ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    : CURSE :นักสืบต้องคำสาป {WonKyu}

    ลำดับตอนที่ #2 : CURSE:: เปิดคดี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 572
      3
      23 ต.ค. 56





    c u r s e

     1

    จิตใต้สำนึกบอกให้ระแวง
    .
    .
    .

     






    เช้าวันพุธ หลายๆคนคงกำลังหลับสบายอยู่ในบ้านเพราะฝนที่ตกอยู่เรื่อยๆ 
    แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังถอนหายใจเพราะตัวเองก็มายืนหลบฝนกับตาผู้กองอยู่สองคน



    "ถอนหายใจถี่จังเลยนะครับ" ผู้กองชีวอนยืนมองคนที่สูงน้อยกว่าเขาเล็กน้อย



    ..ก็ผมเซ็งหน้าคุณน่ะสิ คยูฮยอนอยากจะตอบกลับไปเช่นนั้น แต่รู้ดีว่ามันไม่สมควรจะพูดแบบนั้นกับคุณตำรวจ



    แล้วตอนนี้เราก็กำลังมาเฝ้าดูคนร้ายอยู่ด้วย ไม่ใช่สถานการณ์ที่นักสืบอย่างเขาจำเป็นต้องทำเลยสักนิด เพียงแต่การที่เขามายุ่งในหลายๆคดีที่ทางตำรวจต้องจัดการกันอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับเขาขึ้นหลังเสือมาแล้วล่ะมั้ง



    "เราต้องเฝ้าคนร้ายนี่อีกนานแค่ไหนครับ"

    "ชู่ว ดูนั่นสิ มันปิดผ้าม่านแล้ว" นิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากหยักของตัวเองก่อนจะชี้ให้คยูฮยอนดู หน้าต่างบนอพาร์ทเม้นต์ที่น่าจะอยู่ราวๆชั้นห้า

    "เขารู้ตัวแล้วหรอครับว่ามีตำรวจมาสุ่มดูอยู่"



    "ไม่ได้การล่ะ" เขารีบควักวิทยุสื่อสารมาก่อนจะบอกให้เจ้าหน้าที่คนอื่นไปล้อมทุกด้าน ทั้งทางหน้าต่างหรือประตูหนีไฟ ก่อนจะคว้ามือของร่างบางแล้ววิ่งเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์






    ชีพจรของทั้งสองเต้นรัวอยู่หน้าห้องคนร้าย ก่อนที่มือเล็กจะค่อยๆบิดประตู
    ล็อค

    ...มันก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละนะ คยูฮยอนคิดก่อนที่จะเบี่ยงตัวเองหลบคนตัวใหญ่ที่กำลังกระแทกตัวเองเข้าประตูอย่างจัง



    เจ็บไหมหนะ..-0-


    ท่าทางเขาราวกับกำลังถ่ายทำหนังกันอยู่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เราเรียกแม่บ้านมาเปิดห้องนี้ก็ได้...
    แต่แรงมหาศาลของผู้กองก็สามารถทำให้ห้องนี้ถูกเปิดออก


    ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปให้ห้อง ก็มองไปรอบๆห้องที่ดูเหมือนคนร้ายจะไม่อยู่ที่ห้องซะแล้ว...


    "หน้าต่างถูกเปิดอยู่ หรือว่า.." ผู้กองพูดออกมา คงคิดว่าคนร้ายจะโดดหนีออกไปสินะ แต่ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอก


    "เป็นไปไม่ได้ครับ นี่มันชั้นห้า แล้วอีกอย่างตอนนี้ฝนก็กำลังตกอยู่ด้วย"






    ร่างบางกำลังทำหน้าใคร่ครวญก่อนจะมองไปยังห้องนึงที่ถูกปิดอยู่




    ทันทีที่ฉุกคิดได้เขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตูห้องนั้นออก แต่.....เพียงแค่คิดก็ช้าไปเสียแล้ว





    ขาทั้งสองที่ลอยเหนือพื้น ตากลมมองตามขึ้นไปพบชายฉกรรจ์ที่คาดว่าเสียชีวิตแล้ว...



    "ฆ่าตัวตายเพื่อหนีคดีหรอ.." ผู้กองมองเข้ามายังห้องนอนของผู้ร้ายที่เพิ่งตายไป

    "ครับ.."

    ร่างบางตอบเสียงเรียบ นั่นสร้างความแปลกใจให้ผู้กองไม่ใช่น้อย เพราะปกติเขามักจะมีข้อโต้แย้งมาเสมอ


    ร่างบางหันหน้ากลับมาเพราะทนมองสภาพศพนานๆไม่ได้ ก่อนจะสบตากับผู้กองที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจคนร้ายตรงหน้าเลย

    "มองอะไรครับ"

    พูดจาเหมือนหาเรื่องกันชัดๆ ผู้กองได้แต่เลิ่กลั่กขึ้นมา ก่อนจะหนีหน้ามองไปทางหน้าต่าง


    "งั้นก็แปลว่าหลังจากที่ปิดผ้าม่านของหน้าต่างฝั่งที่พวกเราสุ่มดูอยู่ แล้วเปิดหน้าต่างบานนี้ไว้ คนร้ายก็เข้าห้องของตัวเองเพื่อไปฆ่าตัวตาย โดยใช้เวลาช่วงที่พวกเรากำลังขึ้นมาหาเขาที่ห้อง และหลอกให้เราคิดว่าเขากระโดดหนีออกนอกหน้าต่างไปแล้ว อย่างนั้นใช่ไหม?"

    ผู้กองร่ายยาว แต่นั้นก็เป็นการคาดเดาที่เป็นจริง คยูฮยอนพยักหน้ารับก่อนที่ผู้กองจะดีดนิ้วภูมิใจในมันสมองของเขา


    "เออนี่ จบจากนี้คุณต้องไปไหนไหม?"

    "ไม่นี่ครับ"

    "งั้นเดี๋ยวคุยกับผมแปปนึงนะ"





    .


    .






    .



    ทั้งคู่นั่งกันอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผู้กองมีเรื่องอะไรจะคุยนะ

    แต่ก็ดีเหมือนกัน ฝนตก อากาศเย็นๆกับกาแฟร้อนๆ (เหมือนจะสนใจผิดประเด็น)


    "วันก่อนที่เราไปกินเนื้อย่างกัน จำได้ไหม ที่ฉันเลี้ยงน่ะ" 

    "จำได้แล้วครับ วันนั้นวันเกิดคุณใช่ไหม ที่จริงผมเพิ่งไปซื้อของขวัญเมื่อวานนี้เองครับ.." ร่างบางพูดก่อนจะหยิบของออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทที่วางอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ


    มือเล็กหยิบของขวัญออกมา เป็นกล่องสีดำๆ ฝากล่องมีรูปคล้ายมงกุฏยาวๆ มีตัวอักษรอยู่บนกล่อง 'ROLEX'
    คยูฮยอนยื่นของให้พร้อมหันหน้าไปมอง และพบว่าอีกคนกำลังทำหน้าดีใจแบบเว่อร์ๆ -0-

    "..." มือเล็กวางกล่องไว้ตรงหน้าคนที่ดูซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าจะซึ้งอะไรขนาดนั้น


    ผู้กองทำท่าจะเข้าไปกอดแต่โต๊ะที่กั้นเขาสองคนไว้ มันทำให้ชีวอนทำแบบนั้นไม่ได้

    นั่นก็ทำให้ร่างบางรู้สึกโล่งใจที่เป็นแบบนั้น เฮ้อ ผู้กองชอบทำตัวเว่อร์จริงๆ

    "ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ มีวันเกิดก็ต้องมีของขวัญวันเกิดสิครับ หรือว่าผู้กองไม่เคยได้หรอครับ"
    ปากร้ายนั่นพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะแทงใจดำใครทั้งนั้น



    ผู้กองที่ทำหน้าซาบซึ้งใจตอนแรกก็ชะงักกึกทันทีเมื่อได้ยินวาจาเสียดหูนั่น แต่ก็เป็นแค่ชั่วครู่ เขากลับมามองของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับจากเพื่อนร่วมงาน แน่นอนว่านาฬิกาเรือนนี้มันออกจะธรรมดาไปสักหน่อยสำหรับคุณหนูอย่างเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังปลื้มอกปลื้มใจ

    "ขอบใจนะ มันต้องแพงแน่ๆเลย เกรงใจจริง"
    หลังจากรู้สึกตัว ผู้กองก็เก็กขรึมขอบใจเด็กที่นั่งอยู่ตรงหน้า

    "แพงสิครับ ..แต่ระดับผู้กองที่บ้านคงจะให้ดีกว่านี้"
    ชีวอนหันไปมองอีกคนอย่างใสซื่อ นี่แหละๆๆ เรื่องที่เขาจะพูดกับคยูฮยอนในทีแรก


    "ไปบ้านฉันมาหรอ?? ตอนไหน"

    "...เมาจนจำอะไรไม่ได้เลยมันก็ไม่ไหวนะครับผู้กอง"

    "..."
    ร่างบางถอนหายใจออกมา นี่เขาผ่านหลักสูตรตำรวจมาได้ไงเนี่ย คนอะไรติ๊งต๊องชะมัด

    แม้ว่าคยูจะไม่เคยมองว่าตำรวจคือที่พึ่งของเขาเลยซักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้กองคนนี้




    แต่อะไรกันที่ทำให้เขาเกิดนึกว่าซื้อของขวัญให้ 



    สุดท้ายคยูก็หาคำตอบให้ตัวเองได้ ..ก็เขาเป็นเพื่อนร่วมงานน่ะสิ 


    มันจะไปมีเหตุผลที่มากกว่านั้นได้ยังไง




    "แล้วทำไมคุณป้าถึงบอกว่าวันนั้นมีผู้หญิงมาส่งได้นะ.."
    ผู้กองพึมพำออกมา จนร่างบางแทบสำลักกาแฟ



    เออว่ะ....พลาดซะแล้วหรอเรา



    "คุณป้าอาจจะตาฝาดก็ได้ครับ ตอนนั้นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว.."
    ใช่ เพราะฟ้ามันมืดนั่นแหละ

    เขาถึงได้เป็นแบบนั้น

    "นั่นสินะ เอ..แต่มองพลาดขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย" ยกมือมาจับคางยาวของตัวเองพร้อมยื่นหน้ามองอีกคนใกล้ๆเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง


    คยูฮยอนทำได้แค่ถอยหน้าให้ห่างเขาอีกนิดพร้อมฉาบสีหน้าที่เรียบนิ่ง ...ข่มใจไว้..









    ฝนเหมือนจะหยุดพอดี



    "เอาล่ะ ไปกันเถอะ"

    "ไปไหนครับ"

    "นั่นสินะ วันนี้ทางตำรวจคงไม่ได้รบกวนนายแล้วล่ะ นายจะไปไหนต่อไหม" ฟังยังไงมันก็เหมือนกับว่าเขาหมดธุระกับที่นี่และผู้กองก็คงไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ คยูฮยอนคิดแบบนั้น ที่จริงแล้วเขาอาจจะคิดมากไปเอง


    "ก็คงไปที่ทำงานผมล่ะมั้งครับ" ที่สำนักงานนักสืบคงจะกำลังรอคนไปช่วยงานอยู่แน่ๆ ช่วงเช้านี้ก็หมดไปเพราะตาผู้กองนี่แท้ๆ

    "งั้นเดี๋ยวฉันไปส่ง"






    ร่างบางออกมาจากรถออดี้คันสวย พร้อมโค้งให้บุรุษที่อาสามาส่ง ชีวอนยกมือโบกลาอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะขับออกไปช้าๆ นี่คงกะจะอวดรถให้คนแถวนี้เห็นสินะ...










    ร่างบางส่ายหน้าเอือมทั้งๆที่ใบหน้ายังผุดยิ้มขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักงาน





    "อ้าว คยูฮยอนมาพอดีเลย" พี่ที่เป็นนักสืบเหมือนกันวิ่งเข้าไปหาร่างบางทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา

    "คืนนี้พี่มีนัดล่ะ แต่เจ้านายใจร้ายไม่ยอมให้พี่ไปเลย"
    อีฮยอกแจฟ้องก่อนจะหันไปมองขวางใส่เจ้านายใจร้าย  ..พี่อีทึก

    "อะไร อย่ามาต่อว่ากันอย่างนี้นะ ถ้านายไปแล้วใครจะสืบติดตามคนรักของคุณนายกิมอะไรนั่นหละ"



    "เอ่อ ทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกันครับ"
    ร่างบางยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็เขาเพิ่งจะเข้ามา


    "คยูฮยอน คืนนี้นายไม่มีนัดอะไรที่ไหนใช่มั้ยยย ไปทำงานนี้แทนพี่หน่อยสินะๆๆๆๆ"


    พอจะเข้าใจหัวข้อสนทนาของทั้งคู่แล้ว ร่างบางถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพยักหน้ารับงานนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ(?)

    พอเขาได้ทำงานกับรัฐแล้ว เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานสืบของสำนักงานนักสืบของที่นี่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็งานสืบที่นี่ มักจะมีแต่แม่บ้านหรือคุณหญิงคุณนายจ้างมาสืบแต่เรื่องชู้สาว ทำไมไม่หัดปลงๆไปซะบ้างนะ..

    หลังจากรับงานมา ก็ได้ข้อมูลว่าคืนนี้สามีของคุณนายกิมจะได้คุยงานที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง..ยังดีที่งานนี้แค่ไปแอบถ่ายรูปมายืนยันให้คุณนายกิมเกิมไรนี่

    ภัตตาคารที่ว่าเป็นภัตตาคารญี่ปุ่นระดับห้าดาว มีแต่คนมีอันจะกินมาทั้งนั้น ..
    คยูฮยอนคิดพลางถอนหายใจออกมาอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ฝั่งซ้ายเป็นชุดผู้ชาย
    ส่วนฝั่งขวา...ชุดผู้หญิง ใช่ เพราะงานนี้ต้องไปตอนกลางคืน มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้

    ถ้าจะให้พูดความรู้สึกของเขาที่มีต่อคำสาปบ้าๆนี่ มันคงเป็นความชินชาล่ะมั้ง เมื่อครั้งที่เขาอายุได้ 18 ปี ตอนตามคุณพ่อไปสืบคดีหมอผีอะไรนั่น แล้วหลังจากนั้นเขาก็กลายมาเป็นแบบนี้ ที่น่าเคียดแค้นก็คือหลังจากเขาโดนสาปไอ้หมอผีนั่นก็ดันฆ่าตัวตายเพื่อหนีคดี... เขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติอีกแล้วสินะ

    พอจะมีชุดที่ดูมีอันจะกินบ้างไหมหว่า รู้สึกจะเคยซื้อมาเก็บไว้นี่นา..
    คยูฮยอนคิด ก่อนจะหยิบหาเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ฝั่งขวาของตู้ แล้วเขาก็พบกับเดรสสีแดงฉูดฉาด ..จะสะดุดตาเกินไปไหมนะ

    สุดท้ายคืนนี้เขาก็มาพร้อมกับเดรสสีแดงบวกกับเครื่องประทับเข้าชุดกัน แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นของมียี่ห้อ และเขาก็คงไม่ปฏิเสธหรอกว่าที่เขาได้ซื้อของแพงๆพวกนี้ก็มาจากการหากินกับสืบเรื่องชู้สาวแบบนี้



    ส้นสูงประมาณห้านิ้วก้าวลงมาจากแท็กซี่ ก่อนจะเดินเข้าไปยังภัตตาคาร ผมยาวถึงหลังตรงปลายม้วนเข้ามาเล็กน้อย ใบหน้าไร้การตบแต่งใดๆยกเว้นสีชมพูจากลิปปาล์มที่ประทับอยู่บนริมฝีปากอิ่ม

    เขาไม่มีปัญญาจะแต่งหน้าให้ได้อย่างผู้หญิงหรอก ของพวกนั้นเคยซื้อมาแต่ใช้ไม่เป็น

    อ๊ะ อย่ามองแบบนั้นนะ ที่เขาซื้อมาเพราะเวลาเป็นผู้หญิงแบบนี้ ไม่ใช่แค่ร่างกายนะ แต่เหมือนจะมีจิตใจบางอย่างที่สมองทำสั่งการไม่ได้เช่น การวิ่งเข้าร้านเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ โดยเฉพาะร้านที่ติดป้าย sale 50-70% -0- บอกตรงๆนะ ที่ผมไม่รวยซักทีก็เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของผู้หญิงคนนี้นี่แหละ ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ


    ร่างบางสะบัดหัวให้ความคิดบ้าๆออกไป นับวันเขายิ่งสามารถพูดกับตัวเองได้แล้ว ร่างบางประคองตัวบนส้นสูงเดินเข้าไปในภัตตาคารหลังจากที่เห็นเป้าหมายเดินเข้าไปก่อนแล้ว


    "ไม่ทราบว่าได้จองล่วงหน้ามาก่อนหรือปล่าวครับคุณผู้หญิง"
    ชายหูกระต่ายท่านหนึ่งกล่าว ไม่ว่าเขาจะเป็นบริกรหรือผู้จัดการของร้านยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเราก็ต้องยิ้มแย้มรับราวกับเป็นลูกค้าคนนึง

    "เปล่าค่ะ ^^' "

    ตอบเสร็จชายคนนั้นได้เดินนำไปพร้อมผายมือเป็นสัญญาณบอกให้ตามมา ทั้งสองเดินผ่านห้องของเหล่าลูกค้าที่มาทานอาหารที่นี่ แต่ละคนดูเหมือนนักธุรกิจที่มาคุยงานกัน
    เพราะมัวแต่คุยกับบริกรเข้าเลยคลาดกับชายคนนั้นไป


    .




    .

    .




    "ที่นี่มีห้องรับรองลูกค้าเยอะจังเลยนะคะ" คยูฮยอนชวนคุยก่อนจะมองแต่ละห้องที่เดินผ่าน

    "ครับ ฝั่งนี้มีประมาณสิบห้องได้"

    "แหม ดีจังเลยนะคะ"

    -0- โห่ว แล้วอย่างนี้คืนนี้จะถ่ายรูปมาได้ไหมเนี่ย

    เดินเข้าไปในห้องด้วยจริตกับส้นสูงที่ประคองเขาอยู่ ภายห้องที่ตกแต่งราวกับไปร้านอาหารที่ญี่ปุ่นจริงๆ ก่อนจะมีผู้หญิงใส่กิโมโนเข้ามารินชาให้

    "เดี๋ยวอีกสักครู่จะเข้ามารับเมนูนะครับ" บริกรเอ่ยก่อนจะเดินหายไปพร้อมผู้หญิงรินชาคนนั้น
    มีสิบห้อง เขาเดินผ่านมาสี่ห้องแล้ว ทุกห้องมีเลขห้องอยู่ข้างบนทางเข้า ห้องที่เขามาอยู่นี่คือห้องที่ห้า งั้นก็ไปก็ต้องลองเดินไปดูห้องที่หก

    ว่าแล้วสาว(?)เดรสแดงก็เดินผ่านห้องตนไปยังห้องที่หก ก่อนจะลอบมองเข้าไปข้างในผ่านประตูใส

    อืม... ก็ยังไม่เจอแหะ

    อ๊ะ!! อยู่ๆก็มีมือใหญ่คว้าข้อมือของสาวเดรสแดงที่กำลังยืนทำท่าทางลับๆล่อๆ

    "มีอะไรกับห้องนี้รึป่าวครับ จะให้ผมพาเข้าไปไหม" ชายตัวใหญ่ที่สูงราวๆ 180 เซนติเมตรมองมาที่คุณผู้หญิงชุดแดงด้วยหน้าตาที่ดูโหดสุดๆ ข้างในนี้เป็นพวกนักเลงหรือไงกันนะ? 

    "ไม่มีอะไรค่ะ ดิฉันแค่เดินมาหาของ"

    "หาของ?"

    "เอ่อ..ค่ะ ดูเหมือนจะทำตกไว้แถวๆนี้นะ" พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองก่อนจะชักมือออกจากชายคนนั้นแล้วทำท่าก้มหาของ....ลื่นไหลหน่อยๆ... คยูฮยอนได้แต่คิดเตือนตัวเอง ขืนทำอะไรแปลกๆอีกมีหวังโดนสงสัยแน่


    ความซุ่มซ่ามงุ่มง่ามที่ร่างบางแสดงออกมาเต็มที่ ทำให้ชายน่าระแวงคนนั้นส่ายหน้าและเดินเข้าไปในห้องที่หก...

    รอดแล้ว..




    "กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"
    จากนั้นเสียงกรี๊ดร้องของหญิงสาวดังออกมาจากห้องที่อยู่ด้านในสุด ....

    .



    .

    .



    เสียงหวอของรถตำรวจที่อยู่ด้านนอกภัตตาคารดังเข้ามาถึงข้างใน...
    ตอนนี้ภายในภัตตาคารมีแต่เจ้าหน้าที่กำลังเดินป้วนเปี้ยนอยู่ราวๆสี่ห้าคน

    "ขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งกลับไปไหนนะครับ ทางเราจะขอสอบปากคำเพื่อเอาไปใช้สืบคดี"

    ใช่แล้วล่ะ เพราะที่นี่เกิดคดีฆาตรกรรมขึ้นซะแล้ว และอีกราวๆสิบนาทีตาผู้กองต้องเดินเก็กเข้ามาที่นี่แน่นอน....

    หลังจากที่ได้ยินเสียงกรี๊ดของผู้หญิง คยูฮยอนก็วิ่งตามไปดูก่อนจะพบชายตัวเล็กสูงราว 160 เซนติเมตรนอนหงายอยู่บนโต๊ะอาหารมีมีดปลักกลางอกเลือดซึมออกมานิดหน่อย เหยื่อยังคงเบิกตากว้าง ตอนนั้นที่คยูฮยอนเข้ามาในห้องครั้งแรกก็ตกใจเหมือนกัน

    .....เพราะผู้ชายคนนั้นคือ สามีของคุณนายกิม


    เจ้าหน้าที่ถามพยานผู้พบศพคนแรกที่ตอนนี้ยืนอยู่ใกล้ๆกับคยูฮยอน ผู้หญิงที่พบศพแล้วกรี๊ดออกมาเธอคือสาวรินชาในชุดกิโมโนที่เขาเพิ่งได้พบเมื่อสักครู่นี้เอง

    "หนูแค่จะเข้ามารินชาค่ะ ภัตตาคารที่นี่เราสามารถเดินวนรอบทุกห้องได้
    พอหนูเสิร์ฟห้องแรกเสร็จ หนูก็เดินวนมาที่ห้องสุดท้ายแล้วก็พบคุณเขาค่ะ"


    เธอเอ่ยอย่างตื่นกลัว คงจะช็อคกับเหตุการณ์ไม่หาย

    "แล้วรอบแรกที่คุณมารินชา เหยื่ออยู่ในห้องแล้วถูกไหมครับ"


    "ไม่ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ห้องที่สิบไม่มีใครอยู่ค่ะ"


    คำให้การของเธอกำลังไหลเข้ามาอยู่ในหัวของคยูฮยอน ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ตามผู้ตายเข้ามาในภัตตาคารได้ไม่กี่นาที 

    เพราะแบบนั้นรอบแรกผู้หญิงคนนี้จึงยังไม่พบลูกค้าที่ห้องสิบในรอบแรก ถ้าอย่างนั้นตอนที่เขาถูกพาไปนั่งห้องที่ห้า ในขณะที่สาวรินช้าก็ทำหน้าที่ของเธอมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ห้องที่เก้า แปด เจ็ด หก จนมาถึงห้องของคยูฮยอน ตอนนั้นพยานก็น่าจะพบผู้ตายเดินผ่านเข้าไปยังห้องที่สิบแล้วน่ะสิ



    "งั้นคุณเห็นเหยื่อเดินผ่านเข้าไปที่ห้องที่สิบรึปล่าวคะ ตอนที่คุณกำลังทำหน้าที่อยู่" คยูฮยอนเอ่ยโพล่งออกมาอย่างลืมตน

    "เอ่อ ..คุณผู้หญิงครับ เรื่องนี้ให้ตำรวจอย่างเราจัดการดีกว่านะครับ" เจ้าหน้าที่คนเดิมบอกอย่างเหงื่อตก


    เออ จริงสินะ พอดีมันลืมตัว

    ว่าแล้วคยูฮยอนในคราบของสาวหน้าหวานก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหันมามองพยานราวกับยังต้องการคำตอบ พยานมองอย่างหวั่นๆก่อนจะหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่

    "ความจริงหนูเห็นผู้ตายเดินผ่านไปตอนที่หนูจะเดินไปรินชาห้องที่เจ็ดน่ะค่ะ ใช่ ต้องเป็นเขาแน่ๆ"

    ห้องที่เจ็ด ซึ่งตอนนั้นเราคงเดินเข้าห้องของเราแล้ว เลยมองไม่เห็น จากนั้นไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็มารินชาในห้องเรา

    "ตอนที่คุณไล่เข้าไปรินชาให้แต่ละห้องเสร็จรอบแรกมันประมาณกี่โมงครับ" เจ้าหน้าที่ยังถามต่อ

    "ค่ะ ตอนนั้นประมาณสองทุ่ม หนูพักสิบห้านาทีก่อนจะวนไปห้องที่สิบค่ะ"

    "จากนั้นก็เกิดเรื่องแล้วใช่ไหมครับ"

    "ค่ะ"



    "อ้าวผู้กองมาพอดี ตรงนี้ครับที่เกิดเหตุ" เจ้าหน้าที่ผายมือไปบนโต๊ะ ร่างบางกับพยานคนแรกเบี่ยงตัวให้พระเอก(?)ที่เดินเข้ามาพร้อมใส่ถุงมือให้ตัวเองทั้งสองข้าง


    "นี่น่ะหรอ เมื่อกี้ทีมชันสูตรบอกว่าเหยื่อน่าจะเสียชีวิตไปได้ซักชั่วโมงตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว"
    ผู้กองชีวอนพูดก่อนจะดูนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ







    ....นี่พอได้มาเขาก็ใส่มันเลยหรอเนี่ย ...ขี้เห่อ

    ตากลมมองนาฬิกาที่เขาเลือกเองกับมือ ตอนนี้มันไปอยู่กับคนขี้อวดซะแล้ว เหมือนเขาจะยื่นไปให้เจ้าหน้าที่คนอื่นดูด้วย ตลกชะมัด


    คยูฮยอนหลุดหัวเราะขึ้นมาในลำคอ..ก่อนที่ผู้กองจะหันมามองอย่างเอะใจ..



    "นี่คือพยานหรอ"

    "ใช่ครับ แต่คุณผู้หญิงอีกคนมาหลังพยานผู้พบศพคนแรกครับ"

    ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะเข้าใจว่าผู้กองถามถึงสาวกิโมโนที่ยืนอยู่ข้างๆ
    ความจริงคือผู้กองมองตรงมาที่คยูฮยอนเท่านั้น

    "แล้วพยานคนนี้สอบปากคำแล้วรึยัง" ผู้กองกลับไปถามพร้อมชี้ระบุว่าเขาหมายถึงคยูฮยอนไม่ใช่สาวรินชาที่อยู่ข้างๆ

    "เอ่อ ..ยังครับ"

    "งั้นกระผมขอเชิญคุณผู้หญิงไปสอบปากคำตรงนั้นซักครู่นะครับ" ผู้กองหันกลับมาก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพ ก่อนจะผายมือไปยังห้องรับรองห้องหนึ่ง

    "..ค่ะ" 

    .




    .



    "ฉันได้ยินเสียงกรี๊ดดังมากเลยวิ่งไปดูน่ะค่ะ"

    "หรอครับ ผิดวิสัยลูกค้าทั่วไปนะครับ ปกติจะต้องตกใจกลัวก่อนเป็นอันดับแรก" 

    "มันแปลกมากหรอคะ ที่ฉันไม่เหมือนกับลูกค้าพวกนั้น" ผู้กองยกมุมปากขึ้นก่อนจะสอบปากคำต่อ

    "แล้วตอนนั้นคุณอยู่กับใครครับ"

    "ตอนไหนคะ?"

    ".. ช่วงก่อนสองทุ่มไงครับ"

    "ถ้าจะให้เล่าอย่างละเอียด คือตอนนั้นดิฉันอยู่คนเดียวในห้องที่ห้า แล้วพอดีรู้สึกว่าทำของหล่นไว้เลยเดินออกมาหาๆดูแถวหน้าห้องที่หก จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามฉันว่าฉันทำอะไร แล้วเขาก็เข้าห้องไป"

    "สรุปว่าคุณผู้หญิงก็มีพยานยืนยันที่อยู่ในช่วงก่อนเกิดเหตุ" ผู้กองว่าไป เจ้าหน้าที่อีกคนก็พลางจดยุกยิกๆลงไปบนสมุดพกเล็กๆของเขา

    "ค่ะ"

    "ว่าแต่ของที่ทำหล่นมันคืออะไรหรอครับ"

    "แหวนค่ะ"

    ตายห่าล่ะ ตอบแบบไม่ได้คิดเลย จะทำไงดี เขาไม่ได้ทำของตกหล่นซะหน่อยที่เดินออกจากห้องรับรองก็เพราะมาตามหาผู้ตายนี่แหละ เวรกรรมๆๆๆ

    "แหวนที่อยู่ติดกับนิ้วมันไม่น่าจะหลุดออกมาง่ายๆนะครับ"
     ผู้กองที่เอานิ้วลูบริมฝีปากหยักตัวเองไปมาแล้วยื่นหน้าไปมองหญิงสาวใกล้ๆ จะจับผิดเขาหรอไง!









    ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางค์แบบนี้ ..เขาไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่เลย แต่ว่า...คุ้นจริงๆดวงตาแบบนี้

    ตากลมก้มมองพื้น เอาไงดีวะ จะแก้ตัวยังไงดี นี่ผู้กองกล้าสงสัยผมได้ไงเนี่ย ._.


    "ปกติมันหลวมน่ะค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ใส่เท่าไหร่"

    ดูเหมือนชีวอนจะเชื่อในคำตอบนั่น เขาถอยหน้าออกมา

    "อย่างแรกคือคนร้ายต้องเป็นคนที่อยู่ภายในภัตตาคารนี่" 

    ...เออ ก็แน่อยู่แล้วล่ะ

    "คงจะใช้จังหวะช่วงที่สาวรินชาพักสิบห้านาที เพราะถ้าใช้ช่วงก่อนหน้านั้นพยานจะต้องเห็นคนเดินผ่านเข้าไปข้างใน.."

    "แต่ถ้าคนร้ายอยู่ห้องหลังจากที่สาวกิโมโนคนนั้นเดินออกไปแล้วก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นได้เหมือนกันนะคะ ตอนที่เหยื่อมา ก็ผ่านสาวกิโมโนที่กำลังเข้าไปรินชาห้องที่เจ็ด ไม่แน่ว่าพอเหยื่อถึงห้องของตนซึ่งเป็นห้องที่สิบ ผู้ร้ายที่อาจจะอยู่ห้องที่เก้า แปด ก็มีโอกาสเข้าไปสังหารเหยื่อได้"


    สาวเดรสแดงสีนั่งอยู่ตรงหน้าผู้กองเอ่ยราวกับนักสืบมืออาชีพ เจ้าหน้าที่อีกคน รวมทั้งผู้กองได้แต่ตะลึงงัน ในเวลานี้ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขานึกถึง..

    ..โจว คยูฮยอน..


    "คุณ..เป็นใครครับเนี่ย"

    "มันไม่สำคัญหรอกค่ะ แต่ผู้กองคะ...คุณไม่สงสัยบ้างหรอคะ ถ้าคนร้ายเดินเข้าไปแทงเหยื่อแบบนั้น ทำไมเราทุกคนที่นี่ถึงไม่ได้ยินเสียงผู้ตายร้องตะโกนออกมาเลยล่ะคะ ลักษณะการตายก็คือนอนหงายอยู่ มีดที่แทงก็แทงมาจากด้านหน้า แสดงว่าผู้ร้ายบุกเข้ามาทางด้านหน้าไม่ใช่หรอคะ ผู้ตายเองก็ต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายก่อนสิคะ ทำไมเขาถึงไม่ตะโกนอะไรออกมาเลย เราได้ยินก็แต่เสียงของผู้หญิงที่กรีดร้องหลังจากพบศพของเหยื่อแล้วเท่านั้น"



    ผู้กองขมวดคิ้วเข้าหากันพลางใช้สมองที่มีคิดตาม

    "ผมก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้วล่ะ"


    ..ชิ





    ผู้กองก็เพิ่งมาเอะใจเมื่อกี้นั่นแหละ!


    "แปลว่าผู้ร้ายจงใจให้เราเข้าใจว่าผู้ร้ายโจมตีจากด้านหน้าสินะ.." ผู้กองเอ่ยด้วยสีหน้าเข้มเคร่ง ก่อนที่ทีมชันสูตรจะเดินเข้ามากระซิบบางอย่างกับผู้กอง นายตำรวจทำหน้าตาโตเล็กน้อยก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ

    "อย่างนี้นี่เอง คนร้ายไม่ได้เข้ามาแทงเหยื่อตั้งแต่แรก แต่ว่าดักสุ่มอยู่ในห้อง พอเหยื่อเข้ามาเขาก็ใช้ไม้ที่เตรียมไว้ทุบตัวไปที่ท้ายทอยของเหยื่อก่อนจะใช้มีดแทงลงไปเพื่อจัดฉาก"

    หญิงในชุดเดรสยิ้มขึ้นอย่างสดใส ผู้กองนี่ดูเหมือนจะไขคดีได้แล้ว

    "ผู้ร้ายเตรียมการมาอย่างดีแล้ว จึงไม่พบรอยนิ้วมือบนด้ามมีดนั่น" ผู้กองว่าต่อ ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงคนเดิมที่นั่งยิ้ม...ยิ้มอะไรนะ ยิ้มให้เขาหรือเปล่า .




    คิดได้ไง แหวะ

    คยูฮยอนหุบยิ้มทันทีที่เห็นสายตาเจ้าเล่ห์นั่นยิ้มกลับให้เขาก่อนจะพูดขัดขึ้นมาบ้าง

    "ถ้าอย่างนั้นคนร้ายก็ต้องเอาไม้ที่ใช้ฝาดเหยื่อไปซ่อนน่ะสิคะ เพราะถ้าจะเอาออกไปทิ้ง คงต้องผิดสังเกตแน่ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที คนร้ายคงต้องเอาไปซ่อนไว้ก่อน ว่าแต่ไม้นั้นเป็นแบบไหน มันจะซ่อนได้ยังกัน"

    คยูฮยอนพูดก่อนจะยกนิ้วแตะริมฝีปากล่างเบาๆเหมือนจะเลียนแบบท่าทางของผู้กองคนเก่ง
    ผู้กองฟังแล้วก็ลุกไปดูที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนจะเดินดูห้องรับรองทุกห้อง และแล้วก็สังเกตได้ถึงบางอย่างก่อนจะหันไปถามผู้จัดการร้าน

    "นี่ทุกห้องจะต้องมีถาดไม้แบบนี้หมดเลยใช่ไหมครับ"

    "ครับ เป็นถาดไว้วางบิลให้ลูกค้าน่ะครับ" ทันทีที่ได้ยิน ผู้กองก็เดินไปยังห้องรับรองที่สิบอีกครั้ง ...เป็นดังที่สันนิษฐานไว้

    "ถาดวางบิลทุกห้องจะอยู่หน้าประตู แต่ห้องนี้กลับวางอยู่บนโต๊ะ แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าคนร้ายฟาดเหยื่อแล้วเอาอาวุธที่ใช้ไปซ่อนได้ยังไง"

    "คนร้ายใช้ถาดวางบิลที่มีอยู่ทุกห้องใช่ไหมคะ อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหยิบจากห้องของตัวเองแต่ไปที่ห้องเหยื่อเลย"
    คยูฮยอนเสริมก่อนจะมองหน้าคนร้าย ...ถูกต้อง เขารู้แต่แรกแล้วล่ะว่าใครคือคนร้าย
    ผู้ชายตัวใหญ่สูงราว 180 cm. มีแต่คุณเท่านั้นแหละที่เดินเพ่นพ่านราวๆสองทุ่ม

    .





    .

    .





    .


    สุดท้ายผู้กองก็ปิดคดีได้ (เพราะการช่วยเหลือของสาวชุดแดง)
    ชายร่างใหญ่ถูกพาขึ้นไปยังรถตำรวจ และคยูฮยอนเองก็อยู่ที่นี่จนงานจบจนได้

    "คุณผู้หญิงตอนนี้ก็ กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือ"

    ผู้กองเดินไปพร้อมกับคยูฮยอนในเดรสแดง
    ร่างที่พยุงไว้ด้วยส้นสูงห้านิ้วกำลังเดินออกไปอย่างเก้ๆกังๆ ออกมาจากภัตตาคาร ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มตามประสาให้ดูเป็นคุณหนูที่ดีมีการอบรม

    "ค่ะ"

    "แล้วดึกๆแบบนี้จะกลับยังไงครับ"

    "แท็กซี่ค่ะ"

    "อันตรายออกครับ ให้ผมไปส่งดีกว่า"



    ...เหอะๆ ผู้กองนั่นแหละที่ดูอันตรายกว่าแท็กซี่




    "ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ.."

    "งั้นผมเรียกให้แท็กซี่ให้นะครับ" ผู้กองว่าพลางวิ่งไปโบกแท็กซี่

    หญิงสาวในเดรสแดงเดินไปด้วยความเหนื่อยล้า
    ก่อนจะเข้าไปหย่อนตัวในแท็กซี่ ผู้กองก็ควักอะไรจากเสื้อตัวนอกออกมา

    "ถ้าคุณผู้หญิงมีปัญหาอะไรให้ตำรวจอย่างผมช่วยก็โทรมาได้ตลอดเวลาเลยนะครับ"

    ...ขี้หลี..

    "ค่ะ ผู้กอง.."

    "ชเว ชีวอนครับ ขอทราบชื่อคุณผู้หญิงด้วยได้ไหมครับ"

    "..คโยฮยอนค่ะ" ชื่อฉุกเฉิกที่เพิ่งคิดได้ตอนนั้น ฟังดูแปลกๆแต่มันก็เหมือนชื่อผู้หญิงดี



    ผู้กองโค้งให้อีกครั้งก่อนจะปิดประตูแท็กซี่ให้อีกคนที่นั่งอยู่ในรถแล้ว จะว่าไปเขานี่ปฏิบัติกับผู้หญิงดีจังเลยนะ


    ...แต่ก็อย่างว่าล่ะน้า คนขี้เก็ก ขี้หลี ขี้โม้ ชอบทำตัวโอเวอร์ ก็ประมาณนี้แหละ คิดไปเพลินๆก่อนที่ดวงตาจะเริ่มล้าแล้วเผลอหลับไป
    .



    .

    .



    คยูฮยอน วัย 24 ปี นักสืบเอกชน ผู้ต้องคำสาป..เขาต้องกลายเป็นผู้หญิงหลังฟ้ามืด
    เขากำลังรอ...ใครสักคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล......









    .




    ป.ล.เผื่อใครนึกภาพแต่ละห้องในภัตตาคารไม่ออก

    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×