My Sunshine - นิยาย My Sunshine : Dek-D.com - Writer
×

    My Sunshine

    ...ฉันก็แค่คนธรรมดาทั่วไป...

    ผู้เข้าชมรวม

    145

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    145

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  23 มิ.ย. 56 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    My Sunshine

    บทนำ

    “วันนี้หนูจะมาเล่นดนตรีแสดงความยินดีให้คุณพ่อและคุณแม่ของหนูค่ะ” เด็กหญิงอายุ7ขวบ ยกแซ็กโซโฟนมาเพื่อเป่าเพลงแสดงความยินดีในงานใหญ่ของบริษัทที่พ่อและแม่ของเธอเป็นเจ้าของ บทเพลงที่เธอเป่านั้นช่างไพเราะ เหมือนได้อยู่ท่ามกลางป่าในเทพนิยาย ความหวานที่ผสมผสานกับเสียงเป่าของแซ็กโซโฟน คนในงานนับพันต่างตะลึงและเงียบเพราะเสียงที่เด็กหญิงคนนี้เป่าช่างไพเราะเหลือเกิน พอการแสดงจบคนทั้งหอประชุมต่างปรบมือและต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงคนนั้นกันยกใหญ่ เด็กหญิงคนนั้นวางแซ็กโซโฟนลงและเดินลงเวทีที่กว้างสำหรับคนที่ยืนกันได้ประมาณสี่ร้อยคน

    “เก่งจริงเลยลูกสาวของเรา นี่คุณหญิงผมคิดว่าลูกเราน่าจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้แล้วนะ” พ่อของเด็กหญิงคนนั้นได้คุยกับภรรยาของเขาเรื่องอนาคตของลูกสาวเธอ “ค่ะฉันก็เห็นด้วย ที่จะให้ยัยดรีมไปเรียนเมืองนอกนะคะ” ภรรยาของเธอเห็นด้วยกับความคิดเห็นของสามีของหล่อน “แต่หนูยังไม่อยากไปนี่คะ คุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้อยู่กับหนูแล้วหนูจะอยู่กับใคร หนูยังอยากเล่นกับพี่มิ๊กซ์อยู่เลย แล้วถ้าหนูไปพี่มิกซ์จะเล่นกับใคร แล้วหนูจะเล่นกับใคร” ดรีมคัดค้านการไปเรียนต่อเมืองนอกเพราะเธอเพิ่งได้เพื่อนคนแรกซึ่งเจอกันเมื่อสองปีก่อนซึ่งเขาอายุห่างกับเธอไปประมาณสิบปีและเป็นลูกติดพ่อเลี้ยงของเธอเมื่อสองปีที่แล้วและเธอก็เป็นลูกติดแม่เลี้ยงของนายมิ๊กซ์เช่นกัน

    “คุณแม่ฮะ จริงหรอฮะที่คุณพ่อจะสร้างโรงเรียนชายล้วนที่เกาหลีหรอฮะ” มิ๊กซ์ที่เดินมาท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและเดินตรงไปหาแม่เลี้ยงที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารจีนด้วยความดีใจ

    “ถามพ่อเค้าสิลูก”

    “จริงหรอฮะพ่อ”เขาหันไปถามพ่อของเขาที่อยู่ฝังตรงข้ามของโต๊ะอาหาร

    “ถ้าปีนี้ยังได้เกรด4.0 อีกปีมันก็อาจจะเป็นจริงก็ได้”

    “เยส...เรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาฮะคุณพ่อเตรียมวางแผนโครงการไว้ได้เลยฮะ”

    “แต่...ถ้าได้3.99ก็หมดสิทธ์นะ”

    “ไม่ต้องห่วงฮะ...อัจฉริยะอย่างผมไม่มีวันเสียคะแนนไปง่ายๆหรอกฮะ”

    “แต่คุณน้าทนายบอกว่า พี่มิกซ์เคยสอบตกตอนที่อยู่ประถมไม่ใช่หรอคะ แถมยังเกือบโดนซ้ำชั้นอีกด้วย”

    “ความแตกซะแล้ว...คุณอาบอกเรื่องนั้นกับน้องสาวสุดที่รักของผมแบบนี้ได้ยังไงอ่า ผมอุตส่าห์เก็บเป็นความลับสุดยอดและไม่ให้ใครบอกเรื่องนี้หรือเล่าเรื่องนี้นี่ฮะ”

    “อ่าวหรอครับคุณหนู ผมไม่เคยมีใครบอกเลยนี่ครับ ไม่เป็นไรหรอกครับผมบอกไปแค่สามสี่เรื่องเองครับ”

    “โธ่ตลอดสองปี เสียภาพพจน์หมดเลย” มิกซ์ทำหน้าเศร้าเพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอดรีมจนตลอดมาเขาสวมบทพี่ชายและเพื่อนที่ดีที่สุด

    หลังจากงานเลิกครอบครัวของดรีมและทนายประจำตระกูลของหล่อน และเดินไปยังห้องผู้อำนวยการ

    “ดรีม มิกซ์ เดี๋ยวพ่อกับแม่มานะลูก พ่อจะต้องพาแม่ไปหาแขกคนสำคัญของบริษัทเรา ถ้าง่วงนอนก็พาน้องกลับบ้านก่อนก็ได้นะ”

    “ไม่เป็นไรฮะผมกับน้องยังไม่อยากนอนใช่มั๊ยดรีม”

    “ค่ะหนูยังอยากเล่นกับพี่มิกซ์อยู่เล่นค่ะ”

    “งั้นพ่อไปก่อนนะ” สองสามีภรรยาหลังเดินไปยังลิฟต์ และมันคือภาพครั้งสุดท้ายที่สองพี่น้องต่างสายเลือดได้เห็นเป็นภาพสุดท้าย

    “พี่มิกซ์ ดรีมลืมของไว้ชั้นล่างเดี๋ยวดรีมกลับมานะคะ ไม่ต้องส่งดรีมนะคะ”

    “งั้นรีบๆมาหน่อยนะ”

    “ค่ะ” เธอรีบวิ่งลงลิฟต์อีกฝั่งที่พ่อและแม่ของเธอเข้าไป ลงไปยังชั้น 1 ตามหลังจากพ่อเลี้ยงและแม่ของเธอ

    ติ๊ง!

    เสียงลิฟต์ที่ลงมาจากชั้นสิบ ดรีมเดินออกมาเก็บแซ็กโซโฟนเพื่อเอาไปไว้ในห้องผู้อำนวยการขนาดที่เธอยกกล่องเก็บแซ็กโซโฟน เธอก็รู้สึกใจสั่นและหวาดกลัวนิดๆทั้งที่ไม่มีสาเหตุอะไรเลย เธอยกกล่องแซ็กโซโฟนและเดินมายังหน้าลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปยังชั้นสิบ

    พรึบ!

    ไฟทั้งบริษัทดับและเกิดความเงียบสนิทและแถวๆนั้นก็ไม่มีใครเลยสักคน มีแต่ดรีมกับแซ็กโซโฟนตัวโปรดของเธอ เธอตกใจเล็กน้อยเธอไม่คิดอะไรมาก เธอจึงยืนรออยู่หน้าลิฟต์ต่อไป ซักพักลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งๆที่ไฟยังไม่ออก เธอพยายามสังเกตในลิฟต์ซึ่งรู้สึกว่ามันไม่มีตัวในลิฟต์อยู่เลย

    ตึ่ง

    ทันไดนั้นในตัวลิฟต์ก็ตกลงมาอย่างจังและรวดเร็วมาก เธอช็อกแบบสุดขีดเพราะในตัวลิฟต์นั้นมีคนอยู่ เธอรู้ว่าสองคนนั้นไม่มีลมหายใจและเพราะดูจากสภาพมันเป็นภาพที่ใครเห็นก็ต้องช็อกสุดๆสภาพไม่น่าดูแม้แต่จะลืมตาดูก็ยังไม่กล้าร่างของทั้งสองไม่มีชิ้นดีเลย และในตอนนั้นไฟก็ถูกเปิด ซึ่งเธอสามารถเห็นได้ชัดขึ้นภาพที่เธอเห็นนั้นคือร่างพ่อเลี้ยงและแม่ของเธอ เลือดเริ่มไหลยาวออกมาจากลิฟต์ และไหลไปโดนเท้าของเธอ

    “คุณพ่อ คะ...คุณแม่...” ใจเธอแทบสลายเมื่อเธอเห็นร่างศพของสองท่านนอนกอดกัน เธอทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้นสติของเธอเริ่มหายเธอกระวนกระวายและตะโกนเรียกร่างไร้วิญญาณของพ่อและแม่เธอดังลั่น ในขนาดเดียวกัน รปภ.ประมาณห้าคนก็ได้วิ่งมาดูและอุ้มเธอไว้ พวกเขาติดต่อสื่อสารกับตำรวจและโรงพยาบาลทางวิทยุกันอย่างอลม่าน มิ๊กซ์ซึ่งวิ่งลงบันไดมาจากชั้นสิบเพื่อมาดูเหตุการณ์ เมื่อเขาวิ่งมาเห็นเขาช็อกและตกใจนิดหน่อยแต่เค้าเก็บความรู้สึกไว้เขาเงียบและอุ้มดรีมไปยังที่สงบเพื่อเรียกสติเธอแต่เธอกลับร้องไห้คร่ำครวญและสลบล้มลงไปและดูเหมือนเธอจะหลับลึกไปอีกเพราะตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆแล้วเพราะก่อนหน้านั้นเธอได้อยู่ต้อนรับแขกในงานและคงเหนื่อยรวมกับความง่วงของเธอเช่นกัน

                    หลังจากการฌาปนกิจศพของพ่อและแม่ของเธอ เธอได้รับการตรวจร่างกายพบว่าหลังจากที่เธอเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นร่างกายเธอเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ และเธอยังมีโรคประจำตัวเธอมากขึ้นด้วย และโรคที่ควรรักษาอย่างเร็วไวก็คือโรคซึมเศร้า ซึ่งแพทย์ได้บอกว่าเธอเป็นหนึ่งในร้อยล้านที่เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ไม่มียาที่ช่วยให้หายได้แต่ต้องฟื้นฟูสมรถภาพทางด้านจิตใจเธอให้มากขึ้นซึ่งมันจะเห็นผลช้าแต่ก็จะหาย มิ๊กซ์และทนายประจำตระกูลจึงปรึกษาและตัดสินใจว่าจะขายบ้านและบริษัทและจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศซึ่งได้ลงเอยกันว่าจะตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เกาหลีเพราะก่อนหน้านั้นพ่อของมิกซ์ได้กำหนดแผนการสร้างโรงเรียนชายล้วนที่เกาหลีไว้ซึ่งมิกซ์ตัดสินใจจะสารต่อธุรกิจของโรงเรียนนี้โดยได้คำปรึกษาจากเพื่อนเก่าของพ่อเขาและหุ้นส่วนที่สนับสนุนบริษัทของพ่อเขาตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็ก และเป็นที่ไว้วางใจสุดของตระกูลของเขา

                    “คุณอาฮะ ไฟล์บินของเรากี่โมงฮะ”

                    “ใกล้จะถึงเวลาและล่ะ แล้วเรื่องการเรียนของมิกซ์ล่ะเลือกได้รึยังว่าจะทำยังไง”

                    “ผมคิดไว้แล้วล่ะฮะ ผมจะเรียนด้วยและบริหารโรงเรียนไปด้วย”

                    “จะบ้าหรอมิ๊กซ์ อายุของเธอยังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วจะมาบริหารโรงเรียนเนี้ยนะ อาว่าเธอเรียนให้จบก่อนส่วนเรื่องบริหารธุรกิจโรงเรียนเดี๋ยวอาจัดการเอง”

                    “อาฮะ ผมขอทำสิ่งที่ผมมั่นใจว่าผมทำได้  ได้โปรดเถอะครับผมไม่เหลือใครแล้วและผมก็ไม่ไว้วางใจใครทั้งนั้น”

                    “...”

                    “ผมไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับสิ่งที่พ่อผมทำให้ผมก่อนตายหรอกนะฮะ ”

                    “แล้วอาจะมั่นใจได้ไงว่ามิ๊กซ์จะบริหารโรงเรียนได้ โรงเรียนเอกชนนะมิ๊กซ์...แถมก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอจะเรียนหมออีก ละ...”

                    “ผมจะทำสิ่งที่คุณอาคิดไม่ถึงให้ดู ผมขอแค่คุณอาช่วยร่วมมือ และวางใจผม เชื่อผมเถอะนะครับ”

    ความเงียบเริ่มเกิดขึ้นสักพัก

                    “ถึงไฟล์เราแล้วพาไปเรียกน้องเธอมาเร็ว” ทนายประจำตระกูลพูดอย่างแผ่วเบาและเดินไปยังทางขึ้นเครื่องบิน

    ใช้เวลาไม่ถึงสามชั่วโมงเครื่องก็ลงสู่สนามบินอินชอน เมื่อออกจากสนามบินรถประจำบริษัทของตระกูลเขาก็มารับไปเดินทางไปยังกรุงโซล

                    “มิ๊กซ์... อาจะเชื่อในตัวเธอนะอาจะให้โอกาสเธอ”

                    “จริงหรอฮะ”

                    “แต่ถ้ามิ๊กซ์เกรดตกเมื่อไหร่วันนั้นแหละอาจะจัดการงานทั้งหมดเอง”

                    “แล้วเรื่องดรีมล่ะฮะ ผมคิดว่าจะให้น้องอยู่บ้านไปสักพักก่อนถ้าเธอพร้อมเมื่อไหร่ค่อยส่งเธอไปโรงเรียนนะฮะ”

                    “อาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เรื่องที่อยู่อาจัดการหมดแล้วนะย้ายไปอยู่ได้เลยนะ แล้วเรื่องต่อมหาลัยอาก็จัดการหมดแล้วนะเดือนหน้าไปส่งใบประวัตินักเรียนและเริ่มเรียนได้เลย”

                    “แล้วคุณอาจะไปอยู่ไหนล่ะฮะ”

    “อามีบ้านพักอยู่แถวๆบ้านของเธอนั้นแหละไม่ต้องห่วงหรอก”

    สี่สิบนาทีต่อมารถก็จอดไปยังบ้านหลังใหญ่เมื่อเดินลงมาคนใช้ประมาณสี่คนก็มายืนต้อนรับและขนข้าวขนของยกไปจักเก็บ บ้านมีลักษณะสองชั้นแต่เป็นบ้านที่กว้างขวางชั้นบนจะมีห้องว่างอยู่สองห้องและมีอีกสองห้องคือห้องของดรีมและมี๊กซ์  “อาจะให้พวกเธอทั้งสองคนแยกนอนคนละห้องนะ ดรีมถ้าเธอไม่กล้านอนคนเดียวเธอก็เรียกพี่เลี้ยงมานอนด้วยนะ” ดรีมพยักหน้าเบาๆและไม่แสดงสีหน้าอันไดทั้งสิ้น “ส่วนมิกซ์ ถ้าโรงเรียนสร้างเสร็จเมื่อไหร่ อาจะมาบอกนะแล้วเดือนนี้เธอต้องเตรียมตัวให้พร้อม เรื่องเรียนภาษาอาจัดการให้แล้วเหมือนกันพรุ่งนี้ดรีมกับมิ๊กซ์จะต้องเรียนอย่างน้อยก็ให้ได้ห้าในร้อยนะ” ทนายประจำตระกูลพูดอย่างเคร่งครัดและดูจริงจังมากบวกกับความเป็นห่วงสองพี่น้องที่ไม่ควรเจอเรื่องที่เลวร้ายในวัยประมาณนี้เลย

    “แล้วผมกับน้องจะต้องไปเรียนที่ไหนล่ะฮะ”

    “ที่บ้านเนี้ยแหละ พรุ่งนี้เวลาเก้านาฬิกาครูสอนต่างประเทศจะมาสอนพวกเธอหวังว่าพวกเธอคงไม่ตื่นสายหรอกนะ”

    “ไม่ต้องห่วงค่ะคุณทนายเดี๋ยวฉันจะช่วยปลุกคุณหนูเองค่ะ” บังเอิญจริงๆที่คนใช้ที่นี่พูดภาษาไทยได้ และพวกเธอก็ยังเป็นคนไทยที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เกาหลีสาเหตุที่เข้าย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะพวกเขาต้องย้ายมากับเจ้านายเก่าของพวกเขาซึ่งตอนนี้เจ้านายเก่าพวกเขาได้ล้มละลายเขาเลยตกงานแต่ว่าทนายประจำตระกูลของพ่อมิกซ์ช่วยรับไว้และให้ทำงานที่นี่

    “ฉันเข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงนะมิกซ์อาจะต้องไปทำธุระก่อนนะถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรมาเบอร์นี้นะ” ทนายประจำตระกูลยื่นโทรศัพท์ไว้ให้มิกซ์ ซึ่งเขารีบเก็บไว้กับตัวและเดินส่งทนายเดินเข้ามานั่งบนโซฟาในห้องรับแขก

    “ดรีมหิวไหมเธออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” ดรีมนั่งโซฟาถัดจากโซฟาของเขาด้วยท่าทางเหมือนเธอหมดหวังและสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของเธอทำให้พี่ของเธอไม่ค่อยสบายใจมากเท่าไหร่ “ไม่หิวค่ะ หนูไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น”

    “งั้นก็ได้ เย็นนี้เราไปเดินสำรวจแถวๆนี้เผื่อมีอะไรน่าสนุกเธอไปกับพี่นะ”

    “ถ้าพี่อยากให้หนูไปหนูก็จะไปค่ะ” เธอทำท่าฟังบ้างไม่ฟังบ้างเหมือนว่าความรู้สึกของเธอได้หายไปในวันนั้น ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความร่าเริง และความรู้สึก เธอเหมือนร่างหุ่นยนต์ที่ไม่แสดงอะไรนอกจากตอบคำถามในสิ่งที่มีคนถาม สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความหมดหวัง เพราะเธออายุแค่เจ็ดปีและเธอยังไม่สามารถยอมรับเรื่องที่เลวร้ายขนาดนั้นได้ลงสำหรับเด็กทั่วไปสิ่งที่เขาเห็นคือภาพที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเขา

    “สวัสดีค่ะคุณหนูๆ ป้าชื่อป้าจารนะคะเป็นแม่บ้าน ส่วนนี่พี่อิลเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูดรีม ส่วนคนนี้เป็นคนขับรถชื่อลุงมูล และคนนี้ลูกชายป้าอายุคงจะเท่าๆกับคุณหนูมิ๊กซ์ ชื่อคังอินนะจ๊ะ”

    “สวัสดีทุกคนนะฮะไม่ต้องพูดอย่างเป็นทางการก็ได้นะฮะ ยังไงผมกับน้องก็ได้อยู่ที่นี่อีกนานคิดซะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับ”

    “สวัสดีค่ะทุกคน”

    “ทำไมหนูดรีมเงียบอย่างนี้ล่ะจ๊ะไม่ชอบที่นี่หรอ”

    “เอ่อ...คือน้องของผมเธอเป็นโรคซึมเศร้านะฮะ ช่วยดูแลน้องผมด้วยนะฮะ”

    “ออ...จ๊ะไม่ต้องห่วงเดี๋ยวป้าจะให้พี่อิลพาคุณหนูไปเล่นตุ๊กตาที่อยู่ชั้นบนนะจ๊ะ”

    “ป้าจารฮะแล้วตอนนี้คังอิลเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วฮะ”

    “เอ่อ เขาเพิ่งเรียนจบม.ปลายจ๊ะแต่ป้าไม่มีเงินส่งเขาเรียนต่อป้าเลยให้เขามาช่วยป้าทำงานที่นี่จ๊ะ”

    “งั้นหรอครับ...แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรอครับ”

    “ป้าบอกให้เขาไปจัดของบนห้องของคุณหนูมิ๊กซ์จ๊ะ”

    “เรียกมิ๊กซ์เฉยๆก็ได้ฮะ...งั้นเดี๋ยวผมขอขึ้นไปดูห้องก่อนนะครับ”

    “จ้า...”เขาหันหลังเดินไปยังทางขึ้นบันไดเมื่อเดินขึ้นไปจะมีห้องอยู่ตรงข้ามกันฝั่งละสองห้องและคงจะเป็นห้องที่กว้างขวางมาก หน้าประตูถูกเขียนป้ายหน้าห้องไว้เป็นชื่อเจ้าของห้องเขาเดินเข้าไปยังห้องที่มีชื่อของตัวเองและเดินไปหาผู้ชายที่ร่างเท่าๆกับเขา

    “คังอิล”

    “อะไรหรอครับคุณชาย” เมื่อเขาได้ยินเสียงเจ้านายของเขารีบวางของและยืนเคารพอย่างเรียบร้อย “ไม่ต้องเรียกฉันอย่างนั้นก็ได้ นายจัดข้าวของเสร็จเดี๋ยวนายมาหาฉันที่ห้องข้างๆนี้นะ”

    “ครับ”

    ห้านาทีต่อมาเขาก็จักข้าวของเสร็จและเดินไปยังห้องข้างๆ ตามที่นายของเขาสั่ง “คุณมิ๊กซ์มีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยหรอครับ” มิ๊กซ์ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็เดินวนไปรอบห้องและจ้องหน้าเขาอย่างน่าสนใจ

    “นายน่ะ อายุเท่าไหร่ ”

    “สิบเจ็ดปีครับ” เขาก้มหน้าตอบคำถามเขารู้สึกเหมือนเขาแปลกใจกับคำถาม เมื่อเขาเงยหน้าของก็เห็นว่าเจ้านายเขายิ้มระรื่นและทำท่าดีใจ “นายน่ะอยากเรียนต่อไหม”

    “เอ๋...ก็อยากอยู่นะครับ”

    “นายอยากเรียนต่อคณะอาไรล่ะ”

    “แพทย์ศาสตร์ครับ”

    “นายน่ะไม่ต้องทำงานที่นี่แล้วนะ”

    “อ่าว...ทำไมล่ะครับคุณมิ๊กซ์อย่าไล่ผมออกเลยนะครับ” เขาตกใจและขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “แล้วใครบอกว่าฉันจะไล่นายออกล่ะ ต่อไปนี้นายไม่ต้องทำงาน”

    “แล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะครับ”

    “นายต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน”

    “แต่ผมไม่มีเงิน”

    “ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายฉันจะจัดการเอง”

    “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ”

    “นายเป็นเพื่อนกับฉันได้ใช่ไหม”

    “ผมเป็นลูกจ้างคุณเป็นเจ้านายผมไม่คิดจะเทียบกับคุณหรอกครับ”

    “งั้นนายไม่ต้องทำงาน นายมาอยู่ช่วยก็พอ และนายต้องเรียกฉันว่ามิกซ์เฉยๆ และห้ามคุยกับฉันอย่างเป็นทางการเข้าใจไหมและไม่ต้องคิดวว่าฉันเป็นเจ้านายของนาย เพราะตอนนี้นายเป็นเพื่อนของฉัน” เขาพยักหน้าเบาๆ มิ๊กซ์เดินมากอดคอคังอิลและพาเดินออกมายังห้องนั่งเล่น “นายน่ะทำไมถึงชื่อคังอิลล่ะแม่ของนายเป็นคนไทยไม่ใช่หรอ” เขาคุยกันในขนาดที่เดินลงบันได “ชื่อฉันน่ะหรอ พ่อของฉันเป็นคนเกาหลีและฉันก็เกิดที่เกาหลีตั้งแต่ฉันเกิดมาพ่อของฉันก็ประสบอุบัติเหตุตอนที่กำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล”

    “แล้วพ่อนายได้ตั้งชื่อนายตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

    “พ่อของฉันน่ะพนันกับแม่ฉันไว้ว่าถ้าลูกเกิดมาเป็นผู้หญิงจะให้แม่ฉันตั้งชื่อเป็นภาษาไทยและพ่อฉันก็พนันว่าถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อว่า มิน คังอิล”

    “อืม...เราหยุดคุยเรื่องพวกนี้เถอะเนอะว่าแต่แถวๆนี้มีที่ไหนน่าเที่ยวไหม”

    “มีสิ เยอะด้วยถามทำไมหรอ”

    “เย็นนี้พาฉันกับน้องไปเที่ยวหน่อยสิ”

    “กี่โมงดีล่ะ”

    “อืม...ตอนนี้สามโมงครึ่งแล้ว งั้นพวกเราไปกันตอนสี่โมงครึ่งก็แล้วกันนายเตรียมตัวรอเลยนะ”

    “อื้มเข้าใจแล้ว”

    “เดี๋ยวฉันจะไปบอกดรีมก่อนแล้วพอถึงสี่โมงครึ่งนายมาเจอกันที่ห้องรับแขกนะ”

    “อื้ม”

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น