

     

    ตอบผมมาก่อนว่าความรู้สึกประหลาดนี้คืออะไร!?…

     

    ….

     

                    ในที่สุดดวงตาของเด็กหนุ่มค่อยๆปิดลงราวกับตลอดกาล

    ผู้มาเยือนแห่งราตรียังคงเฝ้ามองเขาจนวินาทีสุดท้าย

    แม้เด็กหนุ่มจะหลับไหล แต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรง แรงจนเห็นการสั่นสะเทือนบนหน้าอก 
                   เสียงของมันหนักแน่นและกึกก้องในการได้ยินของร่างปริศนา แต่บัดนี้ เสียงนั้นกำลังแผ่วลง

    ช้าลง

    ทุเลาลง

     

    และแล้ว มันก็สิ้นสุดลง

    .

    .

    .

    เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ  ผู้มาเยือนก็ยกมือขวาขึ้น

    พลันนั้นร่างที่หลับสนิทก็ค่อยๆ ลอยจากพื้นราวกับถูกชักด้วยใยที่มองไม่เห็น  

    เสียงสะบัดผ้าคลุมดังขึ้นอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็หายไป!

               

    หายไปราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้น






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×