Dr.Pop
ดู Blog ทั้งหมด

การเซ็นสัญญาในวงการนักเขียน โดย Dr.Pop

เขียนโดย Dr.Pop
เรื่องมันมีอยู่ว่า...


การเซ็นสัญญาเป็นอีกอย่างหนึ่งที่นักเขียนหน้าใหม่ไม่มีประสบการณ์อาจทำผิดพลาดกัน ป๊อบเลยอยากจะแบ่งปันเกล็ดความรู้เกี่ยวกับประเด็นนี้ให้น้องๆเพื่อนๆได้อ่าน 

ขอออกตัวก่อนว่า สิ่งที่เขียนต่อไปนี้ไม่ได้อ้างอิงมาจากสำนักพิมพ์ใดสำนักพิมพ์หนึ่ง เป็นภาพรวมที่คนในวงการนักเขียนจะรู้กันดีอยู่แล้วนะครับ ไม่ได้เป็นการเปิดเผยความลับอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องธรรมที่ควรจะรู้ไว้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเองเท่านั้นครับ


แตกประเด็นมาจาก http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1114380



----------------------------------------------------------------------------------------------------------



สำนักพิมพ์แต่ละแห่งจะมีรูปแบบการดำเนินกิจการที่ต่างกันไป
เพราะฉะนั้นรูปแบบการทำสัญญาจะแตกต่างกันไปด้วยครับผม
 

แบบที่ 1 ทำสัญญาเป็นเรื่องเป็นราว
  
เขาจะกำหนดมาเลยครับว่าหากจะออกงานเขียนกับที่นี่ต้องเซ็นกี่ปี ส่วนมากจะ 5 ปีนะครับ อาจจะมากหรือน้อยแล้วแต่กรณีไป ซึ่งการเซ็นสัญญาประเภทนี้จะเป็นผูกขาดว่า เรื่องของเราจะต้องอยู่กับเขาไปตามจำนวนปีในสัญญา
 
ย้ำว่าเรื่องของเรานะครับ ไม่ใช่ตัวเรานะ 
 
เพราะฉะนั้นป๊อบขอแก้ความเข้าใจผิดๆที่ว่านักเขียนจะต้องมีสำนักพิมพ์เดียว ไม่ใช่เลยครับผม นักเขียน 1 คนมีผลงานกับกี่สำนักพิมพ์ก็ได้ครับ แต่นิยายที่เซ็นกับสำนักพิมพ์หนึ่งๆจะต้องให้เขาเป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น 
 
ยกตัวอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลเลยครับ ไวท์โรด นี่แหละ เซ็นสัญญากับสยามอินเตอร์คอมมิคเป็นเวลา 5 ปีครับ แต่ระหว่างนั้นป๊อบก็สามารถไปเขียนให้กับ "มติชน" "คมชัดลึก" "Bliss" และที่อื่นๆได้โดยไม่ผิด
 
แต่ต้องห้ามเอาไวท์โรดไปพิมพ์กับที่อื่นภายในเวลา 5 ปีหลังจากเซ็นสัญญาเท่านั้นเองครับผม 
 
และห้ามเอาเรื่องไปลงเผยแพร่ หรือ ทำอะไรที่เป็นแนวของการค้าใดๆทั้งสิ้น ไม่งั้นผิดกฏหมาย ถูกฟ้อง ถูกจับนะครับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ป๊อบต้องเอาไวท์โรดออกจากเด็กดีไปนานแสนนานครับผม

แบบที่ 2 ไม่ทำสัญญา
  
เรียกภาษาชาวบ้านว่า "สัญญาใจ" ครับ คือ ไม่มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่รับงานด้วยความจริงใจต่อกันและกัน อาจจะฟังว่าไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้วหลายที่นะครับ หลายคนด้วย นักเขียนดังๆที่ทำแบบนี้ก็มีเยอะครับผม คือเราต้องรู้เองว่าจะเอาเรื่องนี้ไปให้กับที่อื่นไม่ได้ ต้องให้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้นครับ 

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องสัญญาแล้ว ป๊อบขอพูดถึงเรื่อง "ค่าตอบแทน" ไปด้วยเลยแล้วกันครับ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันมากๆ

หลายคนคงมีคำถามว่า "การเป็นนักเขียนได้เงินดีไหม ?" คำตอบก็คือ "แล้วแต่คุณจะประเมินสถานการณ์ตัวเองครับ" เพราะค่าตอบแทนในวงการนักเขียนมีด้วยกัน 2 แบบครับผม

แบบที่ 1 ให้เป็นเปอร์เซ็นต์
  
อันนี้เป็นวิธีที่ป๊อบปูล่าที่สุดครับ แต่ละสำนักพิมพ์จะมีเกณฑ์เปอร์เซ็นต์ที่แบ่งนักเขียนต่างกัน 
    8%
บ้าง 10% บ้าง ถ้าเมืองนอก 15% ก็มีนะครับ แต่ในประเทศไทยส่วนมากจะเป็น 10% ครับ 
  
ซึ่งการคิดเปอร์เซ็นต์นั้น แต่ละที่ก็คิดไม่เหมือนกันครับ - บางที่จะเอาจำนวนเปอร์เซ็น x ราคาเล่ม x จำนวนที่พิมพ์ <<< จำนวนพิมพ์นะครับ นั่นหมายถึง ถ้าหนังสือเราราคา 100 พิมพ์ 1000 เล่ม เงินที่จะได้ก็คือ 10% x 100 x 1000 = 10,000 บาทครับ 
  
วิธีนี้จะดีตรงที่ว่า ถึงจะขายน้อย ขายมาก ก็ได้ในวงเงินที่เยอะอยู่ดี 
    
แต่บางที่ เขาก็จะเอา จำนวนเปอร์เซ็นต์ x ราคาเล่ม x จำนวนที่ขายได้ครับ แปลก็คือ ขายมากได้มาก ขายน้อยได้น้อยครับผม 
  
 
แบบที่ 2 เหมาจ่าย
  (ตรงส่วนนี้ไม่เหมือนกับในกระทู้นะครับ ป๊อบพยายามแก้ในกระทู้แล้วแต่ไม่สำเร็จ ขอมาแก้ตรงนี้แล้วกันนะครับ)
 
เหมาจ่ายเป็นการให้เงินก้อนเดียวทีเดียวเลยครับ ส่วนมากจะตกลงกันที่ระหว่าง 10,000 - 100,000 บาทในประเทศไทย
  แต่ถ้าเป็นเมืองนอกบางรายตกลงกันเป็นล้านเลยก็มีครับ
  สมมติว่าตกลงกันที่ 100000 บาท นั่นหมายความว่า ถึงหนังสือคุณจะขายได้แค่หนึ่งหมื่นก็ได้หนึ่งแสนอยู่ดี 
  แต่ในทางกลับกัน
 ถ้าหนังสือคุณขายได้สองแสนก็ได้แค่หนึ่งแสนนะครับ

คำถามก็คือ "แล้ววิธีไหนล่ะที่ดีที่สุด ?"

อย่างที่ป๊อบบอกครับว่าเราต้องประเมินตัวเอง 
   
   ปกติแล้ว มาตรฐานการพิมพ์หนึ่งครั้งของสำนักพิมพ์จะอยู่ที่ 3000 เล่ม นี่คือเรททั่วไปจริงๆนะครับ หน้าที่ของเราคือประเมินว่า สามพันเล่มเนี่ย เราจะขายหมดไหม ถ้าขายหมดได้เงินเท่าไหร่ ? โอเค ขายหมดแน่นอน ก็เอาแบบแรกไปเลยครับ ได้ตามเปอร์เซ็นต์ก็คุ้มกว่า
   
   แต่ถ้าประเมิน ดูตลาด ดูความต้องการของลูกค้าแล้ว เฮ้ย เราขายไม่หมดมั้ง โนเนม หนังสือใหม่ ก็เลือกแบบเหมาจ่ายจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับผม 
   
   ระยะเวลาของการจ่ายเงินจะอยู่ที่ 3 เดือนครับ ป๊อบรู้สึกว่าจะเป็นกฏปฏิบัติของทุกสำนักพิมพ์นะเท่าที่สังเกตมา นั่นหมายความว่า เขาจะให้คุณก็ต่อเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือนแล้วเท่านั้นนะครับผม เพราะฉะนั้นเป็นนักเขียน ถ้างานดัง งานเยอะ ก็อาจจะรวยนะครับ 
   
   แต่ต้องหลังจาก 3 เดือนนะครับ จำเอาไว้ดีๆ
  
 
   เพราะมีผู้ใหญ่ในวงการหลายคน เล่าให้ฟังว่า นักเขียนบางคนประกอบอาชีพนักเขียนอย่างเดียว กว่าจะเขียนเล่มนึงเสร็จก็ปาไปหลายเดือน กว่าจะได้พิมพ์ (ส่วนใหญ่หนึ่งเดือน) กว่าจะออก (ปาไปอีกเดือน) กว่าจะได้เงิน (สามเดือน) ไม่มีเงินมาหมุนหรอกครับ
  
นี่คือที่มาของคำว่า "นักเขียนไส้แห้ง" ครับผม เพราะฉะนั้นป๊อบไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า "ฉันเขียน ฉันจะได้เงิน" 
  
ได้จริงครับ แต่สามเดือนนะตัวเอง 
  
ดังนั้นสิ่งที่ควรคิดก่อนตัดสินใจเซ็นสัญญาคือ "ประเมินศักยภาพและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราก่อน" ครับ

  อย่างที่ป๊อบบอกครับว่านักเขียนในประเทศไทยมีทั้งแบบ ให้สำนักพิมพ์จัดการ และ พิมพ์เอง 

อ้าว แล้วอย่างไหนดีกว่ากัน

การให้สำนักพิมพ์เป็นผู้จัดการ

ข้อดี

-
มีหลักประกันว่าคุณจะได้เงินตามมาตรฐานแน่นอน

-
มีแรงโปรโมตจากสำนักพิมพ์ซึ่งแตกต่างไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักพิมพ์ ขนาดองค์กร ผลประกอบการ กระแสสังคม 

-
มีทุนในการที่จะทำให้หนังสือของคุณรู้จักได้ไม่ยากครับ เช่น การขึ้นอันดับ (รู้ป่าวบางทีก็ต้องจ่ายเงินนะ อิอิ) การขึ้นเชลฟ์หนังสือแนะนำ (อันนี้ก็ต้องจ่ายเงินนะครับ) ตำแหน่งการวางหนังสือบนชั้น (บนสุด ตรงกลาง ล่างสุด เป็นความต่างของระดับสายตาที่มีผลต่อผู้บริโภคนะครับ อันนี้ก็เกี่ยวกับเงินอีกครับ อิอิ) ดิสเพลย์สินค้า โปสเตอร์ และอะไรต่างๆนานา ตรงนี้สำนักพิมพ์ที่มีมิตรสัมพันธ์ดีกับร้านจัดจำหน่าย จะได้เปรียบครับ 

-
มีแผนการตลาด แผนโฆษณา แผนการบัญชี และแผนที่สำคัญต่างๆครบถ้วน โดยคนไม่ต้องออกแรงเองครับผม

-
มี Editor มืออาชีพครับ ใช่ว่าทุกคนจะตรวจงานได้นะครับ ต้องเป็นมือพรู๊ฟเท่านั้น เชื่อผมครับ สำนักพิมพ์จะมามือพรู๊ฟที่ดีอยู่แล้ว

-
สำนักพิมพ์มีสื่อในมือครับผม เรื่องการทำพีอาร์ข่าว การกระจายข้อมูลจะรวดเร็ว ครอบคลุมทั่วถึงมากครับ ซึ่งถ้าเราทำเองเนี่ย สมมติลงไทยรัฐหน้าหนึ่งก็ปาไปเป็นแสนนะครับผม สำนักพิมพ์จัดให้ได้ครับ อิอิ

ข้อเสีย
- อันแรก เกิดขึ้นบ่อยครับ ดอง เซ็นแล้วไม่ได้ออก ออกช้ากว่าความต้องการของตลาด อะไรก็ตามแต่ครับ

-
การถูกกำหนดว่าจะต้องออกปีละเท่านี้เล่ม เดือนละเท่านี้เล่ม เป็นความกดดันของนักเขียนไปครับผม 

-
มีการตีกรอบเรื่องรูปเล่ม ขนาดอักษร และอะไรต่างๆนานา เพื่อให้หนังสือในค่ายเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด

-
อันนี้ปัญหาคลาสสิคของนักเขียนเลยครับ คือ "เราไม่รู้จำนวนยอดพิมพ์ที่แท้จริง" ครับ - เป็นสิ่งที่เราตรวจสอบไม่ได้ ว่าเขาพิมพ์ตามที่บอกเราจริงไหม ? มีการแอบพิมพ์เพิ่มหรือเปล่า ? มีการเอาหนังสือที่เสียไปปล่อยไหม ? มีการขายลับๆไหม ? ปัญหานี้นักเขียนทุกระดับเจอหมดครับ ไม่เว้นแม้แต่นักเขียนบิ๊กๆ เพราะฉะนั้นทางแก้เดียวคือ "ปลง" ครับ เพราะเราตรวจสอบไม่ได้จริงๆ

-
นักเขียนในค่ายเยอะครับ หนังสือใหม่ก็ออกเยอะ การโปรโมตไม่เท่ากัน บางงานคนนี้ได้ขึ้นเวที อีกคนไม่ได้ขึ้น คนนี้ได้ไปทัวร์ คนนี้ไม่มี คนนี้ได้เปิดตัว อีกคนไม่ได้ ถ้าเราโชคดีเป็น "ลูกรัก" ก็ดีไปครับ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ... นั่นแหละ

นั่นเป็นกรณีของการเซ็นสัญญานะครับผม 

อ้าว แล้วถ้าไม่เซ็นล่ะ อยากจะทำเอง เซลฟ์จัด จะเป็นไง ?

พิมพ์เอง


ข้อดี
 
- อิสระสุดโต่งเลยครับ อยากทำอะไรทำ ไม่มีการกำหนดเวลา ปกอยากให้ใครทำก็ได้ หนาเท่าไหร่ก็ได้ ดีไซน์ยังไงก็ได้ อิสระสุดฤทธิ์

-
ค่าตอบแทน (ในมุมสว่าง) ได้เยอะกว่าเซ็นสัญญาเป็นหลายเท่าตัวเลยครับผม เพราะไม่ต้องไปแชร์ก็เหล่าทีมงานที่มาช่วยเราทำหนังสือครับ สมมติว่าเราทำเอง ก็หาตัวแทนจัดจำหน่ายมีเยอะแยะไปครับผม เราต้องแชร์เปอร์เซ็นต์ส่วนหนึ่งกับเขาเพื่อให้เขาจัดจำหน่ายหนังสือให้เรา อาจจะเป็น 30% หรือ 40% หรือ 50% แล้วแต่ที่ครับ ซึ่งกรณีนี้ถ้าหนังสือเราขายดีมากๆๆๆๆ เราจะได้ 50-60% เป็นอย่างต่ำต่อเล่มเลยนะครับ คิดดูว่าขายได้ไม่กี่เล่มก็เท่ากับที่ได้จากสำนักพิมพ์อีกนะครับ 

-
มีสิทธิเลือกทีมงานเองครับ บรรณาธิการ กราฟฟิค พีอาร์ สารพัดตำแหน่ง จ้างเอง เลือกเอง จ่ายแบบเหมารวดเดียวจบครับ ได้คนรู้ใจ ทำงานสะดวก คุมการทำงานได้ทุกขั้นตอน 

-
สามารถตรวจสอบยอดพิมพ์ได้อย่างแม่นยำครับ เพราะทางร้านที่รับจัดจำหน่ายต้องแจ้งเราตลอดอยู่แล้ว โกหกไม่ได้ครับ ติดคุก เงินไม่หาย ความรู้สึกไม่เสียครับผม 

ข้อเสีย


- เราต้องออกเงินในการพิมพ์เองไปก่อนครับ เวลาพิมพ์หนังสือ ถามว่าทำไมต้อง
3000 เล่มเป็นอย่างต่ำ เพราะมันเป็นจุดที่เรียกว่า Ecomomy of Scale ครับ เป็นจุดที่ยิ่งทำมากก็ยิ่งเสียน้อยนะครับ ถ้ามากไปกว่าสามพันเล่มเป็นหมื่นเล่ม ราคาต่อค่าใช้จ่ายที่พิมพ์ก็จะต่ำลงครับ - ถามว่า "ออกเงินก่อนไม่ดียังไง?" ก็ถ้าสมมติว่าหนังสือเราขายไม่ได้ตามเป้าล่ะครับ เข้าเนื้อเห็นๆเลยนะครับผม เจ็บตัวฟรีอ่ะครับ มันเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งนะครับ ทุ่มทุนไปเยอะเลย แต่กว่าจะได้เงินกลับมา มันต้องรอเช็คออกเดือนละหนึ่งครั้ง บางคนไม่มีเงินหมุนก็เจ๊งไปตามระเบียบครับ เพราะฉะนั้น "การพิมพ์เอง" จึงเหมาะกับผู้ที่มีทุนสำรองพอตัว คือ จ่ายเงินค่าทำไปแล้ว (อย่างต่ำก็สองแสนนะครับ) ต้องมีเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย (อย่างน้อยก็หกเดือนขึ้นไป) ถึงจะสมควรพิมพ์เองครับ

-
ใช่เราเลือกทีมงานได้ แต่ถ้าทีมงานเราไม่มีคุณภาพล่ะครับ ? เราก็เสียเลย แล้วเวลาคนวาเขาไม่ว่าบรรณาธิการหรอกครับ นักเขียนรับเป็นเต็มๆครับ เป็นเรื่องซวยไป บางทีทีมงานถอนตัวกลางคัน ทำไม่ได้ตามที่ต้องการ อย่างไวท์โรดนี่เจอกับตัวเอง โรงพมิพ์ทำหนังสือพิมพ์หน้าหาย ? พิมพ์หน้าสลับ ? พิมพ์หน้าขาด ? โอ้โห เป็นร้อยเล่มเลยครับ แล้วใครโดน "ป๊อบ" ไง อิอิ ซวยอีกรอบ เพราะฉะนั้น ทีมงานที่เราเลือกต้องมั่นใจว่าเชื่อถือได้ครับผม ไม่งั้นเราจะเจ็บเอง

-
การโปรโมตบางครั้งเราต้องจ่ายเอง เช่น งานเปิดตัว การออกรายการ การขึ้นเวที แต่ถ้ามีทุนหน่อย มันก็เป็นเรื่องดีที่เราเลือกสิ่งที่เราอยากได้ครับ อยากเปิดตัวแบบฟู่ฟ่า อลังการ์ ยังไงก็ได้ ตามแบบของเรา อันนี้แล้วแต่คนคิดครับผม 

-
ต้องเลือกโรงพิมพ์เอง การเลือกโรงพิมพ์ก็เหมือน "ช๊อปปิ้ง" อ่ะครับ เราต้องสอบถามราคาเปรียบเทียบ แล้วดูว่าที่ไหนไม่เอาเปรียบ ที่ไหนคุ้ม ที่ไหนมีโปรโมรชั่นดีๆ ต้องดูไปถึงสภาพโรงงานด้วยนะครับ ว่าใหญ่ไหม ? บุคคลากรเท่าไหร่ ? งานเขาเยอะไหม ? อันนี้เกี่ยวนะครับ ถ้างานเยอะ แสดงว่าเขา "เครดิตดี" ครับ แต่งานเยอะก็อาจจะหมายถึง "คุณต้องอยู่คิวท้ายๆ" เช่นกันครับผม 

-
ได้เหนื่อยแบบเต็มรูปแบบเลยครับ ต้องช่วยทำโน่น ทำนี่ สารพัดสิ่ง แทบไม่ได้หลับนอน แต่ มันก็นำมาซึ่งประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ครับ ถ้าผ่านไปได้ คุณก็จะได้รูอะไรอีกเยอะเลยครับผม 


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ก็หวังว่านี่จะเป็นข้อมูลที่ดีก่อนการตัดสินใจทำอะไรลงไปนะครับผม

โดยเฉพาะเด็กๆที่อายุต่ำกว่ายี่สิบห้า
 
ป๊อบแนะนำว่า ควรให้พ่อแม่หรือผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์เป็นผู้เจรจาดีกว่าครับ 

การให้ผู้ใหญ่คุยธุรกิจมันมีเครดิต ความน่าเชื่อถือ ความเกรงใจ
เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะกว่า เราจะได้สิ่งที่ยุติธรรมมากกว่า
 

อย่างป๊อบนี่ให้คุณแม่เป็นผู้จัดการเลยครับดูแลทุกอย่าง
ไว้ใจได้มากกว่า


และจำไว้ว่า ห้ามเซ็นสัญญา โดยไม่อ่านก่อนเด็ดขาดนะครับ จะเซ็นอะไร
เอามาอ่าน ทำความเข้าใจก่อน
 

ถ้าเขาเร่ง บอกให้เขารอ ถ้ารอไม่ได้ ก็ไม่ต้องเซ็นครับ
เรื่องนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเร่งแสดงว่าประสงค์ร้ายแล้วล่ะ 
อ้อ และก็หาข้อมูลเยอะๆก่อนการตัดสินใจนะครับผม จะได้ไม่โดนหลอกนะครับ 

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับชาวบอร์ด เด็กดีครับผม 


ความคิดเห็น

HAKPAK
HAKPAK 17 มิ.ย. 51 / 14:01
 ดีนะ ได้รู้เรื่องดีๆเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แต้งกิ้วนะที่นำเรื่องดีๆมาบอก
PS.  เถื่อนนิดๆ วิปริตนิดหน่อย playboyเล็กน้อย นี่แหละใช่เลย!
songreaw_kung
songreaw_kung 17 มิ.ย. 51 / 17:15

พึ่งรู้นะเนี้ย  ว่าเค้าทำกันแบบนี้   โห  .....อ่านแล้วเครียดเลยแฮะ

pear_yummy
pear_yummy 17 มิ.ย. 51 / 20:32

น...น่ากลัว.....ง่ะ -.-

แต่ว่าแพร์คงไปได้ไม่ถึงจุดนั้นหรอก อิๆ...

ตอนนี้เอาเรื่องเอนท์ให้รอดก่อนดีฝ่า

เง้อออออ...เครียดๆๆๆๆๆๆๆ

Keetar_Prowis
Keetar_Prowis 18 มิ.ย. 51 / 13:00

ต้องมีซักวัน ต้องมีซักวัน



-*-


PS.  ...หากต้องมีใครตาย ก็อาจจะเพราะเขาต้องตายอยู่แล้ว...
YOUNGESTFIGHTER
YOUNGESTFIGHTER 18 มิ.ย. 51 / 18:23

ขอบคุณครับที่นำสารดีๆมาบอกผมนะครับ


PS.   Taiyou No Namida (Tears Of The Sun) ถ้าคิดจะไมรักกันก็บอกมาตรงๆก็ได้นะเราไม่ว่าเลย..เเต่นี่หริเล่นไม่พูดอะไรเลยรู้ไหมๆรู้ไหมว่าเราต้องมานั่งเสียใจแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 6
ก่อนที่จะทำสัญญษ ขอให้ตั้งสติ และมีสมาธิ...จะทำให้เกิดเสี่ยตา(ปัญญา)ในการเซนดู๋(สัญญา)....เง้อจะเล่นมุกไปใหน ขอบคุณมากพี่ป๊อบสำหรับแนวคิดดีๆ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป ^ ^
purakiyaa
purakiyaa 10 ก.ค. 51 / 12:41
ขอบคุณค่ะ
PS.  
purakiyaa
purakiyaa 10 ก.ค. 51 / 12:45
ขอบคุณค่ะ
PS.  
noonbelove
noonbelove 13 มิ.ย. 52 / 13:13
ของหนูคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ค่ะ

งานแรกนี่ได้ 8 เปอร์เซ็น  33500  อีก  แถมมีหักภาษี  1650  บาท - -*

เรื่องต่อๆ  มาเริ่มดีขึ้นค่ะ  ^^
prapim
prapim 21 มี.ค. 53 / 01:59
 พี่ป๊อบน่ารักจัง
มีความรู้ให้น้องๆอยู่บ่อยๆ