เครื่องพิมพ์ดีดของแม่
เรื่องราวความประทับใจของเด็กชายคนหนึ่งที่มีต่อครูสอนศิลปะ เด็กชายมีความรู้สึกผูกพันกับแม่มาก โดยมีเครื่องพิมพ์ดีดเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้เข้าชมรวม
542
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“เห็นหน้าเธอแล้ว...เห็นอดีตของตัวเอง”
ประโยคนั้นเป็นคำพูดของครูสอนวิชาศิลปะประจำชั้น ป.๓ ห้องเรียนของผม “ครูธงชาติ” คือคำแทน ที่ผมและเพื่อนใช้เรียกท่านอยู่เป็นประจำ
ผมไม่แน่ใจว่าประโยคสั้น ๆ ที่ครูธงชาติพูดกับผมนั้นมีความหมายสำคัญกับตัวท่านหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าครูพูดกับผมทำไม แต่สำหรับผมแล้วประโยคนั้นมันก้องอยู่ในสมองของผมตลอด ยิ่งเฉพาะเวลาที่ผมนึกถึงใบหน้าของครู
นี่ละมั้งที่พวกผู้ใหญ่เขาเรียกกันว่า “ประโยคทอง”
แต่น่าแปลก เวลาที่ผมเอ่ยประโยคที่ครูธงชาติเคยบอกกับผมให้เพื่อนๆฟังทีไร ไม่เห็นมีใครใส่ใจฟังเลย มันคงมีค่ากับผมเพียงคนเดียว หรือว่าผมอ่อนไหวเกินไป...เป็นเพราะอะไรกันนะ ?
ผมชื่อ เด็กชายดวงดี วิทยศิลปกรรมบัณฑิต ผมไม่เคยมีชื่อเล่น แต่เพื่อน ๆ ที่มีอยู่น้อยนิดมักเรียกผมว่า “ดวง” เป็นชื่อที่ผมไม่ชอบเลย ฟังดูคล้ายอะไรที่เป็นจุดเป็นดวงน่ารังเกียจ
ผมไม่เคยภูมิใจกับชื่อของผม
ผมเคยถามแม่ว่าทำไมผมถึงได้ชื่อ ดวงดี แม่บอกว่าตลอดเวลาที่ท่านอุ้มท้องผมนั้นท่านโชคดีเสมอมา จนกระทั่งใกล้ถึงกำหนดคลอด พ่อก็ได้พาแม่ไปไหว้พระที่วัดประจำจังหวัด ทั้งสองท่านได้เล่าถึงโชคลาภที่มาเยือนตลอดในช่วงที่ผมงอตัวอยู่ในท้องแม่ และพระภิกษุรูปนั้นก็ได้ตั้งชื่อให้ลูกชายของสองสามีภรรยาว่า “ดวงดี”
ดูเหมือนหลังจากที่ผมลืมตาออกมาดูโลกทุกอย่างที่เคยประสบแต่กรรมดีก็กลับกลายไปในทิศทางตรงกันข้าม
พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่ผมยังไม่เข้าโรงเรียน ส่งผลให้แม่ที่เคยมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอกลับมีบุคลิกที่เงียบขรึมตลอดเวลา
แม่เล่าให้ฟังว่าก่อนพ่อจากไป มีคนแปลกหน้าเข้ามาขนข้าวของออกไปจากบ้านมากมายหลายรายการ เช่น ไม้แขนเสื้อ กระติกต้มน้ำร้อน ทีวี ตู้เย็น เตารีด เครื่องซักผ้า พัดลม รวมไปถึงของที่มีขนาดใหญ่ รถหกล้อ รถมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงบ้านของเรา
มารู้ความจริงภายหลังจากปากของผู้คนที่มาขนข้าวของออกไปว่า “ของทั้งหมดทุกรายการที่เราจะมาขนนั้น สามีของคุณขายให้เราหมดแล้ว และที่สำคัญ...เราได้จ่ายเงินทั้งหมดให้กับสามีคุณครบหมดทุกบาททุกสตางค์แล้วด้วย”
จุดสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนบ้านร่วมจังหวัดที่เข้ามาขนเครื่องอุปโภคออกไปก็คือ พ่อของผมไม่เคยบอกพวกเขาเลยว่าในอาณาบริเวณบ้านนอกจากจะมีของที่พ่อได้ขายทิ้งออกไปแล้ว ยังมีผมกับแม่อีกสองชีวิตที่ยังอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาหลังนั้น
ของหลายอย่างเป็นของแม่ แต่พ่อก็บอกขาย แล้วพ่อก็หายไปโดยไม่หวนกลับมาอีกเลย
จากนั้นไม่นานด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบ แม่พาผมไปเปลี่ยนชื่อที่อำเภอให้เหลือ “ดวง” เพียงคำเดียว ผู้ใหญ่หลายคนสงสัยว่าผมเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร อายุยังไม่ถึงคราวพกบัตรประชาชนด้วยซ้ำ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาสงสัยจริงหรือเพียงถามคั่นเวลาเล่น ๆ ผมจึงตอบสั้น ๆเท่าที่รู้เพียงว่า “แม่ของผมจัดการเปลี่ยนให้ และแม่ของผมท่านทำงานบนอำเภอครับ”
แม่พาผมตระเวนหาบ้านเช่าเพื่อเอาไว้ซุกหัวนอนแทนบ้านหลังเก่าที่พ่อแอบขายไปเพื่อนำเงินไปใช้เพียงลำพัง
ในที่สุดก็เจอหลังที่ถูกใจ
มันเป็นบ้านไม้เก่าสีซีดทั้งหลัง มีชั้นเดียว ด้านล่างใต้ถุนยกขึ้นสูงจากพื้นดินเล็กน้อย สภาพโทรมพอดู แต่คิดว่าราคาคงไม่หนักมากสำหรับค่าเช่าในแต่ละเดือน หากเทียบกับเงินเดือนข้าราชการผู้น้อยยุคป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี
โชคยังดีที่แม่ของผมเป็นข้าราชการ ถึงแม้เงินที่ได้รับในแต่ละเดือนจะไม่พอยาไส้ แต่ก็ถือว่ามีงานประจำที่มั่นคง
บ้านเช่าที่ผมกับแม่อาศัยอยู่เพียงสองชีวิต ถูกรายล้อมไปด้วยป่าย่อมๆรอบบ้าน บ้านของเพื่อนบ้านคนอื่นๆตั้งฐานห่างออกไปในรัศมีเกือบร้อยเมตร ดั้งนั้น ๆ รอบบ้านของผมจึงมีแต่ต้นไม้ ความเงียบ และยุงลายตัวใหญ่เท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อน
กลางคืนหนาวจับขั้วหัวใจ แต่กลางวันก็สามารถสัมผัสอากาศร้อนจากดินแดนป่าใต้ได้ไม่ยาก
พ่อและแม่ของผมต่างก็เป็นคนปักษ์ใต้ ทั้งสองท่านต่างก็ขึ้นมาดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตที่แสนสาหัสที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งแม่สอบบรรจุได้ และทำเรื่องขอย้ายลงไปประจำอยู่ที่เมืองใต้ดินแดนบ้านเกิด จากนั้นก็ให้กำเนิดผม โดยทิ้งพี่สาวคนกลางกับพี่ชายคนโตไว้กับตายายที่เมืองหลวง
คุณตาของผมเป็นคนจีนแท้ดั้งเดิมที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ผมไม่แน่ใจว่าท่านเป็นจีนอะไร มาจากเมืองไหน ผมไม่เคยคุยกับท่านในเรื่องนี้ เพราะท่านไม่ค่อยชอบผมนัก แต่ผมก็ได้ซึมซับรับรู้เรื่องราวของท่านมาจากแม่ของผมอีกที
ท่านไม่ชอบผมเพราะไม่ชอบแม่ของผม ท่านขัดแย้งกับแม่เพราะแม่เลือกที่จะอยู่กับพ่อ ท่านเคยตั้งมาตรการด้วยความเด็ดขาดว่า “ถ้าลื้อยังขืนคบกับมัน ลื้อไม่ต้องเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้” และนี่ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่แม่ของผมต้องทำเรื่องขอย้ายลงไปอยู่ที่เมืองปักษ์ใต้
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณตาถึงรังเกียจพ่อ แต่ที่ไม่เข้าใจหนักกว่านั้นก็คือทำไมคุณตาต้องทนรอให้มีลูกตั้งสองคน แล้วเพิ่งเริ่มยื่นคำขาดกับแม่
ผมกับพี่ชายไม่สนิทกันสักเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะอายุทิ้งกันเยอะเกินไป แต่กับพี่สาวที่อายุห่างกันแค่สองปีกลับเข้ากันได้ดีราวกับปี่และขลุ่ย
เราเล่นตุ๊กตากระดาษด้วยกัน เราเล่นตุ๊กตุ่นด้วยกัน เราเล่นลูกแก้วด้วยกัน เราเล่นสร้างบ้านใต้บันได ด้วยกัน เราเล่นกระโดดยางด้วยกัน เราเล่นเป่ากบด้วยกัน เราเล่นทอยเหรียญด้วยกัน เราปีนต้นไม้ด้วยกัน เราวิ่งไล่จับกันและที่สำคัญเราต่าง “ชอบวาดรูป”เหมือนกัน
ผมวิเคราะห์ดูแล้ว นิสัยการชอบวาดรูปของผมนั้นไม่มีเชื้อสายต่อยอดมาจากใครเลยตามหลักฐานของบรรพบุรุษ แต่หากพิจารณาให้กว้างกว่านั้นจะเห็นว่าผมมีพื้นฐานทางด้านงานศิลปะที่ต้องใช้ฝีมือเป็นหลักมาจากคุณตาของผม
คุณตาของผมรักงานฝีมือ แต่ไม่อยากให้ลูกหลานยึดงานฝีมือเป็นอาชีพ “มันเหนื่อย เก่งแค่ไหนก็ต้องลงมือทำเอง” ท่านว่าอย่างนั้น
คุณตาของผมมีอาชีพทำต่างหูขายส่งในจำนวนมาก คุ้นตาว่าก่อนที่จะย้ายตามแม่ลงมาอยู่ที่ปักษ์ใต้ ผมเห็นภาพสมาชิกในบ้านทุกคนต่างขะมักเขม้นช่วยกันผลิตต่างหูทั้งสีเงินและสีทองให้ทันตามความต้องการของลูกค้า
คุณตาเป่าทองด้วยเปลวไฟยาวสีส้มอมฟ้าที่ออกมาจากปลายท่อเหล็กยาว บนโต๊ะของท่านที่เต็มไปด้วยก้อนเหล็กสีดำ ลวดเก่า ๆ คีมหลากหลายขนาด และเครื่องมือที่ผมไม่รู้จักอีกนานาชนิด ในขณะที่ด้านใต้โต๊ะท่านก็เหยียบปั๊มลมหรืออะไรสักอย่างไปมาเพื่อให้เกิดเปลวไฟที่ใช้เป่าทองให้เกิดรูปทรง
เจ๊ปุ๋ย คือชื่อของน้องสาวของแม่ผม ผมไม่เรียกท่านว่าน้าด้วยสาเหตุใดผมเองก็จำความไม่ได้ จำได้เพียงว่าพอรู้ตัวเป็นคนขึ้นมาผมก็เรียกท่านด้วยสรรพนามอย่างนี้แล้ว
เจ๊ปุ๋ย มีหน้าที่รับทองที่ร้อนระอุต่อมาจากบนโต๊ะไม้ของคุณตาด้วยคีมตัวใหญ่ จากนั้นก็นำมาดัดหรือบีบให้เป็นรูปทรงตามต้องการ ด้วยเหล็กทุ่นแรงสี่เหลี่ยมก้อนเท่ากำปั้นที่ผนึกติดกับแท่นไม้เขื่องสูงแค่เอว ขนาดหนึ่งคนโอบ
พี่หนุ่ม พี่ชายคนโตของผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ช่วยดำเนินกิจการครอบครัวด้วยเช่นกัน แต่มีหน้าที่ช่วยอะไรนั้น ผมจนปัญญาที่จะนึกให้ออกจริง ๆ เวลามันนานมากแล้ว
ผม พี่สาวและญาติ ๆ ที่มีอายุในวัยไล่เลี่ยกันต่างก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แค่ทำตัวให้สงบ เล่นกันแบบเงียบ ๆ ไม่รบกวนบุพการี นั่นก็น่าจะเป็นการช่วยพวกผู้ใหญ่ที่ดีที่สุดในโลกแล้ว
ยังมีญาติอีกหลายคนที่พำนักอยู่ใกล้ ๆ ต่างก็มาช่วยกันทำธุรกิจครอบครัวนี้ ทุกคนล้วนมีความสุข แต่บรรยากาศเช่นนั้นคงไม่มีอีกแล้ว มันเป็นเพียงความทรงจำ
เท่าที่ผมจำได้ก่อนพ่อไปแม่เป็นคนร่าเริง รักบ้าน รักพ่อและรักลูก
ในตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร แต่ผมก็รู้สึกได้
การจากไปของพ่อทำให้แม่ไม่ค่อยรักบ้านมากนัก ผมใช้มาตรส่วนตัววัดจากการที่แม่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเลย
นอกจากไม่รักบ้านแล้ว แม่คงหมดรักผมไปด้วยอีกคนล่ะมั้ง...นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด และสงสัยเสมอมา
ตลอดช่วงชีวิตหลังจากที่พ่อเดินจากไป แม่เริ่มออกจากบ้านไปทำงานเร็วขึ้น และกลับบ้านช้าลง ทั้งที่งานราชการเท่าที่ผมเคยรู้นั้น ทุกคนมุ่งมั่นที่จะไปให้สายที่สุดและพยายามเลิกตัวเองให้เร็วที่สุด นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นและผมก็ไม่ได้คิดไปเอง
แม่อาจจะไปเที่ยวเพื่อย้อมใจ บรรเทาอาการปวดร้าวอันเกิดจากการถูกสลัดรัก
ความรักของหนุ่มสาว ที่ถูกตีจากอาจไม่เจ็บปวดเท่าความรักของวัยกลางคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิตคู่
เพราะอะไรน่ะหรือ ? ก็เพราะคนหนุ่มสาวที่หมดรักกันแล้ว สามารถตีตัวออกห่างจากกันและกันได้โดยไม่ยาก เพราะไม่มีพันธะใดมาผูกมัดสัญญา และคงใช้เวลาไม่นานสำหรับการตัดเยื่อใย เพราะไม่มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมใด ๆ อันเป็นตัวแทนของความรักมาคอยกระตุ้น ขุดความรู้สึกให้น้ำตาไหล
แต่สำหรับคนที่มีวัยไกลกว่าคนหนุ่มสาวนั้นไม่ใช่ เพราะวัยนี้จัดเป็นวัยทำงาน วัยสร้างตัว สร้างครอบครัว ทุกคนต่างจริงจังกับชีวิต คงไม่มีใครมีเวลาว่างมากพอที่จะลองผิดลองถูกกับความรักอีกแล้ว หากตกลงปลงใจเลือกใครสักคน เขาผู้นั้นก็คาดหวังที่จะจริงจังกับคู่ครองของตนเอง ดังที่เคยได้ยินการเปรียบเทียบกันอยู่เนือง ๆ “รถไฟขบวนสุดท้าย”
และคงไม่มีใครอยากตกพุ่มม่าย
สำหรับแม่ของผมนั้น นอกจากจะมีความว้าเหว่เป็นเพื่อนกายแล้ว ท่านยังมีความเจ็บปวดเป็นเพื่อนใจโดยไม่ต้องการอีกด้วย ความเจ็บปวดนี้ต่อให้ตั้งใจลบลืมสุดชีวิตโดยใช้เวลาตลอดชีพ คิดว่าก็คงจะไม่มีวันเลือนจากหายไป นั่นเป็นเพราะการเจ็บปวดและไม่สมหวังของท่านมันปรากฏออกมาเป็นรูปธรรม
ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่หลายคนพูดจาเล่าสู่กันฟังให้ผมได้ยินเสมอว่า “ความรักเป็นเพียงแค่อากาศ” แต่สำหรับแม่ของผมแล้ว...มันไม่ใช่
หากใครไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับแม่ของผมคงไม่มีใครเชื่อว่า ความรักนั้นมีตัวตน มีชีวิต มีลมหายใจ สัมผัสได้
ความเจ็บช้ำหัวใจจากการผิดหวังในความรักจากพ่อของผมนั้นทิ้งหลักฐานไว้ให้แม่ของผมต้องเสียน้ำตาทุกครั้งที่แม่กวาดสายตาไปมอง “มัน” นี่คือเหตุผลใหญ่ ๆ เหตุผลหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดความรักที่ผิดหวังของคนวัยสามสิบปลาย ๆ จึงมีความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่กว่ารักที่ไม่สมหวังของเด็กรุ่นวัยไม่เกินเบญจเพส
“มัน” คือสัญลักษณ์การมาเยือนแล้วจากไปของพ่อผม
“มัน” คือสัญญาใจในความรักที่ผิดหวังระหว่างพ่อและแม่ของผม
“มัน” ทำให้ผมนึกถึงพ่อ และคิดได้อย่างไม่อายบาปว่าเกลียดพ่อ
“มัน” ทำให้แม่ของผมไม่สามารถมีความสุขจากการหาคู่ร่วมชีวิตคนใหม่ได้
“มัน” เปรียบเสมือนชนักที่ติดหลังของแม่ผมไปจนตราบสิ้นลมหายใจ
“มัน” คือ ตัวซวย...ผมคิดเช่นนั้น
“มัน” คือ ตัวผมเอง
ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้จากการสูญเสียสามี ท่านอาจจะร้อง แต่ผมไม่เคยเห็น
ผมไม่เคยเห็นแม่คุกเข่าลงอ้อนวอนกอดขาพ่อ เพื่อแสดงความต้องการให้ตัวพ่ออยู่ต่อ รวมถึงต้องการให้สามีเห็นใจในการไม่พร้อมที่จะต้องอยู่เพียงลำพังสองชีวิตแม่ลูก
ผมไม่เคยได้ยินแม่สบถถึงพ่อหลังท่านเดินจากไป
ผมไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงพ่ออีกเลยหลังจากวันที่พ่อเดินหนีออกไปจากบ้านเรา เว้นแต่ผมจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดถึงก่อน
ผมไม่เข้าใจ ทำไมพ่อต้องทำอย่างนี้กับเรา ถ้าผมมีลูก ผมคงไม่ทำอย่างที่ท่านทำ แต่ผมพอเข้าใจจากคำพูดที่ครูธงชาติ ครูสอนศิลปะคนแรกในชีวิตของผมเคยพร่ำบอกให้ฟังว่า “ผู้ใหญ่ย่อมมีเหตุผลที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับตัวเอง ผู้ใหญ่ไตร่ตรองดีแล้วจึงทำเช่นนั้น ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนหรอกที่ไม่มีเหตุผล ไม่คิดหน้าคิดหลังหรือทำตามอารมณ์ที่ไร้เหตุผลของตัวเองเป็นใหญ่”
ผมคิดว่าพ่อก็น่าจะมีเหตุผลที่ดี ที่ท่านพิจารณาบนพื้นฐานของเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว ท่านจึงตัดสินใจตีจากและทำให้แม่ต้องสู้ชีวิตลำพัง
เสียงคำสอนของครูธงชาติก้องอยู่ในหูของผมตลอดเวลาที่มืดแปดด้าน และคิดอะไรไม่ออก
จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับครูธงชาติเลยสักนิด แต่ทำไมผมต้องคิดถึงท่านด้วยนะ ?
ครูธงชาติเป็นครูรูปร่างสูงใหญ่ ออกท้วมนิด ๆ คะเนอายุน่าจะอยู่ราว ๆ ยี่สิบกลาง ๆ เป็นครูผู้สอนวิชาศิลปะการวาดรูป ท่านเพิ่งย้ายมาจากบริษัทเอกชนที่ไหนสักแห่งในต่างจังหวัด และมาประจำอยู่ที่โรงเรียนประถมในภาคใต้ที่ผมศึกษาอยู่
ครั้งแรกที่เจอท่านผมกลัวมาก เพราะบุคลิกที่ดูห่าม ๆ พูดจาเสียงดัง บวกกับหนวดเคราที่ประดับอยู่บนหน้าตา และคำพูดสำเนียงต่างจังหวัดไม่คุ้นหู
ด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่ดูไม่เป็นมิตร ขัดกับรอยยิ้มอันอบอุ่นของท่านมาก เด็กนักเรียนที่มีอายุไล่เลี่ยกับผมหลายคนร้องไห้จ้าทันทีที่เห็นใบหน้าท่าน หลายคนร้องหนักกว่าเดิมทันทีที่เห็นท่านยิ้ม
แต่ผมไม่เป็นเช่นนั้น
หลังจากครูธงชาติย้ายมาประจำที่โรงเรียนของผมได้ราวเดือนเศษ ผมก็คุ้นเคยกับท่านอย่างรวดเร็วเพราะท่านเป็นครูสอนวิชาวาดรูป และผมก็ชอบวาดรูป
ทุกครั้งที่ผมวาดรูปกับครูหลังเลิกเรียน ช่วงเวลานั้นมันทำให้ผมหายเหงา เหงาจากการที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะแม่กลับเข้าบ้านดึกเหลือเกิน
หลังจาก ครูธงชาติ สอนวาดรูปให้กับผมอย่างต่อเนื่อง ผมก็เริ่มกล้าอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้ และเด็กที่ประหยัดคำพูดอย่างผมก็กลายเป็นเด็กช่างเจรจา ทุกครั้งที่นั่งเรียนหนังสือ ผมภาวนาให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ เลิกเรียนเร็ว ๆ จะได้ไปนั่งวาดรูปกับครูธงชาติหลังเวลาเลิกเรียนที่ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว
และทุกวันหลังวาดรูป ครูธงชาติก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งผมที่บ้านเป็นประจำ
ก่อนหน้าท่านย้ายมา ผมเดินเท้ากลับบ้านเพียงลำพัง เพราะบ้านของผมกับโรงเรียนไม่ไกลกันมากนัก
ครูไม่เคยเจอกับแม่ของผม
และแม่ของผมก็ไม่รู้ว่าผมใช้ชีวิตอยู่กับครูทุกเย็น
เพื่อนๆในชั้นเรียนของผมต่างดีใจออกนอกหน้าทันทีที่หมดคาบเรียนในเย็นวันศุกร์ แต่ผมไม่อยากให้ถึงวันหยุดราชการหรือวันหยุดเสาร์ อาทิตย์เลย มันทำให้ผมต้องอยู่คนเดียว ทำให้ผมไม่เจอกับครู ไม่ได้นั่งวาดรูปกับครู
ผมไม่รู้จักบ้านครู ไม่อย่างนั้นผมคงเดินไปหาครู นั่งวาดรูปกับครู แล้วก็นอนค้างบ้านครู
“ผมอยากเป็นลูกครู” ผมไม่เคยบอกครูธงชาติหรอก แต่ผมคิดอย่างนั้นตลอดเวลา
วันหนึ่ง ครูธงชาติถามถึงผู้ปกครองของผม ผมจึงได้เล่าเรื่องของทั้งพ่อและแม่ให้ครูฟังเท่าที่ผมรู้ ท่านจึงอยากคุยกับแม่ของผม แต่มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม่ไม่อยู่บ้านเลย
“แม่วางเงินให้ผมในตอนเช้า และกลับมากอดผมในตอนดึกหลังจากที่ผมนอนหลับแล้วเป็นประจำครับ” ผมเล่าให้ครูธงชาติฟัง
“ผมไม่ค่อยได้คุยกับแม่เป็นเวลานาน ๆ หรอกครับ คุยกันน้อยมาก เพราะท่านทำงานตลอด วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่อยู่บ้าน เสื้อผ้าก็จ้างเขาซัก อาหารก็ซื้อกิน ไม่เคยทำเองเลยครับ” ผมพูดความจริงเสริม
“เป็นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว” ครูธงชาติซัก
“หลังจากพ่อไปครับ” ผมตอบ
“กี่เดือนแล้ว” ครูธงชาติถามซ้ำ
“ประมาณ ๓ ปีครับ” ผมตอบปิดท้ายด้วยหางเสียงทุกคำ อันเป็นมารยาทที่แม่สอนผมเป็นประจำในช่วงที่พ่อยังอยู่
“หือ ?” ครูร่างใหญ่เปล่งเสียงออกจากลำคอโดยไม่อ้าปาก “อย่างนี้ครูต้องขอคุยกับแม่ของดวงหน่อยแล้วล่ะนะ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราคงแย่แน่” ครูทำคิ้วขมวด
“...แต่” ผมกำลังจะเอ่ยปาก
“ ครูรู้...ว่าแม่ของดวงไม่ค่อยอยู่บ้านเลยใช่มั้ย ? ...แต่เราก็ไปหาท่านที่ทำงานได้นี่นา” ครูออกความเห็น
“เอ่อ...”
“เอาน่า...ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวไปกับครูเลย ว่าแต่แม่ดวงทำงานที่ไหนล่ะ ?”
“ที่ว่าการอำเภอครับ”
จากนั้นไม่เกินสิบนาที ผมในชุดนักเรียนมอมแมมก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของ ครูธงชาติ กอดพุงกลมของท่านแน่น มุ่งหน้าเขาสู่ที่ว่าการอำเภอในยามวิกาล
สายลมยามค่ำคืนช่างเย็นดีเหลือเกิน ทุกอย่างช่างดูสวยงาม แสงไฟข้างทางก็สดใส แต่ทำไมในใจผมมันช่างรู้สึกร้อนเร่าจังนะ
อาจเป็นเพราะความกังวล ที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนี้ แต่กังวลเรื่องอะไรล่ะ “ผมถามตัวเอง” ทั้งที่รู้ว่าเด็กวัยเดียวกับผมคงไม่รู้จักคำที่มีความหมายซับซ้อนคำนี้ ผมคงเป็นเด็กที่มีความกังวลเกินวัย จะมีเด็กประถมสักกี่คนที่รู้จักพฤติกรรมการถามตัวเอง
ยังไม่ทันได้คำตอบจากตัวเองเพื่อให้กับตัวเอง ล้อมอเตอร์ไซค์ของครูธงชาติก็มาหยุดอยู่หน้าที่ว่าการอำเภอแล้ว
ผมและครูธงชาติมองเข้าไปที่อาคารไม้สองชั้นสภาพเก่าคร่ำครึ หน้าประตูเหนือทางเข้าเล็กๆใต้รูปปั้นพญาครุฑตัวใหญ่สีทองที่ลอกหลุดแซมสลับสีดำ มีอักษรไทยตัวใหญ่สีขาว คาดว่าน่าจะเขียนด้วยสีทาบ้าน เขียนไว้ว่า “ที่ว่าการอำเภอเมือง” ใต้คำนั้นมีสติ๊กเกอร์เก่า ๆ พื้นสีแดงตัวหนังสือสีขาวเขียนไว้อย่างชัดเจน “ทำงานด้วยใจ ฉับไวเพื่อราษฎร”
ผมอ่านสโลแกนหน้าสติ๊กเกอร์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เวลาสะกดนาน อาจเป็นเพราะช่วงที่แม่ไม่อยู่บ้าน ผมอ่านหนังสือของแม่เพื่อทำลายความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่น่าจะมีในสมองของเด็กวัยผมเสียจนหมดจดทุกเล่ม ทุกหน้า ทุกตัวอักษร
“ทำงานด้วยใจ ฉับไวเพื่อราษฎร” ผมอ่านซ้ำอีกครั้ง ไม่สิ ผมอ่านซ้ำอีกหลายครั้งพลางคิดพร้อมอ่านว่าอะไร ๆ ก็เพื่อราษฎร แล้วผมล่ะ ...แม่ไม่คิดที่จะกลับบ้านฉับไวเพื่อผมบ้างเลยหรือ ?
แม่คงไม่รู้ ว่าผมเสียน้ำตาด้วยความคิดถึงแม่ทุกคืน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงไม่อยากอยู่กับผม
ผมไม่เคยเห็นแม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องของพ่อ ...ท่านคงไม่รักพ่อ ไม่สิ ผมไม่เคยเห็นท่านเสียน้ำตาให้กับเรื่องของผมเช่นกัน ท่านคงไม่รักผมด้วย แต่ผมก็ไม่เคยเห็นท่านเสียน้ำตาให้กับเรื่องใด ๆ เลยสักครั้ง หรือท่านไม่มีต่อมน้ำตา หรือท่านไม่เคยรักสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เลย
จริงแล้วช่วงระหว่างที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของครูธงชาติมานั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะพบแม่อยู่ที่นี่ แต่ก็คิดไม่ออกว่าแม่อยู่ที่ไหน ในเมื่อครูอยากเจอแม่ ที่ว่าการอำเภอคือที่เดียวที่ผมคิดว่าแม่ควรจะอยู่
ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างชั้นสองที่เปิดไว้ ซึ่งคาดเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของแม่
ไฟในห้องทำงานห้องนั้นยังเปิดอยู่
จากนั้นผมก็พยายามปรับสายตาและประสาทหูให้ทำความคุ้นเคยกับความมืดและความเงียบ
ทันทีที่ปรับประสาทรับรู้ทั้งหมดได้ ผมและครูก็ได้ยินเสียง ต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ดังออกมาจากหน้าต่างของห้องสว่างห้องนั้น
“แม่ แม่ แม่” ผมตะโกนเรียก โดยไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรนัก ว่าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นจะใช่แม่ของผมหรือเปล่า
เสียงต๊อกแต๊กหยุดเงียบลง พร้อมกับมีใครสักคนโผล่ใบหน้าออกมาจากม่านสีขาวใต้เงาขอบหน้าต่างไม้
“ใครน่ะ ?” ใครสักคนตะโกนถามลงมา
“ผมมาหาแม่เป๋าครับ” ผมตะโกนสวนบอกจุดประสงค์
“ดวงเหรอ ?” ผู้อยู่ข้างบนตะโกนสวนลงมา
“ครับ” ผมตะโกนตอบสั้นๆ
“มายังไงเนี่ย ? ทำไมไม่อยู่บ้าน ? ดึกดื่นอย่างนี้อันตรายรู้มั้ย ?” แม่ตะโกนยิงคำถามใส่ผมเป็นชุด
“ครูอยากคุยกับแม่ครับ” ผมตอบพร้อมปิดท้ายด้วยหางเสียงทุกคำตามที่แม่เคยสอน
“เหรอ ?” แม่ตะโกนพลางพูดต่อ “ได้ เดี๋ยวแม่ลงไป”
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาดึกดื่นอย่างนี้แม่จะอยู่ที่นี่ ผมคิดจินตนาการตลอดมาว่าแม่น่าจะไปอยู่ในที่ที่ผู้ใหญ่ไม่รักบ้านน่าจะอยู่กัน เพื่อหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตัว
ผมอาจจะคิดเกินเด็ก แต่ผมก็ไม่เคยปริปากพูดออกมา
ตอนนี้ผมอยากรู้จนตัวสั่นเสียแล้วว่าดึกดื่นเช่นนี้แม่ยังทำอะไรอยู่ที่นี่ และที่สำคัญ แม่อยู่กับใคร
ระหว่างรอแม่เดินลงมา ผมจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงสิ่งที่แม่กำลังกระทำอยู่ด้านบน
“ผมจะได้พ่อใหม่รึเปล่านะ ?” ผมถามตัวเองในใจ “แม่จะมีพ่อใหม่ให้ผมมั้ย ?”
“ไม่หรอกน่า อย่าคิดมากสิ” ตัวเองของผมตอบกลับมา
“แม่ทำอะไรกันนะ ถึงได้อยู่ดึกดื่นขนาดนี้ทุกวัน” ผมถามตัวเองอีกครั้ง
“แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็รู้ความจริงแล้ว แค่อึดใจเดียวเอง” ตัวเองของผมตอบ
“คงทำใจยอมรับยากนะ ถ้าแม่ต้องมีพ่อใหม่ให้เราจริง ๆ” ผมบ่นกับตัวเองในใจ
“แล้วในห้องข้างบนนั้น แม่อยู่กับใครกันนะ” ผมถามตัวเองซ้ำ
ตัวเองของผมไม่มีคำตอบกลับมา ทันใดนั้นประตูสถานที่ไม้เก่าที่ปิดกั้นสถานที่ราชการก็เปิดออกมาด้วยมือของแม่
“แม่อยู่คนเดียว ?” ผมคิดพร้อมถามตัวเองในใจ
“คงจะอยู่คนเดียวต่างหากล่ะ” ตัวเองในใจให้ความเห็น
“อาจจะซ่อนพ่อใหม่อยู่ข้างบนก็ได้” ตัวเองบอกผม
คำตอบจากตัวของผมทำให้ผมอยากขึ้นไปดูข้างบนห้องทำงานของแม่
“สวัสดีค่ะคุณครู” แม่พนมมือไหว้ครู “ดิชั้นเป็นผู้ปกครองของเด็กชายดวงค่ะ ไม่ทราบว่าลูกชายไปก่อเรื่องเดือดร้อนหรือทำอะไรให้ลำบากใจหรือเปล่าคะ ?”
“เปล่าครับ” ครูรับไหว้ “เด็กชายดวงเป็นเด็กดีมาก ผมเพียงมีเรื่องอยากมาปรึกษากับคุณพี่ผู้ปกครองนิดหน่อยเท่านั้น”
แม่ก้มหน้าหลบสายตาครูธงชาติ เหมือนรู้ว่าครูต้องการมาคุยเรื่องอะไร “ได้ค่ะ เชิญข้างบนเลย”
ระหว่างที่เราสามคนเดินเหยียบขั้นบันไดสภาพเก่าแก่ขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารไม้ พลันผมนึกถึงตอนที่พ่อยังอยู่ ในตอนเย็นหลังเลิกเรียนของทุกวัน พ่อจะพาผมมานั่งรอรับแม่กลับบ้านเสมอ
ผมเห็นทุกมุมที่พ่อเคยมานั่งรอแม่บนอำเภอแห่งนี้
วันนี้มีเพียงมุม แต่ไม่มีพ่อ
ผมรู้จักกับเพื่อนผู้ร่วมงานของแม่เป็นอย่างดีทุกคน ตั้งแต่ลุงนายอำเภอ น้าปลัด ป้าพัฒนากร จนไปถึงพี่ ๆ เจ้าหน้าที่และนักการภารโรง เพราะในทุกวันหลังเลิกเรียนคนพวกนั้นมักเอ่ยปากชวนให้ผมช่วยมาบรรเลงเพลงให้เขาฟัง
ผมร้องไป เต้นไป อย่างลืมความอาย
ไม่สิ ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้จักความอาย
“ไม่มีใครเลย แม่อยู่คนเดียว” ผมพูดกับตัวเองอีกครั้ง ทันทีที่เห็นพื้นที่ด้านบนทั้งหมด
“เชิญนั่งก่อนค่ะ อาจไม่สะดวกหน่อยนะคะ” แม่บอกครู พลางดึงเก้าอี้ไม้ที่มีอักษรไทยสีขาวอ่านไม่ยากเขียนว่า “สำหรับผู้มาติดต่อราชการ” ติดอยู่ด้านหลังมาครูให้นั่ง
“ขอบคุณครับ” ครูพูดพร้อมนั่งลงอย่างช้า ๆ
“ดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ ?” แม่ถามครู
“ไม่เป็นไรหรอกฮะ ขอบคุณมาก” ครูพูดพร้อมยิ้มจนดูคล้ายคนขาดความมั่นใจ “ดูเหมือนคุณพี่จะไม่ว่างเลยนะครับ ?”
“อ๋อ ! ค่ะ ดิฉันต้องทำงานทุกวัน” แม่ตอบกลับ พร้อมเดินไปกดน้ำดื่มมาให้ครู “กลางวันก็ทำงานหลวง นอกเวลาราชการก็ทำงานส่วนตัว”
“ที่นี่เหรอครับ ?” ครูถามอย่างงง ๆ
“ค่ะ ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่พิมพ์ดีด” แม่ตอบ “กลางวันก็ทำงานปรกติ ส่วนนอกเวลาก็รับจ้างพิมพ์งานทั่วไป ส่วนใหญ่ก็เป็นรายงานของนักเรียนนักศึกษา หรือพวกวิทยานิพนธ์อะไรประมาณนั้น”
“ทำไมต้องเป็นที่นี่ครับ ?” ครูธงชาติถามซ้ำโดยปิดท้ายด้วยหางเสียง จนผมรู้สึกเหมือนกำลังยืนฟังผู้ใหญ่คุยกับเด็ก
“ที่ต้องอยู่ที่นี่จนดึกดื่นก็เพราะว่ามันต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีด” แม่วางแก้วน้ำดื่มให้ครูธงชาติ “และเครื่องพิมพ์ดีดแต่ละเครื่องก็แพงเหลือเกิน เลยจำเป็นต้องใช้เครื่องที่นี่ น้อง ๆ อส. ที่มีหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าออกเขาก็ใจดี เข้าใจในความจำเป็นของดิชั้น ก็เลยไม่ว่าอะไร ซึ่งโดยปรกติถ้านอกเหนือเวลาราชการแล้วคงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา”
ผมเพิ่งรู้จากปากของแม่วินาทีนี้เองว่าผ่านมาทั้งหมดที่แม่ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวตลอดหลายปีนั้นแม่ทำงานล่วงเวลาอยู่ที่นี่ และเสียงต๊อกแต๊ก ที่ได้ยินเมื่อครู่ก็คือเสียงพิมพ์ดีดของแม่นั่นเอง
ผมเข้าใจผิดมาตลอด ผมเพิ่งเข้าใจแม่ แต่ผมก็ยังอยากมีเวลาอยู่กับแม่ ทำไมแม่ต้องทำงานด้วย ?
“เพื่อเงิน เพื่อความอยู่รอดน่ะสิ ไอ้โง่” ตัวของผมตอบตัวเองโดยที่ผมยังไม่ได้ตั้งใจถาม
“ทุกวันนี้เราก็น่าจะอยู่รอดกันอยู่แล้ว จะหาเงินไปอีกทำไม ?” ผมถามกลับไปที่ตัวเองโดยไม่ได้คาดหวังคำตอบ
“แม่คงมีเหตุผลดี ๆ ที่เรายังไม่เข้าใจน่า” ผมพยายามตอบกลับตัวเองในแบบที่ดูเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผลมากที่สุดเท่าที่ผมคิดได้
“งั้นผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ” ครูธงชาติพูดพร้อมกับหันมองมาทางผมเหมือนเป็นสัญญาณบางอย่าง
“ได้ค่ะ เอ้า ! ดวง ไปเดินเล่นข้างล่างก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ขอคุยกับครูของลูกหน่อย” แม่ตอบรับและหันหน้ามาทางผมอีกคน
ผมเดินห่างออกมาจากแม่และครูธงชาติเพื่อเปิดทางให้ผู้ใหญ่ได้คุยกันสะดวกขึ้น แต่ยังได้ยินคำสนทนาไกล ๆ ประโยคสุดท้ายว่า....
“ดวงเป็นเด็กที่มีความตั้งใจในการเรียนมากนะครับ เขาเป็นเด็กที่มีความโดดเด่นพิเศษด้านสมาธิ หากมีคนสนับสนุนหน่อยโดยเฉพาะเรื่องศิลปะ รับรองว่าไปได้ไกลแน่ ผมว่าพี่ควรแบ่งเวลาให้เขามากกว่านี้.....”
“หาครูดี ๆ ที่ทุ่มเทอย่างน้องนี่ยากจังเลยนะ พี่เองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกมากนักหรอก พี่รู้ตัวนะ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ไหนจะหนี้สินที่พ่อเขาก่อไว้ก่อนไป ไหนจะรากฐานอนาคตของเขาที่ยังไม่มีอะไรเลย ลำพังเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างเดียวจะทำอะไรได้ น้องก็คงรู้นะ......”
วันนี้ผมเป็น นายดวง วิทยศิลปกรรมบัณฑิต บัณฑิตจบใหม่อย่างเต็มตัว
วันนี้ผมภูมิใจในชื่อของผม เพราะเป็นชื่อที่สั้น กระชับ มีเอกลักษณ์ และจดจำง่าย
ผมไม่คิดจะเปลี่ยนนามสกุล แม้นว่าเจ้าของนามสกุลที่ผมใช้จะไม่เคยกลับมาทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจเลย
และวันนี้เป็นวันที่ผมจะเริ่มงานวันแรก งานของผมก็คืออาชีพของผม
อาชีพที่ผมภูมิใจ
อาชีพของผมคือรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ สำหรับการหล่อหลอมกล่อมเกลาให้เด็กทุกคนเป็นคนดีในอนาคต แล้วถ่ายทอดมันออกมาเป็นคำพูด และการแสดงออกหน้าพื้นที่กระดานดำสีเขียว---ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมกระดานไม้สีเขียวหน้าห้องเรียน ต้องมีชื่อเรียกขานว่า “กระดานดำ” ทั้งที่มันมีสีเขียว แต่ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ผมคงคิดมากไป ...ไม่สิ ผมยังคงคิดมากและขี้สงสัยเหมือนเดิม ผมรู้ตัวนะ แต่ไม่อยากเปลี่ยนแปลงมันหรอก เอาไว้หากมีเวลาว่าง ๆ ผมค่อยหาคำตอบให้กับตัวเองละกัน ...รอหน่อยนะ ตัวของตัวเอง
ใช่ครับ อาชีพของผมก็คืออาชีพ “ครู” ครูสอนศิลปะนั่นเอง
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผมไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไมผมถึงอยากเป็นครูหนักหนา ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ที่ไม่เข้าใจเพราะความจริงลึก ๆ แล้วผมไม่อยากเข้าใจมันต่างหาก
บางสิ่งบางอย่างที่เรายังไม่เข้าใจ ถ้ามันเป็นประโยชน์และสร้างความสุขให้กับเรา ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขุดรากถอนโคนเพื่อค้นหาต้นตอของสาเหตุแห่งความไม่เข้าใจ
จะมีเหตุผลใดก็ช่าง แค่มีความสุขก็เพียงพอสุด ๆ แล้ว ผมคิดอย่างนี้
ตอนนี้ผมไม่อยากรู้ว่าทำไมผมถึงต้องเป็นครู รู้เพียงอย่างเดียวคือ ผมคิดถึงครูธงชาติ
ครับ ผมอยากเป็นครูที่ดี และอยากทำเหมือนอย่างที่ครูธงชาติเคยทำ
หลังจากที่ครูธงชาติคุยกับแม่ของผมในคืนแห่งความทรงจำคืนนั้น ไม่นานครูก็ขอตัวกลับ
หลังครูกลับแม่ของผมร้องไห้ไม่หยุด ร้องไปพร้อมกับกอดผมไปด้วย ปากก็พร่ำพูดว่า “แม่ขอโทษนะดวง แม่ขอโทษ” ทำเอาผมต้องร้องไห้กับแม่ไปด้วย
ผมไม่รู้หรอกว่าคืนนั้นครูธงชาติคุยอะไรกับแม่ของผม แต่คิดว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตใครบางคนได้ ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่ฟูมฟายขนาดนี้
หลังครูธงชาติขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปไม่เกินชั่วโมง แม่ก็ปิดไฟในห้องทำงาน เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นใส่ซองเอกสารตราครุฑสีน้ำตาล และพาผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเก่าเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน
คืนนั้นแม่นอนกอดผมทั้งคืน
เป็นคืนแรกในรอบหลายปี ที่เราเข้านอนพร้อมกัน
ผมไม่รู้สาเหตุหรอก ว่าเป็นเพราะอะไรแม่ถึงทำอย่างนี้
แต่อย่างที่บอก ผมไม่อยากรู้หรอกครับ ขอแค่แม่รักผม มีเวลาอยู่กับผมก็พอ
หลังจากค่ำคืนนั้นผ่านไป ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปด้วย
แม่ยังทำงานรับจ้างพิมพ์ดีดเหมือนเดิม แต่แตกต่างจากวิถีชีวิตเดิม ๆ ตรงที่แม่ทำงานที่บ้าน บ้านของเรา
ไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหนแม่ก็ยังอยู่กับผม
แม่ซื้อเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องใหม่เอี่ยมอ่อง เป็นพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว ข้างตัวเครื่องติดยี่ห้อ “เรมิงตัน” เอาไว้อย่างสวยงาม
แม่บอกว่า “เครื่องพิมพ์ดีดรุ่นนี้ เป็นพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วรุ่นแรกของเรมิงตัน ก้านตัวอักษรยกสูงขึ้นมามากกว่าปรกติ ทำให้พิมพ์ได้เร็วและเบาแรงมาก” ดูแม่มีความสุขมาก นานแล้วที่ผมไม่เห็นแม่ยิ้มอย่างเต็มใบหน้าเช่นนี้
เป็นเครื่องพิมพ์ดีดส่วนตัวเครื่องแรกในชีวิตแม่ ...และชีวิตของผมด้วย
ผมมารู้ในภายหลังเพียงไม่กี่วัน ว่าแท้จริงแล้วในคืนนั้นครูธงชาติให้แม่หยิบยืมเงินเพื่อซื้อเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนี้
“หากคุณพี่มีพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยคืนผมเมื่อนั้น ลำพังผมเองก็เพิ่งย้ายมา เพิ่งเข้ามาเริ่มชีวิตราชการได้ไม่นาน ยังไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก พี่ต่างหากที่รับภาระหนัก ไหนจะอนาคตของดวงอีก ถ้าไม่ยอมรับเงินของผมในตอนนี้ ผมเกรงว่ามันจะไม่คุ้มกับอนาคตของเขาในภายภาคหน้านะครับ” แม่เล่าถึงบทสนทนาค่ำคืนนั้นระหว่างท่านกับครูธงชาติให้ฟัง
“ลูกโชคดีจังนะ รู้ตัวมั้ย ที่ได้ครูดีอย่างครูของลูกน่ะ” แม่พร่ำบอกผมอยู่เป็นประจำ “แต่... เอ๊ะ ? ครูของลูกชื่ออะไรนะ ?” แม่ถามผม
“ครูธงชาติครับแม่” ผมตอบแม่หลายครั้งโดยไม่หงุดหงิด
ผมไม่คิดว่าแม่จำชื่อคุณครูคนเก่งของผมไม่ได้ แต่คิดว่ามันคงเป็นกุศโลบายของแม่ที่ต้องการให้ผมตอกย้ำความทรงจำที่มีต่อครูธงชาติให้ฝังลึกลงไปยิ่งขึ้น และนี่คงเป็นสาเหตุใหญ่ที่คอยย้ำเตือนให้ผมอยากเป็นครู
ในตอนนั้นผมยังเด็กก็จริง แต่ผมก็รู้จักคำว่า “กุศโลบาย”
ผมรู้มาจากการอ่าน
หลังจากที่แม่มีเครื่องพิมพ์ดีดส่วนตัว แม่ก็รับพิมพ์งานที่บ้าน โดยไปจ้างวานลุงร้านเขียนป้ายในซอยเดียวกันให้ช่วยเขียนป้ายติดตรงประตูหน้าบ้านว่า “รับพิมพ์รายงานทุกชนิด รวดเร็ว ประทับใจ”
แม่ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานและวันหยุดราชการเริ่มทำธุรกิจรับพิมพ์รายงาน “ได้เงินไม่มากก็จริงแต่ก็ถือว่าเป็นงานสุจริต ลูกมีความสุข แม่ก็เป็นสุขจ้ะ” แม่ของผมว่าอย่างนั้น
ทุกครั้งหลังเลิกเรียน ผมจะรีบกลับมาบ้านเพื่อมาอ่านเอกสารของลูกค้าให้แม่ฟัง เพื่อที่แม่จะได้พิมพ์งานไปโดยที่ไม่ต้องเสียจังหวะมาคอยมองตัวอักษรตันฉบับ “ถ้ามีคนคอยอ่านให้ฟัง แม่จะพิมพ์ได้เร็วขึ้นอีกเท่าตัวเลยนะ” แม่บอกผมอย่างนั้น
นอกจากจะคอยอ่านให้แม่ได้ทำงานเร็วขึ้นแล้ว ผมยังมีหน้าที่ตรวจทานคำผิดให้แม่หลังจากที่ท่านงีบหลับอีกด้วย
เราสองแม่ลูกแบ่งหน้าที่กันชัดเจน เป็นหน้าที่ที่ต่างก็อยากกระทำให้แก่กันโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวง
นี่กระมังที่เป็นส่วนช่วยส่งผลให้ผมอ่านและเขียนได้ “เร็ว” กว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
ตอนเรียนประถมสี่ช่วงกลางเทอม ใครจะเชื่อว่าคุณครูใหญ่ได้มีหนังสือสั่งการให้ผมเลื่อนขึ้นชั้นประถมห้าได้เลยโดยไม่ต้องสอบ หรือรอให้หมดเทอมสอง
คงเป็นผลมาจากที่คุณครูทั้งหมดที่เคยสอนผมต่างก็คอยพูดถึงความ “เร็ว” ในทักษะการอ่านและจำของผม
และการที่ผมช่วยแม่ทำงานในวัยเยาว์ มันยังส่งผลให้ผมได้รับปริญญาบัตรเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ จากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย
ที่ดีกว่านั้นก็คือทางมหาวิทยาลัยทำเรื่องให้ผมได้บรรจุเป็นข้าราชการตำแหน่งอาจารย์สอนระดับมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงทันทีโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก
ผมรู้สึกยินดีในข้อเสนอ แต่ยังมีบางอย่างที่อยากปรึกษากับท่านอธิการบดี
“ขอบคุณมากนะครับท่าน ที่กรุณาผม” ผมเคยคุยกับท่านอธิการอย่างนี้
“คุณเป็นคนดีและเป็นคนขยัน มีสมาธิแน่วแน่ ทางเราจึงควรสนับสนุน อันที่จริงทางผมเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักหรอก ทางคณะกรรมการต่างหากที่เห็นพ้องกัน” ท่านอธิการบอกผม “แล้วเลือกมหาวิทยาลัยที่จะสังกัดได้หรือยังล่ะ ?”
“ผมขอบรรจุที่โรงเรียนประถมได้มั้ยครับ ?” ผมถามท่านอธิการพร้อมก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“เอ๋ ?” ท่านอธิการอุทานด้วยเสียงสูงแต่เรียบเบา
“เอ่อ... คือ” ผมอยากอธิบายถึงสาเหตุ
“ได้สิ” ท่านอธิการชิงพูดตัดบท “คนเรามีความทรงจำที่ดีกันทุกคนล่ะนะ เพียงแต่จะทำยังไงกับมัน และจะใช้มันให้เป็นประโยชน์หรือเปล่า...”
ผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็จะเห็นใบหน้าของท่านอธิการบดีผู้มีเมตตายิ้มแก้มอิ่มลอยมาทุกครั้ง
ขอบคุณอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทุกท่าน
ขอบคุณแม่
ขอบคุณเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนั้น
ขอบคุณครูธงชาติ
ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าภาพถ่ายขาวดำของครูธงชาติ ภายในรั้วโรงเรียนประถมที่ผมเพิ่งมาบรรจุแทนตำแหน่งครูคนเก่า
“ครูหนุ่มบรรจุใหม่ผู้ทุ่มเท มอบจิตวิญญาณทั้งหมดให้กับบรรดาลูกศิษย์” หลายคนที่เคยรู้จักครูธงชาติต่างพูดอย่างนั้น
ใคร ๆ ต่างก็คิดถึงครูธงชาติ ผมก็เช่นกัน
“เห็นหน้าเธอ...แล้วเห็นอดีตของตัวเอง” คำนี้ยังก้องอยู่ในสมองและสองหูของผม
อุบัติเหตุในคืนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดในสมอง ถ้าท่านไม่มาพบแม่ผม ท่านคงไม่ตาย
ผมรู้ข่าวในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านมาคุยกับแม่ของผมในคืนสำคัญคืนนั้น
ครูธงชาติเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถสิบล้อเบียดตกข้างไหล่ทางจนเสียหลักล้ม ที่แย่กว่านั้นคือสิบล้อมรณะถอยหลังกลับมาเหยียบท่านซ้ำเพื่อทำลายหลักฐาน
ครูเสียชีวิตเพียงลำพังในที่เกิดเหตุ กว่าจะมีคนมาพบศพก็ใกล้สว่างแล้ว
หลายคนบอกว่าท่านเสียชีวิตทันที และหลายปากก็บอกว่าท่านทรมานอยู่นานก่อนสิ้นใจ
ผมรู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้ครูธงชาติมีอันต้องจากไป
ในหนึ่งช่วงใหญ่ ๆ ใคร ๆ ต่างก็พูดถึงคุณงามความดีของท่าน ไม่นานผู้คนก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้
ผมก็เลิกพูดถึง แต่ผมไม่เคยลืม ใคร ๆ ก็น่าเป็นเช่นเดียวกัน
“คนเราไม่ควรจมติดอยู่กับอดีต ปัจจุบันกับอนาคตนี่สิสำคัญที่สุด จำไว้นะดวง” ครั้งหนึ่งครูธงชาติเคยกล่าวคำนี้กับผม ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ความหมายของมันมากนัก แต่ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว
นี่เป็นสาเหตุหลักที่ผมยอมปล่อยตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงค่าตอบแทนสูงให้หลุดลอยไป และเลือกที่จะเป็นครูประชาบาลเล็ก ๆ ในจังหวัดปักษ์ใต้บ้านเกิด
ผมมาบรรจุแทนตำแหน่งของครูธงชาติที่ปล่อยร้างว่างมาเกือบสิบห้าปี เนื่องจากโรงเรียนนี้เป็นสถานศึกษาที่ไกลปืนเที่ยง ห่างไกลความเจริญ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่มีแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือ
แต่ครูธงชาติก็เลือกมา ทั้งที่มีพื้นที่ความเจริญอีกมากมายที่ท่านสามารถเลือกที่จะประจำได้
ผมก็เช่นกัน แต่เหตุผลของผมอาจแตกต่างจากครูธงชาติเล็กน้อย
ครูเลือกมาเพราะอุดมการณ์
“แต่ผมเลือกมาเพราะที่นี่เป็นบ้านเกิดของผม ความทรงจำทั้งหมดของผมอยู่ที่นี่ ผมคิดถึงแม่ คิดถึงทุกคน และที่สำคัญผมคิดถึงครูธงชาติ” นั่นเป็นคำที่ผมตอบออกมาเมื่อมีใครถามผม
แต่ยังมีคำตอบที่แท้จริงที่ผมได้แต่เก็บงำไว้ในใจ “ผมมาสานต่ออุดมการณ์ของครูเพื่อใช้หนี้ให้กับเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกที่ครูมีน้ำใจให้กับแม่ของผมครับ”
แม่ของผมในวัยเกษียณดีใจมากที่ผมเลือกกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ท่านยังถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ เพื่อตอกย้ำผม “ครูของลูกชื่ออะไรนะ ช?”
“ครูธงชาติครับ” ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินใครบางคนพูดชื่อคุณครูคนสำคัญของผมขึ้นมา หรือเจ้าของเสียงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ?
“ขอโทษครับครู ครูเพิ่งมาใหม่ใช่มั้ยครับ ?” เจ้าของเสียงถามผม
“เอ่อ... ใช่ครับ” ผมตอบโดยปิดท้ายด้วยหางเสียงตามที่แม่เคยสอนเหมือนเคย พลางก็กวาดสายตาต่ำลงไปหาเจ้าของเสียง
“คุณครูในรูปคนนั้นชื่อครูธงชาติ ท่านเสียไปหลายปีแล้ว ด้วยอุบัติเหตุบนถนนหลังจากพานักเรียนคนหนึ่งไปหาผู้ปกครอง” เจ้าของเสียงตัวเล็กบอกอย่างคล่องแคล่ว
“เคยเจอท่านเหรอ ?” ผมถามแกมหยอก
“ไม่เคยหรอกครับ แต่ใคร ๆ ในหมู่บ้านเราก็ต่างพูดถึงท่าน” เด็กนักเรียนหัวเกรียนเจ้าของเสื้อผ้ามอมแมมตอบผมอย่างไม่สะดุด “ผมเห็นครูยืนดูรูปครูธงชาติอยู่นานหลายนาทีแล้ว คิดว่าครูคงสงสัยก็เลยเดินมาบอกไงครับ”
ผมโล่งใจที่เด็กน้อยไม่รู้ความคิดของผม
“แล้วไม่ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เหรอ ?” ผมถามเด็กน้อยตัวเล็กกลับบ้าง
“ร่างกายของผมไม่ค่อยแข็งแรงครับ แม่บอกว่าอย่าเล่นอะไรที่ออกแรงมากนัก ไม่งั้นเดี๋ยวต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ” เด็กน้อยตอบ
“อยู่กับแม่เหรอ ?” ผมถาม
“ครับ อยู่กับแม่แค่สองคน พ่อผมทิ้งแม่ไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้” เด็กน้อยหน้าตา
มอมแต่แววตาสดใสตอบอย่างมั่นใจ
“เธอชื่ออะไรน่ะ ?” ผมถามอีกครั้ง
“ผมชื่อโชคครับ” เด็กตาใสตอบอมยิ้ม “ชื่อเล่นก็ชื่อโชค ชื่อจริงก็ชื่อโชค”
“โชคชอบวาดรูปมั้ย ?” ผมถามกลับไปอย่างช้า ๆ พร้อมเลิกคิ้วเพื่อต้องการคำตอบ
“ชอบครับครู” เด็กน้อยพูดตอบอย่างรวดเร็ว “ผมรู้ด้วยนะว่าคุณครูเป็นครูสอนศิลปะ ผมอยากให้ครูสอนวาดรูปให้หน่อยครับ ช่วงหลังเลิกเรียนจนถึงกี่โมงก็ได้”
“จนถึงกี่โมงก็ได้ ?” ผมถามเจือสงสัย “แล้วแม่ไม่ว่าเหรอ ?”
“ไม่ว่าหรอกครับ แม่ผมทำงานรับจ้างทั่วไป กลับบ้านก็ดึกดื่นไม่เป็นเวลา ผมหลับก่อนเป็นประจำครับ” เด็กตอบปิดท้ายด้วยหางเสียง
“อืม... งั้นก็ได้” ผมตอบกลับไปอย่างยิ้ม ๆ
ผมเห็นหน้าเด็กคนนี้แล้วคิดถึงครูธงชาติ คิดถึงคำพูดของท่านที่เคยพูดกับผม
คำพูดของท่านยังก้องอยู่ในหูตลอด ทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของท่าน
ช่วงที่ท่านกล่าวประโยคทองกับผม อายุของผมก็น่าจะไล่เลี่ยกับเด็กน้อยหัวเกรียนคนนี้ และอายุของท่านก็น่าจะราว ๆ กับอายุของผมในตอนนี้
ช่วงเวลาทั้งหมดที่ผ่านมา ผมไม่เคยเข้าใจว่าคำพูดของครูธงชาติที่กล่าวกับผมนั้นหมายถึงอะไร
จนกระทั่งวันนี้ ผมรู้สึกมากกว่าคำว่าเข้าใจ
สักวันเมื่อถึงเวลา ผมอาจจะบอกประโยคสำคัญกับเด็กคนนี้เหมือนกัน
“เห็นหน้าเธอแล้ว...เห็นอดีตของตัวเอง”
ผลงานอื่นๆ ของ อีอี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ อีอี
ความคิดเห็น