คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Syrup 6 100%
แม้นสวนกระจกยามราตรีของพระราชวังแห่งสปันเทียจะอบอวลไปด้วยความหอมหวาน หากแต่ในเวลาเดียวกันเบื้องล่างลงไปชีวิตหลังตะวันลับของเมืองหลวงกลับพลุกพล่านวุ่นวายไปด้วยเสียงอึกทึกของบรรดาชายหญิงที่รักสนุก โดยเฉพาะย่านนางโลมที่ไม่เคยหลับไหล เสียงเฮฮาของนักเที่ยวและนางคณิกาคละเคล้าปนกับเสียงต่อยตีของคนเมา หลายผู้สุขล้นหลายผู้บอบช้ำหลากหลายมั่วซั่วกันไปในย่านอาไคอา แห่งนี้
ภายในอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยเหล่าผ้าม่านมากมายและโคมไฟหลากสีที่ส่องสว่าง เมื่อเดินผ่านเข้าไปในซุ้มประตูก็จะพบห้องโถงที่เต็มไปด้วยสาวงามร้องเรียกหาลูกค้ากันเซ็งแซ่ แม่เล้าตัวอ้วนยิ้มร่าอย่างเป็นมิตรทักทายบุรุษทั้งหลายอย่างคุ้นเคยด้วยส่วนมากเป็นลูกค้าประจำ เหล่าแขกเหรื่อมากหน้าจับจองหญิงงามนุ่งน้อยหุ่มน้อยเป็นของตนเองมากได้เท่าที่จะจ่ายไหว บ้างก็มาเพื่อหาที่สังสรรค์กับเพื่อน บ้างก็ตั้งใจมาเที่ยวหญิงอย่างจริงจัง และมีบางครั้งที่บางคนใช้ที่อโคจรมาเป็นที่ซื้อขายและวางแผนทำการชั่ว
โยเฮนขุนนางสูงวัยหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์อยู่ในห้องรับรองส่วนตัว เขาหัวร่องอหายอยู่กับสาวๆที่นั่งขนาบข้างหยิบอาหารมากมายเข้าปากและหันไปพูดคุยกับสหายอีกสองคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน เหล่าขุนนางวัยกลางคนดูระรื่นสุขอุราจนน่าทุเรศกับกิริยาตะกละตะกลามที่แสดงออกมา พวกเขาดื่ม กินมาหลายชั่วโมงจนท้ายสุดเมื่อถึงเวลานัดหมายก็ต้องเชิญบรรดาหญิงบริการทั้งหลายให้ออกไปก่อนด้วยอ้างว่าต้องคุยเรื่องสำคัญ หากแต่ผู้ที่จะพูดเรื่องสำคัญนั้นไม่ใช่ขุนนางทั้งสามในห้อง แต่เป็นผู้ที่มาใหม่อย่างไม่ให้ซุ่มเสียงและไม่ทันตั้งตัว
“สภาพอุบาทว์เหมือนเดิม” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางหน้าต่างแต่เมื่อทั้งสามหันไปก็พบเพียงผ้าม่านที่โบกไสว โยเฮนคิ้วขมวดด้วยความงุนงงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของเสียงได้มายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องเสียแล้ว
ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างเปรียวผมสีเงินเขาแต่งกายด้วยชุดที่แลดูทะมัดทแมงสีดำสนิท สองข้างเอวมีอาวุธประเภทมีดสั้นเหน็บอยู่ บริเวณลำคอตั้งแต่ส่วนที่อยู่ใต้ปกเสื้อมีแถบผ้าสีดำพัดรอบไล่ขึ้นไปถึงจมูกทำให้เห็นใบหน้านั้นได้เพียงครึ่งเดียวจุดรวมสายตาจึงเป็นม่านตาสีเทาที่แลดูเย็นชาและไร้ความรู้สึกเป็นที่สุด
“นักฆ่าเงาข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้” โยเฮนออกเสียงดุแต่อีกฝ่ายไปสนใจเอาแต่จ้องพิศพวกขุนนางด้วยสายตารังเกียจ โดยหนึ่งในนั้นที่มีรูปร่างอ้วนแลดูกลัดมันเอ่ยทักทายอีกฝ่ายขึ้น
“สวัสดีท่านนักฆ่าเงาข้ามีนามว่าคาฮูม ข้าได้ยินกิติศัพท์ของท่านมามากแล้วขอบอกว่าประทับใจในความสามารถของท่านจริงๆได้ข่าวว่าท่านไม่เคยทำงานพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ผู้ถูกเกล่าถึงไม่ได้สนใจแม้จะมอง แต่โยเฮนกลับหัวเราะในลำคอกับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหยียด
“ไม่ถูกนักหรอกคาฮูมเพื่อนรัก หากจะพลาดก็มีครั้งหนึ่งก็ตอนที่เขาคนนี้นี่ล่ะปล่อยให้เจ้าเทพหัวม่วงนั่นรอดมาได้จนพวกเราต้องมาลำบากตามล้างตามเช็ดกันอยู่นี่ไง” คราวนี้ปรากฎแววโรจน์โกรธขึ้นในแววตาที่เย็นชานั้นเขาตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ครานั้นท่านสั่งให้ข้าซุ่มสังหารเทพสตรีที่จะลงมาแต่ที่ลงมากลับเป็นเทพบุรุษ ข้าไม่ทำก็ถูกแล้วเพราะนั่นถือว่าท่านไม่ได้สั่ง การที่ข้าอุตส่าห์ไปบอกเจ้าหัวหน้ายามคนของท่านก็บุญแค่ไหนแล้ว ไปโทษไอ้แก่หื่นที่เห็นแก่กามราคะนั่นเถอะที่ทำให้แผนท่านเสีย”
“ปากดีเหมือนเดิมนะไอ้เด็กเวร จะพุดอะไรก็พูดไปเถอะยังไงข้าก้ยังเป็นลูกค้าของเจ้าอยู่คราวนี้พาคนที่ข้าต้องการจะพบมาด้วยหรือไม่”
“พามา แต่เห็นสภาพของพวกท่านแล้วเริ่มไม่อยากให้เจอแล้ว”
“โฮ่ นี่เห็นว่าข้าต้อยต่ำขนาดไม่คู่ควรจะพบท่านพ่อมดคาราซัสผู้ยิ่งใหญ่สหายเจ้านักหรือไง”
“เปล่าหรอกเขาหวงข้าเฉยๆ”
เสียงใสๆดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดิมเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมที่ยาวลงไปถึงเท้าและมีกระเป๋าหนังใบใหญ่อยู่ในมือ ดวงตาสีฟ้าสดใสและผมสีทองสว่างบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนมาจากทางเหนือ หน้าตาเริงร่าของเขาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้เล่นของสนุก หากพิจราณาโดยคร่าวๆเหมือนเป็นเด็กอายุแค่12-13 ปีเท่านั้น
ขุนนางรุ่นลุงทั้งสามมองเด็กน้อยอย่างงงวยก่อนจะสบตากันไปมา โยเฮนเห็นแบบนี้ก็ต่อว่าอย่างฉุนเฉียว
“ไหนเจ้าว่าจะพาท่านพ่อมดมายังไง ไหงพาเด็กมาแทน”
เจ้าของตาฟ้ายกยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ลุงเอ๋ย แก่แล้วยังตาไม่ถึงอีกข้านี่แหละพ่อมดคาราซัสผู้โด่งดัง”
โยเฮนมองเด็กน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสถบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ปัญญาอ่อน! จะให้ข้าเชื่อรึว่าเด็กเพี้ยนแบบนี้เป็นพ่อมด!”
ฟ้าววววว ฉึก
เสียงมีดสั้นวิ่งผ่านอากาศตัดปลายเส้นผมของขุนนางปากเสียไปเล็กน้อยก่อนจะปักลงที่อีกฟากหนึ่งของกำแพงบรรยากาศทั้งมวลตกอยุ่ในความยะเยือกทันที ผู้ที่ขว้างมันออกไปเอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่จริงจังดังขึ้นในความเงียบทั้งมวลนั้น
“หากเจ้าพูดจาสามหาวเช่นนั้นกับข้าและท่านพ่อมดอีกมันจะไม่แค่ตัดเส้นผมเท่านั้น”
เช่นนี้การเจรจาธุรกิจจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น หลายนาทีต่อมาขุนนางแก่ทั้งสามจึงนั่งล้อมวงกันอย่างเรียบร้อยพลางพลัดเปลี่ยนกันดูสินค้าที่เป็นขวดเล็กๆบรรจุน้ำสีใสอย่างสนอกสนใจพร้อมกับฟังพ่อมดตัวน้อยบรรยายสรรพคุณของสิ่งที่อยู่ในขวดไปด้วย
“ตัวยามีลักษณะเหนียวเหมือนน้ำเชื่อมและมีรสหวาน แต่ไร้สีไร้กลิ่นระยเวลาการออกฤทธิ์คือ1หยดต่อ1วัน ขวดนึงมี100หยดก้ออกฤทธิ์ได้100วันอย่างที่รู้ ถ้าซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นซื้อ2ขวดแถมน้ำยาฟ้าเหลืองขนาดทดลองให้อีกขวด หรือจะเลือกเป็นแพคเก็จก็ได้ถ้าอยากซื้อแค่ขวดเดียวจ่ายเพิ่มเป็นเหรียญทองอีก100เหรียญนักฆ่าเงาจะบริการฆ่าเมียเก่าให้โดยคิดครึ่งราคา แต่โปรโมชั่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้ถ้าท่านขอให้ข้าทดสอบสิ้นค้าให้ดู”
คาฮูมตาแก่อ้วนมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาชื่นชมแบบกระหายหิว
“ขายเองทำเองเก่งจริงนะหนูเอ้ย!ท่าน...พ่อมด”
“แหงล่ะข้าไม่ได้น่ารักอย่างเดียวเสียหน่อย”
พ่อมดน้อยเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจแล้วก็ยิ้มเล่นหูเล่นตาตามนิสัยแก่แดดแก่ลมของเขา
“ถ้าไม่ทดสอบสินค้าพวกข้าจะรุ้ได้อย่างไรว่าน้ำยาวิเศษของท่านเปลี่ยนพวกที่มีangel syrupให้เป็นคนธรรมดาได้” โยเฮนถามขึ้นขณะที่เขามองขวดแก้วใสในมือ ผู้ถูกถามจึงหันควับมาขยายความ
“ไม่ๆท่านเข้าใจผิดแล้วยาของข้ามีฤทธิ์เพียงแค่เปลี่ยนน้ำพิสุจน์สีใสให้กลายเป็นสีขาวขุ่นเหมือนมนุษย์ปรกติเท่านั้นไม่ได้เปลี่ยนให้คนที่กินกลายเป็นคนธรรมดาขึ้นมาได้ หากเทพความจำเสื่อมคนที่ท่านว่าดื่มยานี่เข้าไปน้ำกามของเขาก็แค่จะเปลี่ยนสีเป็นสีขาวแบบทั่วๆไปแค่นั้น มันไม่ได้มีผลต่อความจำหรือสถานะเทพของเขา”
“ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะได้ผล มันไม่ได้มีพวกเทพจำแลงหรือพวกมนุษย์ครึ่งเทพอยู่แถวนี้เสียหน่อย”
พ่อมดคาราซัสเงียบลงไปเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มเหมือนมีเลศนัยตรงข้ามกับนักฆ่าเงาที่ดูไม่สบอารมณ์ไม่อย่างมาก
“งั้นดูนี่ให้ดีๆ....นี่พวกท่านโชคดีมากเลยนะที่จะได้เห็นตามปรกติข้าไม่ยอมทำแบบนี้ให้ใครดูหรอกนะ...เว้นซะแต่เงินถึงจริงๆ”
พูดจบเจ้าหนูพ่อมดก็ถลกเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นแล้วเปลื้องผ้าส่วนล่างให้หลุดออกไปเผยให้เห็นทุกส่วนสัดที่ขาวชมพูของเด็กน้อยที่ย่างเข้าช่วงวัยรุ่นได้ถนัดถนี่ หากนี่ยังสร้างความแตกตื่นแก่ลุงๆในห้องไม่มากพอล่ะก็ไม่ต้องห่วงเพราะทันทีที่ผ้านุ่งหลุดลงไปมือน้อยๆก็...
[ตัดเข้าสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น เพราะน้ำเชื่อมเทวดาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ อยากอ่านต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิค่ะ
เด็กอายุไม่ถึงสิบแปดเดี๋ยวอ่านแล้วไม่มีสติ ทำตามแย่เลยเน๊อะ]
อีกนิดก็จะเช้าแม้นมองไม่เห็นแสงที่ปลายขอบฟ้าก็ยังรู้สึกได้ พ่อมดตัวน้อยยืนมองหอนางโลมที่ตนเพิ่งออกมาอยู่บนดาดฟ้าของอาคารอีกฟาก ฮูดเสื้อถูกดึงขึ้นมาสวมเพื่อปกปิดบางส่วนของใบหน้าให้เห็นได้ลำบากหากถูกมองขึ้นมา แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับเห็นสายตาหม่นของเขาได้เป็นอย่างดีด้วยในหัวเล็กๆนั้นยังคงวนเวียนไปด้วยคำถามที่โยเฮนเอ่นถามเขาก่อนจะจากมา
ข้าถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมท่านถึงเกลียดเทพนักทั้งที่ท่านก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพแท้ๆ
ทำไมนะรึ? ไม่จำเป็นต้องตอบหรอกแค่รู้ไว้ว่าพวกเทพน่ะ อยู่แค่บนสวรรค์นั่นแหละดีแล้วไม่ควรสลอดสอดเสือกลงมายุ่งกับมนุษย์หรอก
นั่นแหละที่ควรจะรู้ ส่วนเหตุผลที่เหลือเป็นเรื่องที่ขี้เกียจจะพูดและไม่ใช่กงการของใครทั้งนั้น
“พวกนั้นเหมาไปจนหมดก็ดีแล้วนี่ เจ้ายังมีอะไรที่ให้อารมณ์เสียอีกรึคาจิ?” นักฆ่าเงาเอ่ยเรียกเด็กน้อยด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจ หากแต่คาจิตอบคำถามด้วยคำถามอีกข้ออย่างไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาเลย
“นี่ไซรัส ตอบข้าหน่อยว่าถ้าองค์ราห์โอรู้ว่าเทพองค์นั้นไม่มีangle syrupจะเป็นอย่างไร”
“หากไม่มีangle syrupก็ไม่ถือว่าเป็นเทพ เช่นนี้ก็จะถูกข้อหาหลอกลวงกษัตริย์มีโทษถึงตาย ซึ่งเจ้าก็ต้องการแบบนั้นมิใช่รึ”
“ใช่...นั่นดีแล้ว เขาจะต้องขอบคุณข้าแน่ถ้ารู้ว่าข้าช่วยเขากลับสวรรค์”
“..........”
“..........”
“ไม่กลัวโดนสวรรค์ลงโทษหรือไงคาจิ”
“เจ้าก็ไม่เห็นกลัว”
“นี่ไม่ใช่ศาสนาของข้า”
“เจ้ามีศาสนาด้วยหรอ”
“ไม่มีและไม่สน ไม่เคยมีเทพช่วยอะไรข้าอยู่แล้ว”
“ใช่ ถูกแล้ว พวกเทพน่ะมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
ความเงียบได้เข้ามาแทนบทสนทนาอีกคราก่อนบรรยากาศอึมครึมจะเปลี่ยนไปเมื่อคาจิเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ว่าแต่....วันนี้เจ้าน่ะทำให้ข้าหงุดหงิดยิ่งว่าพวกเทพบ้าบออะไรนั่นอีกนะ”
“โกรธข้าทำไม ไม่มีอะไรน่าโกรธ”
พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็หันควับมาค้อนก่อนจะเปลี่ยนท่าทีจากนิ่งๆเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาบัดดล
“ก็เจ้าน่ะมันคนบ้า! คนโรคจิตทำไมต้องทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นด้วยเล่า”
“เรื่องอะไร?”
“ยังมีหน้าจะมาถาม ก็ที่เจ้ารีดน้ำข้านั่นไง โรคจิต!”
“อ่อถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ต้องถามกลับว่าใครกันแน่ที่โรคจิต เจ้าอยากจะทำช้าๆให้พวกนั้นมันดูนานๆหรือไง ข้าช่วยรีบๆทำให้มันเสร็จๆก็ดีแล้วไม่ใช่รึ หรืออันที่จริงอยากโชว์”
เด็กน้อยเหวี่ยงแขนตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงก่อนจะตะคอกเสียงดัง
“คนงี่เง่า ถ้ามันถลอกขึ้นมาจะทำยังไงข้ายังไม่ทันโตเลยนะ”
“รู้ตัวด้วยหรอว่ายังเด็กอยู่ ถ้างั้นเรื่องแรดก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ”
“ไอ้บ้า! ไซรัสไอ้คนบ้า!คอยดูเถอะถ้าข้าโตข้าจะจับเจ้าทำเมีย”
“หึ รอไปอีกสิบชาติเถอะพอเจ้าโตข้าก็ทิ้งเจ้าแล้ว”
“ไม่จริงหรอกเจ้าอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีข้า อีกอย่างเรายังไม่เคยมีอะไรกันจริงๆเลย ข้ารู้เจ้ารอข้าโตกว่านี้ใช่ไหมล่ะแล้วถึงจะทำแบบนั้นใช่ไหมล่ะ มันไม่มีทางหรอกนะที่เจ้าจะไม่คิดอะไรกับเด็กน่ารักอย่างข้า ใช่ไหมๆๆๆ” เขาดึงชายเสื้ออีกคนอย่างคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบ อีกฝ่ายจึงยกยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหนี
“แรดแล้วยังพูดมากอีกนะ”
“ว่าไงนะ!” ขาเล็กๆวิ่งตามไปติดๆก่อนจะโดนฝ่ายนั้นอุ้มแล้วโฉบหายไปกับฟ้ามืด
----
ตอนที่โรเรเนสตื่นขึ้นก็เลยไปช่วงสายแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาปลุกจนกระทั่งลืมตาขึ้นมานั่นแหละถึงรู้ตัวว่าวันนี้ตื่นเลยเวลาปรกติ หากแต่ก็เข้าใจได้เพราะเมื่อคืนเขาเข้านอนดึกมาก อีกทั้งกว่าจะข่มตาหลับได้ก็กินเวลายืดออกไปอีก ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นค่อนข้างรบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดถึงมันจนผล็อยหลับและยังนึกถึงมันอยู่ในขณะนี้ที่เขานอนนิ่งทั้งลืมตาไม่แม้นแต่คิดจะลุกจากที่นอนในช่วงสายอันแสนสบายนี้ แพขนตากระพริบช้าๆสองสามครั้งพร้อมสายตาที่เหม่อลอยมองจ้องขึ้นไป
ที่เพดาน
จูบนั่น...
ใช่มันวนเวียนแม้นจะอยู่ในฝันจนตอนนี้ที่รู้สึกตัวเขาก็ยังคิดถึงมันอย่างไม่อาจปฎิเสธได้ เป็นทั้งสิ่งที่น่าอายและน่าประหลาดใจ แต่ที่รบกวนเขาไปมากกว่านั้นคือเขาค้นพบว่ารสจูบแสนพิศดารที่มั่นใจว่าแม้ตอนอยู่บนสวรรค์ตนก็ยังมิเคยเจอนั้น
....มันดีมาก
พวงแก้มเริ่มแต้มสีเลือดระเรื่อขึ้นเมื่อระลึกได้ถึงข้อนี้ อันที่จริงเขาคิดว่ามันดี ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับเพราะรู้สึกละอายเกินไปก็ตาม
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นยังหลอกหลอนอีกทั้งริมฝีปากที่ประทับดูดดึงนั้นก็ยังชัดเจนสว่างในความคิดแม้กระทั่งตอนนี้ เทพหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวม้วนหนีด้วยอายตัวเองกับความทรงจำวาบหวามนั้น
เรานี่มันแย่ที่สุด ไร้ยางอายเป็นที่สุด
ช่วงจังหวะที่กำลังพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หมดไปเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนแปลง ตอนแรกเมื่อช่วงตื่นเขายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอพลิกตัวมาตะแคงข้างถึงได้รู้สึกว่ามีบางสิ่งเปียกๆอยู่ที่หว่างขา
หรือว่า!!!
โรเรเนสกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เขาดึงผ้าห่มออกและก้มดูใต้ร่มผ้าของตนก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ฟารันทำแก่เขาก่อนนอนส่งผลไปถึงตอนหลับฝันของเขาด้วย จึงเป็นเหตุให้แก่นกายของเขาขับน้ำออกมาในตอนค่ำคืน แน่นอนว่ามันใสราวกับน้ำเชื่อม
“นี่ข้าเป็นพวกมักมากในกามไปแล้วหรอเนี่ย”
ถูกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงละห้อยและคอที่ตกเหมือนลูกหมา แต่ทว่าฉับพลันโรเรเนสก็เริ่มคิดว่าควรจะเอาไปให้ฟารันดูไหมเรื่องจะได้จบ
อาจจะไม่...
เพราะคนอย่างฟารันต้องอยากเห็นด้วยตาตัวเองแน่และเมื่อฟารันรู้เรื่องนี้ ตัวเขาเองก็คงจะไม่พ้นตกเป็นเหยื่อการกระทำอันอุกอาจน่าอายเช่นที่ผ่านมามิหนำซ้ำคงยิ่งกว่าที่เคยเจอ สิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดคือเมื่อกษัตริย์หนุ่มเห็นว่าเขาเกิดอาการ ฝันเปียก ก็คงจะพูดทำนองว่า
“เจ้าไม่ได้แกล้งเอาน้ำเชื่อมมาหยอดเล่นใช่ไหม?” หรือไม่ก็
“ข้าขอพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเองก่อนเถอะ”
และฟารันก็คงจะ...
ทำนั่น....
ทำนี่....
ซึ่งจะทำให้เขารู้สึก....
ชอบ? ..... เหมือนเมื่อคืน....
ไม่นะ!!!!!
เจ้าของตาหวานดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงแล้วดิ้นกระฟัดกระเฟียดไปมาเหมือนเด็กโดนขัดใจ ด้วยหงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่ร่างกายนี้ได้รับได้
“ข้าเกลียดร่างนี้! ข้าเกลียดร่างนี้!”
ใช่ร่างกายมนุษย์นี้น่ารังเกียจด้วยมิอาจปิดบังความรู้สึกใดใดได้อีกทั้งยังทำให้จิตใจไขว้เขวไปในทางเสื่อม ต้องเป็นเพราะกายหยาบนี่ล่ะที่ทำให้เขากลายเป็นคน มักมากในกาม อย่างที่ตัวเองคิด...ช่างน่าละอายยิ่งนักโรเรเนสเอ๋ย
แต่กิริยาหงุดหงิดงอแงเหมือนเด็กๆก็ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงเรียกพร้อมเคาะประตูดังมาให้ได้ยิน คงจะเป็นกลุ่มหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ประจำในการดูแลเขา แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครเพราะอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นพวกมักมากในกามได้ เทพหนุ่มผู้ไม่ประสีประสาต่อทุกอย่างในโลกมนุษย์จึงเทน้ำดื่มในเหยือกลงที่จุดเกิดเหตุให้คราบใสถูกชะหายไปจากผืนผ้า ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้พวกนางเข้ามา แน่นอนว่าพวกนางเข้าใจผิดในคราแรกว่าน้ำที่เลอะเทอะบนเตียงนั้นเป็นสิ่งอื่นแต่ก่อนที่จะคิดไปไกลกว่านั้นบุรุษผู้นั่งทำหน้าเหนียมอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นก่อน
“อภัยในความซุ่มซ่ามของข้าด้วยพอดีจะดื่มน้ำแต่กลับทำหลุดมือ”
เมื่อเข้าใจถึงเหตุสีหน้าแปลกใจจึงคลายกลายเป็นเป็นห่วง ด้วยพวกนางรู้ว่าชายคนนี้เป็นผู้ป่วยซึ่งเป็นสหายขององค์ราห์โอที่เดินทางมาสปันเทียเพื่อมารักษาตัวกับท่านหมอหลวงจึงอาจมีบ้างที่ผู้ป่วยจะพลาดพลังมือไม้อ่อนหรือเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยตามประสาผู้อ่อนแอ
นางข้ารับใช้จึงรีบเข้ามาประคับประคองเขาห่วงใยก่อนทุกคนจะเริ่มทำหน้าที่ปรกติโดยผลัดเปลี่ยนผ้าปูเตียงขณะที่เขารับประทานอาหารเช้าในส่วนห้องรับแขกด้านนอก ซึ่งคราวนี้เป็นที่น่าแปลกใจเพราะผู้ที่นำอาหารเสิร์ฟนั้นไม่ใช่ชาช่าหญิงรับใช้คนสนิทของตน จุดนี้เขาจึงต้องเอ่ยถามออกไปด้วยเพราะเพื่อความปลอดภัยของเขาท่านหมอหลวงไม่ยอมให้ใครนำอาหารมาเสิร์ฟให้เขานอกเหนือจากชาช่าเลย
“ชาช่าไปไหนเสียเล่า” หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายหันมายิ้มให้ก่อนจะตอบ
“ชาช่าไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้หัวหน้าคนใช้จึงให้นางพักเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ นางเป็นอะไรมากไหม”
“ท้องร่วงนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
“แปลกจริงปรกตินางเป็นคนแข็งแรงมากแถมยังกินได้สารพัดอีก”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบว่านางไปกินอะไรแผลงมา แต่ว่าคงไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”
โรเรเนสมองอาหารเช้าในสำหรับอย่างครุ่นกิน ก่อนจะเริ่มลงมือกินไปอย่างไม่ใส่ใจหญิงรับใช้หน้าใหม่ที่เป็นผู้เสิร์ฟอาหารยังเฝ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อ แม้นเขาจะชวนคุยและถามชื่อเพื่อให้นางคลายความเกร็งแต่นางผู้ไม่คุ้นหน้าก็ยังมีอาการตื่นๆอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่ดี
จนกระทั่งเขาหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มแล้วก็เอะใจบางอย่างจนถึงกับผละหน้าออกมา
“นมนี่มัน!”
“อะ อะไรเจ้าคะ นะ นมมันทำไมเจ้าคะ” หญิงรับใช้ผู้เป็นคนเสิร์ฟออกอาการลุกลี้ลุกลนทันทีที่เห็นหน้าตื่นตระหนกของผู้เป็นนาย โรเรเนสมองดูแก้วนมอย่างตกใจก่อนจะพูดต่อ
“ทำไมมันหวานได้?ปรกติไม่ใช่รสนี้นี่”
นางผู้นั้นอึกอักตอบไม่ถูก หญิงรับใช้คนอื่นที่อยู่ด้วยก็เห็นผิดสังเกตเช่นกันจึงหันมามองนางเป็นตาเดียวทว่า...
“อร่อยดีนะ ข้าชอบ”
แล้วเขาก็ซัดโฮกที่เดียวหมดแก้วโดยไม่สงสัยอะไรเลย บรรยากาศทั้งมวลเมื่อครู่จึงมลายไปกลายเป็นปรกติทุกอย่างและหลังจากที่เด็กหนุ่มอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ถึงคราวท่านหมอหลวงเข้ามาตรวจอาการ ครั้นเมื่อสั่งให้หญิงรับใช้ทั้งหมดออกไปเพื่อทำการตรวจ โรเรเนสก็ตัดสินใจปรึกษาบางอย่างกับอีกฝ่าย
“ท่านหมอ...ข้ามีเรื่องจะถาม” ตาเศร้าพูดเสียงอ่อยอย่างอึดอัด หมอหลวงพยักหน้ารับอย่างสนใจแล้วรอรับฟัง
“คือว่า ท่านจำเรื่องที่ท่านบอกข้าได้ไหมว่าปรกติแล้วร่างกายของมนุษย์ อ่าม...ที่เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ มัน ตอนเช้าตรงนั้นมันจะ จะตื่นตัวอย่างที่ท่านบอกว่า ว่ามันปรกติ”
“ใช่แล้ว มีอะไรรึท่านยังกังวลเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”
“มิใช่หรอกแต่ว่า...ข้าสงสัยถ้ามันมีอะไรมากกว่านั้นจะถือว่าผิดปรกติไหมท่าน”
ท่านหมอมองหน้าอีกฝ่ายอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเริ่มขำออกมาเบาๆ แต่นั่นยิ่งกลับทำให้เด็กหนุ่มร้อนใจไปยิ่งกว่าเดิม ตาหวานๆละห้อยน้อยเหมือนลูกหมาก่อนเขาจะเปลี่ยงเสียงกึ่งอู้อี้ออกมา
“ท่านหมอ....อย่าขำสิ ข้าจริงจังนะ”
“มันมีน้ำข้นๆออกมาใช่ไหม?”
“ช่าย....มันแย่มากไหม”
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านมนุษย์เพศชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์นั้นเป็นกันได้ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นตอนต้นๆ ถึงแม้ร่างกายท่านจะไม่ใช่เด็กแรกรุ่นขนาดนั้นแต่ก็ถือเป็นร่างกายที่ใหม่กำลังปรับตัวสู่การเป็นมนุษย์ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”
“ข้าไม่ได้เป็นพวกมักมากในกามใช่ไหม นี่ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหนักใจไปไม่ถือว่าแปลกอะไร ต้องยินดีด้วยซ้ำว่าตอนนี้ท่านแข็งแรงดีและสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว”
เด็กหนุ่มที่ยังแก้มแดงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
“แต่ว่า มันไม่ใช่จู่ๆจะเป็นแบบนี้ขึ้นมาหรอก ถ้าเป็นเด็กอายุ11-13ก็เป็นไปได้ที่ร่างกายมันจะขับน้ำออกมาเองโดยเจ้าตัวไม่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งอื่น แต่ถ้าโตกว่านั้น....ก็ต้องดูว่าเมื่อคืนนี้ไปทำอะไรมาหรือว่าฝันถึงอะไรอยู่”
คราวนี้ตาหวานหลุบหนีเหมือนถูกจับได้ว่าทำผิดหมอหลวงเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดูแต่ก็ไม่สาวความต่อ ด้านโรเรเนสที่รู้สึกอึดอัดใจก็พยายามคิดเรื่องพูดเรื่องอื่นจนกระทั่งฉุกคิดได้ว่าท่านหมอพูดอะไรออกมาก่อนหน้านี้
“เอ..ว่าแต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้าแข็งแรงดีแล้ว”
“อ้าใช่ ท่านหายดีแล้ว”
“หะ? ยังไงนะท่านหายคือ?”
“จากการที่ข้าตรวจท่านและการที่ร่างกายท่านขับน้ำนั้นออกมาได้ตามธรรมชาตินั้นบอกได้ว่าท่านแข็งแรงสมบุณณ์ดีแล้วรวมทั้งหัวใจท่านด้วย พูดง่ายๆก็คือ...มันถงเวลาที่ท่านต้องให้องคืราหืโอพิสูจน์ความเป็นเทพของท่านแล้ว”
“ไม่นะ!”
“หืม...ทำไมกัน มิใช่ว่าท่านอยากให้มันจบๆไปหรืออย่างไรเสียท่านก็มีangel syrupอยู่แล้วนี่หลังจากนี้สถานะความเป็นเทพของท่านจะได้ไม่อยู่ในความสงสัยอีกต่อไป”
“ตะ...แต่..แต่ ข้ายังไม่พร้อมนะ”
“ร่างกายท่านพร้อมแล้ว”
“แต่หัวใจข้ายังไม่พร้อม”
“หัวใจท่านพร้อมแล้ว”
“ไม่ข้าหมายถึงสภาพจิตใจน่ะ”
“อ่อ”
“เช่นนั้น ข้าอยากจะขอเวลาซักหน่อยท่านอย่างเพิ่งบอกฟารันนะ”
“จะให้ข้ากล่าวเท็จกับราห์โอเห็นทีจะไม่ควร”
“โธ่ นะเรื่องนี้เมื่อข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกเขาเองไม่นานหรอกนะ”
“โอ้ นี่ข้าถูกเทพขอร้องให้โกหกหรือเนี่ยหึๆ”
“อภัยข้าเถอะท่านหมอ ท่านก็ถ้าฟารันรู้เขาต้องไม่หยุดแค่พิสูจน์สถานะเทพของข้าแน่ๆ”
“หืม นี่ท่านกำลังจะบอกว่าองค์ราห์โอจะ...”
“ใช่ๆ ฟารันเขาจะ จะต้อง...”
“โฮ่ง!” เสียงลั่นกังวานของหมาน้อยกีก้าดังเข้ามาจากหน้าประตู มันวิ่งแผล็วเขามาในห้องก่อนจะกระโจนเข้าใส่เทพหนุ่มอย่างร่างเริง
“กีก้า?” โรเรเนสก้มลงขยี้หัวสุนัขอย่างเอ็นดู พวงหางสีขาวเทากระดิกดีใจพร้อมกับอาการตะกายอย่างตื่นเต้นของเจ้าหมา
“หืม แปลกจริงปรกติบริเวณนี้มันเข้าไม่ได้นี่นาเว้นเสียแต่ว่า” ข้อสังเกตของท่านหมอยังไม่ถูกเอ่ยออกมาแต่ก็ไม่ผิดจากที่เขาคาดเมื่อเจ้าของสุนัขเดินย่างเข้ามาในห้องพร้อมคนสนิท
“ข้าพามันมาเองล่ะท่านหมอ หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ”
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
หมอหลวงโค้งคำนับกษัตริย์หนุ่มอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเริ่มพูดคุยโดยทั้งสองเหมือนจะไม่ได้สังเกตอาการของเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นๆเล็กน้อยพร้อมกลับก้มหน้าก้มตาซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนไว้
“วันนี้ทรงดูสดชื่นเป็นพิเศษ”
“งั้นรึ ข้าไม่ยักสังเกตตัวเอง”
“ข้าจะทูลถามได้หรือไม่ว่ามีเรื่องพิเศษอันใด”
ฟารันเหยียดยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรแต่สายตากลับเปลี่ยนไปมองที่เทพหัวม่วงที่อยู่ข้างกันแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ลากลอซก็เอ่ยตอบขึ้นมาแบบหยอกๆ
“โฮ่!ท่านหมออย่างต้องถามให้เหนื่อยหรอกก็เรื่องที่ท่านเดาได้นั่นแหละ”
หมอหลวงมองหน้าเลขาสนิทด้วยนึกคิดก่อนอีกฝ่ายจะพยักหน้าให้อย่างรู้กันเขาจึงหันไปมองคนไข้ตนที่ยืนเจี๋ยมอยู่ข้างๆ แล้ววกไปมององค์ราห์โอก็จึงได้ถึงบางอ้อ
โรเรเนสเห็นว่าทุกคนเงียบไปแลรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้อง จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนอย่างช้าๆ จนเมื่อได้สบตาคมที่ฉายแววอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเช่นนั้นเลือดลมเขาก็กลับฉีดพล่านขึ้นมาอีก ร่างสูงยิ้มเอ็นดูในหน้าหวานก่อนจะเอ่ยทัก
“สวัสดี”
“สวัสดี”
ตาเชื่อมเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วอย่างประหม่า ก็แน่ล่ะเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าหลังจากปฏิกิริยาของเขาเมื่อคืนที่มีต่อการจูบจะทำให้ฟารันทำอะไรเขาบ้างในวันนี้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้”
“ก็สบายดี”
ฟารันหลิ่วตามองอีกฝ่ายอย่างมีเลสนัยก่อนจะหันไปคุยกับท่านหมอแทน
“ท่านหมอคนไข้ของท่านหายดีรึยังล่ะ”
คราวนี้โรเรเนสถึงกลับขนลุกเกรียว เขาหันไปมองท่านหมอด้วยสายตาอ้อนวอน...อย่าบอกเขานะ
“อ่ามก็....”
“อย่างไรเล่าท่าน”
“แข็งแรงดีกระหม่อม”
ไม่นะ
“แต่ว่าหลังจากนี้ ข้าคิดว่ายังต้องดูอาการอีกซักพักข้ายังมิอาจฟันธงอะไรได้จริงจัง”
เฮ้อ...
“โอ้งั้นรึ ก็ถือว่าดีถ้าข้าพาไปเดินเล่นก็พอจะได้ใช่ไหม”
“ได้สิฝ่าบาทเขาใช้ชีวิตปรกติได้เหมือนคนอื่นแล้วไม่ต้องประคบประหงมมาก เว้นแต่เรื่องนั้นที่ยังต้องขอเวลาอีกซักหน่อย”
“ดีถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอยืมตัวคนไข้ท่านไปเสียหน่อยเรามีเรื่องต้องคุยกันน่ะ”
“หา?” หน้าหวานร้องเสียงหลงอย่างลืมตัวแต่คนอื่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาเลย
“ได้เลยฝ่าบาทเชิญตามสบาย”
แล้วกษัตริย์หนุ่มก็คว้าแขนเทพน้อยแล้วเดินออกไปทันทีโดยมีหมาเตี้ยวิ่งไล่ตามไปเป็นกำลังใจ
.
ท่านหมอหลวงและเลขาคนสนิทมองตามอย่างมีนัยยะแต่ต่างกันตรงที่คนแรกอย่างฉงนกลับอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสนุก
“ก่อนหน้าเห็นท่านโรเรเนสเอ่ยว่าองค์ราห์โอมิใคร่จะชอบตนนักแถมที่ข้าเห็นก็เห็นว่าทั้งสองไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่น้อย เหตุไฉนวันนี้ถึงดูสนิทสนมกันได้”
“น่าจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนล่ะท่านหมอ”
“ท่านไปรู้อะไรมารึ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เมื่อวานตอนบ่ายองค์ราห์โอเห็นข้าอยู่กับท่านโรเรเนสสองต่อสองก็เกิดริษยาฉุนเฉียวอย่างหนักจนต้องเรียกข้าไปคุย แต่ข้าเองก็ทูลไปว่าเป็นความเข้าใจผิดอีกทั้งท่านโรเรเนสยังกำลังอยู่ในอารมณ์น้อยใจราห์โอด้วยซ้ำที่ไม่ใส่ใจตน พอได้ยินแบบนั้นก็ทรงแปลกใจเป็นอย่างมากและอยากจะปรับความเข้าใจกับท่านโรเรเนสเป็นที่สุดแต่ตอนนั้นยังทรงเกรงว่าฝ่ายนั้นเขาจะกลัวข้าก็เลยทูลไปว่าให้ลองไปรออยู่ที่สวนส่วนพระองค์ดูเพื่อจะดวงดี”
ท่านหมอนิ่งมองเลขาหนุ่มอย่างนึกคิดไม่กี่อึดใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“เท่ากับว่าไม่ได้มีแต่ข้าใช่ไหมที่คิดว่าทั้งสองฝ่ายสนใจกัน”
“ชัดเจนเสียเพียงนั้นท่านยิ่งองค์ราห์โอนี่ท่านก็เห็นมาแต่ทรงพระเยาว์คงเดาได้ว่าพระองค์คิดอะไร”
“ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองจะได้ไปเจอกันที่สวนนั่น”
“ข้าก็แค่เดา ด้วยเมื่อคืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงหากเท่าทราบ”
“ใช่ กุหลาบจันทราเบ่งบานเมื่อคืนวานอย่างที่ทราบ”
“และข้าก็บอกท่านโรเรเนสไปเช่นนั้น ฝ่ายนั้นดูกระหายใคร่อยากจะเห็นรบเร้าให้ข้าพาไปแต่ข้าก็ปฏิเสธ ข้าจึงคาดเดาไปว่าเขาอาจจะพอมีความซุกซนอยู่มากพอที่จะแอบไปดูดอกกุหลาบคนเดียวในยามค่ำ เช่นนั้นข้าจึงบอกให้ฝ่าบาทไปดักรอไว้และไม่ต้องลงกลอนประตูสวนก็เท่านั้นเอง”
ครานี้หมอหลวงหลิ่วตามมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจก่อนจะเบี่ยงสายตาไปจับจ้องสิ่งอื่น
“เจ้าเล่ห์อย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแต่เด็กจนโตเลยนะเจ้าเนี่ย”
“แน่น๊อน ข้าถึงเป็นพระสหายได้อย่างไรเล่า”
“หากแต่มันจะราบรื่นสมใจก็คงเป็นมิได้หรอก”
“ทำไมรึมันจะมีปัญหาอันใด...หรือท่านโรเรเนสมิใช่เทพแล้วล่ะท่านก็ไหนท่านบอกแต่แรกว่า...”
“แน่นอนว่าเขาเป็นเทพ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือไม่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ไม่มีทางราบรื่นไปได้แน่ ทั้งด้วยอุปนิสัยของทั้งคู่เอง สถานะทางสังคมแล้วไหนจะ....พวกผู้ประสงค์ร้าย”
“นี่อย่าบอกนะว่าท่านก็เชื่อเรื่องที่ท่าน..โยเฮน” ปลายเสียงของเลขาหนุ่มแผ่วลงจนเป็นกระซิบ
“เป็นแค่ลางสังหรณ์...เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ข้าไม่รู้หรอก แต่คนเขาก็พูดกันเยอะอย่างที่ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าขุนนางผู้นี้ไม่ซื่อซักเท่าใด”
“ทั้งข้าและฝ่าบาทก็เคยได้ยินมามากเกี่ยวกับท่านโยเฮนหากแต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ความทุจริตของเขาอีกทั้งก็เป็นอย่างที่ทราบว่าเหล่าขุนนางมักใส่ร้ายกันเพื่ออำนาจหน้าที่อยู่แล้วฝ่าบาทจึงไม่ทรงสามารถตัดสินใจทำอะไรกับเขาได้ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนดีก็ได้นะท่านเพราะก็เห็นว่าท่านโยเฮนขยันขันแข็งถวายงานตั้งแต่ราห์โอองค์ก่อน ความดีความชอบก็มีมากท่านก็เห็นอยู่”
“ใช่ ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะตั้งข้อสงสัยในความจงรักษ์ภักดีของชายผู้นั้นเพียงแต่เรื่องอันเชิญเทพในครานี้ เขาออกจะดู....เดือนร้อนมากจนเกินปรกติ”
“อืม....ว่ากันตามตรงข้าก็แปลกใจที่ท่านโยเฮนดูจะไม่ชอบให้มีเทพอยู่ในวังเป็นเอามาก แต่ข้าว่าด้วยปรกติเขาออกตัวชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่แล้วผสมกับที่เป็นคนจริงจังขี้หวาดระแวงท่านโยเฮนก็คงเกรงว่าพวกนักบวชจะมาหลอกลวงฝ่าบาทกระมัง ท่านก็พอทราบอยู่นี่ว่าพักหลังมีประชาชนร้องเรียนเรื่องนักบวชเอาศาสนามาหากินบ่อยๆช่วงนี้ศาสนจักรชื่อเสียมากอยู่”
บทสนทนาเงียบลงไปพร้อมกับความนึกคิดที่เริ่มผุดขึ้นในใจเลขาหนุ่ม....แต่เขามิใช่คนผลีผลาม ยังก่อน มิอาจทำอะไรได้หากไม่มีหลักฐาน ยังก่อน...
-------------------
กลับมาแว้นนนนนน ยังมีใครอยู่ไหมมมมมเอิ๊ก
ความคิดเห็น