ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Angel Syrup [YAOI ทะเลทราย]

    ลำดับตอนที่ #8 : Syrup 7 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 181
      1
      26 ก.พ. 58


    เสียงฝีเท้าสาวเร็วไปตามทางเดิมเด็กหนุ่มผมม่วงแก้มระเรื่อด้วยไม่ทราบว่าเหนื่อยจากการเดิมเร็วๆหรือเพราะสิ่งใด

    “ท่านจะพาข้าไปที่ไหนน่ะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับหยุดเดินก่อนจะมองไปรอบๆทางเดินที่ทั้งสองยืนอยู่แล้วหันไปคุยกับเจ้ากีก้าก่อนจะคุยกับคนด้วยซ้ำ

    “เรี่ยดิน(ชื่อเล่นที่ฟารันเรียกกีก้า) ไปเล่นที่อื่นไป”

    เจ้าหมาน้อยเอียงคอสงสัยพร้อมสงเสียงสูงๆในลำคอ

    “ไปขอขนมกินในครัวไป ไปซี่ ไปเร็ว!

    กีก้างุนงงเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจได้ว่าเจ้านายไม่อยากให้ตนตามไปประกอบกับพอนึกถึงเรื่องขนมก็เลยยอมวิ่งกลับไปทางเก่า  เด็กหนุ่มมองตามหมาน้อยอย่างสิ้นหวังรู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัยทันทีที่มันวิ่งหายไป แลเมื่อหันกลับมาก็พบกับแววตาเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจของคนที่ลากเขามา

    “คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าตอนที่ไอ้หมาเตี้ยมันไม่อยู่งั้นรึ”

    “เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ใช่คนคิดอะไรพรรค์นั้นอยู่แล้ว”

    “หืม...นี่ว่ากระทบข้างั้นรึ” เจ้าของตาคมช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วจ้องแบบดุๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังดื้อสู้ตาทั้งที่เห็นได้ชัดว่าตนเองค่อนไปทางประหม่า

    “หึ ดูท่าจะกล้าขึ้นนะหลังจากโดนจูบท่าจะอยากโดนอีกล่ะสิท่า”  ครานี้ตาหวานเม้มปากแน่นแต่ก็ยังมิยอมหลบตา จนอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหมายจะจูบ

    จึงชักหน้าหนีแถมหลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็เพียงแค่จุมพิตลงบนหน้าผากมนก่อนจะหัวเราะอย่างชอบใจ

    “ไม่ได้จะกัดเสียหน่อยกลัวอะไร” ฟารันเอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้มแอบรู้สึกหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยค้อนมองตนเป็นอย่างมาก

     “ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดูน่ะ”

    เขาเอ่ยด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยนก็จะจูงมืออีกฝ่ายให้เดินไป แม้นจะไม่คุ้นชินแต่เด็กหนุ่มก็จำได้ว่าเป็นทางไปสวนที่ตนแอบมาเมื่อคืน ราห์โอจะให้เขาดูอะไรในสวนกันนะ?

    แลเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูลับที่ปิดอยู่กษัตริย์หนุ่มก็ดุนหลังเด็กหนุ่มเบาๆให้เดินไปข้างหน้า

    “ลองเข้าไปดูให้ทั่วๆสิ ลองสังเกตดูว่ามีอะไรแปลกไปไหม”

    ฟารันเอ่ยเสียงเรียบเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แววตาของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด เช่นนี้โรเรเนสก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย  จึงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างใคร่รู้

    สวนกระจกยามกลางวันนั้นก็งามต่างไปอีกแบบจากตอนกลางคืน บรรยากาศเย็นชื้นแตกต่างกับด้านนอกเป็นอย่างมากซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจด้วยเพราะแม้นจะเห็นอยู่ชัดๆว่าแสงแดดแรงกล้าของยามสายสาดส่องสว่างไสวไปทั่วแต่ก็ไม่มีวี่แววของความร้อนแผ่ลงมาแม้แต่น้อย คงด้วยการออกแบบโดมและน้ำตกกระจกด้านบนเป็นแน่ที่ความคุมอุณหภูมิสวนแห่งนี้เอาไว้

    เทพหนุ่มเห็นเหล่าพรรณไม้เขียวขจีมากมายได้เต็มตายิ่งกว่าเคยเมื่อทุกอย่างถูกฉายชัดด้วยแสงตะวัน เสียงน้ำไหล ไอเย็นและกลิ่นสดชื่น มีให้ดื่มด่ำไปเรี่ยทางเหมือนไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งเดินไปถึง จุดเดิมที่ท้ายสวน ณ พุ่มไม้หนามที่เขาได้แอบลักลอบมาเชยชมเมื่อคืน ความตื่นเต้นประหลาดใจก็ทวีขึ้นมาอย่างประหลาด ตาหวานเบิกกว้างอย่างนึกทึ่งก่อนจะรี่วิ่งเข้าไปหาไม้พุ่มนั้น

    “นี่! นี่!มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” เด็กหนุ่มละล่ำละลักพูดขณะจ้องเป๋งไปที่พุ่มไม้ตรงหน้า องค์ราห์โอที่เดินตามมาไม่ห่างยกยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นความร่าเริงของอีฝ่าย

    “น่าแปลกไหมเล่า ดอกไม้ที่น่าจะบานเพียงคืนเดียวกลับยังอยู่ได้ข้ามวันมาได้ป่านนี้ ข้าพนันเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกบนโลกที่กุหลาบจันทราเบ่งบานได้ใต้แสงตะวัน”

    ก็เป็นเช่นนั้นเสียจริงๆ ด้วยดอกกุหลาบที่น่าจะร่วงหล่นไปเมื่อพระจันทร์ลับขอบฟ้ากลับยังชูช่อยู่เหมือนปรกติ เพียงแต่เหลือดอกเดียวเท่านั้นและเป็นดอกที่เทพหนุ่มประทับจุมพิตไปเมื่อคืน

    โรเรเนสมองอย่าประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างมีชัยแล้วชายตาไปมองอีกคนที่ข้างกันด้วยตาหวานแบบหยอกเย้า

    “ไงล่ะ นี่เพราะข้าเป็นเทพอย่างไรเล่าถึงได้เกิดปาฏิหารเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยด้วยเสียงใสที่ปนความยโสเหมือนเด็กๆอยู่ในนั้น  ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะกระชากมาหอม ณ เดี๋ยวนั้น แต่ก็เพียงส่งเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอแล้วเหยียดยิ้มให้

    “งั้นรึ ถ้าเช่นนั้นองค์เทพความทรงจำของท่านคงกลับมาแล้วสิ?”  ฟารันเรียกด้วยสรรพนามใหม่เพื่อเย้าเล่น

    “มันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

    “เอ้า ก็เจ้ามีพลังทำให้ไม้ดอกบานเช่นนี่ก็แปลว่าความเป็นเทพลงประทับร่างแล้วสินะเช่นนี้ก็ต้องจำอะไรๆได้ทั้งหมดแล้วสิ”

    เทพหนุ่มหน้ามุ่ยแล้วหลบตา เขาคิดทบทวนอยู่เล็กน้อย

    “ก็พอจะจำได้อยู่หรอก”

    “เช่นอะไร”

    “ก็เรื่องบนสวรรค์”

    “เรื่องนั้นไม่เอา มนุษย์บนโลกที่ได้อ่านคำภีร์ก็รู้เช่นกัน”

    “เรื่องประวัติสปันเทียข้าก็จำได้รางๆ”

    “เรื่องนั้นก็ไม่เอา ประวัติสปันเทียใครๆเขาก็รู้”

    “เอ้า ถ้างั้นจะให้ข้าพูดถึงเรื่องอะไรท่านถึงจะเชื่อว่าข้าเป็นเทพเล่า”

    “ก็....คำขอของข้าไง”

    “ท่านขอให้ผลผลิตดีตลอดปีและประชาชนร่มเย็นเป็นสุข”

    “เรื่องนั้นมันเดาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

    เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอเหมือนเหมือนขัดใจแล้วค้อนน้อยๆส่งไป

    “อะไรกันอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอบคำถามข้ามาได้ข้อเดียวข้าจะพอใจทันทีเลยล่ะ”

    “?”

    “ข้าขออะไรเจ้าในวันนั้น วันที่ข้าอยู่ในตรอกตอนข้าอายุ8ขวบ”

    “วันนั้น??...ในตรอก”

    เด็กหนุ่มมองตอบไปด้วยดวงตาใสแป๋วอย่างไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจซักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

    ฟารันเห็นความว่างเปล่าในท่าทีของอีกฝ่ายจึงหลุ่บตาลงต่ำเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างอยู่ในที 

    แล้วเงียบ

    จู่ๆอารมณ์คึกครื้นกึ่งหยอกล้อต่อล้อต่อเถียงนั้นก็ขาดหายไปเหมือนถูกมีดตัด มันหายไปเหมือนตกห้วงและที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นบรรยากาศหนักอึ้งน่าประหลาดที่ยากต่อการเข้าใจ ไร้ที่มา เจือปนด้วยความเศร้าที่แผ่กระจายอย่างจางๆ

    ฟารันนึกคิดบางอย่างโดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าจะถามถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้อยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่พูด

    “ข้ายอมให้เจ้าลืมทุกอย่างในจักรวาลนี้เพื่อแลกกับการจำเรื่องนี้ได้เรื่องเดียวเลยรู้ไหม”

    “มัน...มันสำคัญกับท่านมากสินะ”

    “อืม...อาจฟังดูกตัญญูนะแต่ข้าพูดได้เลยว่ามันยิ่งกว่าตอนพ่อแม่ข้าตายอีก”

    สวรรค์เรื่องสำคัญแบบนี้ข้าจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน

    โรเรเนสเริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองจำเรื่องนี้ไม่ได้จึงเดินเข้าไปใกล้ เหลือบมองใบหน้านิ่งที่ฉาบบางด้วยความเศร้านั้นด้วยตาหวานอ้อน

    “นี่ ข้าสัญญานะว่าข้าจะดูแลต้นไม้ท่านให้ดีๆเลย แล้วพอความทรงจำข้ากลับมาข้าจะตอบคำถามทุกคำถามที่ท่านอยากรู้....แต่ให้เวลาข้าก่อนนะ”

    กษัตริย์หนุ่มนิ่งอึ้งมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แปลกใจกับท่าทีอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความจริงใจใสซื่อโดยไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน มันช่าง.....วูบหนึ่งที่จ้องมองแววตาที่จริงใจนั้น มันช่าง.....มีความสุข

     

    ทว่าอารมณ์หวานหอมอบอุ่นก็โดนช่วงชิงไปโดยรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์หนุ่ม เช่นเดียวกับความคึกครื้นโดนความหนักอึ้งช่วงชิงพื้นที่แห่งห้วงเวลาไปเมื่อครู่ ด้วยเหตุผลบางอย่างฟารันยังมิยอมให้อารมณ์ลึกซึ้งของเขาปรากฎขึ้นต่อหน้าอีกฝ่ายในขณะนี้จึงจงใจเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนท่าทีเป็นดั่งหนุ่มกระหายหื่นให้ร่งเล็กขวัญเสียขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     “หึหึ...เช่นนั้นเราคงต้องใช้วิธีเดิมแล้วกระมัง”  หน้าหล่อกระลิ้มกระเหลี่ย สื่อให้รู้ชัดว่าหมายถึงอะไร ตาหวานจึงหน้าบึ้งขึ้นมาอีกแล้วถอยหนีทันที

    “ก็หรือไม่จริงเล่า ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่าเรื่องสถานะของเจ้ามันปล่อยให้ค้างคาเนิ่นนานไม่ได้”

    “.......”

    “เงียบทำไมเล่า เช่นนี้ถือว่ายินยอม”

    “เมื่อคืนเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”

    “คิดว่าข้าจะผิดสัญญาหรือ ไม่หรอกไม่เชื่อข้าหรือไง?”

    “.........”

    หน้ามุ่ยหนีไม่ตอบกลับมา ฟารันเห็นแล้วนึกหมั่นเขี้ยวจึงดึงตัวเข้ามากอด

    “อะ อะ อย่านะ”

    “พอข้าใจดีด้วยหน่อยก็ต่อปากต่อคำเชียวนะ ต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว”  กระนั้นแล้วริมฝีปากหนาจึงลงประทับบดเบียดอีกฝ่ายก่อนจะล่วงล้ำดูดดื่มอย่างหวานละมุน เสียงครางเบาดังขึ้นแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนี้ได้  เกี่ยวกระหวัดตักตวงรสหวานอย่างตั้งใจครู่หนึ่งแล้วผละออก ปล่อยให้เด็กหนุ่มแก้มแดงซ่านที่เรี่ยวแรงถดถอยลงไปทุกขณะหอบกระเส่าน้อยๆอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงลงจูบอีกครั้งอย่างเนิบนาบกระตุ้นช้าด้วยปลายลิ้นที่สอดรัด ย้ำจังหวะดูดดื่มซ้ำเป็นระยะช้าๆแล้วถอดออกเมื่อถึงจุดพึงใจ

    หากคราวนี้ราห์โอหนุ่มยังมิอาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ง่ายเช่นคราวก่อนแต่กลับจูบลงที่ซอกคอแล้วซุกไซ้ขบเล่นอย่างช่ำชอง

    “อ๊ะ อ๊ะ อื้มม ราห์โอ หยุดเถอะ อื้ออ”

    แม้นจะเป็นการประท้วงแต่ก็เป็นการเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มหวานกระเส่าทำให้องค์ราห์โอไม่คิดจะสนใจคำทักท้วงนั้น ตรงข้ามกลับเพิ่มการสัมผัสระหว่างกันจากแค่การซุกไซ้บริเวณคอเพื่อเป็นมือซุกซนที่เริ่มเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนลงไปถึงจุดที่...

    “ยะ หยุดน้าาาา อ๊า!!!” เด็กหนุ่มตกใจตื่นจากภวังค์อันเคลิบเคลิ้มแล้วเริ่มดิ้นอย่างแรง ราห์โอที่ไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไม่อย่างช่วยไม่ได้

    “ไหนท่านสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำถ้าข้าไม่ยอม คนนิสัยไม่ดีๆ ข้า ข้า .....”  ตาหวานที่อยู่อารามตกใจระคนโกรธนิ่งคิดกับตัวเองว่าจะด่าอะไรดี

    “ถ้าท่านยังขืนทำแบบนั้นอีกนะข้าจะโกรธท่านแล้วไม่พูดกับท่านอีก แล้วข้าจะแช่งด้วยสาบาญต่อสวรรค์ตรงนี้เลยขอให้ไม่มีลูกไม่มี...”

    “อ่าพอๆ ข้ายอมแล้วอภัยข้าเถิด” องค์ราห์โอขัดขึ้นแม้นยังไม่จบประโยค  ก่อนจะยิ้มแกมขันให้แทน

    “ยิ้มอะไรข้าจริงจังนะ นี่ข้าโกรธท่านะรู้ไหม”

     ทว่าแก้มแดงๆตากลมๆพร้อมกับปากที่มุ่ยลงกลับยิ่งทำให้ดูน่ารักเสียมากกว่า

    “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาหรอกแต่ว่า....ก็คิดว่าเจ้าจะพึงใจ

    โรเรเนสจ้องตาอีกฝ่ายอึดใจหนึ่งก่อนจะหลุบหนีด้วยตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาก็...พึงใจอยู่กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ หากแต่เขายังมิอาจยอมรับความรู้สึกตนเองได้อีกทั้งยังมิคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ทั้งขณะที่เป็นเทพและขณะที่เป็นคน จึงยังมิกล้าจะยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีการปลุกเร้าและมีการปลดปล่อย ความรู้สึกเขินอายทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้เกิด จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงเพียงนี้

     แม้นตนเองจะตระหนักได้ด้วยปัญญาของเทพที่รู้ทันปราถนาของร่างกายมนุษย์และรู้ดีว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการสิ่งใดแต่ด้วยยังมิอาจยอมรับเขาจึงเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง

    “เราข้ามเรื่องนี้ไปเถอะนะ”

    “เช่นนั้นก็ได้ แล้วนั่งคุยกันเฉยๆได้ไหม”

    เทพหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ องค์ราห์โอจึงทรุดนั่งอย่างสบายๆลงบนพื้นหญ้าแล้วชักชวนให้ทำตาม บทสนทนาถูกเปิดขึ้นจากผู้เชื้อเชิญ ว่าด้วยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าผิวเผินนั้นเหมือนเป็นแค่การสนทนาในเรื่องที่ชายหนุ่มสองคนสนใจหากแต่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าในบทสนทนาสบายๆที่มีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายตื่นกลัวนั้นเต็มไปด้วยการลองภูมิความรู้เกี่ยวกับพืชที่องค์ราห์โอต้องการทดสอบอีกฝ่ายเสียทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพันธุ์ วิธีการดูแล รูปลักษณ์ในแต่ละฤดู ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล่าพันธุ์ไม้ในโดมนี้ ยังลามไปยังแห่งอื่นที่ไกลแสนไกล แปลกแสนแปลกยากที่จะมีใครรู้จักอย่างถ่องแท้ เช่นเถาว์ไม้เลื้อยชีดาร์กลางทะเลทราย ดอกพาร์รีที่ขึ้นเฉพาะยอดผา กระทั่งต้นส้นสีแดงที่โตอย่างโดดเดี่ยวในเขาสวดมนต์ ซึ่งทั้งไม้ในห้องนี้และพันธุ์ไม้ทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ฟารันจะเอ่ยถึงได้ โรเรเนสก็รู้จักอย่างดีและดีเสียกว่าในหลายสิ่งจนคนฟังเผลอท้วงไปด้วยซ้ำว่าเขาแต่งเรื่อง

    “เจ้าไปรู้เรื่องพืชมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”

    “ข้าก็ตอบได้คำเดิมว่าข้าเป็นเทพ”

    “แล้วที่เจ้าบอกว่าสวนของข้ามันไม่ถูกต้องนี่เจ้าคิดว่าจริงรึ ทั้งที่มันก็เจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้”

    “หากเพียงแค่รอดชีวิตไปวันๆท่านก็ทำได้ดีแล้ว แต่หากอยากให้พวกเขาเหล่านี้ออกดอกมาล่ะก็ท่านยังไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มพูดอย่างเรียบมิได้ปนน้ำเสียงอวดดีแม้แต่น้อยแก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น

    “หึ แล้วเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้รึ”

    “ถ้าเป็นวิธีการแบบมนุษยืข้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะทราบอย่างแน่ชัด เพราะปรกติจะใช้เวทย์ของตนเองในการดูแลต้นไม้”

    “บนสวรรค์งั้นสิ”

    “อื้ม แต่ถ้าจะให้ข้าดูแลก็ได้นะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะยอมออกดอกมาทักทายให้ข้าเช่นที่กุหลาบจันทรานั้นทำ”

    “เพราะเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์งั้นสิ”

    “อื้ม ใช่ต้นไม่มิได้มีความคิดซับซ้อนเช่นมนุษย์แต่พวกเขามีสัมผัสพิเศษ มีสัญชาตญาณและมีหัวใจ บางสิ่งสามารถรับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์”

    “แขวะข้างั้นสิ”

    “อื้ม...อะ เอ่อ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”

    หนุ่มผมม่วงหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อพลั้งปากพูดโดยไม่คิดออกไป หากแต่ฟารันมิได้ถือโทษจริงจังแต่กลับมองอย่างพินิจแล้วยกยิ้มอย่างเอ็นดู

    “ตามปรกติพูดจาแบบนี้คนเขาจะหาว่าสติไม่ดีนะรู้ไหม เอ่ยว่าตัวเองเป็นเทพเป็นตุเป็นตะเช่นนี้” 

    โรเรเนสก้มหน้าลงมองพื้นหญ้าพลางคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆพร้อมส่งสายตาหวานละห้อยไปให้

    “นี่ ข้าถามจริงๆเถอะ”

    “ว่าไง”

    “ท่าน...ท่านไม่เชื่อข้าซักนิดเลยใช่ไหม”

    ตาหวานเศร้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ฟารันนิ่งเงียบไร้ท่าทีจะตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

    “เด็กบ้าเอ้ย เอาตรงๆเลยหรือไง”

    พยักหน้า

    เงียบ


    ใบหน้าคมสันหันหนีไปทางอื่น แววตาครุ่นคิดด้วยพยายามเรียบเรียงคำพูด เขาหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาสบตาหวานที่ยังจ้องเขม็งหมายจะเอาคำตอบอย่างไม่ลดละนั้นอยู่

    “นี่...ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจนะว่าถึงแม้ข้าจะไม่เคร่งในเรื่องวิถีปฏิบัติและตัวข้าเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากแต่ในบางเรื่อง บางกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ ความคิดเห็นอย่างส่วนตัวของคนในสถานะเช่นข้านั้น....”

    “ข้าเข้าใจดี” 

    ตาคมเข้มแปรเป็นแปลกใจเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายขัดกลางลำ


    “อภัยข้าด้วยที่พูดขึ้นทั้งที่ท่านยังพูดไม่จบ แต่เรื่องสถานะของท่าน และสิ่งที่ต้องทำ ต้องตัดสินใจข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนั้นต้องรอบคอบและ และหลายๆอย่าง แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านตัดสินใจไปเป็นอื่น ท่านคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องของข้าก็ตามที่สมควร แต่ ณ ตรงนี้ ที่เราอยู่กันแค่สองคน ข้า ข้าแค่ขอ ข้าแค่อยากรู้ อยากรู้เฉยๆแล้วจะไม่ถามอีก.....”

    “......”

    “ข้าอยากให้ท่านลืมเรื่องการเป็นราห์โอไปเสียขณะหนึ่ง แล้วกรุณาตอบข้าหน่วยว่า ถ้าท่านเป็นแค่ฟารัน ถามจริงๆลึกๆแล้วท่าน ท่านเชื่อข้าบ้างหรือไม่”

    มันเป็นช่วงอารมณ์เช่นตอนที่มองหญ้าโบกไหวต้องสายลม หรือบางครั้งก็ดั่งเช่นการจ้องมองเกล็ดหิมะค่อยๆร่วงช้าๆลงแตะพื้น ด้วยมันเรียบง่าย เงียบสงบและชวนให้ติดตาม ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่ควรจะตอบได้ง่ายที่สุดกลับใช้เวลาอย่างละเอียดเนิบช้าเช่นการคลี่ออกของกลีบไม้ดอก ในการทบทวนนึกคิด ก่อนจะพูดออกมาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้

    ฟารันแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นสดใสก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะเรือนผมงามเงานั้นอย่างอ่อนโยน

    “เชื่อสิ”

    เช่นเดียวกับดอกไม้บานนั่นแหละ เมื่อยามที่ความจริงใจถูกเปิดเผยถูกคลี่ออกมาอย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม มันก็บังเกิดให้เห็นเป็นดอกไม้ที่บานฉ่ำอย่างงดงามในแววตาที่หวานลึกนั้น รอยยิ้มผุดผาดขึ้นอย่างสดในเช่นยามเช้าปรากฎขึ้นบนหน้าสวยอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เขายิ้มกว้างอย่างน่ารักพร้อมกับตาใสเป็นประกาย ทำเอาคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยกับมุมที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้  เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือล้น มือเรียวทั้งสองยื่นออกมาแตะที่ตักอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองทันที

    “ข้าดีใจที่สุดเลย ที่ท่านเชื่อข้าเช่นนี้”

    ท่าทีร่าเริงเช่นนี้ก็น่ารักมากอยู่ แต่ด้วยไม่อยากให้ได้ใจนักกษัตริย์หนุ่มจึงปรามด้วยเสียงดุๆเล็กน้อย

    “นี่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ข้าจริงใจกับเจ้าเจ้าก็ต้องจริงใจตอบรู้ไหม สัญญากันก่อนว่าจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเมื่อข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เข้าใจไหม”

    “อื้ม แน่นอนเลยข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าไม่มีทางทำร้ายความรู้สึกท่านแน่นอนเพราะข้าเป็นเทพอย่างแท้จริงรับรองได้ ไม่ว่าท่านจะพิสูจน์ด้วยวิธีใด....แต่บางวิธีต้องค่อยๆทำนะ แล้วเอ่อ บางวิธีมันก็ใช้เวลามากจริงเช่นเรื่องความทรงจำของข้า  แต่ว่า ข้าสัญญาว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นจริงทุกประการ”

    “ข้าเกลียดคนโกหกนะบอกไว้ก่อน หากจับได้ว่าเจ้าฉ้อฉลข้าจะไม่อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”

    ช่วงแว่บแล่นหนึ่งที่โฉบเข้ามา โรเรเนสเหมือนจะจำได้ลางๆ เหมือนจะรู้สึกได้ว่าในอดีตนั้นชายผู้อยู่ตรงหน้าเขานี้เคยประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผู้เป็นองค์รัชทายาทไม่ควรจะพบเจอมาก่อน มันเจือจางไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เขารู้ได้ว่าฟารันฝังใจกับบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อใจ หากเขาพลาดไปเพียงเล็กน้อย น้อยนิดที่บิดเบือนไปจะด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม ชายคนนี้คงมิอาจอภัยให้เขาได้เป็นแน่นอน

    เทพหนุ่มเกิดรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด อาจเป็นความรู้สึกจากช่วงเวลายามที่เป็นเทพสถิตย์อยู่บนสวรรค์กระมังทำให้เขารู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับชายคนนี้มานาน จึงเอ่ยอย่างจริงจังเพื่อตอกย้ำให้เชื่อมั่นและสงบใจว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของคนที่ให้ความไว้วางใจเขาเป็นอันขาด

    “ต่อให้ดาวร่วงจากฟ้าข้าก็ไม่มีวันผิดสัญญา”

    หน้าหวานยิ้มละมุนขณะจ้องตาอีกฝ่ายในระยะประชิด จึงทำให้อดไม่ได้เลยที่จะยิ้มตอบในลักษณะเดียวกัน

    “ข้าจะจำไว้” เจ้าของตาเข้มคมเอ่ยเบาก่อนจะก้มลงประทับจูบบางๆลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย  ขวยเขินแต่พยายามยิ่งแล้วเพื่อสงบลง เด็กหนุ่มแก้มแดงน้อยๆเมื่อฝ่ายนั้นละจากหน้าผากตนแล้วจ้องนิ่งอย่างจริงจังพร้อมทั้งส่งยิ้มจางๆที่อบอุ่นมาให้ ฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปจากหน้าสวยที่น่าหลงใหลได้เลย จึงเป็นเขาเองที่ต้องเสมองไปทางอื่นแทน ทว่ามิทันไรเครื่องหน้าที่แสดงอาการขวยนั้นก็แปรเป็นแปลกใจเมื่อตนนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

    “ว่าแต่ถ้าท่านเชื่อว่าข้าเป็นเทพเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษที่กระทำ อ่าม ทำ...เรื่องแบบนี้กับข้ารึ รู้ใช่ไหมว่าทำเช่นนี้กับเทพนั้นไม่ดีเอาเสียเลย” โรเรเนสหันไปถามอย่างใคร่รู้แกมลำบากใจ แต่ราห์โอหนุ่มกับมิได้กังวลใจกับคำถามนี้นัก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังบังอาจดึงตัวเทพหนุ่มขึ้นมานั่งบนตักเสียด้วยซ้ำโดยไม่สนเสียงทักท้วงงอแงของอีกฝ่ายเลย

    “ไม่เห็นต้องสงสัยอะไร สวรรค์นั้นโปรดข้ายิ่งกว่าใครถึงได้ส่งเจ้ามาให้ข้านี่อย่างไร เชื่อลิขิตสวรร๕เถอะให้ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”  ว่าแล้วก็แกล้งก้มลงหอมเนื้อแก้มละเอียดขณะที่อีกฝ่ายส่งเสียร้องกระเง้ากระงอนอย่างขัดใจ

    คนอะไรคิดเอาแต่ได้….

    ......แลทั้งสองก็อ้อยอิงอยู่ในสวนนั้นจนโมงยามเลื่อนไหลผ่านไป

    ----------------------


    แสงสลัววาบไหวไปมาในยามมืด หากแต่ก็ทั่วถึงและเพียงพอสำหรับห้องทำงานขนาดใหญ่ ด้วยมันมากมายและหลายมุมไปด้วยเหล่าโคมไฟทรงสูงครอบแก้วที่ตั้งอยู่ทั่วไปในห้องสี่เหลี่ยม ที่เช่นเคยตกแต่งอย่างธรรมดาหากแต่ก็ยังสมพระเกียรติด้วยทุกสิ่งทำจากวัสดุชั้นดี ทั้งม่านผ้าไหมสีเลือดหมูตรงหน้าต่างทรงโค้ง พรมผืนบางทอด้วยลายละเอียดถี่ระยับด้วยดิ้นท้องซ้อนสลับกับไหมหายาก


    โต๊ะทำงานตัวเขื่องจากไม้เนื้อดีสลักเสลาอย่างประณีตและปูผิวหน้าด้วยหินอ่อนตั้งอยู่กึ่งกางของห้อง ทับถมกองก่ายไปด้วยม้วนเอกสารมากมายที่เกือบจะมีระเบียบอยู่บนโต๊ะ อีกมากที่ชั้นหนังสือด้านหลังและที่เหมือนจะเป็นตำราเรียงตั้งสูงจากพื้นขึ้นมาก็มากโขอยู่  โทนสีหม่นทะมึนของเหล่ากระดาษที่เป็นทั้งม้วนและเล่มมากมายผสมกับสีเหลืองไหวของเปลวไฟทำให้บริเวณโต๊ะทำงานดูเป็นจุดที่ให้อารมณ์เคร่งขรึมจริงจังเป็นที่สุด


    ทว่าก็ยังปรากฎวัตถุประหลาดแปลกปลอมตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของโต๊ะทำงานตัวนี้ มันดูเด่นดึงดูดและไม่เข้าพวกกว่าใครด้วยสิ่งนี้คือกระถางดอกไม้สีขาวมุกเล็กกระจ้อยร่อยน่ารักจนเหมือนจะไม่ใช่ของจริง มันเป็นบ้านหลังน้อยของดอกไม้สีฟ้าสด3ดอกที่ขนาดของมันรวมทั้งกิ่งแลใบก็พอเหมาะพอดีกันอย่างน่ารัก ยามดึกสงัดพวกมันทั้ง3ก็อยู่ในกาลหลับไหลหุบกลีบบอบบางเก็บไว้รอแสงรุ่งสางอีกครั้งถึงจะบานใหม่ คงจะมีแต่เจ้าของของมันกระมังที่ไม่หลับไม่นอนขมักขเม้นทำงานลืมวันลืมเวลาอยู่เช่นเคย


    หากเพียงมีเล็กน้อยที่การทำงานวันนี้...ไม่สิ ระยะหลังนี้แลจะดูผ่อนคลายและไม่เคร่งเครียดเหมือนแต่ก่อน ก็ด้วยไม้ดอกสีฟ้าสดนี่ล่ะ ที่ทำให้ฟารันมีอะไรให้หย่อนใจขึ้นมาบ้างหลังจากต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งอ่านราชโองการที่ขุนนางทูลเกล้าถวายและรายงานโครงการต่างๆอีกมากมาย เพียงแค่ดอกไม้สีฟ้าเหล่านี้นี่ล่ะ ที่เขาจะพักสายตามามองพวกมันอย่างเอ็นดูแล้วหวนนึกถึงคนให้อยู่บ่อยๆ ทั้งรอยยิ้มเริงร่าน่ารักตอนที่ยืนรอเขา เพื่อจะให้เจ้าดอกไม้จิ๊ดริดที่บังอาจออกดอกขึ้นมาได้อย่างผิดธรรมชาติ  ความตื่นเต้นตอนที่พบมันแทงยอดอ่อนขึ้นมาจากพื้นดินและแววตาที่ออกประหม่าเล็กน้อยตอนยื่นให้แล้วขอให้เขาดูแลมันอย่างดีจนกว่าจะโตพอที่จะอยู่ร่วมกับไม้ต้นอื่นได้อย่างปลอดภัยจึงค่อยนำไปลงดินอีกครั้ง

    “ในสถานที่ที่ไม่ใช่ในธรรมชาติ ไม้ดอกบางชนิดนั้นเติบโตไม่ได้หรอกนะถ้าอยู่อย่างแออัดร่วมกับไม้ต้นอื่นเช่นนี้” นั่นคือคำอธิบายที่ให้ความรู้ใหม่แกองค์ราห์โอเป็นอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความประทับใจในเรื่องนี้สิ่งหนึ่งที่เขากลับให้ค่ามากกว่าความรู้เรื่องพืชคือ

     ดอกไม้กระถางนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้จากโรเรเนส

    ทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งเมื่อแสนนานมาแล้วตอนที่เขาอยู่ในตอกแคบๆนั่น เจ็บปวด ทรมาณ สิ้นหวัง แต่เพียงสิ่งเล็กน้อยที่ปรากฎตรงหน้าก็เหมือนแสงแห่งชีวิตปรากฎขึ้นอีกครั้ง ด้วยวันนั้นถึงมีวันนี้ เขายังจำได้ไม่ลืม

    “ประทานอภัยฝ่าบาท ท่านโยเฮนขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” เสียงทหารดังขึ้นจากทางหน้าประตู ถึงตอนนั้นที่ตื่นจากภวังค์เขาไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่าทหารเวรเฝ้าประตูผู้นี้เดินเข้ามาเมื่อไร

    “ให้เข้ามาได้”

    ชายแก่วัยกลางคนอาดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ อย่างมั่นคงและดูยโสตามปรกติที่เป็น เขาโค้งคำนับองค์ราห์โอครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้โต๊ะทรงงานตามที่ถูกเชิญให้นั่ง

    “ว่าอย่างไรท่านโยเฮน มาเสียดึกป่านนี้”

    “ต้องขอประทานอภัยฝ่าบาทที่ข้ามารบกวนพระองค์ในโมงยามเช่นนี้ แต่พอดีเมื่อครู่ข้าเพิ่งเสร็จจากประชุมกับเหล่าขุนนางที่อยู่ในความดูแลของข้าในเรื่องการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการขุดคลองสาขาเพิ่มของพระองค์ ก็ใคร่จะมารายงานความเป็นไปว่าเรียบร้อยตามพระประสงค์ดีหากแต่ส่วนตัวข้าพเจ้าเองมีเรื่องสะกิดใจอยู่เล็กน้อย”

    “ว่ามา”

    “สร้างเขื่อน ขุดคลอง สร้างบึง คลังเสบียง โรงเรียน โรงหมอ โรงงาน อู่ต่อเรือ และขยายเหมืองขุดแร่”

    “แล้ว?”

    “นี่ยังไม่รวมเรื่องปศุสัตว์พันธุ์แปลก แลเมล็ดธัญพืชที่นำเข้ามาอีก อีกทั้งยังมีงานฝ่ายทหารและกองทัพหลวง”

    “ก็อย่างไรเล่า”

    “เล่นทำทุกอย่างพร้อมกันเช่นนี้เงินในพระคลังจะไม่เหลือน่ะสิฝ่าบาท”


    “ไร้สาระ เมื่อแล้งที่แล้ว แล้งก่อนหน้า และก่อนหน้าไปถึงรัชสมัยของสเด็จพ่อ อาณาจักรเราเป็นแห่งเดี่ยวที่ผลิตผลผลิตได้ ส่งขายไปยังแดนอื่นเงินทองเป็นกอบเป็นกำ ไหนจะแร่หินและผลผลิตจากการประมงอีก แล้วก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปีถ้าข้าไม่พัฒนาแล้วเงินมันจะมาจากไหน”

    “นั่นก็จริงอยู่ แต่ใช้จ่ายแบบนี้ควบคุมและตรวจสอบลำบาก กระหม่อมคิดว่าน่าจะค่อยๆทำในส่วนที่สำคัญจริงๆนอกนั้นก็แต่บำรุงรักษาไปก่อนที่สำคัญพระองค์ไม่ได้ขึ้นภาษีมาหลายปีแล้วถ้าทรงดำริจะดำเนินการทุกอย่างต่อกระหม่อมมีความเห็นว่าควรจะขึ้นภาษีมาพัฒนาประเทศจะดีกว่า”

    “ก็ดีนะ เก็บเฉพาะขุนนางกับพวกราชนิกูล เห็นว่าเงินเยอะถมเถ”

    “ฝ่าบาทกระหม่อมแนะด้วยความหวังดี”

    “ข้าล้อเล่นน่ะ ขอบใจท่านมากข้าจะรับฟังไว้หากเห็นท่าไม่ดีข้าก็จะจัดการเอง แต่อย่าห่วงไปเลยข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรจะต้องดีขึ้นเป็นสิบเท่าตัวแน่นอน”

    เขาเหยียดยิ้มอย่างมั่นใจพลางมองดอกไม้ในกระถางน้อยตรงหน้า ทำให้คู่สนทนาต้องเหลือบมองตาม พลันโยเฮนก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูดกับองค์ราห์โอ อันที่จริงสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนยิ่งกว่าเงินในพระคลังที่ร่อยหลอเพราะเขาและพรรคพวกยักยอกไปเสียอีก

    “จะว่าไปช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ทรงสนิทสนมกับบุรษเกศม่วงผู้นั้นเป็นอย่างมากนะฝ่าบาท”

    “ทำไมรึ”

    “จะไม่ทรงไต่สวนเอาความกับเขาแล้วหรือกระไรฝ่าบาท จะทรงเสียสัตย์ด้วยเพราะหลงใหลกระหม่อมเห็นว่าไม่ควร”

    “เหลวไหล ก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องรอคำยืนยันจากหมอหลวงในเรื่องนั้นเสียก่อน”

    ขุนนางใหญ่แปรสีหน้าเป็นอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตามองกษัตริย์หนุ่มอย่างมีเลศนัย

    “อย่าหาว่าข้าจุ้นจ้านหรือยุแยงเลย ท่านหมอหลวงก็เป็นผู้ใหญ่ในวังรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่รัชสมัยเสด็จพ่อของฝ่าบาท หากแต่ด้วยความเป็นหมอก็มักจะใจอ่อนเป็นเสมอ เขาเป็นหมอหาใช่ศาลจะซื่อสัตว์เที่ยงธรรมไปเสียทุกเรื่องก็คนไม่ใช่”

    “นี่ท่านกำลังคิดว่าท่านหมอโป้ปดข้ารึ ทำเช่นนั้นอันตรายถึงลงทัณฑ์เชียวนะ”

    “ข้าก็มิได้เอ่ยเช่นนั้น ท่านหมออาจไม่ได้ตั้งใจโป้ปดอะไรท่านแต่บุรุษเกศม่วงนั้นไม่เป็นที่รู้ได้ เขาอาจจะ เอิ่ม... ประทานอภัยฝ่าบาท หากจะพูดถึงคนสนิทคนใหม่ของพระองค์ในยามนี้ ยังไงเสียก็เป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายตีน มาร่อนไปร่อนมาอยู่ในวังได้เป็นเดือนๆ แสร้งเจ็บบ้างแสร้งป่วยบ้างใครมันจะไปรู้ ไอ้เรื่องพวกนี้มันก็พูดยากป่วยใจหรือป่วยกายมันก็ป่วยคือกัน จุดนี้ท่านหมออาจจะมองเช่นนั้น ชายผู้นั้นอาจหายป่วยกายแล้วแต่ยังแสร้างป่วยใจให้ดูกันลำบากท่านหมอก็จึงคงไม่กล้าฟันธงว่าเขาหายดีแล้ว”

    องค์ราห์โอหลุบตามองเพ่งที่ดอกไม้ในกระถาง คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ฝ่ายขุนนางเห็นถึงความลังเลก้พูดต่อไปอีกชุด

    “ฝ่าบาท....จะหลอกข้าราชคนอื่นว่าเขาเป็นพระสหายตลอดไปมิได้หรอกนะกระหม่อม แล้วยิ่งคนที่รู้อยู่แล้ว พวกขุนนางชั้นสูงทั้งหลายก็เริ่มกังขากันใหญ่แล้วถึงขั้นแอบพูดกันไปว่าทรงหลงรูปชายผู้นั้นจนไม่สนถูกผิดอะไร แต่ท่านก็ทรงทราบดีว่าความมั่นคงภายในผลัดวันประกันพรุ่งไปก็ไม่เข้าท่า”

    “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร”

    “หากไม่ทรงปราถนาจะหักหาญน้ำใจเหมือนคนเถื่อนก็คงต้องใช้วิธีอ้อมๆ”

    “อะไรกัน?”

    “ง่ายนิดเดียว เขาผู้นั้นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มในวัยประมาณนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมาย เพียงแค่กระตุ้นยามหลับฝันตื่นเช้ามาน้ำฝันที่กลั่นออกก็คงปรากฎขึ้นมาให้เห็นง่ายดาย ตามธรรมชาติเพียงเท่านั้นก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่รุนแรงไม่หักหาญ เจ้าตัวคงไม่ทันได้รู้ความเสียด้วยซ้ำ”

    ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง แลก็ทำหน้าทึ่งเหมือนโดนสาดน้ำ เหตุใดเขาถึงไม่ได้นึกเรื่องนี้มาก่อนนะ แน่นอนว่าด้วยความไว้ใจจึงไม่เคยจะกระทำการอื่นใดนอกเหนือไปจากที่เคยคุยกันไว้ นั่นคือรอเจ้าตัวยอมรับเองว่าพร้อมแล้วค่อยกระทำ แต่วิธีแอบทำอย่างอ้อมๆนี่ไม่ได้คิดถึงเอาไว้

     ….. หรืออาจมีคิดบ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะโดยส่วนตัวอยากเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มตอนโดนกระทำมากกว่าโดนตอนหลับไม่รู้เรื่อง!

    หากแต่แม้นถึงรู้ดังนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะทำเช่นนั้นหรือไม่ ด้วยไม่อยากรู้สึกผิดอันใดกลับการแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวอีกฝ่าย

    “ถ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เชิญท่านกลับไปเสียเถิด ดึกแล้วพวกเราทั้งคู่ควรได้พักผ่อน”

    ราห์โอเอ่ยขึ้นทั้งสีหน้ายังกังวล แต่ภายใต้ใบหน้าสุขุมเรียบเฉยของขุนนางใหญ่กลับซ่อนความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากษัตริย์หนุ่มผู้นี้ต้องสนใจวิธีการนี้เป็นอย่างมาก แม้นว่าจะอยากหรือไม่อยากทำก็ตาม

    จนเมื่ออาคันตุกะจากไป ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ความขัดแย้งเกิดขึ้นกับความรู้สึกและเหตุผล เขามองออกนอกหน้าต่างสู่ฟากฟ้าสีน้ำเงินที่เปื้อนดาวระดาษฟ้าอยู่อึดใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องของตนไป




     

                แสงจันทร์คืนนี้นับว่าสว่างพอตัวแต่ก็สลัวบางมิได้จ้าเหมือนจันทร์เต็มดวง มันสาดทาบลงมาบนผิวแก้มขาวเนียนดั่งปรกติที่มันจะทำ ในองศาที่พอเหมาะแลเจือจางบางครั้งด้วยเงาผ้าม่านที่โบกพริ้วตามสายลมตัดผ่านลำแสงเป็นระยะ

    เจ้าตัวผู้หลับสนิทมิใดรู้สึกตัวใดๆหรอก ด้วยระยะหลังที่เริ่มแข็งแรงเขาก็สนุกสนามอยู่กับเจ้าหมาเตี้ยและเหล่าพันธุ์ไม้ ด้วยจู่ๆก็ได้รับมอบหมายงานเล็กน้อยในสวนให้เขาได้ตรวจดู ประกอบกับอาหารรสเริศที่ได้ลิ้มทั้งก่อนและหลังการหลับตื่นในทุกๆวันนั้นทำให้การเข้าสู้ห้วงฝันได้เร็วและนิ่งลึกเสียเหลือเกิน

    เขาไม่ได้รู้สึกหรอกถึงสายตากังขาที่มองลงมา จับจ้องนิ่งอย่างสับสน ดวงตาคมเข้มและใบหน้าหล่อเหลาได้รูปเฝ้ามองการปิดสนิทของเหล่าแพขนตากับอีกทั้งริมฝีปากบางนั้น

    ฟารันนิ่งมองด้วยสีหน้าเย็นชาหากวาวลึกในดวงตานั้นมีคำถามมากมาย จู่ๆเขาก็เกิดไม่มั่นใจถึงแม้อีกฝ่ายจะสัญญาว่าไม่มีหรอกการโกหกระหว่างกัน แต่กระนั้นเขาก็เกรงว่าคำสัญญาทั้งหลายที่ออกจากปากบางได้รูปนี้จะเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล

    เขาค่อยๆนั่งลงข้างๆร่างขาวที่ทอดอยู่บนเตียง เฝ้ามองพิศละเอียดตั้งแต่วงหน้ายันเรือนร่างน่าพิศมัย มิได้อรชรอ้อนแอ้นเช่นสตรีหรอก มันสมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องร่างแบบเด็กหนุ่มนี่ล่ะ หากแต่ไม่ได้อัดแน่นด้วยมัดกล้ามเหมือนหนุ่มใหญ่หรือทหารศึก เป็นกล้ามเนื้อสวยงามของวัยเจริญพันธุ์ เมื่อสัมผัสดูก็จะรู้สึกได้ถึงชีวิตชีวาน่าลิ้มลองของเนื้อหนุ่มเช่นเดียวกับตัวเขานี่ล่ะ

    หากแต่ที่อยู่ตรงหน้านั้นสร้างความสับสนให้ความรู้สึกของชายด้วยกันอย่างแน่นนอน ไม่เพียงแต่สตรีจะพึงหลงใหลร่างนี้ แต่บุรุษอย่างเขาก็กลับรู้สึกแทบจะทุกครั้งไป ทั้งงดงามและน่ารักน่าชังพาลหมั่นเขี้ยว

    ฝ่ามือแกร่งเอื้อมสัมผัสแผ่วลงที่ผิวหน้า ไล้เลียความละเอียดไล่ไปยังริมฝีปากก่อนจะลูบผ่านคอระหงโดยไม่มีแม้ปฏิกิริยาใดๆที่รับรู้การถูกสัมผัสเลยแม้นแต่น้อย

     เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจลองเอื้อมลงต่ำแล้วแตะฝ่ามือลงบนขาอ่อนเบื้องล่างลูบไล้เรื่อยขึ้นไปจนถึงใต้ร่มผ้าแล้วลองจับให้กระชับและชัดเจนกว่าเดิมเล็กน้อย วนนิ้วไล้ซ้ำๆในจุดที่ใกล้กับโคนขาหนีบด้านใน

    “อื้มมม” เสียงครางในลำคอดังออกมาเบาๆ หน้าหวานขมวดเกร็งเล็กน้อย ฝ่ามือที่ลุกล้ำหยุดการกระทำชั่วครู่ ใบหน้านั้นก็คลายลงและล่วงเข้าสู่การหลับใหลตามเดิม

    กษัตริย์หนุ่มนิ่งมองใบหน้านั้นเล็กน้อยก่อนจะเลิกผ้าผ่อนให้สูงเลยพ้นเอวขึ้นไป เผยให้เห็นเนื้อเนียนขาวของต้นขาแลอีกทั้งท่อนเนื้อสีชมพูบริสุทธิ์ที่แม้นจะเห็นลางด้วยแสงมีน้อยแต่ก็ชัดเพียงพอสำหรับสัดส่วนน่าอายนี้

    เห็นแล้วแหนะ....

    คนนิสัยไม่ดีเกิดรู้สึกเอ็นดูสัดส่วนจุดนั้นของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างมิได้ตั้งใจ พลันก็คว้าเข้ากอบกุมทั้งฝ่ามือก่อนจะค่อยๆละเลงเล่นน้อยๆเพื่อกระตุ้น

    “อื้อออ” ครานี้ผู้นิทราออกอาการมากกว่าคราวก่อน ด้วยมิเพียงใบหน้าที่ขมวดไป เรือนร่างที่ผ่อนคลายนอนนิ่งก็เริ่มเกร็งกร้าวขึ้นมา เมื่อฝ่ามือหนาเค้นเบาบีบขยุ่มและคลึงเล่นเป็นจังหวะ เนื้อตัวแลหน้าตาก็พลันแปรเป็นสีแดงด้วยเลือดสูบฉีด

    “ฮ่าห์” เผยอปากบางอย่างมิรู้ตัวอาการทั้งหมดเป็นไปอย่างธรรมชาติลึกลงไปในเปลือกตาสู่โลกแห่งฝันก็เกิดภาพประหลาดที่เชื่อมโยงกับร่างกายภายนอกอย่างบังเอิญ

    ….เขาหลับฝันถึงฟารันอยู่ในขณะนี้

    การกระตุ้นย้ำเบาๆไม่รุนแรงจนทำให้ตื่นได้แต่ก็เนิบนาบหนักแน่นถูกต้องในจุดสัมผัสจนเลือดสูบฉีดมาไหลเวียนให้อวัยวะนี้พองขึ้นและแข็งขืนขึ้นมาจนได้ ทีละน้อย ทีละน้อย ไม้ดอกงามที่กลางระหว่างขาก็เริ่มแบ่งบาน

    ใช่มันเริ่มตื่นตัว และเมื่อการกระทำนั้นๆต่อเนื่องและมั่นคงไปเรื่อยๆมันก็กลายเป็นการชูชันดั่งไม้แดงชูช่อ

    เหงื่อหยาดน้อยเริ่มผุดผาดขึ้นที่หน้าผากเด็กหนุ่ม ปลายนิ้วทั้งห้าเคลื่อนขึ้นลงจากส่วนโคนจนสุดปลายมิได้กอบกำแน่นกระชับ แค่ลงน้ำหนักให้พอดี ณ ปลายนิ้วแล้วก็น้อยๆแลรูดเร็ว

     ซ้ำๆ ขึ้นจนสุด กดลงเล็กน้อยแล้วดึงลงมา แล้วดันนิ้วรูดขึ้นไปอีกครั้ง ช้ำๆ ให้รู้สึก...

    รู้สึก...

    “อื้มมม”

    รู้สึก...

    “ฮ่าห์”

    รู้สึกมากจน...

     

    .....ปล่อย

    แลจวนแลเจียน ทั้งการพวยพุ่งและการฟื้นตื่น ทั้งหมดนั้นไม่เกิดขึ้นเนื่องจากการหยุดกลางครันอย่างฉับพลันด้วยชักมือหนี ปล่อยดอกไม้แดงดอกงามเป่งเบ่งบานอาบแสงจันทร์ไว้เพียงนั้น ทั้งที่เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการปลดปล่อยแต่ท่อนเนื้อที่น่าสงสารกลับถูกทิ้งไว้ ปล่อยไว้ ก่อนเจ้าตัวจะรู้สึกตัวไปมากกว่านี้ ในช่วงที่จวนเจียนครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่รู้แน่ว่าโดนกระทำจริงหรือฝันไป

    ฟารันก็จากไป....

    ร่างกายอันร้อนรุ่มต่อสู้อย่างหนักหนาในโมงยามแห่งราตรี เลือดลมไหลเวียนอย่างไม่เป็นสุขจนท้ายหลังจากนั้น อันที่จริงเทพหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่ชัดเจนหนัก แม้นเผลอลืมตาก็ผล่อยร่วงผล่อยหลับลงไปอีก จนกระทั่งอีกหลายชั่วโมงให้หลังเมื่อตอนที่แสงตะวันเข้ามาแทนแสงจันทร์แล้วนั้นแหละ เขาถึงจะรู้สึกตัวได้เต็มที่อย่างแท้จริง

     

    หากแต่ในโมงยามนี้ที่ดวงดาวยังเฝ้ามอง ร่างงดงามร่างนี้ยังทำปฏิกิริยาตามธรรมชาติของมันไปเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวมันก็ขับน้ำคาวหวานนั้นออกมาเอง....



    -----------------

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×